What is sin? บาปมันเป็นยังไง

เมื่อเรามองดูในสังคมปัจจุบันนี้ เรามักจะมองเห็นปรากฎการณ์ที่ชัดเจนอย่างหนึ่ง ก็คือ
"คนส่วนมากมักจะมองไม่เห็นความผิดของตนเอง แต่มักจะมองเห็นความผิดของผู้อื่นได้อย่างชัดเจน" หรือ "คนส่วนมากมักจะให้อภัยในความผิดของตนเอง แต่มักจะไม่ให้อภัยในความผิดของคนอื่น" ยกตัวอย่างเช่น  "ฉันโกหกได้ไม่เป็นไร แต่คนอื่นห้ามโกหกฉัน ฉันเอาเปรียบคนได้แต่ใครอย่ามาเอาเปรียบฉัน ฉันทำผิดกฎหมายไม่เป็นไร แต่คนอื่นห้ามทำผิดกฎหมาย"
ซึ่งปรากฎการณ์เหล่านี้มักจะมีแนวโน้มทำให้คนส่วนมากไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนผิดบาป 7 ประการ
ข้างล่างต่อไปนี้จะบอกถึงเหตุผลว่า......
"ทำไมมนุษย์เราไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป"

1. เพราะคนคิดว่าถ้าไม่ได้ทำผิดกฎหมายก็ไม่บาป

แท้จริงแล้ว "บาปหรือไม่บาป" นั้น ไม่ใช่เอากฎเกณฑ์หรือมาตรฐานทางกฎหมายมาเป็นตัววัด แต่ต้องเอาจากมาตรฐานศีลธรรมที่มีจารึกอยู่ในจิตใจของมนุษย์มาวัด (โรม 2.15)
แน่นอน การฆ่าคน ปล้น จี้ นั้นผิดกฎหมายจะต้องติดคุก แต่การอิจฉาริษยา หยิ่งจองหอง โกหก ล่วงประเวณี เหล่านี้ไม่ได้ผิดกฎหมายแต่ผิดศีลธรรม เพราะฉะนั้น ถึงแม้เขาจะไม่ทำผิดกฎหมายแต่เขาก็บาปอยู่ดี แต่ถ้าหากเอาเข้าจริง ๆ แล้วมีใครบ้างในโลกที่ไม่เคยทำผิดกฎหมาย

2. เพราะเราคิดว่าแค่คิด แต่ไม่ทำออกมาก็ไม่บาป

"ฉันคิดมีเพศสัมพันธ์กับเขา แต่ฉันไม่ทำออกมาจริง ๆ ฉันผิดด้วยหรือ เชอะ... ฉันไม่บาปหรอก"
แต่พระคัมภีร์ได้บอกอย่างชัดเจนว่า "การคิดชั่วเพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องกระทำออกมาก็บาปแล้ว"
เช่น ถ้าเราคิดล่วงประเวณีก็เท่ากับเราได้ล่วงระเวณีแล้ว (มัทธิว 7.28) ถ้าเราคิดกลียดคนก็เท่ากับเราได้ฆ่าคนแล้ว (1 ยอห์น 3.15) และการกระทำบาปที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ก็มีที่เริ่มต้นมาจากความคิดชั่วในใจมาก่อนทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นคิดชั่วแต่ไม่ได้กระทำออกมาก็บาปครับ

3. เพราะว่าเขาคิดว่าทำบาปเล็กไม่บาป บาปใหญ่ซิบาป

หลายคนคิดว่า "ขโมย 1 บาทไม่ผิด ขโมยเป็นร้อยเป็นพันซิบาป" "โกหกเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่บาป กหกหลอกลวงใหญ่ ๆ ซิบาป" ขอถามคุณหน่อยเถิดว่า ถ้ามีใครสักคนที่เสื้อของเขาเกิดมี "ขี้หมา" จุดเล็ก ๆ คุณจะถอดเสื้อตัวนั้นออกไหม แน่นอนเขาจะรีบถอดออก แล้วรีบเอาไปซักทันที (ถึงแม้ซักแล้วก็ยังรู้สึกสะอิดสะเอียนอยู่ดี) ใครคงจะไม่มีทางรอให้เปื้อน "ขี้หมา" จนหมดทั้งตัวจึงค่อยถอดเสื้อออกแน่นอน แต่แค่เปื้อนจุดเดียวคุณก็ถอดเสื้อทิ้งแล้ว พราะฉะนั้น บาปเล็กก็ชั่วและบาปเหมือนบาปใหญ่ครับ

