ทำไมราชสีห์จึงกลัวหนู Why are some lions so scared of a mouse?
ผมได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ เป็นเรื่องที่คนฟังแล้วอาจไม่ค่อยสบายใจ เป็นคำพูดในทางใส่ไข่ ใส่นมเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนๆ หนึ่ง แต่ว่ามันจะจริงหรือไม่จริง ผมอยากนำเสนอให้ผู้อ่านช่วยพิจารณา ช่วยกันออกความเห็นเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิรูปความเชื่อ และการปฎิบัติของคริสตชนคนรักพระเจ้า เรื่องที่ผมได้ยินมาเนืองๆ มันเป็นอย่างนี้ครับ คือ
มีคนนักการศาสนาบางคนและคริสเตียนรุ่นหน่ออ่อนหลายๆ คน พูดออกมาลอยๆ ว่าอย่างนี้
"ระวังนะพวกเรา เดี๋ยวนี้มีลัทธิเทียมเท็จเกิดขึ้นในจังหวัดของเรา"
(คนพูดกล่าวอ้างลัทธิเทียมเท็จ กล่าวหาคนอื่นโดยไม่ได้ขยายความหรือบอกให้ชัดเจนว่า ลัทธิเทียมเท็จคืออะไร สอนอย่างไร ผมเข้าใจว่า ความหมายของพวกที่ตราหน้าคนอื่นว่าเป็นลัทธิเทียมเท็จ คือ
"เมิงสอนไม่เหมือนกรู เมิงไม่เชื่ออย่างกรูเชื่อ"
"กรูไม่มีอย่างเมิง เมิงจึงต้องเป็นลัทธิเทียมเท็จ" )
(ขอโทษต้องใช้ภาษาอย่างนี้ มันอาจสื่อความหมายได้ไม่ดีนักสำหรับคริสตชนคนสุภาพทั่วไป)
เด็กของผมบางคน มารายงานผมดังนี้
"อาจารย์, มีอนุชนหลายคนจากโบสถ์ "บ้านป่า..." และโบสถ์ที่ xx มันพูดกับผมว่า
ศบ.โบสถ์แห่งนั้นมันบอกกับผมว่า "อาจารย์ของแกเป็นลัทธิเทียมเท็จ"
เด็กเยาวชนจากคริสตจักรบ้านป่า ...อีกคนหนึ่งพูดกับเด็กของผมว่า
"อาจารย์ของคิง เป็นลัทธิเทียมเท็จบ๊ะ" (อาจารย์ของเธอ เป็นพวกลัทธิเทียมเท็จ"
ครั้งหนึ่งผมได้ทราบจากรายงานของเพื่อนพูดว่า ผู้ประสานของของกรรมการภาคหนึ่งของชมรมผู้อนุรักษ์ธรรมเนียมคริสตจักรโรมันโบราณ บอกว่า
"อาจารย์คนนี้มันอันตรายมาก มันเป็นพวกที่ปฎิบัติในสิ่งที่ลัทธิของเราไม่มี" "เป็นพวกสอนและปฎิบัติสิ่งที่ไม่มีในพระคัมภีร์โบราณ"
อีกครั้งหนึ่งในการประชุมของ หัวหน้าพวกนักการศาสนา อาจารย์ใหญ่ อาวุโสที่สุดในที่ประชุมได้พูดกับที่ประชุมว่า
"ใครเอาการเจิมเข้ามาในกลุ่มของเรา"
"ลัทธิของเราไม่มีการเจิมล้ม ไม่มีแบบนี้, การเจิมการรับพระวิญญาณ พูดภาษาแปลกๆ การวางมือรักษาโรค พรรคของเราไม่มีการปฏิบัติ ไม่ใช่หลักข้อเชื่อของเรา"
เนื่องจากเกิดคลื่นแห่งการนมัสการแบบเต้นโลด เข้ามา และในการนมัสการนั้นมักจะมีปรากฎการณ์ แบบที่ชมรมอนุรักษ์ประเพณีโรมันโบราณไม่มี ดังนั้นพวกเขาจึงพยายาม หามติที่ประชุมเพื่อปล๊อคและ กีดกันไม่ให้เยาวชนมาชุมนุมกันบ่อย เพื่อการนมัสการพระเจ้าแบบนี้ เพราะมันอาจจะทำให้เด็กกลับใจมาหาพระเยซูมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งอาจจะทำให้คริสตจักรฒีการตื่นตัวด้านเชื่อมากขึ้น จึงต้องมีการกำจัด
