สัญญาปากเปล่า False promises



                                             อันนี้ไม่ได้บ่นนะแต่ขอเล่าให้ฟังเป็นอุทาหรณ์

มีคนมากมายต้องการพร ต้องการหายโรค ต้องการรวย บ้างต้องการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วย บ้างขอให้อธิษฐานเผื่อญาติ เพื่องานให้ได้งานใหญ่ เพื่อความหวังจะบรรลุได้ง่ายขึ้น จึงต้องใช้ตัวช่วย ต้องขอให้คนของพระเจ้าอธิษฐานให้เพราะเขารู้ว่าถ้าคนของพระเจ้าที่มีการเจิม มีการทรงสถิตของพระเจ้าช่วยขอให้ย่อมดีกว่าไปนั่งอธิษฐานเอาด้วยตนเอง   บางคนจึงล่อ และเร้าใจคนรวยพร แต่ไม่รวยทรัพย์ด้วยคำสัญญาปากเปล่าง่ายๆ  กับคนของพระเจ้า ว่า...ถ้าได้.... แล้ว ฉัน/หนู/ผม/ i จะให้....

เป็นความคิด ความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วที่เข้าใจว่าคนของพระเจ้าเป็นเหมือนท่อพระพรที่สามารถช่วยอธิษฐานขอการแทรกแซงจากเบื้องบนได้   แต่บางคนเห็นคนของพระเจ้าเป็นแค่ท่อน้ำที่กลวงๆ ใหญ่ๆ เขารู้ว่าพระเจ้าฟังเสียงคนของพระองค์     เมื่อคนกำลังมีความต้องการ มีอุปสรรค์  หรือมีความปรารถนาความสำเร็จจึงอยากจะได้พระพรไหลไปหาเขาง่ายๆ เยอะๆ  บางคนจึงมาเอ่ยปากสัญญาโน้นนี่ หวังให้คนของพระเจ้าช่วยร้องทูลเบื้องบนให้  เป็นการดีทีเดียวที่จะเสนอแล้วได้รับการตอบสนอง  

แต่บางคนมาเสนอแล้วไม่สนอง   เขาเพียงมาใช้งาน มาเล่นให้เหนื่อย และเพลียใจ  ปล่อยให้เสียเวลาอธิษฐานให้เขาแต่ไม่ได้ทำตามสัญญาปากเปล่าที่ให้ไว้ เพราะคนบางคนพอได้ดีแล้วก็ลืม คิดไปว่า ความรวย ความโชคดี ความสำเร็จทีเขาได้ สวัสดิภาพที่เขามี พระเจ้าเมตตาเขาเอง ไม่เกี่ยวกะใคร.
 
มาคิดในใจทบทวนดู  แท้จริงคนของพระเจ้าก็ต้องเป็นคนไม่โลภ ไม่อะไรอยู่แล้ว  เขาก็อยู่ของเขาได้  เขาคงไม่อยากได้ของถวาย ที่ไม่ชอบธรรม หรือมีความทะเยอทะยานอยากอย่างไม่มีสาระ  หรือเพื่อตัวเอง   เมื่อมีคนเสนอให้  สัญญาให้ก็ย่อมมีอารมณ์ร่วม    เรื่องของเรื่องมันก็มาจากการถูกกระตุ้นนี่แหละ แต่เมื่อสังเกตดูคนที่ชอบสัญญาปากเปล่า   คนขึ้ลืมบางคนไม่มีการอุทิศตน หรือยอมหว่านเพื่อจะเก็บเกี่ยวใดๆ เลย  แค่เดือนละยี่สิบ หรือห้าสิบบาท หรือร้อยสองร้อย  คนเหล่านี้ยังไม่ถวายเข้าบัญชี แล้วที่สัญญาว่าจะให้เป็นแสนเป็นล้าน  ให้รถยนต์เอนกประสงค์เพื่อให้ไปทำพันธกิจต่างๆ  แก่คนของของพระเจ้าภายหลังถ้าเขาได้เสพสุขแล้ว เขาจะกล้าให้หรือ  คนปากว่าแต่ไม่ได้ทำสัญญาจะจำได้หรือ

เท่าที่ผ่านมา  ที่เป็นอยู่แม้ว่าพันธกิจจะไม่หนาแน่นมากนัก  ก็ยังพอมีพอกินรอดตัวไปเป็นเดือนๆ เป็นปีๆ มีโอกาสได้รับใช้พระบิดาด้วยการปรนนิบัติปวงชน   เมื่อเราได้เห็นคนพ้นทุกข์  ได้เห็นคนป่วยหายโรค  คนผีสิงผีก็ออกไป   เท่านี้ใจคนของพระเจ้าก็ได้พบปิติสุขมากแล้ว    แต่แค่ไปรับใช้ไกลๆ มันเหนื่อยหน่อยเพราะขาดปัจจัย ไม่เคยเอ่ยปากขอใคร  ไม่โทรไปรบกวนใคร  ไม่เขียนจดหมายเรี่ยไร  ไม่เอาใจทุนนอกก็ยังมีเพียงพอได้  