4. เพราะเขาคิดว่าไม่มีใครรู้ก็ไม่บาป

ถ้าใครคิดว่าเช่นนี้ก็นับว่าเป็นคนที่ไม่รู้จักคิดจริง ๆ เพราะเอาเข้าจริง ๆ แล้วไม่มีใครรู้จักจริงหรือ คนจีนมีสำนวนที่ว่า "คุณรู้ ผมรู้ ฟ้ารู้ ดินรู้" อย่างน้อยก็มีคุณคนหนึ่งล่ะที่รู้อยู่แก่ใจ เช่นนี้แล้วจะยังไม่บาปอีกหรือ พระคัมภีร์ได้บอกเราอย่างชัดเจนว่า เมื่อเราทำบาปอย่างน้อยมี 3คนที่รู้ ก็คือ ตัวเอง พระเจ้า และ มารซาตาน (มารนี้แหละที่มันชอบเสนอความคิดให้มนุษย์ปิดความผิดความบาป) เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าเมื่อเราทำบาปไม่มีใครรู้อีกต่อไปเลยครับ

5. เพราะเขาคิดว่าฉันไม่ทำอะไรก็ไม่บาป

"ฉันไม่ได้ทำอะไร ฉันจะผิดได้อย่างไร" ถ้าผมเห็นคนตาบอดคนหนึ่งกำลังเดินไปที่เหว แล้วผมก็อยู่เฉย ๆ ไม่บอก ไม่เตือน ไม่ช่วย หรือฉุดเอาไว้ แล้วคนตาบอดคนนั้นก็ตกเหวตาย คุณคิดว่าผมบาปมั้ย
(ผมไม่ได้ทำอะไร)... บาปแน่นอน พระคัมภีร์ได้บอกพวกเราว่า

"ผู้ใดรู้ว่าอะไรดี สมควรทำ แต่ไม่ทำก็บาป" (ยากอบ 4.17)

เพราะฉะนั้นรู้ว่าควรทำแต่ไม่ทำก็บาปครับ

6.เพราะเอาตัวเองไปเทียบกับคนที่เลวกว่า

หลายคนคิดว่าตัวเองไม่บาป สาเหตุประการหนึ่งก็คือ นำตัวของเขาเองไปเทียบกับคนที่เลวกว่าน่นอนเมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ดีกว่าวันยังค่ำ ถ้าเขาลองนำตัวเองไปเทียบกับคนที่ดีกว่าเขา เขาก็ยังมีบาปอยู่ดี

7.เขาบอกว่าฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะทำดีแล้ว ต่อไปนี้ฉันจะไม่ทำผิดอีก เพราะฉะนั้นฉันไม่บาป

หลายคนเคยทำผิดพลาดในอดีต แต่ต่อมาก็สำนึกตนและเริ่มกระทำแต่ความดี ก็เลยคิดว่าฉันเป็นคนดีแล้ว เขาจะเป็นคนดีเหมือนที่เขาคิดจริงหรือ บาปที่เขาทำมาในอดีตนั้นใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ จะแกล้งลืมหรือให้มันผ่านไปง่าย ๆ หรือ เขาสามารถอภัยให้ตนเองได้หรือ ถ้าคนหนึ่งได้ทำผิดกฎหมาย แล้วถูกนำตัวมาขึ้นศาล ถ้าเขาบอกกับผู้พิพากษาจะทำตามที่เขาขอร้องหรือ ไม่มีทาง เขาต้องติดคุกแน่นอน การไม่ทำบาปของคุณในเวลานี้ไม่ใช่จะทำให้คุณเป็นคนดี เพียงแต่ทำให้ข้อหามันน้อยลงหน่อยเท่านั้นเอง เราก็ยังมีบาปอยู่ดี

จากข้างต้นนี้ทำให้เราเห็นว่า ไม่มีใครในโลกเลยที่ไม่เคยทำบาป และในพระคัมภีร์ก็ได้บอกว่า นอกจากบาปที่มนุษย์ได้กระทำกันอยู่ทุกวันนี้แล้ว ยังมีความผิดบาปที่ใหญ่หลวงที่สุดที่มนุษย์ได้
กระทำนั้นก็คือ "การปฎิเสธพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขาขึ้นมา"

ทำไมจึงนับว่าเป็นบาปใหญ่หลวงล่ะ ?