ในการประชุมเร่งด่วนเกี่ยวกับงานของคริสตจักร เนื่องจากมีเหตุการณ์ในคราวนมัสการพิเศษของเยาวชนคริสเตียนในค่ำของวันหนึ่ง ในงานนี้มีการอธิษฐานอวยพรคณะกรรมการอนุชน แต่ปรากฎว่ามีเหตุการณ์ที่ไม่ปกติเกิดขึ้น คือมีเยาวชนหลายๆ คน เกิดการล้มหงายแน่นิ่งไปเมื่อมีบางคนอธิษฐานให้เขา"
เรื่องนี้ส่งผลให้เกิดเป็นประเด็นทางด้านหลักข้อเชื่อ และเป็นการถกเถียงกันอย่างมาก ของกลุ่มคนที่ไม่เชื่อเรื่องการสำแดงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าในลักษณะแบบนี้ จึงมีการจัดประชุมหารือกันขึ้น
นักการศาสนาอาวุโสคนหนึ่งได้ถามขึ้นในที่ประชุมว่าเกี่ยวกับคนที่สามารถอธิษฐานแล้ว ทำให้คนล้มว่า
" นายคนนี้ (คนที่อธิษฐานวามือแล้วทำให้คนล้มได้นี้) เป็นไคร มันจบพระคัมภีร์มาจากไหน ทำไมมันถึงเข้ามาในกลุ่มของเราได้"
(เรื่องของเขาเขียนไว้แล้วที่นี้ คลิก)
ผู้นำศาสนาที่นักอธิษฐานท่านนี้ เป็นสมาชิกอยู่ได้รายงานต่อที่ประชุมผู้นำคริสตจักรทั้งเจ็ดในกลุ่มของเขา เมื่อมีการซักถามถึงที่มาที่ไปของนักประกาศอิสระ ว่าเขามาจากไหน ทำอะไร
"นายคนนี้เป็นสมาชิกของข้าเจ้าเอง (ของหนูเองค่ะ) แต่เขาไม่มาโบสถ์นานแล้วค่ะ"
(หนูไม่รับผิดชอบค่ะเพราะสิ่งที่เขาทำ โบสถ์ที่หนูเป็๋นใหญ่อยู่ไม่มีการทำอะไรนอกกรอบอยู่แล้ว)
ระยะหลังนี้ผมยิ่งได้รับความรำคาญจากคำรายงานของคนที่อยู่ใกล้ชิดผมอีก มีคนมารายงานและปรึกษากับผมดังนี้
"อาจารย์ครับ เขาบอกว่า อาจารย์กำลังสร้างสาวกเป็นของตนเอง อาจารย์กำลังดึงดูดสมาชิกของ
คริสตจักรของใครๆ เพื่อขยายอาณาจักรของตนเอง เขาบอกว่าอาจารย์สอนผิดไปจากพระคัมภีร์"
"อาจารย์ค่ะ พวกผู้นำคริสตจักรที่หนูอยู่ เขาขู่หนูค่ะ เขาขู่ว่า ถ้าหนูตาย หนูจะไปฝังร่างกายที่ไหน เพราะอาจารย์ที่หนูหลงไปติดตาม มันไม่มีโบถส์ ไม่มีสังกัดคณะ มันเป็นพวกลัทธิเทียมเท็จ".
ผมคิดว่าคนที่เอาเรื่องการฝังในสุสานมาขู่คนไม่ให้ออกจากการเป็นสมาชิกของตน ผมว่าพฤติกรรมแบบนี้ มันก็ไม่แตกต่างไปจากชาวโลกที่เขาไม่เชื่อพระเจ้าทำกับชาวบ้านที่กลับใจมาเชื่อพระเยซู ตามหมู่บ้านต่างๆ ในปัจจุบันเท่าใดนัก ผมใช้เวทีนี้ ขอประนามว่า คนที่ทำอย่างนี้
"ชั่วยิ่งกว่าคนไม่เชื่อพระเจ้าอีก" เพราะมันเป็นวิธีการที่พวกของมารใช้ในการกีดกันไม่ให้คนเข้ามาร่วมกับผู้เชื่อพระเจ้า หรือให้คบหาสมาคมกับพวกที่เชื่อพระเยซู
เพราะวิญญาณวัฒนธรรม ประเพณีนิยมไม่ต้องการให้ใครค้นพบสัจจะ เรื่องความจริงของพระเยซู ซาตานไม่ต้องการให้คริสเตียนรู้ว่า พวกเขามีสิทธิอำนาจทางวิญญาณที่สูงส่ง ซาตานไม่ต้องการให้คริสเตียนรู้ว่า พระนามพระเยซูมีอำนาจยิ่งใหญ่ เหนืออาณาจักรของมัน ซาตานจึงทำทุกวิถีทางไม่ให้คนที่เชื่อพระเยซูได้เรียนรู้วิธีการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณ ไม่ให้รู้วิธีการใช้ฤทธิอำนาจของพระเจ้า ด้วยการยุยงให้คริสเตียนแตกแยกกัน หวาดระแวงซึ่งกันและกัน ซาตานส่งเสริมให้คนเก่าปิดกั้นคนใหม่ กีดกันด้วยวิธีการและกลอุบายต่างๆ นานา ซาตานส่งเสริมให้คนใช้มาตรการทางสังคม สวัสดิการหมู่บ้าน มาบีบคนเพื่อปิดกั้นไม่ให้คนเข้าสู่ความรู้เรื่องฤทธิอำนาจของข่าวประเสริฐ เพื่อไม่ให้คนเข้ามาเชื่อพระเยซู มากไปกว่านี้
