วิธีการเทศนาที่ได้ผลดี How to preach a powerful sermon


เทศนาอย่างไรไม่ให้เสียเวลาทั้งคนฟังและคนเทศนา


ความเย่อหยิ่งเดินหน้าการถูกทำลาย และจิตใจที่ยะโสนำหน้าการล้ม
(สุภาษิต 16.18)


ผมเพิ่งมาได้รับการเปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ว่า สาเหตุสำคัญของคนที่เป็นเส้นเลือดสมองแตก หรือคนเป็นอัมพาตหลายๆ คนที่พบ แม้จะอธิษฐานอย่างไรเขาก็ไม่ดีขึ้น แท้จริงรากปัญหาเมื่อเราตรวจสอบพฤติกรรมโดยการให้เขาสำรวจตัวเอง และให้คนรอบข้างสังเกตดู รากของมันคือ ความยะโสเย่อหยิ่ง อันนี้จริงหรือไม่ ใครมีประสบการณ์ช่วยแชร์ด้วยนะครับ





ใครอยากจะเป็นครูอาจารย์ อยากจะสอนด้วยสิทธิอำนาจ และมีการปลดปล่อยผมขอแนะนำลองเอาคำสอนของ REV. C. H. Spurgeon และนักฟื้นฟูคนสำคัญอื่นๆ มาศึกษาดูนะครับ

จากประสบการณ์จริงในวิชาการเทศนา ในชั้นเรียนพระคริสต์ธรรม อาจารย์เขาสอนให้เราตีความพระคัมภีร์ให้เข้ากับบริบทไทย หรือประยุกต์ข้อพระธรรมให้เข้ากับสถานการณ์หรือวัฒนธรรม หรือวันระลึกอะไรๆ ที่เราได้รับเชิญไปให้เทศนา ซึ่งก็ไม่ผิดนักเพราะเราก็เห็นแต่ละท่านเทศนาแบบนั้นมามาก

แต่ถ้าใครเทศนาพระกิตติคุณในทุกสถานการณ์ของชีวิต อาจช่วยคนให้รอดได้ดีกว่า การเทศนาเพื่อสนับสนุนวันระลึกอะไรต่างๆ การเทศนาแบบเอาพระธรรมไปสนับสนุนวันระลึกต่างๆ อาจเป็นแค่การอวดโวหารภาษาและให้ความรู้ทางศาสนา เพื่อสนับสนุนพิธีกรรม และวัฒนธรรมเท่านั้นแต่คำเทศนาไม่นำคนบาปให้กลับใจ ผู้เทศนาไม่ท้าทายคนให้มาหาพระเจ้า ไม่กล้าเรียกคนบาปกลับใจ ผู้เทศนาไม่กล้าวางมือไม่รักษาคนป่วย ไม่ช่วยคนบาปให้พบพระเจ้า ผมว่า การเทศนาแบบนี้ เสียเวลาทั้งคนฟัง และคนสอนครับ

ผมเชื่อว่าคำเทศนาที่ดี ไม่ใช่คำเทศนาที่จัดองค์ประกอบด้วย Illustration(เรื่องเล่าประกอบ) ที่สวยหรู เอาข่าวหนังสือพิมพ์ และสถิติงานวิจัยมาประกอบ คนเทศนาใส่ครุยโก้หรู เทศนาตรงเวลา 30 นาทีเป๊ะ แต่คนฟังยังปวดหัวเหมือนเดิม กลับบ้านทะเลาะกันเหมือนเดิม เครียดเหมือนเดิม แต่คำเทศนาที่ดีคือคำที่มาจากพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิร้อยละ 60 ขึ้นไป หรือมากกว่า และเป็นคนสอนที่ "อาจารย์ใหญ่" เขาสอนไว้แล้ว ไม่ใช่มาคิดขึ้นเอง แล้วเอามาสอน แต่เป็นคำสอนที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเจริญ หายป่วยทางกาย จิตใจอารมณ์ และยิ่งดีใหญ่ถ้าคนได้รับความรอดด้วย

ผมมีข้อแนะนำสำหรับผู้นำความเชื่อรุ่นใหม่ที่อยากจะเป็นสาวกที่สามารถกล่าวถ้อยคำจากพระวจนะได้อย่างเกิดผล และมีประสิทธิผล ดังนี้

ก.  ก่อนการเทศนาไม่จำเป็นต้องอธิษฐานยืดยาว  บางเวทีเราไม่จำเป็นต้องมายืนอธิษฐานด้วยซ้ำ เพราะการอธิษฐานตามระเบียบวาระอาจไม่ได้ทำให้ใครตั้งใจฟังมากขึ้นหรอก ผู้เทศนาควรเตรียมตัวอธิษฐานมาตั้งแต่อยู่ที่บ้าน  เมื่อถึงเวลาที่จะแบ่งปันจงเทศนาจากพระวจนะอย่างตรงไปตรงมา  ไม่บิดเบื้อน  สอนความจริงทั้งหมดไม่ใช่แค่บางส่วน  สอนด้วยสิทธิอำนาจ ด้วยความมั่นใจ  ไม่ใช่ตามองแต่เพดาน หรือไม่มองหน้าคนฟัง

