I am not a superman- ผมไม่ใช่ซุปเปอร์แมน
เรื่องนี้ต้องบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ เพราะมันคือความจริงที่ควรจะบันทึกไว้สอนลูกสอนหลาน
พักนี้เพื่อนผู้รับใช้ที่หวังดีและเป็นห่วงได้โทรศัพท์มาัเตือนด้วยความเป็นห่วงว่า
ทำไมเจ้าของเว็บนี้จึงได้ บ่นเกี่ยวกับพวกนักศาสนศาสตร์อย่างมาก การเขียนก็จะเสียดสี เสียดแทงใจดำ เล่นทิ่มเอาด้วยปากกา ทิ่มเอาแบบเจ็บๆ บางคนยังคิดว่าข้าไม่อยากอ่านบทความให้มันด่า พี่น้องครับถ้าไม่เปิดใจรับฟังคำบ่นแล้วเราจะรู้ได้ไงถ้าไม่ดูกระจกหกด้าน ที่คอยส่องให้เห็นอีกมุมหนึ่งจากคนทีี่ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง
คริสเตียนที่เป็นผู้เชื่อแท้เขาเรียกตัวเองและคนที่เขาสัมพันธ์ด้วยว่า "พี่น้องคริสเตียน" แต่สำหรับผู้รับใช้บางคนเขาอาจจะไม่ใช่พี่น้องของใคร คนใดคนหนึ่งอย่างจริงใจ ด้วยสัจจะของความเป็นคน เขาเพียงแต่เป็นพี่น้องหลอกๆ เพื่อหวังผลประโยชน์ หรือรักษาผลประโยชน์ให้กับตัวเองและพรรคพวกเพื่อนฝูงก็เป็นได้ การที่คนจะเป็นพี่น้องกันได้มันต้องมีความผูกพัน มีสายใย มีการเอาใจใส่กันและกัน โทรหากัน เอาใจใส่กันและอาจต้องมีผลประโยชน์เกื้อกูลต่อกันจึงจะไปด้วยกันได้นาน และอิ่มด้วยกันทั้งสองฝ่าย
บางท่านอาจคงเคยได้เรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิทยามาบ้าง นักจิตวิทยาเขาค้นพบความจริงอย่างนี้ว่า เด็กคนใดที่เติบโตขึ้นมาด้วยการต่อสู้ดิ้นรนด้วยตนเอง ถูกรังเกียจเดียจฉันท์จากคนรอบข้าง ไม่ได้รับสนับสนุนหรือส่งเสริม แต่มีแต่คนคอยเหยียบย่ำซ้ำเติม เมื่อเขาเติบโต ปีกกล้าขาแข็งสามารถยืนได้ด้วยตนเอง เขาคงจะกลายเป็นคนที่เข้มแข็งแต่อาจจะกระด้างและหัวรุนแรง เนื่องเพราะเขาไม่ได้รับความรัก ความเอาใจใส่จากผู้คนในบริบทที่เขาอยู่ เขาคาดหวังว่าคนที่อ้างว่าเป็นคนดี มีศีลมีธรรมกับทำตัวเหมือนพวกมากลากไป ไม่ยึดถือสัจจะ แม้แต่นักเลงมันทำชั่วมันยังมีสัจจะต่อกัน แล้วคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนใช้ของพระเจ้าทำตัวแบบไม่น่าเชื่อถือ กดขี่ ข่ม ถือดี เบียดให้ออกนอกเส้นทาง ผมเชื่อว่าคนที่เติบโตขึ้นมาด้วยด้วยตนเองแบบนี้มือของเขาจะต่อสู้กับทุกคน เขาอาจเป็นเหมือนกับอิชมาเอลผู้ทรนงก็เป็นได้ แต่ขอบคุณพระเจ้าผมไม่ได้โตขึ้นมาด้วยความรู้้ความสามารถของผมเอง พระเจ้าคงมีพระประสงค์บางอย่างให้ผมทำเพื่อป่าวร้องให้สังคมคริสเตียนมันดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ก็เป็นได้
เรื่องแบบนี้มันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้สำหรับเจ้าของเว็บนี้ เพราะเมื่อผมเริ่มเข้ามารับใช้ ผมมาอยู่ร่วมกับคณะเล็กๆ คณะหนึ่งซึ่งมีคริสตจักรอยู่ประมาณยี่สิบกว่าแห่ง มีสมาชิกรวมกันไม่ถึง 1600 คน เนื่องจากดูหน่วยก้านแล้ว ผมก็พอมีความรู้สูงอยู่บ้าง เงินก็พอมีและสปอร์ต แต่ไม่ค่อยสปอร์ตกับคนบางจำพวกเท่านั้น พวกเขาก็เชิญให้ผมเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการที่ปรึกษา พออยู่มาพักหนึ่งผมก็เกิดมีของประทานอะไรบางอย่างเกิดขึ้นมา พอผมไปอธิษฐานวางมือพี่น้อง ปรากฏว่ามีบางคนล้มฟุบไป ตอนแรกผมก็ตกใจ คิดว่าอะไรเกิดขึ้น แต่ต่อมาผมเริ่มเข้าใจว่าสิ่งนี้เขาเรียกว่า การเจิม และของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์อะไรประมาณนี้
หลังจากนี้ผมได้ไปอธิษฐานเผื่อพี่น้องคนหนึ่งที่ผีิสิงอยู่เนื่องจากเราจัดประกาศกลางแจ้ง เป็นเวทีประกาศพระคริสต์ด้วยการหายโรคด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผมได้พบกับป้าคนหนึ่ง ผมขอเรียกแกว่า ป้าสีก็แล้วกัน จากการที่ผมซักประวัติของป้าสี ป้าบอกว่าป้าเคยไปรับขันต์ (ไปเชิญวิญญาณเจ้าแม่ให้มาอยู่ด้วยมาอยู่ด้วย) และป้่าสีบอกผมว่าในตัวป้าสีมีวิญญาณเจ้าแม่ย่านางสิงสู่อยู่ ผมกับอาจารย์อีกท่านหนึ่งจึงช่วยกันขับผีตัวนั้นออกไปแล้ว แต่น่าเสียใจตรงที่ ศิษยาภิบาลของป้าสี ผมขอเรียกเขาว่า นายเหม็นก็แล้วกัน เขาไม่เชื่อว่ามีผีสิงอยู่ คุณป้าคนนี้เป็นสมาชิกคนหนึ่งของเขา ซึ่งขณะนั้นเธอเป็นสมาชิกของ ศบ.ท่านนี้ได้ 4 ปีแล้ว เนื่องจากการที่วันหนึ่งผมไปอธิษฐานเผื่ออาการเจ็บขาของป้าสี แต่ปรากฏว่าป้าสีเกิดมีอาการแสดงของผีเข้า ป้ากลายเป็นอีกคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า "ข้า" วิญญาณที่สิงอยู่ในตัวป้าสีขณะนั้นได้พูดว่า "ข้าไม่ยอมให้มันไปสวรรค์ ข้าจะพามันไปนรกกับข้า"