นอกจากคนกลับใจเชื่อพระเยซูจะต้องถูกโดดเดี่ยวทางสังคมแล้ว เขายังจะต้องเผชิญกับการดูถูก ดูหมิ่น ถูกเหยียบย่ำ เหยียดหยามจากคนในครอบครัว วงค์ตระกูล บางคนต้องถูกพ่อแม่ด่าว่า ญาติพี่น้องหาว่าโง่ หาว่าถูกหลอก ถูกสกดจิต ที่เขาหันมาเชื่อพระเยซู เพราะพวกเขามี "พระ" และวิญญาณบรรพบุรุธ ผีบ้านผีเรือน รูปเคารพที่เขานับถือกันมาเป็นร้อยๆ ปีอยู่แล้ว พวกเขาพากันเข้าใจไปว่า พระของเขาคือ ของเก่าที่ดีและเป็นพระแท้ แต่นั่นคือความเข้าใจที่พลาดไปจากความจริง อย่างแน่นอนที่ผู้เชื่อพระเยซูรู้ๆ แก่ใจกันดีอยู่แล้ว พระเยซูเก่าแก่กว่าพระใดๆ ที่เป็นรูปปั้นในโลกนี้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว
มีคนมารายงานเรื่องการต่อต้านต่างๆให้ผมทราบเพิ่มขึ้นอีก ว่าดังนี้
"อาจารย์ พาสเตอร์ใหญ่เขาบอกกับผมว่า อย่าไปใกล้ หรือเข้ายุ่งเกี่ยวกับนายคนนี้นะ เพราะเขาเป็นลัทธิเทียมเท็จ"
เขาพูดว่า "อาจารย์อย่าให้เขาเข้ามาใช้สถานที่ของเรานะ เพราะเขาเป็นพวกลัทธิเทียมเท็จ"
มีคริสตจักรใหญ่อีกแห่งหนึ่งประกาศที่ประชุมนมัสการว่า
"ต่อไปนี้ พวกเราอย่าไปสุงสิงกับลูกศิษย์ของนายคนนี้นะ เพราะมันเป็นพวกลัทธิเทียมเท็จ "
ทั้งที่เห็นว่าลูกศิษย์ของผมแต่ละคนอธิษฐานวางมือคนป่วยในโบสถ์ของเขาหายคาตา ยังไม่เชื่อ กลับโยนข้อหาว่าเป็นลัทธิเทียมเท็จให้อีก
ผมกล่าวในบทความในบล๊อคนี้หลายครั้งว่า คริสเตียนที่เป็น "ผู้เชื่อแท้" สามารถอธิษฐานวางมือให้คนหายป่วย หายโรค และขับวิญญาณได้หลายครั้งในบทความต่างๆ ผมมีความเชื่อว่า การขับผีไม่ใช่ของประทานเฉพาะคน แต่เป็นสิทธิอำนาจ (มาระโก 16.17-18, ลูกา 10.19) การที่คริสเตียนจำนวนมากทำไม่ได้ ไม่เคยทำ ไม่ได้แปลว่าเขาไม่มีสิทธิอำนาจ แต่เพราะเขาไม่ได้รับการฝึกฝน เหมือนกับคนไม่เคยเล่นมือถือ คนไม่เคยจับเมาส์คอมพิวเตอร์ แล้วจะสามารถทำงานหรือใช้อุปกรณ์ได้อย่างเต็มประสิทธภาพได้อย่างไร หากไม่มีคนมีประสบการณ์มาสอน เขาจะทำได้อย่างไร
ผู้อ่านคงเข้าใจดีเกี่ยวกับเรื่องการใช้สมาร์ทโฟน หรือมือถือรุ่นใหม่ ที่ราคาเป็นหมื่นบาทแต่มีขนาดเท่าๆ กับมือถือรุ่นถูกๆ ท่านคงอดหัวเราะในความล้าสมัยของคนหลายๆ คนที่พกพามือถือรุ่นใหม่ๆ ราคาแพงเป็นหมื่น แต่หลายๆ คน พกไปอย่างนั้นเพื่อความเท่ และบ่งบอกฐานะทางสังคมเท่านั้น แต่เจ้าของมือถือไม่ได้ใช้ความสามารถ หรือแอพลิเคชั้นต่างๆ ที่มีความสามารถมากมายในมือถือได้ ตัวอย่างเช่น มือถือสามารถอ่านอีเมล์ให้เราฟังได้ สามารถบอกตำแหน่งว่าขณะนี้เราอยู่ที่ไหนของแผนที่ มือถือสามารถบอกว่าปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุดในบริเวณที่เราขับเราอยู่ มันอยู่ตรงไหน มือถือสามารถ สแกนหน้าหนังสือให้เป็นตัวอักษรได้ มือถือสามารถตอบรับโทรศัพท์ด้วยเสียงพูด สามารถอัดเสียงการสนทนาระหว่างการโทรศัพท์เพื่อใช้เป็นหลักฐานในคดีของศาลได้ ฯลฯ และนี่คือสิ่งที่ผมกำลังจะพยายามบอกว่า ใันการเชื่อพระเจ้านั้นเราได้มีสิทธิพิเศษมากมายในการได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อพระเยซู แต่มีใครกี่คนที่รู้ เข้าถึงและใช้สิทธิอำนาจนั้นเป็น มันคงเป็นเหมือนการใช้มือถือที่ผมกล่าวมา
.................................
ที่ผมเกริ่นนำเสียยาวเฟ้ย ก็เพื่อจะบอกใครๆ ที่รักความยุติธรรมได้โปรดฟังเสียงน้อยๆ ของคนมีใจรักในการประกาศแบบใช้ฤทธิอำนาจของพระเจ้าในการวางมือรักษาคนป่วย และการปลดปล่อยนะครับ
ผมขอตั้งคำถามสำหรับ พวกนักการศาสนาหัวอนุรักษ์ พวกผู้รับใช้องค์กร หรือพวกที่ชอบอ้างตัวเองว่าเป็น "ผู้รับใช้พระเจ้า"ดังนี้
ก. การที่คนสักคนหนึ่งที่มีความกระตือรือล้นในการประกาศพระนามของพระเยซู ด้วยวิธีการแบบหนังสือกิจการ และทำตามแบบที่พระเยซูเคยทำ คือการทำการอัศจรรย์แห่งการหายโรคในพระนามพระเยซู ขับวิญญาณ และปลดปล่อยคนออกจากอารมณ์ร้ายๆ ทำไมมันจึงกลายเป็นลัทธิเทียมเท็จไปได้
ตัวผมเองมีความรู้ดีพอควรทั้งทางโลก และทางธรรมะ ที่สำคัญคือผมได้รับความเมตตาจากพระเป็นเจ้าให้มีของประทานหลายด้าน ถ้าหากผมอยากทำงานแบบสบายๆ ผมไม่ต้องไปเขียนบทความเสียดแทงสดือใคร ผมอาจจะสามารถเดินอยู่ในวงการอย่างสง่า มีเพื่อนฝูงที่อยู่ในวงการเป็นพันๆ แต่ผมเลือกที่จะเดินในเส้นทางแห่งขวากหนามมากกว่า การกัมหัวให้วิญญาณศาสนาและพิธีกรรม ให้วิญญานวัฒนธรรมโบราณ ให้มาสนผูกมัดแล้วเอาเชือกผูกจูงลากไป พร้อมกับเอาแอกเบาๆ ใส่บ่าเพื่อให้ทำงานรูทีนง่ายๆ ที่น่าเบื่อ และมองไม่ค่อยเป็นทางเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรโบราณที่ขับรถใส่เกียร์ว่างหรือเหมือนรถลากโบราณที่ไปด้วยความเร็วแค่เกียร์หนึี่่่ง ที่เร่งจนสุดคันเร่งแต่ก็ยังไปไม่ถึงไหน
การเงียบและไม่ติติงใคร ปิดปากไว้ ทำสมานฉันท์ ปรองดองกับความบาป นักเทศน์ทั่วไปอาจไม่ต้องดิ้นรนอะไรก็จะมีคนเชิญไปเทศนาเพื่อพูดหนุนใจคริสเตียนที่ชอบดำเนิชีวิตแบบง่าย ตามวิถีของวัฒนธรรมดั่งเดิม ติดหลุมความบาป ที่ชอบฟังคำเทศนาด้วยการพูดคำหนุนใจหวานๆ และเทศนาเพื่อให้คนสบายใจไปวันๆ โดยเข้าใจไปว่า การดำเนินชีวิตแบบผู้เชื่อที่ไม่ต้องมีความบริสุทธิ์และ การชำระตัวเอง แต่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความบาป และสนุกสนานเพลิดเพลินกับชีวิตเป็นสิ่งที่พระเจ้ารับได้