ข. การยกข้อพระธรรมมาอ้างไม่จำเป็นต้องบอกให้คนฟังไล่เปิดตาม หรือเปิดให้ดูที่หน้าจอโปรเจ็คเตอร์จนคนฟังดูตามแทบไม่ทันเพราะยกมามากเกิน (ผู้สอนทั่วไปมักจะยกมาตลอดเวลา เพื่อบ่งบอกว่า ฉันไม่ได้อ้างหรือพูดเอง) จนอาจทำให้คนฟังสับสน  พาลไม่สนใจคนพูด แต่สนใจที่หน้าจอ  สนใจแต่เนื้อความ เนื้อหา แต่ดึงความสนใจไปจากใจความสำคัญของเรื่องที่พูด ทำให้ผู้ฟังหลงทาง หลงประเด็น
ค. เมื่อสั่งสอนพระวจนะจงพูดด้วยน้ำเสียงที่ดัง ชัดเจน มีพลัง ราวเหมือนกับว่า ผู้แบ่งปันกำลังพูดประกาศถ้อยคำ ข่าวสารจากพระราชาสมัยโบราณ  เพื่อส่งข่าวสารของพระเจ้า  เหมือนราวกับว่าพระองค์กำลังพูดเตือนสติคนบาปให้กลับใจใหม่ หรือพูดกับบัณฑิตให้บัณฑิตได้รับความคิดใหม่ ที่ทำให้เขาเจริญขึ้น

ง. 
พยายามหลีกเลี่ยงการสอนที่อ้างเรื่องชาวโลก หรือเรื่องสมมุติ หรือตำนานหลอกๆ ที่ดีเลิศ แต่เป็นเรื่องเหลวไหล เช่น เรื่องกระต่ายกับเต่า  เรื่องกระต่ายตื่นตูม  เรื่องสุนัขป่ากับลูกแกะ สัตว์พูดได้ (ยกเว้นเรื่องลาในคัมภีร์)  เพราะเรื่องเล่านี้คือเรื่องเล่าที่มนุษย์ธรรมดาแต่งขึ้น  เป็นเรื่องของชาวโลกไม่ได้เป็นเรื่องจริง การสั่งสอนพระวจนะต้องเป็นเรื่องจริง เรื่องที่พิสูจน์ได้ เรื่องที่ไม่ใช่ตำนาน หรือนิยายหลอกคน

จ. อย่าใช้เวทีการเทศนาเป็นที่นินทาว่าร้าย หรือกล่าวทับถมสถาบัน หรือคริสตจักรอื่นๆ ผู้รับใช้คนอื่นๆ แม้ว่าเขาจะไม่ดีจริงก็ตาม  บางเรื่องอาจยกมาเป็นอุทาหรณ์ได้แต่ไม่ควรบอกชื่อ หรือจำเพาะ หรือเข้าข่ายหมิ่นประมาท  การเทศนาอย่ากล่าวอ้างยกตนข่มท่าน 
อย่าใช้เวที่เทศนาเป็นที่ยกย่องตัวเอง เมื่อมีคนชมให้บอกเขาให้ขอบคุณพระเจ้า แต่ท่านจงยกย่องพระนามของพระคริสต์  ให้พระคริสต์ได้รับเกียรติ  อย่าให้ความรู้สึกภาคภูมิใจว่าผู้เทศนาสอนดี มีกึ๋นมาเป็นอารมณ์  แต่จงให้การเทศนาเป็นการกระทำเพื่อพระคริสต์ไม่ใช่เพื่อตัวเองได้รับเกียรติ  ได้รับการยอมรับ  เมื่อเทศนาความจริงแม้ใครไม่ยอมรับ เราก็ควรเทศนาครั้งเดียวและทำใจไว้เลยว่าจะไม่ได้รับเชิญอีกเลยก็ได้    ถ้าคุณทำเพื่อพระคริสต์จริงๆ  

ฉ. เมื่อสั่งสอนพระวจนะแล้ว ควรปลดปล่อยคนออกจากความป่วยใข้  ความเจ็บป่วยด้วยการอธิษฐานวางมือ  (ก่อนที่จะวางให้ไปเรียนมาหน่อยว่าต้องทำอย่างไรบ้าง อย่าทำมั่วๆ ไม่หายหรอก)