โห...ผมไ้ด้ยินคำนี้ผมรู้แน่ชัดว่า ไม่ใช่ป้าสีแน่ๆ ผมกับลูกสาวก็เลยช่วยขับผีให้ออกจากตัวป้าสีจนสำเร็จ ยังไม่พอเท่านี้พอลูกสาวของผมไปอธิษฐานเผื่อคนใช้ของป้าสีซึ่งเป็นหญิงสาวที่ติดตามป้าสีมาในงานนี้ เธอก็แสดงอาการผีเข้าอีก อาการดุร้ายทีเดียว ผมกับลูกสาวก็ช่วยกันขับผีอีกตัวจนออก แล้ววันนั้นเราก็เลิกลาจากกันไป บ้านใครบ้านมัน (ตอนนั้นการเจิมของผมยังไม่มาก เวลาผมไปไหน ผมก็ขอให้ลูกสาวเป็นคนอธิษฐานผมเป็นคนช่วย เพราะการเจิมของผมตอนนั้นยังอ่อน ยังไม่มั่นใจในตนเอง ผมยังมีระดับความเชื่อไม่มากนัก)
หลังจากนั้นอีกหนึ่งวันต่อมาผมได้รับทราบว่ามีคนไปกล่าวหาว่าผมเป็นคนไปยุ่งเรื่องของสมาชิกของโบสถ์อื่น เรื่องนี้เีกี่ยวเนื่องมาจากวันก่อนที่ผมไปขับผีให้ป้าสีคนนั้น ทั้งๆที่นายเหม็นมันเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างชัดเจนด้วยตาของเขา ในเหตุการณ์นั้นหัวหน้ากรรมการบริหารและกรรมการขององค์กรนี้อีกสองสามคนก็ยืนมองดูผมกับลูกสาวช่วยกันอธิษฐานขับผีจนออกไปโดยพวกเขาไม่ได้พยายามช่วยอะไรเลย
จนพวกเราทำสำเร็จ พวกเขาก็ไม่ได้ออกความเห็นอะไร
นายเหม็น, ศบ.ของคุณป้าสีไม่เชื่อว่ามีผีมีสางมาสิงสู่ตัวคุณป้า นายเหม็นก็เลยไปฟ้องหัวหน้าคณะฯ ซึ่งเป็นคนที่ยืนมองดูผมขับผีตอนนั้นด้วยอีกคน ท่านหัวหน้าก็บ้าจี้ทำตาม โทรเรียกผมให้มานั่งฟังข้อกล่าวหาของ ศบ.เหม็น ตอนที่เขาเรียกประชุมกัน เอาผมไปเป็นผู้ต้องหา มีคณะกรรมการหลายคนช่วยกันตักเตือนผม นั่งล้อมเป็นวงเชียว ตอนนั้นผมจำไ้ด้ว่า หัวหน้าได้สั่งสอนผมหลายอย่างเกี่ยวกับการขับผีว่า ผมไม่ควรใช้หนังสือพระคัมภีร์ไว้เป็นอาวุธในการขับผี เพราะผีมันไม่กลัวพระคัมภีร์ เพราะมันเพียงกระดาษที่พิมพ์หมึกเท่านั้น นายเหม็นฟ้องผมฉอดๆ ว่าไม่มีผี ไม่มีสาง มีแต่จิตออน่เท่านั้น ย้ำๆ
ตอนนั้นใจผมไม่ค่อยอยากยอมรับเท่าไร แต่ก็ไม่อยากเึถียงเพราะประสบการณ์และชั่วโมงบินในเรื่องการปลดปล่อยของท่านกับผม มันต่างกัน ท่านไม่มีอาจารย์ค่อยแนะคอยสอน ท่านก็งมๆ ของท่านมา แต่ผมมีอาจารย์ดีๆ หลายคนช่วยกันสอน ผมจึงไปไวกว่าที่ท่านคิด เพราะท่านวัดขนาดความเชื่อและความรู้ทางศาสนศาสตร์ของคนด้วยจำนวนพรรษาในการรับใช้ ตอนนั้นคนพวกนี้ดูผมผิดไปจริงๆ ถึงผมเพิ่งได้เข้ามาในพันธกิจ และวงการคนใช้ของพระเจ้าไม่นานแต่ผมจบปริญญาหลายใบ ขอบคุณพระเจ้าที่ความสามารถในการเรียนรู้ผมไวกว่าคนธรรมดาที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมอยู่บ้าง กอปรกับของประทานฝ่ายวิญญาณจิต ตัวผมเองก็มีความชำนาญทางด้านภาษาอังกฤษ เอกสารตำราการปลดปล่อยหลายๆ เล่มที่ผมได้อ่าน ไม่ค่อยมีขายในเมืองไทย ถึงมีใครก็ไม่อยากซื้ออ่าน เพราะศาสนศาสตร์เมืองไทย ยังไปไม่ไกลไปจากฮีบรูบทที่ 6 ข้อ 1-6 มากนัก ก็จะให้มันไปไกลกว่านี้ได้อย่างไรล่ะพี่น้อง อาทิตย์หนึ่งก็มาที่โบสถ์แค่ชั่วโมงครึ่ง คนเรียนก็ไม่อยากเรียน คนสอนก็สอนเรื่อยๆ เปื่อยๆ อยากสอนตรงไหนก็สอน ไม่มีขั้น ไม่มีตอน ไม่มีหลักสูตร ส่วนใหญ่สอนเอาแต่ตามใจอาตมา บางคนเป็นคนใช้พระเจ้ามาเป็นสิบๆ ปียังไม่สามารถสร้างสาวกได้สักคน น่าอายไหมล่ะ พระเยซูอยู่ในพันธกิจการปลดปล่อยและเยียวยา เพียงแค่ 3 ปีสร้างสาวกได้ 82 คนเป็นอย่างต่ำ แล้วอาจารย์ของเราสร้างแค่นักศึกษาศาสนศาสตร์ที่มีความรู้ความสามารถแค่เป็นนักศาสนพิธีนี้ ผมว่าต้องปรับหลักสูตรกันใหม่ทั้งระบบคงน่าจะทำให้งานส่งเสริมและพาคนไทยไปสวรรค์ดีกว่านี้แน่ ผมเข้าใจว่าอย่างนี้หลายๆ ครั้งเพราะนักการศาสนาชอบดีีแต่เท่กับเครื่องแบบ ดูขลัง ดูเท่ แต่หลายคนไม่แสวงหาของประทานฝ่ายวิญญาณจิต จึงเป็นเหมือนแค่งูไซไร้พิษ
เอ้ามาเล่าเรื่องนายเหม็นต่อ...