แต่ผมกลับอยากเป็นผู้ทรนง อยากประกาศเหมือนกับยอห์นบัพติสมา ที่พูดป่าวประกาศว่า ขอให้คริสเตียนกลับใจใหม่ ขอให้คริสตจักรกลับใจใหม่ หันเข้ามาสู่ การรักษาชีวิตที่บริสุทธิ์ที่นำมาซึ่งสิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณ ด้วยการพยายามทำพระมหาบัญชาให้สำเร็จด้วยการทำงานอย่างมียุทธวิธี และประกาศสงครามกับวิญญาณอื่นทุกชนิด พร้อมกับเรียนรู้ที่จะถ่อมใจเข้ามาเรียนรู้ วิธีใช้ของประทานฝ่ายจิตวิญญาณอย่างที่คริสตจักรเริ่มแรกเคยทำ บางครั้งในอดีต คริสตจักรไทยบางแห่งเคยทำมาแล้ว แต่มันนานมาก บางครั้งเป็นการกระทำของพวกผู้มิชชั่นผู้เยี่ยมเยียนเป็นบางครั้งบางคราเท่านั้น เราอยากให้การอัศจรรย์เกิดขึ้นทุกคริสตจักร และทุกๆ ครั้งที่คริสเตียนมีการรวมตัวกัน ถ้าเป็นแบบนี้ผมเชื่อว่าคริสเตียนไทย "รุ่งโรจน์โชติช่วง ชัชวาลย์" แน่นอนเลยครับ
ข. ลัทธิเทียมเท็จในคำจำกัดความของคนพวกนี้คือ อะไรกันแน่
คือพวกที่สอนแปลกไปจากสิ่งที่พวกเขายึดถือเท่านั้นหรือ หรือว่าสอนไม่ถูกต้องตามสิ่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
ค. ทำไมนักการศาสนาใหญ่ๆ ต้องห้ามคนที่จะมาเรียนรู้วิธีการประกาศแบบนี้ว่า เป็นการแย่งลูกแกะ พวกเขาเหล่านี้ มีคนเยอะแยะอยู่แล้ว ทำไมไม่แบ่งให้คนไปช่วยกันขยายอาณาจักรของพระเจ้าบ้าง ทำไมต้องกีดกั้น ขัดขวาง ทั้งๆ ที่น่าจะส่งเสริมให้คนออกไปตั้งคริสตจักรเป็นไปอย่างแพร่หลาย และให้มีมากๆ เพราะประเทศไทยมีคริสเตียนไม่กี่แสน
นักการศาสนาระดับใหญ่ เป็นอาจารย์ที่ชาวคริสต์ยกย่องว่าเป็นผู้รับใช้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ มีโบสถ์ใหญ่ สร้างด้วยเงินเป็นหลายล้านบาท โบสถ์ของพวกเขาติดแอร์อย่างดี ติดผ้าม่าน มีเครื่องเสียง มีโปรเจ็คเตอร์อย่างดี มีฝรั่งเอาเงินมาให้เป็นประจำ นักการศาสนาไม่ต้องกลัวอด เพราะมีคนส่งเงินเดือนและค่าใช้จ่ายต่างๆ มาให้ทุกเดือน ทำไมต้องกีดกันสมาชิกไม่ให้ออกไปประกาศพระนามพระเยซู
คนเหล่านี้ รวมหัวกันต่อต้านนักประกาศคนหนึ่งที่ต้องการประกาศแบบใช้การปลดปล่อยให้คนหายจากการป่วยใข้ ด้วยฤทธิอำนาจของพระเยซู ทำไมพวกเขาต้องหาเรื่องว่ามีคนแย่งลูกแกะของเขาด้วย
พี่น้องอาจสงสัยว่า ทำไมพวกนักการศาสนาระดับใหญ่ ระดับบิ๊ก มันจึงรวมหัวกันกล้วคนที่ประกาศด้วยฤทธิ์เดชเพียงคนเดียว แล้วก็ออกข่าวต่อต้านนักประกาศอย่างลับๆ ทำตัวเหมือนกับเรื่องสุนัขล่าเนื้อกับลูกกวางอ่อนที่หมดทางสู้แบบนี้
ผมว่าคนที่กลัวนักประกาศข่าวประเสริฐด้วยการอธิษฐานหายโรคแล้วทำการต่อต้าน กล่าวโทษ ว่าร้ายต่างๆ นานา พฤติกรรมอย่างนี้มันต้องมีอะไรแอบแฝงแน่ๆ ทำไมพวกเขาต้องกลัว ต้องตื่นตระหนก นักประกาศอิสระทำงานคนเดียวไม่มีองค์กรสนับสนุนนี่ มันเป็นงานง่ายๆ หรือ การทำงานแบบประกาศเดียว ไม่ได้รับเงินเดือนจากฝรั่ง หรือองค์กรใดๆ เขาไม่มีอาคารโบสถ์ใหญ่โตเป็นล้านๆ เหมือนของพวกคริสต์ที่รวยๆ โบสถ์ของพวกคริสต์ในเมืองใหญ่ๆ ติดแอร์อย่างดี มีเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน คนไปเข้าร่วมนมัสการกับพวกนี้ไม่ต้องทำอะไร แค่ไปนั่งฟังเทศนาเรื่องความร่ำรวย ความสำเร็จ วิธีพิชิตปัญหาสารพัน แล้วก็กลับไปบ้าน ทุกๆ เช้าวันอาทิตย์ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องมีการอธิษฐานไม่ต้องมีอะไรมาก
