ขอหนุนใจผู้รับใช้พระเจ้าสำหรับ ปีใหม่ 2010 ขอให้เรามีนิมิตที่แจ่มชัด และไม่น่าเป็นไปได้เสมอ
โดยพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้
นี่คือคำพยานของ ศิษยาภิบาลที่มีสมาชิกมากที่สุดในโลก และเป็นคริสตจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง
ดร. ยองกีโช
ฮาบากุก 2.2
2และพระเจ้าตรัสตอบข้าพเจ้าว่า
“จงเขียนนิมิตนั้นลงไป
จงเขียนไว้บนแผ่นป้ายให้กระจ่าง
เพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่อง
3เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาของมันอยู่
มันกำลังรีบไปถึงความสำเร็จ
มันไม่มุสา
ถ้าดูช้าไป ก็จงคอยสักหน่อย
มันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่
คงไม่ล่าช้านัก
2และพระเจ้าตรัสตอบข้าพเจ้าว่า
“จงเขียนนิมิตนั้นลงไป
จงเขียนไว้บนแผ่นป้ายให้กระจ่าง
เพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่อง
3เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาของมันอยู่
มันกำลังรีบไปถึงความสำเร็จ
มันไม่มุสา
ถ้าดูช้าไป ก็จงคอยสักหน่อย
มันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่
คงไม่ล่าช้านัก
ความเจ็บปวดของผู้นำที่มีนิมิต
พระ เจ้าได้ทรงประทานนิมิตในใจให้กับผมก่อนที่ผมจะประสพความสำเร็จ แล้วพระองค์เองก็เป็นผู้ทรงกระทำให้นิมิตนั้นสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ผมได้เรียนรู้ว่าถึงแม้ว่าเราจะมีนิมิตที่พระเจ้าประทานให้ ถนนที่เราต้องฟันฝ่าไปให้ถึงนิมิตนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะปราศจากศัตรู
เมื่อเรามีนิมิต เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง เราจะเปลี่ยนไป ทั้งการพูด การกระทำ และการเป็นผู้นำ นิมิตที่เราได้รับจากพระเจ้าจะทำให้เรากลายเป็นคนใหม่และขอบพระคุณพระเจ้า ที่เราไม่ต้องเป็นผู้สร้างนิมิต แต่นิมิตเป็นสิ่งที่จะเสริมสร้างเรา
นิมิตคืออะไร? นิมิตคือเป้าหมายในอนาคตของเรา ถ้าเราไม่มีเป้าหมายเราก็จะไม่มีทิศทางในการดำเนินชีวิตและเดินทางไปอย่าง สะเปะสะปะไร้จุดหมาย เราจะไม่มีแรงจูงใจและจะดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ
เมื่อเราได้พบกับคนที่ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่ออาณาจักรของพระเจ้าเราจะพบ ว่าพวกเขามักจะเป็นคนที่ทีความฝันหรือคนที่มีนิมิต พวกเขามีแสงไฟสว่างส่องไปยังเป้าหมายของคน พวกเขาทุ่มเทพลังงาน เวลาและเงินทองของตนไปสู่ทิศทางนั้น
กระนั้น ถึงแม้ว่านิมิตของเราจะดูสวยงามเพียงใดก็ตาม บางครั้งพระเจ้าก็ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราไม่มีประโยชน์และผิดหวัง เพื่อว่าเราจะปล่อยให้นิมิตของเราตายไป หลายครั้งหลายหนที่พระองค์ทรงนำผมไปถึงชายแดนแห่งความตาย เพียวเพื่อให้ความฝันของผมเกิดใหม่อีกครั้งเท่านั้น