ในที่ประชุมกรรมการแห่งนั้น นายเหม็นก็ฟ้องผมใหญ่เลย หาว่าผมทำไม่ถูก... นายเหม็นเชื่อว่าสมาชิกของเขาไม่มีผีมีสางอะไรมาสิงสู่หรอก นายเหม็นฟ้องว่า เห็นไหมสามีของป้าโกรธแล้วและเขาบอกผมว่าเขาและครอบครัวจะไม่มาเข้าโบสถ์ของผม แถบยังมีบางคนไปยุแหย่ให้สามีของป้าโกรธผมอีก หาว่าผมไม่ให้เกียรติกัน ผมไปขับผีออกจากป้าสีกลางที่ชุมนุม ทำให้คนเสียหน้า เทียวไปเจิมใครๆ ให้ล้มส่งเดช ใครจะมีผีอยู่ในตัว ตอนนั้นผมยังมีการเจิมไม่มากนัก และไม่ค่อยรู้อะไรมากเกี่ยวกับการขับผี ขับวิญญาณ ที่ทำไปเพราะภาวะขับขัน เราเจอผีแบบไม่ได้ตั้งตัวหรือไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนจริงๆ และผมขอยอมรับว่า การเป็นมือใหม่ที่ขาดประสบการณ์ อาจทำให้ไก่ตื่น และทำให้ผมขาดโอกาสในการปรนนิบัติหลายๆ คน
เนื่องจากความกลัว ความหยิ่งยะโสของคนมันยังมีอยู่ โดยเฉพาะคริสเตียนเนื้อหนัง นี้ความหยิ่งสูงมาก
ในตอนนั้นผมรู้สึกว่า ไม่มีใครกล้าออกหน้าช่วยแก้ตัวผมเลย ปล่อยให้นายเหม็นกับพรรคพวก ต้อนผมเข้ามุมและผมไม่รู้จะเถียงไปทำไม เพราะผมไม่ได้เป็นลูกจ้างของคณะใดๆ ไม่ได้หากินกับพันธกิจอะไร ที่เดินมาได้ถึงขนาดนี้เพราะรู้จักพระคุณพระเจ้า ผมมาทำพันธกิจการปลดปล่อยด้วยใจรัก อยากเห็นคนได้รับการปลดปล่อยมากกว่า อยากเห็นคริสตจักรมีสง่าราศี มีประสบการณ์กับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า อยากช่วยผู้รับใช้ใหม่ๆ ให้เกิดมีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในตัว ผมไม่ต้องการมีชื่อเสียง ผมจะเอาไปทำไม ผมมีรายได้เดือนหนึ่งสองคนภรรยาเกือบแสนบาท ผมคิดว่าเงินแค่นี้อาจจะไม่สูงมากเหมือนทำธุรกิจ แต่ก็พออยู่พอกิน อยู่กันอย่างสบายๆ ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับคนใช้ที่แก่แต่อายุ แต่ยังไม่เติบโตด้านจิตวิญญาณ และใจคอคับแคบหลายๆ คนที่ผมได้ปะทะด้วย บางคนอาจคิดว่าอยู่เฉยๆ น่าจะดีกว่า แต่ผมไม่ยอมอยู่เฉยต่างหาก เพราะใจผมมันเร้าร้อนเพื่อพระเจ้าแล้วครับพี่น้อง
ในการพูดคุยในวันนั้น คณะกรรมการคณะนี้ก็ตักเตือนผมใหญ่เลย บอกว่าผมทำไม่ถูกต้องหลายอย่าง เช่นเอาพระคัมภีร์ไปวางบนตัวคนผีเข้า ขับผีทั้งๆ ที่ไม่มีผี เพราะเขาหลงเชื่อคำฟ้องของนายเหม็น อีกอย่างที่เขาทำอย่างนั้น ตามความเข้าใจของผม ผมคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน กินสุกดิบด้วยกันมานานหลายปี แต่ในความเป็นจริงแล้วขณะที่เกิดเหตุการณ์ผีเข้าสิง ท่านประธานและกรรมการหลายๆ คนก็ยืนดูเหตุการณ์ขณะที่ผมกับลูกสาวช่วยกันขับผี จนผีออกไปจากคนถึง 2 คน คือป้าคนนี้กับคนใ้ช้ผู้หญิงอีกคนของป้่า แต่ นายเหม็นยังยืนยันว่ามันไม่ใช่ผีสิง เป็นแค่จิตอ่อนแอ ผมก็ไม่รู้จะตอบเขาอย่างไร แท้ที่จริง ถ้านายเหม็นเขาไม่กลัวว่าสมาชิกขาใหญ่จะไม่เข้าโบสถ์ ไม่กลัวจะเสียรายได้ เขาต้องยอมรับความจริงและต้องขอบคุณผมด้วยซ้ำที่ช่วยขับผีให้สมาชิกของเขาฟรี ๆ เพราะก่อนหน้านี้เราก็ได้ขับผีญ่านางออกมาจากคุณป้าคนนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว มีคนเห็นอยู่ในเหตุการณ์หลายคนสามารถเป็นพยานเรื่องนี้ได้ แต่นายเหม็นกลับมองไม่เห็น ไม่เชื่อว่าเป็นผีเข้า ไม่ทราบว่าอะไรบังตานายเหม็นอยู่จริงๆ
นอกจากนี้ผมยังจำได้ว่า ผมและลูกสาวเคยขับผีพยากรณ์ที่สิงอยู่ในผู้หญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นทีมนมัสการในคริสตจักรของนายเหม็นด้วย คิดดูซิผีน้องใครจะเชื่อว่า เยาวชนในทีมนมัสการจะมีผีสิงอยู่ ไปพูดให้อาจารย์คริสเตียนที่ไหน ใครจะเชื่อ มีคนบอกว่าเขาเคยเห็นเด็กคนนี้ร้องโหยหวนทุกๆ ครั้ง ที่มีการประชุมเยาวุชน เมื่อมีการเจิม แต่เขาไม่ทราบว่าเป็นวิญญาณอื่นหรือเป็นวิญญาณอะไรแน่ สุดท้ายเด็กคนนี้หลังจากที่เราขับผีพยากรณ์ออก (ที่เรารู้ว่าเป็นผีอะไรเพราะที่ขณะที่เรากำลังขับผีนั้น เราได้สอบถามชื่อของผี และมันยอมบอกชื่อของมันและสาเหตุที่มันสามารถเ้ข้ามาสิงสู่ในเด็กสาวคนนี้ได้- ขณะที่เราัขับให้ออกจากเด็กสาวคนนี้มีคนถ่ายวีดีทัศน์ไว้ด้วย และมีคนมุงดูหลายสิบคน-)