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า คนไปนั่งฟังก็ยังเป็นเพียงผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน หรือผู้ติดตามลัทธิความเชื่ออย่างหนึ่งเท่านั้น ชีวิตไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีเมตตา ไม่มีความรัก ไร้สันติสุขที่แท้จริง เพราะมันเริ่มจากหัวไปสู่หางนั่นเอง ในทัศนะของผม คนพวกนี้อาจมีลักษณะชีวิตและพฤติกรรมเป็นเพียงต้นไม้บอนไซเท่านั้น
เพราะอะไรหรือ ผมถึงบอกว่าพวกนี้เป็นพวก บอนไซ หรือต้นทุเรียนที่ปลูกในกระถาง เพราะพวกเขาไม่สามารถนำคนมารอดได้ ในระยะเวลาที่ยาวนานนับเป็นสิบๆ ปี พวกเขาได้คนมาเชื่อไม่เท่ากับจำนวนปีอายุขององค์กรที่เขาตั้งขึ้นด้วยซ้ำ น่าช้ำใจไหมล่ะ ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกที่แสนจะน่ารัก เป็นเบบี้ที่น่ากอด น่าหอม น่าอุ้ม แต่เวลาผ่านไปห้าสิบปี เด็กทารกยังไม่โต ยังคงเป็นเด็กทารกเดินเตาะแตะ ต้องให้ป้อนข้าวป้อนน้ำทุกๆ วัน ไม่สามารถจะเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถแต่งงาน เลี้ยงตัวเอง สืบลูกสืบสกุลขยายพันธุ์ ออกผลเป็นเมล็ดพันธุ์ดี พันธุ์แท้เหมือนกับต้นแม่พันธุ์ดั่งเดิมได้
ชีวิตของพวกที่อ้างตัวว่าเป็นคริสตชนหลายคน มีคุณภาพชีวิตที่ไม่ได้ดีเด่ไปกว่าคนนับถือรูปเคารพ และวิญญาณอื่นมากนัก พวกเขาไม่ได้รับสันติสุขที่กล่าวอ้างว่ามี พวกเขายังยากจนเหมือนกับคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อพระเจ้า พวกเขาเจ็บออดๆ แอดๆ ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลเนืองๆ เหมือนกับชาวบ้านทั่วไปที่ไม่ได้รู้จักพระเยซู พวกเขาเพาะปลูกอะไรมันก็ได้ผลพอๆ กับของชาวบ้านทั่วไป ไม่ได้ดีไปกว่าของชาวบ้านที่ไม่รู้จักพระเยซู ลูกหลานของพวกที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนจำนวนมากเป็นพวกติดเกม ติดภาพลามก ชอบโกหกพ่อแม่ ส่ำส่อนทางเพศ มีหลายผัวหลายเมีย ชีวีป่วยไข้ หลายคนเป็นขี้เหล้า ขี้ยา ผมขอถามว่าการเป็นคริสเตียนมันดีกว่าการเชื่อศาสนาอื่นตรงไหนล่ะ เป็นคริสเตียนแบบนี้ ในทัศนะของผม ผมว่าไม่เป็นดีกว่า เสียเวลาเปล่าๆ เราเข้าใจว่าบางคนตายไป จะได้เข้าสู้สวรรค์หรือไม่ เจ้าตัวเองยังไม่แน่ใจเลย
ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นนักการศาสนาหลายคน มีคุณภาพชีวิตในสบายที่เรียกว่า อัตคัด อดๆ อยากๆ นักการศาสนาหลายคนจึงไม่สามารถส่งต่อความเชื่อและสายเลือดแห่งการเป็นผู้รับใช้พระเจ้า เหมือนกับเผ่าอาโรนอีกแล้ว เพราะอะไรหรือ ก็เพราะการเป็นคนใช้พระเจ้ามันขัดสนไปทุกอย่าง ยากจนข้นแค้น ไร้ศักดิ์ศรีทางสังคม เพราะขาดแคลนไปทุกอย่าง เงินเดือนก็ถูกกักถูกปิดกั้น เวลาครอบครัวหรือตัวเองเจ็บป่วยอะไรก็ต้องไปขอเข้าโรงพยาบาล