ในปี 1958 หลังจากที่เรียนจบโรงเรียนพระคริสตธรรม ผมออกไปมากมีฐานะยากจน ผมออกไปในพื้นที่ซึ่งคนส่วนมากมีอาชีพเป็นขอทาน ผมตั้งเต็นท์เก่าๆของทหารเรือสหรัฐฯแล้วก็เริ่มเทศนา
ผมมีสมาชิกในคริสตจักรเพียง 5คน ผมไม่มีอาหารรับประทานและผมหนาว และเนื่องจากไม่มีที่พักอาศัย ผมจึงนอนอยู่ในเต็นท์นั้นนั่นเอง
แต่พระเจ้าตรัสกับผมผ่านทางนิมิตและความฝันเรื่องอนาคตของผมว่า “เจ้าจะมีคริสตจักรใหญ่ที่สุดในเกาหลี” ผมหัวเราะ “คริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีหรือ?ผมมีเต็นท์เก่าๆขาดๆมีเสื่อหญ้าปูพื้น นอน และไม่มีใครสนับสนุนผมทางการเงิน ผมจะมีคริสตจักรใหญ่ที่สุดในเกาหลีได้ยังไง?”ผมถาม ผมมองไม่เห็นสิ่งที่เหนือกว่าสิ่งที่มีในปัจจุบัน
เมื่อผมมองสถานการณ์ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง5ของผม อนาคตของผมดูเหมือนไม่มีหวังอะไรเลย แต่เมื่อผมอธิษฐาน ผมก็สามารถมองเห็นตัวเองเปนศิษยาภิบาลที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีได้
ผมพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ขัดแย้งกันเอง เมื่อผมเปิดตาของตัวเองผมเป็นเหมือนคนที่ยังไม่เชื่อ แต่เมื่อผมปิดตาของตัวเอง ผมเป็นผู้เชื่อที่ยังใหญ่
ผมเห็นนิมิตแห่งคริสตจักรที่ยิ่งใหญ่ ในขณะนั้น พระเจ้าสร้างภาพในจิตใจให้ผมเห็นภาพคริสตจักรที่มีสมาชิก 3,000คน ใจหนึ่งผมก็ชื่นชมยินดี แต่ถ้าเป็นหนึ่งผมก็สงสัยว่าตัวเองเป็นโรคจิตหรือเปล่าที่คิดเช่นนั้น ผมบอกสมาชิกทั้ง 5 คนถึงนิมิตที่ผมมี ผมบอกพวกเขาว่า “เราจะสร้างคริสตจักรใหญ่ที่สามารถจุคนได้ 3,000คน คนจะมาคริสตจักรของเราเป็นพันๆคน คริสตจักรของเราจะกลายเป็นคริสตจักรใหญ่ที่สุดในโลก”
พวก เขาทุกคนหัวเราะ พวกเขาคิดว่าผมบ้าไปแล้ว ภรรยาของผมซึ่งตอนนั้นยังเป็นแฟนกันอยู่รู้สึกเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาก เธอบอกว่า “ถ้าคุณยังพูดเหลวไลแบบนี้ต่อไปล่ะก็ ฉันจะเลิกกับคุณ ฉันอายที่จะเป็นเพื่อนกับคุณ เพราะทุกๆคนหัวเราะเยาะคุณ”
แต่ผมบอกว่า “ผมตั้งครรภ์ด้วยนิมิตว่าจะมีคริสตจักรที่มีสมาชิก 3,000คน” ในปี1964 เรามีสมาชิก 3,000คนและในปี1969 เรามีสมาชิก 8,000คนเราเป็นคริสตจักรใหญ่ที่สุดในเกาหลีและผมรู้สึกสนุกกับงานพันธกิจที่ รับผิดชอบอยู่”
ผมพูดว่า “ผมมาถึงยอดเขาแล้วตอนนี้ ผมจะมีความสุขไปจนชั่วชีวิต” แต่วันหนึ่งพระสุรเสียงของพระวิญาณบริสุทธิ์ตรัสกับผมว่า “โชพันธกิจของเจ้าที่นี่สำเร็จแล้ว เราอยากจะให้เจ้าไปเริ่มพันธกิจโดยตั้งคริสตจักรใหม่ คราวนี้ เราอยากให้เจ้าสร้างคริสตจักรที่มีสมาชิก 10,000คน”