หลังจากการปลดปล่อย เด็กสาวคนนี้ก็ไม่มีอาการร้องโหยหวนอีกเลย อย่างไรก็ตาม ศบ.เหม็น ช่างไม่มีความสำนึกถึงสิ่งดีที่ผมได้กระทำให้กับเขาเลัย แถบยังรังเกียจเดียจฉันท์ เพราะคิดว่าผมไม่มีอะไรดี ไม่มีของประทาน คิดว่าผมเป็นแค่คนใหม่ในวงการผู้รับใช้ั เขาคงคิดว่าเป็นการอยากดังของผมเท่านั้น คำขอบคุณ ขอบใจสักคำก็พูดไม่เป็น ที่จริงผมอยากได้ยินคำว่า "ผมเสียใจนะ ผมเข้าใจคุณผิดไปมากกว่า" ตอนหลังผมไม่แปลกใจเพราะคนแบบนายเหม็นไม่ได้มีคนเดียว มันมีเยอะ พวกนี้จะคบแต่พวกมิชชั่นนารีที่กระเป๋าหนัก คบเกาหลี คบฝรั่ง คบคนที่พอจะดูดกินเขา หรืออุดหนุนเกื้อกูลเขาและครอบครัวได้เท่านั้น คนเหล่านี้จึงชอบชะเลียคนมีตังค์ดอลล่าอย่างไม่อายเพื่อให้ตัวเองได้กินอิ่มเท่านั้น คนไทยเหมือนกันกลับเหยียบย่ำ - คริสตจักรของเขาตั้งมาเป็นสิบปียังเลี้ยงตัวเองไม่ได้ สมาชิกผู้ใหญ่ยังไม่ถึง 20 ด้วยซ้ำ - ผมคิดว่าที่คนไม่เข้าเป็นสมาชิกยังดีกว่าเข้าโบสถ์แล้วมาเจอคนแบบนี้ คนแบบนี้หากไม่กลับใจ ยังทำนิสัยเดิมๆ ผมว่าเขาคงมีความคิดที่ไร้เหตุผล ไม่ได้ตั้งอยู่ในสัจจะ และคงทำให้สังคมชาวคริสต์เสื่อมลงมากกว่าดีขึ้น
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ผมก็เริ่มเติบโตกับพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ มีอย่างน้อย สองครั้งที่พวกเขาเคยหาว่าผมกัีบลูกสาวเอามือไปดันหัวคริสเตียนที่ออกมารับการอธิษฐานเผื่อให้ล้ม อาจารย์ฝ่ายเยาวชนก็มักจะพยายามบล๊อก พยายามกันว่าไม่ใ้ห้มีการอธิาฐานแบบเจิมล้ม ผมก็บอกว่าผมไม่ได้เอามือดัน เขาล้มไปเอง แต่ไม่มีใครเชื่อ เพราะเขาคงคิดว่า ผมไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ถวายงานพระเจ้า ไม่ได้เป็นผู้รับใช้เต็มเวลาเหมือนพวกเขา พวกเขาคงคิดว่าผมคงไม่มีการเจิมอะไรเลยเหมือนอาจารย์ใหญ่หลายๆ คนที่พวกเขายกย่องกันเอง แต่พวกเขาเข้าใจผิดมาก เพราะเวลาได้พิสูจน์แล้วว่า ของประทานที่พระเจ้าให้ผมเพื่อไปปลดปล่อยนั้นนับวันยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ผิดกับพวกเขาที่นับวันจะสารวันเตี้ยลง เพราะความใจแคบและยึดแต่ของกู คณะกู ผมประโยชน์ของกู ใครอย่าแหย่ม งานจึงไม่ไปถึงไหนเท่าที่ควรจะเป็น
คนพวกนี้ผมอยากจะสวดว่า พวกเขามีสติปัญญาที่ตื้นเหมือนกับรูก้นกบ เพราะเขามองไม่เห็นคุณค่าของคนมีความร้อนรน คนมีความรุ้ มีของประทานที่สามารถช่วยงานคริสตจักรต่างๆ ได้อย่างมากมาย แต่พวกเขากลับกดดันให้ผมออกไปจากพวกเขา ไม่ให้มีโอกาสรับใช้พระเจ้าท่ามกลางพวกเขา ผมจะไปแย่งอะไรทำไมของใครได้ ผมมีแต่จะมาช่วยส่งเสริมให้งานของพระเจ้าเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ให้คนในคริสตจักรได้หายเจ็บหายใข้ หายโรคที่หมอรักษาไม่ได้ คริสตจักรและผู้เชื่อได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า และกลับใจ เกิดการฟื้นฟูทำให้คริสตจักรร้อนร้น มีกรรมการท่านหนึ่งที่ผมได้ถวายเงินให้ไป เป็นเงินหลักหมื่น แต่ผมไม่เห็นเขาทำใบอนุโมทนาบัตรอะไรให้ผมเลย น่าจะทำให้เพื่อผมจะได้ไปขอลดภาษีบ้าง ไม่ทราบว่าท่านจะนำเงินไปพัฒนาคริสตจักรหรือ เอาไปบำรุงกระเพาะอาหารตัวเอง
ผมมีรายได้ต่อเดือนสองคนภรรยา เพียงพอกับการใช้จ่ายและทำการกุศลโดยไม่ต้องเดือลร้อนใจอะไร เพราะพระเจ้าเลี้ยงดูครอบครัวเราอย่างดี เราจึงมีปัจจัยเหลือเพื่อเผือแผ่คนรอบข้างและผู้ที่เราใกล้ชิดด้วยเสมอๆ ถ้าหากชาวคณะกรรมการใหญ่ ไม่ตาบอดตาใส แสดงอาการขับใส่ไล่ส่งผมออกจากกลุ่มของพวกเขา เขาคงได้ประโยชน์จากผมไม่น้อย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ผมดีใจที่ผมไม่ต้องเสียใจทีหลัง หากผมรู้ทีหลังว่าพวกเขาไม่จริงใจ หลอกใช้ผมเป็นเครื่องมือหากินเท่านั้น
ผมยังเสียดายเวลาที่ไปทุ่มให้กับองค์กรที่ไม่มีการวางแผนมุ่งไปข้างหน้า มีแต่ซอยเท้าอยู่กับที่ปีแล้วปีเล่า มีผู้นำก็เหมือนสากกระเบือ มีหัวแต่วางแผนได้ตื้นๆ วางแผนใหญ่ๆ ไม่เป็น ประกาศอย่างเกิดผลไม่เป็น เลี้ยงดูและพัฒนาบุคลากรไม่เป็น ดีแต่ไถ่นาปีละครั้งเท่านั้น เป็นองค์กรที่เป็นเหมือนรถแข่งแรงสูงที่มีน้ำมันเต็มถังแต่คนขับ ขับรถไม่เป็น กลัวๆ กล้าๆ ขับรถใช้แต่เกียร์หนึ่ง ระยะหลังใส่แต่เกียร์ว่าง น่าเสียใจจริงๆ
นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่การประกาศความรอดในประเทศไทยตั้งแต่สมัย อยุธยามาแล้ว ได้คนที่เชื่อพระเจ้าจริงๆ ไม่ถึง สองแสนด้วยซ้ำ ตอนนี้จำนวนคนเชื่อพระเยซูจริงๆ อาจจะน้อยกว่าประเทศลาวและเขมรด้วยซ้ำ คนที่เหลือเป็นแค่ถือศาสนาเปลือกนอก เด็กๆ ของพวกเขา และสมาชิกบางส่วนยังไม่แน่ใจว่าตายไปจะได้พบพระเจ้าได้เข้าสู่ประตูสวรรค์หรือเปล่า อาจเป็นเพราะคนไทยมีอุปนิสัยที่ขาดความสามัคคี ทำงานเป็นทีมไม่เป็น คิดแต่ระบบอาวุโส ทำงานเอาหน้า ไม่กล้าเสี่ยง ไม่กล้าทุ่มทุน ทำงานดูแต่หน้าคน ไม่เคารพของประทานและความสามารถของบุคคล ส่งเสริมกันและกันไม่เป็น มุ่งแต่ประโยชน์ของตนเองและญาติมิตรเท่านั้น การปกครองคริสต์จักรยึดการสืบทอดด้วยระบบสายเลือด ถือเอาคริสตจักรของพระเจ้าเป็นของวงค์ตระกูลและญาติมิตรของตนเป็นหลัก
ระยะเวลาสองปีผ่านไป พระเจ้าเริ่มทำสิ่งใหม่กับผมอีก ผมไปอธิษฐานวางมือเด็กในที่ทำงานของผมในเวลาพัก หรือตอนรับประทานอาหารกลางวัน เด็กหลายคนหายจากการเป็นไข้ ปวดหัว และหายจากโรคหืดหอบ โรคไมเกรน ปวดหลัง ผีสักยัณห์หลายตัวต้องเผ่นออกทางปากขณะที่เราอธิฐานพร้อมกับศิษย์เอกของผมคนแรก คือน้องต้อม เด็กหลายๆ คนมีบางสิ่งถูกขับออกมาทางปากขณะอธิษฐานวางมือ (คลิปเด็กๆ เหล่านี้ผมไม่ได้นำขึ้นมาไว้บนยูทูปย์ ด้วยเหตุผลความปลอดภัยและ ไม่อยากให้เรื่องนี้ขยายมากเกินไป) มีเด็กเข้ามาหาเรื่อยๆ ผมจึงเริ่มมั่นใจในของประทาน ผมเริ่มออกเดินสายไปอธิษฐานเผื่อผู้คนมากมาย ถึงเวลานี้ประมาณได้ว่าเป็นร้อยกว่าคนแล้ว ที่ได้รับการวางมือและหายโรคในนามพระเยซูคริสต์ กับทีมของเรา
เมื่อไม่นานมานี้มีผู้รับใช้พระเจ้า เป็น ศบ.อีกคนหนึ่งผมขอเรียกชื่อว่าชื่อนายเป๋ก็แล้วกัน เพราะเขาเดินไม่ค่อยเรียบร้อยเพราะตอนหนุ่มๆ เขาไปเรียนศาสนศาสตร์มาแต่ไม่ได้รับใช้ ในคริสตจักร แต่แอบพาลูกสาวชาวบ้านหนี ต่อมาพบว่าเขาเกิดเป็นอัมพาตอยู่พักหนึ่ง ภายหลังต่อมากลับใจใหม่ มารับใช้ศาสนา
นายเป๋นำเยาวชนไปคริสตจักรแห่งหนึ่ง ตอนนั้นผมเห็นคนผีเข้า จึงไปช่วยขับผี หลังจากนั้น เพื่อนของผมก็บอกว่า ให้เราอธิษฐานอวยพรเยาวชนด้วยกัน ตอนนั้นนายเป๋ก็อยู่ที่นั่นด้วย เขาเห็นกับตาว่ามีเด็กหลายคน ล้มลงไปเมื่อพวกเราอธิษฐานโดยไม่ได้เอามือไปแตะต้องตัวคนเลย ผมยังเห็นเขาเข้าไปช่วยอธิษฐานให้เด็กที่นอนอยู่บนพื้นบางคนด้วย
แต่หลังจากนั้น 2 วัน นายเป๋ไปเล่าข่าวเท็จในที่ประชุมผู้รับใ้ช้คณะของเขาว่าผมไปขัดขาให้เด็กล้ม ตลกไหม ผมไม่มีอะไรทำหรือไง จึงเที่ยวไปดันหัวคนให้ล้มเล่นๆ หรือขัดแข้งขัดขาคน บางครั้งผมคิดไปแบบอารมณ์ไม่ค่อยจะดีว่า นายเป๋นายมีอะไรดีหรือ ได้รับทราบข่าวมีคนบอกว่า มีเสียเรื่องผู้หญิง พอกลับมาอีกครั้ง ตัวเองมีแต่โรคเต็มตัว และไม่สมบูรณ์เหมือนก่อน ยังไม่สำนึกตัวอีก แกคงคิดว่าผมไม่รู้จักประวัติของแกน่ะ แต่ผมไม่อยากจะขายหน้าคนก็แล้วกัน คิดว่าเมื่อเริ่มต้นใหม่ก็ให้ลืมสิ่งเก่าๆ ไปเสีย นี่คือเรื่องน่าขายหน้าของนักการศาสนาคริสต์หรือไม่ไม่รู้นะ พวกนี้บางคนนับถือพระเจ้าแต่กลัวฤทธิ์อำนาจของพระเจ้ายังไม่พอหาว่าไม่มีในพระคัมภีร์อีก เอาเข้าไปเลย..
ในระยะเวลาช่วงต้นปี 2010 พระเจ้าเริ่มให้ผมพบประสบการณ์ใหม่ เพราะผมได้รับการวางมือเจิมแต่งตั้งเป็นผุ้ประกาศแล้ว จากอาจารย์ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือจากคริสตจักรแห่งหนึ่ง หลังจากนี้เมื่อผมไปวางมือคนป่วยปรากฏว่า เขาหายป่วยเร็วขึ้น หลายๆ คนอ๊วกแตกและหายโรคทันที และเมื่อสอบถามคนที่ผมไปอธิษฐานเผื่อ พวกเขาจะบอกว่า มีอาการชาไปทั้งตัวขณะที่ผมอธิษฐานในพระนามพระเยซู พวกเขาบางคนเห็นบางอย่างพุ่ง หรือถูกขับดันออกมาจากทางปากของพวกเขา บางคนเวลาผมอธิษฐานให้ จะมีแสงไฟเป็นสีแดง สีขาว พุ่งเข้าใส่ใบหน้าก่อนที่จะหมดสติไปชั่ววูบ ตอนแรกๆ ผมยังไม่แน่ใจ แต่ถ้าผมไปพูดเรื่องแบบนี้ที่ไหนให้คนไม่เชื่อฟัง คงไม่มีนักการศาสนาสายฟาริสีเชื่ออีก เพราะนักการศาสนาเขากลัวนักกลัวหน้ากับคำว่า ลัทธิเทียมเท็จ ทำการอัศจรรย์ อ้างตัวว่าเป็นพวกธรรมะแต่เป็นพวกอธรรมปลอมตัวมา ผมจึงต้องถ่ายวีดีทัศน์ไว้เพื่อให้นักการศาสนาดู เพื่อให้รู้ความจริง และเป็นการสร้างความเข้าใจแก่พี่น้องที่ไม่เคยพบเห็นปรากฎการณ์เช่นนี้ในเมืองไทยว่า เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นแล้วในเืมืองไทย ผมเคยได้ยินว่า Derek Prince และเดวิด วู เคยทำอย่างนี้บ่อยๆ ด้วย ตามคริสตจักรในกรุงเทพ แต่ที่ผมอยู่มันบ้านนอกสุดๆ แล้ว ปีหนึ่งมีการประชุมไม่เกินสองครั้ง บางปีก็ไม่มีฟื้นฟูอะไรเลย