ต้องไปขอใบเอกสารประกอบว่าเป็นคนมีสิทธิรับการลดหย่อน ต้องทำหน้าสองนิ้ววิ่งไปขอให้คนช่วย แล้วมันดีกว่านักบวชศาสนาอื่นตรงไหนล่ะ หลายคนฟังอย่างนี้ชักจะท้อละซิ แต่ผมไม่มีเจตนาเขียนให้ใครท้อถอยในการติดตามวิถีแห่งความเชื่อในพระเยซูคริสต์นะ แต่ผมเพียงต้องการบ่นให้ฟังเท่านั้นว่า การติดตามพระเยซูมันไม่ใช่งานง่ายๆ ถ้าใครไม่มีประสบการณ์เผชิญหน้ากับพระเยซู ไม่รู้จักพระเจ้าด้วยตนเอง อย่าดีกว่า และถ้ามารับใช้พระเจ้าองค์นี้ถ้าไม่สอาดพอ ไม่สัตย์ซื่อ ไม่เอาจริง ผมว่าอย่าทำดีกว่า คุณจะเจ๋ง
ในทางตรงข้าม นักการศาสนาที่ร่ำรวย มีรถยนต์คันหรู มีตึกที่ทำการและห้องทำงานสบายๆ สวยๆ อยู่ บางคนไม่ได้ร่ำรวยเพราะว่ารับใช้พระเจ้าดี แต่พวกเขาเป็นเพียงนักบริหารโครงการที่ดี เป็นคนที่เขียนโครงการเก่ง และติดต่อฝรั่งรวยๆ ได้ พวกเขาจึงได้รับอีเมล์ หรือเสบียงเป็นใบไม้สีเขียนรูปตัวเอสขีดกลาง พวกเขาบางคนรับใช้คนต่างชาติอย่างใจจดใจจ่อมากกว่า การรับใช้พระเจ้าเพื่อนำคนมารอดบาป และสร้างคนให้เป็นสาวก พวกเขาบางคนอาจทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อถ่ายรูปเอาผลงาน เพื่อเพิ่มพูนเงินในกระเป๋าของตนเองมากกว่า การทำให้พระเยซูพอใจก็เป็นได้ อย่างที่เราหลายๆ คนมีประสบการณ์ และเห็นมามากมาย
พวกฝรั่งใจดีบางกลุ่มส่งเงินเข้ามาเป็นฟ้อนๆ เพื่อให้คนที่ชื่อว่าเป็นนักการศาสนาท้องถิ่น สร้างสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "อาณาจักรของอาตมา" แทนการสร้างศาสนสถานสำหรับการบริการปวงชน ให้คนของพระเป็นเจ้ามาใช้ประโยชน์ด้านศาสนกิจ เพื่อประกาศพระนามองค์พระเป็นเจ้า เพื่อให้คนบาปที่แสวงหาสัจจะมาพบกับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ บางคนแอบอ้างศาสนาหากินอย่างหน้าตาเฉย หากท่านเป็นคนที่รู้ข่าววงในอขงนักการศาสนาคริสเตียนบางกลุ่ม บางพรรค เราจะพบว่ามีคดีฟ้องร้องกันมากมายเกี่ยวกับพฤติกรรมการโกง การหุบเอาที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ที่องค์กรต่างประเทศส่งเงินเข้ามาเพื่อให้ทำกิจการของพระเป็นเจ้า เพื่อสร้างหอพักเด็กยากจน หรือสร้างศุนย์อบรมอะไรเกี่ยวพระเยซู แต่พวกโลภมาก ปากว่าตาขยิบ ดำเนินการหุบเอาไปเป็นของตนเองและครอบครัวอย่างไม่ละอายต่อบาป หรืออายฟ้าอายดิน หรือคนที่รู้เห็นความจริงใดๆ เลย
ง. คนที่อ้างตัวว่าเป็นนักการศาสนาชาวคริสเตียนบางคน ชอบอ้างคำว่า "ความรัก" "พี่น้องคริสเตียน" "พระกายของพระคริสต์" บางคนพูดคำเหล่านี้จนติดปาก แต่ทำไมจึงทำกับนักประกาศอิสระแบบนี้ หากท่านคิดว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ ทำไมท่านไม่ยกหูโทรศัพท์โทรหาเขา แล้วบอกว่า "น้อง...พี่ได้ยินมาว่า น้องทำแบบนี้ๆ พี่ว่าน้องทำอย่างนี้อาจจะไม่เข้าท่านะ พี่ว่าน้องปรับปรุงหน่อยได้ไหม? น้อง... ความจริงมันเป็นยังไงนะ... เออพี่ว่าทำอย่างนี้ดีไหม...