ช. จำไว้ว่าการเทศนาคือการถ่ายทอดพระประสงค์ของพระเจ้า เป็นการพูดในสิ่งที่พระเจ้าต้องการสื่อสารกับประชากรของพระองค์ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแก่เขาทั้งความเชื่อ ความคิด ความหวัง ปลดปล่อยเขาออกจากอารมณ์ร้ายๆ เพื่อทำให้ผู้ฟังเจริญขึ้น

 การเทศนาอาจมีการเผยพระวจนะด้วยสำหรับผู้มีของประทานการเผยพระวจนะ แต่ให้จำไว้ว่า การเทศนาทั่วๆ ไปไม่ใช่การเผยพระวจนะจากของประทาน หรือรับการสื่อสารจากพระจิตของพระเจ้าหรอก แต่มีคริสเตียนบางกลุ่มอ้างว่าการเทศนาเป็นการเผยพระวจนะ  ซึ่งถ้าเข้าใจตามนั้นก็คงเป็นตามนั้น แต่มันไม่ใช่หรอกครับ


ซ. อย่าเทศนายาวจนคนไม่อยากฟัง  จงพยายามเรียนรู้ว่า คนฟังยังรับได้อยู่หรือเปล่า สังเกตภาษากายของคนฟังด้วยว่า เขายังฟังดีอยู่หรือไม่ หรือว่าการเทศนามาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว เมื่อถึงเวลาหยุดจงหยุด  อย่าให้การเทศนาทำให้ใครๆ เข็ดหลาบกับถ้อยคำพระเจ้าที่ผู้สอนกำลังพูดติดลมบน ลงไม่เป็นเหมือนกับน้ำท่วมทุ่งอยู่เลย

ฌ. การสั่งสอนพระวจนะ จงยอมอนุญาตให้พระจิตของพระเจ้าทำงานอย่างเต็มที่  บางครั้งเรื่องที่เตรียมมาอย่างยืดยาว อย่างดีต้องเปลี่ยนแปลงได้  หากได้รับการดลใจให้สั่งสอนในเรื่องอื่นๆ ก่อน

บ่อยครั้งที่ผมมีประสบการณ์ว่า ให้ปลดปล่อยคนออกจากความเจ็บป่วย  ความปวดก่อนการเทศนา หากพระเจ้านำคุณอย่างนั้น จงกล้าที่จะทำ และคุณจะพบว่า โอ้..ทำไมเป็นไปได้แบบนี้ มันอัศจรรย์จริงๆ 

 (แต่คงเป็นเรื่องยากสำหรับระบบการเทศนาที่ต้องทำตามขั้นตอนแป๊ะ)

*******ข้อแนะนำ *******
ข้อควรปฏิบัติสำหรับการพูดอีกอย่างก็คือ อย่าดื่มน้ำเย็นๆ เพราะถ้าหากคุณไปเทศนาฟื้นฟู ต้องพูดดังๆนานเกินหนึ่งชั่วโมง เสียงของคุณอาจจะหมด และคอแตก  หากจำเป็นต้องเทศนาเป็นซีรี่ในการประชุมฟื้นฟูที่คุณต้องพูดหลายๆ ชั่วโมง หลายๆ ตอน หลายๆ วันติดกัน  คุณอาจไม่มีเสียงเพียงพอต่อการเทศนาด้วยเสียงดังฟังชัดแบบนักเทศนาฟื้นฟู  แต่สำหรับการเทศนาของโบสถ์คริสต์ทั่วไป การสัมมนาทั่วไป ที่ให้เวลาการเทศนาแค่ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงนั้น การดื่มน้ำเย็น หรือน้ำแข็งคงไม่ส่งผลอะไรมากนัก

ขอพระเจ้าเสริมกำลัง
ชาโลม


HOME
REV. C. H. Spurgeon

Pride, you know, is most likely to meet with destruction, because it is too tall to walk upright. It is most likely to tumble down, because it is always looking upward in its ambition, and never looks to its feet. There only needs to be a pitfall in the way, or even a stone, and down it goes. It is sure to tumble, because it is never contented with being where it is. It is always seeking to be climbing, and boys that will climb must expect to fall.
HOME
http://www.spurgeon.org/sermons/0097.htm
Tag: การเทศนา, วิธีการเทศนา, วิธีการเตรียมคำเทศนา, คำสอนของพระเยซู, อัครสาวก, วิธีการเตรียมบทเรียนพระคัมภีร์, แนวการสอน, แผนการสอนชั้นรวีวารศึกษา, สาวกของพระคริสต์, คำเทศนา, วิธีการสอนของพระเยซู, คำอุปมาของพระเยซู, การปลดปล่อย, วิธีการักษา, วิธีการบำบัด, โรคเส้นเลือดในสมองแตก, อัมพาต, อัมพฤต, เส้นติด, หลอดเลือดในสมอง, พิการทางสมอง, หกล้มบาดเจ็บ

HOME

2 ความคิดเห็น:

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)