เรื่องแบบนี้ความจริงแล้วมีอาจารย์ในประเทศไทยหลายท่านที่มีประสบการณ์อย่างนี้แต่ท่านเหล่านั้นไม่ได้ประกาศตัว และไม่ได้เผยแพร่สิ่งที่ท่านได้ทำเท่านั้น เมืองนอกไม่ต้องพูดถึง เขามีมานานแล้ว แต่สถานศึกษาศาสนศาสตร์เมืองไทยหลายแห่งหรือส่วนใหญ่ก็ว่าได้ยังไปไม่ถึงเท่านั้นเอง เพราะมันถูกครอบด้วยลัทธิ และขนบธรรมเนียมของศาสนาบางอย่าง ที่มันไม่เอาฤทธิ์เดชของพระเจ้า แล้วมันจะมีได้ไง แม้แต่พวกคนที่ชอบเจิมยังรับไม่ได้
นี้่คือเรื่องที่ผมจะเล่าให้ผู้ที่ติดตามผมได้รับทราบว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าที่มีฤทธิ์อำนาจ ผู้เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง จะมีฤทธฺ์อำนาจในการวางมือรักษาคนป่วย ขับผีวิญญาณร้ายออกจากคนได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักการศาสนา ใส่เสื้อครุยศาสนาจารย์ หรือมีตำแหน่งในศาสนาคริสต์ก็สามารถทำได้ แต่ผู้ทำมักจะมีปัญหาเกิดขึ้นคือ พวกนักการศาสนามันไม่เชื่อ เพราะมีบางอย่างบังตาอยู่ พวกเขามักจะคิดว่า สิ่งที่ไม่มีในตัวกรู กรูไม่เคยเห็นมันก็ต้องไม่มี คณะของฉันสอนมาถูกต้องแล้ว อาจารย์ของฉันไม่เคยสอน มันก็ต้องไม่มี
พวกเขาเชื่อเหมือนกับพวกฟาริสีสมัยก่อน คือเชื่อว่า พระคัมภีร์มีแค่นี้แหละไม่สามารถมีมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว การเปิดเผยของพระเจ้าจบสิ้นแล้ว พระเจ้าพูดสื่อสารกับมนุษย์ ทางคำสอนของพระเยซู และจดหมายฝากของอัครทูตเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก เราคงไม่มีพระธรรมวิวรณ์อ่านเป็นแน่แท้ ไม่น่าแปลกนะตอนนี้ผมยังเคยได้ยินคนบางคนสอนว่า พระคัมภีร์มีแค่ ๖๖ เล่มเท่านั้นซึ่งถ้านับอย่างนั้นมันก็จริง เพราะมันเป็นความจริงที่ปฎิเสธไม่ได้ คนรวบรวมเขาทำไว้แค่ไหนมันก็ต้องมีแค่นั้น
การสื่อสารของพระเจ้าสิ้นสุดลงแค่ในหนังสือพระธรรมวิวรณ์เท่านั้น ไม่มีการเผยพระวจนะใหม่ๆ ไม่มีการเปิดเผยใหม่ๆแล้วหรือ พระเจ้าบอกไว้ในหนังสือหลายแห่งว่า เราจะเปิดเผยสิ่งใหม่ พระเจ้าจะเปิดเผยได้อย่างไรล่ะ ถ้าคนไม่เชื่อมันไม่ฟัง และบอกว่าการเปิดเผยมีแค่นี้แล้ว
บางคนเชื่อฝังใจว่าสิ่งที่เราเคยทำมาแบบนี้มันก็จะต้องเป็นแบบนี้ไปจนตาย ตายแล้วก็ต้องเป็นแบบเดิมนี้ต่อไป ต้องมีผู้สืบทอดต่อไปจนโลกแตก คนอื่น คนใหม่ๆ เขามีของประทานอย่างไรพวกข้าก็ำไม่เชื่อ ข้าไม่สามารถยอมรับได้ ข้าเชื่อของข้าแบบนี้แหละ ใครจะทำไม เรื่องอะไรจะให้แกะของข้า ไปเจอหญ้าเขียวสด กินหญ้าแห้งอยู่ในคอกของข้าก็ดีแล้ว ถึงแกะจะป่วย ใกล้ตาย บาดเจ็บ ผอมแห้ง ช่างมันข้าไม่สน ขอให้อาตมาได้รับใช้นายเพื่อให้ชีวิตอาตมาอยู่รอดไปได้วันๆ ก็พอใจแล้ว? โอ้อนิจา นี่หรือ คิงดอมออฟเซ้ฝ ใช่เลย?
วันเวลาที่ผ่านไปสี่ปีนับจากวันที่นายเหม็นมันฟ้องผมเรื่องสมาชิกจิตอ่อนได้จบไป ความจริงเริ่มกระจ่าง ของประทานของผมชัดเจนมากขึ้นๆ ทุกสัปดาห์ที่ผมออกไปปรนนิบัติ ผมเห็นการอัศจรรย์มากขึ้นเืรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามผมจะดูว่าคนที่เคยกดดันผม ไล่ผมออกจากคณะกรรมการบริหาร คริสตจักรที่เชื่อการหายโรค เชื่อการเจิม แต่คริสตจักรของตนเองยังไม่มี ตนเองก็ไม่เอา ไม่เชื่อ ทุกๆอาทิตย์สอนแต่ศาสนศาสตร์ และท๊อคโชว์ 25 นาที แบบ ลมๆ แล้งๆ เทศนาเผยแพร่ความรู้เรื่องพระเจ้าแต่ไม่มีการปลดปล่อย เทศนาแบบขอไปที ไม่มีการกลับใจ แต่ชอบให้สมาชิกมีการอธิษฐานสารภาพบาปจนเป็นนิสัย ท่องคำสารภาพบาปได้เป็นชีวิตจิตใจ สามารถจะพูดคำสารภาพบาปได้อย่างไม่อายปาก ทั้งๆ ที่หลายคนรวมทั้งตัวผู้นำด้วยก็ยังไม่กลับใจจากบาป
ผมอยากให้คนประเภทนี้หันกลับมาหาฤทธิ์อำนาจของพระเจ้ามากกว่าการ สอนความรู้ทางศาสนา สอนวิธีการทำให้คนเป็นคนดี เป็นผู้เชื่อที่ถวายทรัพย์มากๆ เพื่อความมั่นคงของอาณาจักรของอาตมาเท่านั้นหรือ? สำหรับความเชื่อที่ผมได้รับรู้ว่า การสารภาพบาปที่พร่ำเพรื่อ ไม่ได้ตั้งใจเลิกบาป ผมว่าเป็นการแช่งสาปตนเองมากกว่าการได้รับการยกโทษบาป (ฮีบรู บทที่ 10.26-29)
...เมื่อเราได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว แต่เรายังขืนทำผิดอีก เครื่องบูชาลบบาปนั้นก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย .
27. แต่จะมีความหวาดกลัวในการรอคอยการพิพากษาโทษ และไฟอันร้ายแรง ซึ่งจะเผาผลาญบรรดาคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า
28. คนที่ได้ฝ่าฝืนบัญญัติของโมเสสนั้น ถ้ามีพยานสักสองสามปาก ก็จะต้องตายโดยปราศจากความเมตตา
29. ท่านทั้งหลายคิดดูซิว่าคนที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า และดูหมิ่นพระโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งชำระเขาให้บริสุทธิ์ว่าเป็นสิ่งชั่วช้า และขัดขืนพระวิญญาณผู้ทรงพระคุณนั้น ควรจะถูกลงโทษมากยิ่งกว่าคนเหล่านั้นสักเท่าใด
พี่น้องที่มาร่วมประชุมกับคริสเตียนจะชอบมาก และเขาคงจะกลับใจเมื่อเห็นฤทธิ์อำนาจของพระเยซูที่ทำการในคริสตจักรของท่าน ถ้าหากนักการศาสนาเทศนาแล้ว ท่านจะรักษาคนป่วย ขับผีในพระนามพระเยซู คนป่วยหายโรคเขาก็พ้นทุกข์ คนหลายคนไม่มีโอกาสเชื่อพระเยซูเพราะเขาไม่ได้เห็นการอัศจรรย์อะไรเกิดขึ้่นโดยการเทศนาของคริสเตียนเลย ที่น่าหัวเราะคือ การวางมืออธิษฐานเผื่อความป่วยใข้ ได้ถูกยกเลิกออกไปจากวาระพิธีการนมัสการในโบสถ์คริสต์ทั่วไปตั้งนานมาแล้ว ด้วยเหตุผลลึกลับหลายประการ
เรื่องที่บอกว่าเชื่อพระเยซูชีวิตมีสุขกว่าการเชื่อในสิ่งอื่นนั้น อย่าเอาไปพูดหลอกเขาอีกเลย มันยังไกลความจริงมาก กว่าจะถึงจุดนั้นไม่รู้ต้องชำระชีวิตไปกี่ปี การเป็นคริสเตียนที่แท้จริงมันไม่ได้เป็นง่ายนักไม่ใช่หรือ แต่ว่านักการศาสนาจำนวนมากคงจะกลัว กลัวว่าเขาไม่หายอาตมาจะขายหน้า ในการทำพิธีกรรมนมัสการพระเจ้าของท่านสิ้นสุดลงตรงการประกาศนัดหมายงาน และอธิษฐานปิดประชุมเท่านั้นหรือ -การอธิษฐานวางมือรักษาคนป่วยใข้ได้ถูกวิญญาณแห่งการผิดพลาด ตัดออกไปจากรายการระเบียบการนมัสการพระเจ้าของคริสตจักรส่วนใหญ่เสียแล้ว น่าคิดนะ ขอชาวคริสต์กลับมาสู่ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าอีกครั้งได้ไหม
ผมอยาจะเห็นคนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้รับใช้พระเจ้าจะรู้จักคำว่า ขอโทษ
ผมอยากได้ยินในวันนั้นที่จะมาถึงที่เขาบอกว่า "น้องพี่ขอโทษนะพี่เข้าใจน้องผิดไป พี่มันตาฟาง โง่ไม่เชื่อ และนั่นคือสปิริตของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกพระเจ้า" "เออ...อาจารย์ขับผีทำไง ช่วยบอกพี่หน่อยซิ" "เรามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันดีไหมน้อง" เออ...เข้าท่านะผมว่า
ผมขอเรียนให้คริสเตียนที่สนใจพันธกิจนี้ทุกคนทราบอีกครั้งว่า
การขับผีไม่ใช่ของประทาน แต่เป็นสิทธิอำนาจที่พระเจ้ามอบให้กับผู้เชื่อแท้ทุกคน การวางมือรักษาโรคเป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกผู้่เชื่อให้ทำ
เราทำตามพระมหาบัญชาได้ผลแน่ แต่การขับผีเป็นสิ่งเราต้องเรียนรู้วิธีการ เพราะมันเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง มีวิธีการที่ต้องเรียนรู้ มีข้อควรระวัง ข้อควรปฏิบัติหลายข้อ ต้องมีการฝึกกับทีม มีผู้่คอยแนะนำก่อนไปปฎิบัติให้เกิดผล และสิ่งนี้โรงเรียนพระคัมภีร์บางแห่งไม่สอน เพราะอาจารย์ในนั้นเกือบทั้งหมดไม่มีฤทธิ์เดชของพระเจ้า มีแต่ใบปริญญาเท่ๆ เท่านั้น เป็นพวกที่เสียเวลาเกือบทั้งชีวิตไปกับการนั่งจดจำรายละเอียดต่างๆ ของคนโบราณ และได้เรียนมาแต่ความรู้ความจำเท่านั้น พวกเขาหลายคนยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ผู้เชื่อในพระเยซูกำลังต่อสู้กับอำนาจอะไรอยู่ด้วยซ้ำ (เอเฟซัส 6.12)
ความจริงอีกข้อหนึ่งก็คือ คนที่ต่อต้านการเจิมจะไม่สามารถปลุกวิญญาณร้ายที่แอบแฝงในร่างกายของคนได้ นักการศาสนาจำนวนมากจึงคิดว่าโลกนี้ผีอยู่ไกลมาก หรือมีตามเรื่องเล่าในพระคัมภีร์สมัยพระเยซูเท่านั้น ในโบสถ์ของอาตมาไม่มีหรอก ผมไม่เคยเจอ ถ้ามีผมต้องเจอซิ บางคนบอกว่า ไปยุ่งทำกับมันทำไม ต่างคนต่างอยู่ โห..พูดแบบนี้ผีหัวเราะฟันแถบหลุดเลย เป็นไก่นาตาฟางยังไม่รู้ตัวอีก
ความจริงคือว่า ผีมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ท้องฟ้าอากาศคืออาณาเขตปกครองของมัน ทุกเขตขันต์ ทุกๆ หมู่บ้าน ทุกตำบลคือของมัน แม้แต่ในบ้านก็ยังมี ในบ้านคริสเตียนบางคนก็ยังมี (ยอห์น 14.30)
วิญญาณร้ายมันชอบแอบซ่อนอยู่ในบ้าน ในตัว ในวิญญาณของคนที่เก็บสิ่งที่พระคัมภีร์เรียกมันว่า
"สิ่งน่าสะอิดสะเอียน" อาจได้แก่ คลิปเด็ด รูปลับเฉพาะ บาปซ่อน บาปเร้นลับของคนทุกคนไม่เว้นอาจารย์ใหญ่
การไม่ให้อภัย การเกลียดชังกัน การโลภ การลามก การบ่นว่าพระเจ้า ...ความแค้นฝั่งใจ (ฉธบ 7.26, สภษ 28.13)
เอเฟซัส บทที่ 2 ข้อที่ 2 บอกว่า คนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้ามีวิญญาณอื่นปกครอง ครอบครองอยู่โดยที่เขารู้หรือไม่รู้ตัว
นักการศาสนาชาวคริสต์ผู้อ่อนประสบการณ์ไม่อยากเชื่อ รับไม่ได้กับสิ่งเหล่านี้ แต่เชื่อผมเถอะแม้แต่เด็กๆ ที่ผมไปสอนเขายังเชื่อเลย เด็กบางคนกว่าจะตะล่อมให้รับการปลดปล่อยต้องปลอบเป็นนาน แล้วเขาก็หายดีทุกคน หลังรับการอธิษฐาน
การขับผี ขับวิญญาณหากใครไม่ศึกษาไม่รู้ ทำไปมั่วๆ อาจเกิดอันตรายกับตัวเองได้ อย่างแรกคือ มีปัญหากับพวกนักการศาสนาสายฟาริสีที่ไม่มีความเชื่อ เพราะการยึดติด ถือมั่นกับสิ่งเดิมๆ เขาจะหาว่าเราสอนเพี้ยน และเป็นลัทธิเทียมเท็จ อย่างที่สองคือผีมันจะอาฆาตที่ไปไล่มัน เพราะมันกินอิ่ม นอนอุ่นในร่างกายมนุษย์ มันจะพยายามแก้แค้นด้วยวิธีการต่างๆ ดลใจให้พวกนักการศาสนาที่อ่อนแอขับไล่ พวกนักการศาสนาัหัวโบราณขัดขวางไม่ให้เข้าไปสอนไปเทศน์ในโบสถ์เพราะมันกลัวพี่น้องได้รับการปลดปล่อย พวกมันจะเสียหน้า นอกจากนี้ผีอาจจะรบกวนที่ทำงาน รบกวนไปทุกด้าน นั่นคืออีกสาเหตุหนึ่งที่มีคนไม่มากนักสมัครใจทำงานนี้ ใครล่ะอยากจะเจ็บตัวกับพันธกิจปลดปล่อยและรักษาโรคในพระนามพระเยซู ทำแล้วดูเหมือนเสี่ยงมากเกินไป หน้ากลัวด้วย เล่นกับผีน่ะ เรามองไม่เห็นมันแต่มันเห็นเรา แถบยังเรียกเก็บเงินก็ไม่ได้เพราะพระเยซูห้ามอีก
หากมีพี่น้องที่เข้าใจพันธกิจนี้ กรุณาอ้อนวอนพระเจ้าให้คุ้มครองและสนับสนุนพันธกิจนี้ด้วย เพื่อผมจะเป็นพระพร ปลดปล่อยคนทั้งคริสต์และไม่เป็นคริสต์ให้หายจากการถูกผีรบกวน โรคร้ายที่แพทย์และไสยศาสตร์รักษาไม่หาย คนเจ็บทุกข์ทรมานอีกมากมายให้พ้นทุกข์ เพื่อเป็นการประกาศพระบารมีในพระนามพระเยซู
ก่อนจบผมขอวิงวอน อาจารย์ผู้สอนโรงเรียนพระคัมภีร์หลายๆ แห่งที่ทำหน้าที่สร้างคนรุ่นใหม่ในการรับใช้ ศาสนาคริสต์ก็จงทำอย่างเดิมไปเถิด แต่หากท่านอยากสร้างคนให้รับใช้พระเจ้าผู้เป็นอยู่ หากท่านจะพิจารณาบรรจุเรื่องการปลดปล่อย การวางมือรักษาโรคภัย การขับผีไว้ในหลักสูตรของการเรียนพระคัมภีร์ผมเชื่อจะดีมาก คริสตจักรไทยจะก้าวไปไกลกว่านี้ ผมได้ไปเรียนพระคัีมภีร์มาถึงระดับปริญญาโท จากสถาบันมีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับระดับภูมิภาคเอเซีย คนที่กลัวตกงานจะต้องไปเรียนที่นี้เพราะได้งานชัวร์ แถบมีอนาคตไกล อาจมีสิทธิได้เสพสุขกับกองมรดกมหาศาล แต่หลายๆ คนที่จบออกมามีความเชื่อเรื่องฤทธิ์เดชแค่ภายในพระคัมภีร์เท่านั้น ไม่มีการปฏิบัตินอกตำรามากนัก เป็นความอ่อนแอของใครไม่ทราบ สถาบันหรือตัวคน?