ในช่วงนั้น ผมอยู่ด้วยนิมิตและความฝัน ผมมีเงินของคริสตจักรในธนาคารแค่ 1,000เหรียญ แต่การสร้างคริสตจักรต้องใช้เงินอย่างน้อย 100ล้านเหรียญ
ผู้ปกครองคริสตจักรพูดกับผมว่า “โช คุณมีแต่นิมิต คุณไม่สามารถสร้างคริสตจักรด้วยนิมิต ถ้าคุณทำอย่างนั้นพวกเราจะย้ายไปอยู่คริสตจักรอื่น เพราะคุณกำลังเอาชีวิตและคริสตจักรที่เจริญเติบโตไปเสี่ยง และถ้าเราติดตามคุณต่อไป คนอื่นก็จะพากันหัวเราะเยาะเรา”
ในปี 1969 ผมซื้อที่ดินของคริสตจักรโยอิโดฟูลกอสเปิลด้วยเครดิต ผมไม่ๆด้จ่ายสักแดงเดียวสำหรับที่ดินนั้น ปัจจุบันนี้สินทรัพย์ของเรามีมูลค่ามหาศาล ทุกตารางนิ้วของคริสตจักรโยอิดมีค่าราวกับทองคำ หลังจากที่ซื้อที่ดินของคริสตจักรไม่นาน ผมก็ทำสัญญากับบริษัทสถาปนิกและเราก้มีพิธีขุดดินเริ่มสร้างอาคาร วันนั้นอากาศหนาวและลมแรง มีหิมะตกประปราย อากาศในวันนั้นดูเหมือนจะพยากรณ์อนาคตของผม
4 ปีต่อมาผมหมดปัญญาหลายร้อยครั้งในเรื่องการสร้างคริสตจักร เพราะไม่มีเงินสดจ่าย หลายครั้งหลายหนผมถามพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เห็นนิมิตจริงๆหรือเปล่า?” ถ้าคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับนิมิตของคุณ คุณก็มักจะมีคำถามเช่นนี้เกิดขึ้นในใจเสมอ
ในขณะที่ สถานการณ์ดูเหมือนหมดหวัง ทุกๆอย่างดูเหมือนมืดมนหมดหนทาง พระเจ้าดเหมือนอยู่ห่างไกลไปหลายล้านไมล์ ผมรู้สึกเหมือนกับว่าพระองค์ทรงทอดทิ้งผมแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญด้านก่อสร้างบอกผมว่า “ถ้าคุณไม่ทำต่อในเร็วๆนี้ เราจำเป็นต้องทุบทิ้ง เพราะสภาพผุกร่อนของมัน” ทุกคืนผมนั่งอยู่ใต้ตัวตึกนั้นและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระบิดา ขอให้ตึกนี้พังลงมาทับข้าพระองค์ ขอให้สถานที่นี้กลายเป็นหลุมฝังศพของข้าพระองค์เพื่อข้าพระองค์จะได้ไม่ต้อง ชดใช้หนี้สินอีกต่อไป”
ผมไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใครนอกจากพระเจ้า ผมวิงวอนต่อพระองค์ว่า “ข้าพระเจ้า พระองค์ต้องการให้ข้าพระองค์ทำเช่นนี้จริงๆหรือ?”และพระองค์ก็ยังคงยืนยัน ครั้งแล้วครั้งเล่าว่านิมิตนั้นมาจากพระองค์เอง เมื่อคุณกำลังตกอยู่ในการทดลอง อย่าแปลกใจที่เพื่อนของคุณหลายคนกลายเป็นเหมือนเพื่อนของโยบ
เมื่อเพื่อนของผมมาหาผม พวกเขาพูดว่า “โช ความฝันของคุณยิ่งใหญ่หวังว่าพระเจ้าจะทรงช่วยคุณด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง พวกเรารู้สึกเสียใจกับคุณด้วยจริงๆ”
เราไม่สามารถทำอะไรได้เลยถ้าเราไม่มีพระเจ้า นิมิตของผมตายไปหลายครั้ง แต่พระองค์ก็ทรงทำให้มันมีชีวิตขึ้นมาอีกและในปี 1974 คริสตจักรก็สร้างเสร็จสมบูรณ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)