ความจริงก็คือคนของพระเจ้าจำเป็นต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากเบื้องบน  ไม่ใช่แสวงหาความช่วยเหลือจากเบื้องล่าง  หรืออิงแอบอยู่กับความช่วยเหลือจากองค์กรของมนุษย์   พระคัมภีร์ได้พูดไว้หลายตอนว่า "อย่าวางใจมนุษย์"  คนที่ป่วยไม่ค่อยมีใครคิดถึงหมอ  คนป่วยหนักหายแล้วไม่เคยไปเยี่ยมหมอ เพราะเขาคิดว่า หมอเพียงแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น และความรู้สึกขอบคุณไม่ค่อยมีหรอกสำหรับคนไทย

หากใครเป็นคนช่างสังเกตจะเห็นว่า วัฒนธรรมไทยเป็นวัฒนธรรมที่อ่อนแอในด้านการมีน้ำใจ  ความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ลูกๆ ทอดทิ้งพ่อแม่   เด็กนักเรียนไม่รู้จักบุญคุณครูอาจาย์ คนใข้ไม่เคยคิดถึงหมอที่ช่วยชีวิตเขา  เวลาไปทานอาหารพนักงานเสริฝยืนเฝ้าคอยเติมน้ำเติมข้าวให้เป็นชั่วโมง  เวลาจ่ายบิลไม่เคยให้ทิปเด็กเสริฝ  อ้างว่าจ่ายค่าอาหารราคาสมควรแล้ว นี่แหละหนอน้ำใจที่ขาดหายไป

การรู้จักการขอบคุณ การแสดงน้ำใจต่อกันเป็นอุปนิสัยที่ควรส่งเสริมและสร้างเสริมให้มีมากขึ้นในสังคมไทย    ความอ่อนแอมันมาจากไหน เป็นไปได้ไหมที่มีคำสอนผิดๆ ที่สอนกันในหมู่นักการศาสนาสายวัฒนธรรมรับเงินจากองค์กร  เงินนอก เงินสนับสนุนที่สอนให้ผู้เชื่อปฏิบัติอย่างเห็นแก่ตัวว่า "พระเจ้าไม่ต้องการสิ่งใดจากมนุษย์นอกจากการเชื่อฟัง"   

พันธกิจปลดปล่อยได้ผ่านพ้นเวลาแห่งการรับใช้เข้าสู่ปีที่สี่แล้วในปี 2013  นี้  ทีมงานใคร่ขอบคุณพระเจ้าที่ยังมีคนที่พระเจ้าดลใจถวายอยู่บ้างเนืองๆ แต่ละงานก็มีลุ้นให้หวาดเสียวบ้าง   แต่ก็ยังคัพเวอร์รายจ่ายทุกครั้ง

ขอบคุณพี่น้องที่รักในพระคริสต์  สานุศิษย์ที่ได้รับการปลดปล่อย พี่น้องที่มีภาระใจที่ถวายเข้ามาตามแรงดลใจ ตามความเชื่อ ทีมงานได้จดรายชื่อและได้อธิษฐานเผื่อท่านเสมอมา เพื่อขอพระเจ้าให้รับรองการบริจาคทานของท่านที่ให้แก่คนของพระเจ้า  เพื่อท่านจะมีเพียงพอสำหรับตัวเองและครอบครัวและสำหรับการดี  สำหรับคนที่ขัดสน  คนของพระเจ้าที่อุทิศตัวทำงานด้วยหัวใจ  ขอขอบพระคุณพระบิดาเจ้าที่ให้ทั้งโอกาสรับใช้  ทีมงาน ฤทธิ์เดช และการรับรองในการทำพันธกิจเสมอมา
อาเมน

3 ความคิดเห็น:

  1. ผมเชื่อว่าคนที่นับถือผียังฉลาดกว่าคนที่นับถือพระเจ้าหลายๆ คนนะเพราะเขารู้วิธีขอพร เวลาเขาไปขอพรจากผี จากพระ หรือจากอะไรเวลาเขาไปขอ เขากลัวว่าจะได้ไม่ได้ตามนั้นเขาจึงเอาไปหาพร้อมกับของกำนัล แถบยังไม่พอยังบนด้วยสัตว์ใหญ่ บางคนยังบนด้วยหัวหมูตั้งเป็นสิบหัว ยอมทุ่มทุนเพื่อแลกเปลี่ยน

    แน่ทีเดียวพระเจ้าไม่กินหมู ไม่เอาของเซ่นไหว้แล้ว เพราะหมดยุค แต่พระเจ้ายังต้องเลี้ยงดูคนของพระองค์ทียังต้องกินข้าวและมีครอบครัวต้องดูแล หากไม่จริงจังอย่าไปสัญญากะใครเลย บาปเปล่าๆ

    ตอบลบ
  2. ข้าแต่พระเจ้าผู้ใดจะอาศัยอยู่ในพลับพลาของพระองค์
    ผู้ใดจะอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

    คือผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างหาที่ติ มิได้และปฏิบัติให้ถูกต้องตามธรรม
    และพูดความจริงจากจิตใจของตน

    ...เขาให้เกียรติแก่ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า
    ถึงสาบานแล้ว และต้องเสียประโยชน์เขาก็ไม่กลับคำ

    สดุดี 15

    ตอบลบ

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)