ตามความเข้าใจของผม ผมขอตั้งสังเกตส่วนตัวในการไปเรียนรู้ความรู้ทางศาสนศาสตร์ คือผมสงสัยว่ามีอาจารย์ท่านใดของวิทยาลัียดังๆ บ้างที่สอนหรือกล่าวถึงการขับผี ในพระนามพระเยซูคริสต์ ศาสนศาสตร์เกี่ยวกับวิญญาณร้าย วิธีการวางมือรักษาคนป่วยด้วยสิทธิอำนาจของผู้เชื่อ มีใครสอนด้วยการสาธิตด้วยวิธีการปฎิบัติจริงบ้าง ผมคิดว่าถ้าไม่สอนเรื่องนี้ก็น่าเสียดายเวลาไปนั่งเรียนจริงๆ เรียนตั้งหลายปี ผมยังสงสัยว่ามีอาจารย์ท่านใดพูดถึงฤทธิ์เดชของพระเจ้าหรือเปล่า และท่านสามารถถ่ายทอดได้หรือเปล่า มีวิชาบรรจุในหลักสูตรหรือเปล่า หรือว่าอาจารย์พูดสอนตอนที่ผมแอบนั่งหลับ (ผมชอบนอนหลับตอนครูสอนเป็นประจำโดยเฉพาะตอนบ่ายๆ ) อาจารย์ป้อนแต่ความรู้ทางศาสนาตามที่อาจารย์ฝรั่งเขียนตำราไว้หรือเปล่า? ผมเขียนไว้ตรงนี้เพื่อเป็นกระจกสะท้อนให้สถาบันที่สอนพระคัมภีร์ได้รับทราบเท่านั้น แล้วแต่คณะกรรมการจะพิจารณาว่า
ถึงเวลารื้อฟื้นหลักสูตรโรงเรียนพระคริสตธรรมหรือยัง หลักสูตรของวิทยาลัยพระคริสตธรรม หรือสถาบันพระคัมภีร์ มันน่าจะปรับเปลี่ยนได้เรื่อยๆ ในทันยุคทันสมัย แต่ยังเน้นหลักข้อเชื่อที่สำคัญของพระเยซูคริสต์ คือผู้เชื่อแท้ต้องขับผี วางมือรักษาคนป่วยในพระนามพระเยซูคริสต์ และผมเชื่อว่านี้คือพระกิตติคุณที่แท้จริงครับ ( 1 คร. 2: 4-5)
ในเรื่องนี้ผมต้องขออภัยผู้รู้ทุกท่านด้วย มันเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผม ทุกคนเป็นคนบาป และอาจารย์ก็ต้องกลับใจใหม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตามความคิดเห็นที่ขวางทางแบบนี้ ไม่ค่อยมีใครทำกันเท่านั้น ให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินรากฐานแห่งจิตใจของเราก็แล้วกัน
กิตติคุณที่ไม่มีฤทธิ์เดชในการปลดปล่อยผู้คนออกจากการควบคุมคุกคามของวิญญาณร้าย กิตติคุณที่ไม่มีการวางมือรักษาโรคให้หาย ผมเชื่อว่ากิตติคุณเช่นนี้แม้ว่าคนสอนจะจบด๊อกเตอร์ หรือเป็นมหาศาสนาจารย์ระดับไหนก็ตาม จะห้อยไม้กางเขนอัีนใหญ่ขนาดไหน ผมเชื่อว่าเป็นกิตติคุณที่กลายพันธุ์ครับ ผมขอเรียกร้องให้คนที่รังเกียจฤทธิอำนาจของพระเจ้าว่า จงกลับใจใหม่เถุอะ
คนฉลาดเขาจะไม่ใช้ของปลอม ของปลอมมันดูเหมือนของจริงแต่คุณภาพมันไม่ดีเหมือนของจริง
* บทความต่อไปผมจะเขียนเรื่อง ถ้ามีคนเชื่อเราจะส่งเขาไปอยู่โบสถ์ไหนดี คอยติดตามต่อไปครับ
ขอพระเจ้าอวยพระพร
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ผมได้อ่านบทความแล้วก็เห็นด้วยในบางประการ และไม่เห็นด้วยบ้าง
ตอบลบที่เห็นด้วยก็คือ พันธกิจการปลดปล่อยนี้เป็นของพระคริสต์ที่มอบให้แก่คริสตจักรแน่นอน แต่ที่ไม่สบายใจ คือ การใช้คำที่กล่าวถึง "พี่น้องคริสเตียน" ที่มีความเชื่อที่แตกต่าง ผมว่ามันฟังดูไม่สุภาพเท่าไรนะครับ เพราะอย่างไรเราก็พี่น้องกันในพระคริสต์นะครับ @_@
ตอบสนองต่อข้อคิดเห็น กดที่นี้ เพื่อดูคำตอบ
ตอบลบhttp://reewat.blogspot.com/2010/09/blog-post_21.html
เราไม่ควรเรียกพี่น้องของเราแบบนั้นค่า ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เชื่อเรื่องฝ่ายวิญญาณ เราควรที่จะอภัยให้กับเขาและรักเขา อธิษฐานให้พระเจ้าเปิดตาใจฝ่ายวิญญาณเขาค่า อาเมน
ตอบลบ