คุณลองคิดดูซิว่าถ้าผมเลี้ยงลูกจนโต แต่ลูกไม่เคยมีจิตใจที่ให้ผม  หรือมีการกระทำที่แสดงถึงการสำนึกในพระคุณของพ่อแม่แม้แต่น้อย ลูกบางคนยังบอกว่า พ่อแม่ไม่เห็นให้อะไรเลย คุณจะดีใจไหมที่ลูกของเราเป็นอย่างนั้น คุณคิดว่าเป็นบาปใหญ่หลวงไหม ?  มันคงเป็นบาปใหญ่หลวงแน่ ๆ

เช่นเดียวกัน พระเจ้าผู้ทรงสร้างขึ้นมานั้น พระองค์ได้ทรงประทาน อากาศ น้ำ อาหาร และทุกสิ่งในโลกให้มนุษย์ได้ใช้เพื่อที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่มนุษย์กลับไม่มีจิตใจที่จะขอบพระคุณและสำนึกในพระคุณของพระองค์ไม่ แต่พวกเขากลับปฎิเสธและต่อต้านพระองค์ แน่นอน ความบาปเหล่านี้ที่พวกเขาได้ทำ จะนำพวกเขาไปสู่การพิพากษาหลังจากที่พวกเขาจากโลกนี้ไป 

แน่ที่เดียวคนจำนวนเป็นล้านๆ ไม่กลัวเหตุการณ์ที่ยังดูเหมือนไกลจากชีวิตในปัจจุบัน แต่การพิพากษาลงโทษทางวิญญาณก็คือ การที่วิญญาณของมนุษย์ถูกนำไปทรมานด้วยการ  ให้อยู่ในบึงไฟที่ไม่รู้จักดับ และวิญญาณก็ไม่มีการตายด้วย

พระคัมภีร์ได้บอกว่า การที่วิญญาณถูกทิ้งลงไปในบึงไฟนรกนั้น คือการตายครั้งที่สอง



พระธรรมวิวรณ์ บทที่ 21 ข้อที่ 8

"แต่คนขลาด คนไม่เชื่อคนที่น่าเกลียดน่าชัง คนที่ฆ่ามนุษย์ คนล่วงประเวณี(สำส่อนทางเพศ) คนใช้เวทมนตร์ (คุณไสย ไสยศาสตร์ หมอดู) คนไหว้รูปเคารพ (กราบไหว้สิ่งใดๆ ที่ทำด้วยมือมนุษย์ หรือ สิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ นับถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นที่พึงทางใจ) และคนทั้งปวงที่พูดมุสานั้น   มรดกของเขาอยู่ที่ในบึงไฟและกำมะถันที่กำลังไหม้อยู่นั้น นั่นคือความตายครั้งที่สอง”


แต่เพราะความรักที่พระเจ้าทรงมีแก่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น พระองค์จึงได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์คือพระเยซูคริสต์มาตายบนไม้กางเขน เพื่อรับโทษแทนคนเหล่านั้นที่สำนึกในความผิดบาปของตนเอง และหันกลับมาหาพระองค์

ทุกคนที่ยอมถ่อมใจร้องขอต่อพระเจ้า  พระองค์จะทรงเอาบาปที่พวกเขาได้ทำมาวางไว้บนพระเยซูคริสต์ เมื่อเป็นเช่นนี้ความบาปที่เขาได้ทำก็จะหมดไป... เขาจะพ้นจากการพิพากษา และจะได้อยู่สวรรค์กับพระเจ้าเป็นนิตย์เมื่อเขาจากโลกนี้ไป โอกาสที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์นี้ ก็ตราบที่เขายังมีลมหายใจอยู่เท่านั้น หมดลมหายใจเมื่อไหร่ก็หมดโอกาสเมื่อนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)