ผมคิดว่าถ้ามีคนทำแบบนี้ผมจะเข้าท่ากว่า การพูดให้ร้ายป้ายสีว่าคนนั้นคนนี้เป็นลัทธิเทียมเท็จ หรือแย่งลูกแกะนะ ผมเชื่อว่า เป็นการอ้างของคนที่มีวิญญาณอื่นดลใจให้ทำอย่างนี้แน่ๆ เพราะมันไม่ใช่หลักการของคริสเตียนที่มีความรักแน่ๆ
คนที่มีสำนึกที่ดีเขาต้องคิดได้สิครับ เพราะความจริงมันเป็นอย่างนี้
ถ้าคนเหล่านั้นเป็นคนมีสติดี มีการศึกษาดี ใครอยากจะไปอยู่กับโบสถ์แบบไหน โบสถ์ใหญ่ๆ ที่มีพร้อมทุกอย่าง กับโบสถ์บ้านที่ไม่มีอะไรสักอย่าง หากท่านมีลูกสาวท่านคงเสนอให้ลูกสาวได้แต่งงานกับคนที่เขามี ฐานะ หน้าตา และมีบ้าน มีรถ ท่านคงไม่อยากให้ลูกสาวไปแต่งงานกับคนจนๆ ใช่ไหมครับ และถ้าท่านเป็นลูกสาวคนนั้น ท่านคงไม่โง่ไปแต่งงานกับคนจนๆ ที่ไม่มีความรู้ ไม่มีอะไรดี ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ผมว่าคนที่ไปอยู่กับคนจนๆ แบบนี้ สติยังดีหรือเปล่า นี้คือข้อสังเกต ท่านคิดว่าคนที่ออกจากโบสถ์ใหญ่ๆ มาอยู่กับคนไม่มีอะไรสักอย่างโง่หรือ ใครผิดพลาดกันแน่ พิจารณาตัวเองบ้างน่าจะดี แต่เชื่อไหมยังมีคนอีกมากมายที่พร้อมจะย้ายไปอยู่บ้านหลังเล็กๆ ที่มีพระเยซูองค์ที่สำแดงเดช มากกว่าพระเยซูบางองค์ที่อยู่โบสถ์ใหญ่ๆ รวยๆ แต่ไม่มีการสำแดงการอัศจรรย์อะไรเลยเป็นอาทิตย์แล้ว อาทิตย์เล่า
อาจารย์ใหญ่ที่ออกมากีดกันคนไม่ให้มาเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ เพื่อการเข้าสู่ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สิ่งที่เป็นประสบการณ์ด้านฤทธิอำนาจในพระนามของพระเยซูนี้ อาจมีอะไรผิดปกติในสมองของท่านหรือเปล่า ท่านไม่อายปากตัวเองหรือที่ท่านพูดออกมาว่า มีคนมาแย่งสมาชิก ด้วยการกล่าวอ้างว่ามีคนมาสอนเท็จ แล้วห้ามคนไม่ให้ไปติดต่อ หรือไปร่วมการประกาศกับเขา ผมว่าตลกมากๆ ครับ
ผมเข้าใจว่า โบสถ์ที่ใหญ่ๆ รวยๆ หลายแห่งที่คนได้พบความจริง พบพระเจ้าจริงๆ แล้ว เขาจะไม่อยากอยู่ครับ เพราะเวลาที่เขาไปโบสถ์แล้วเขาไม่พบสันติสุข เขาไม่พบพระเจ้าครับ เขาไม่อิ่มกับการนมัสการแบบจืดชืด ใส่หน้ากาก พิธีกรรมที่วางกรอบทุกอย่าง เขาได้พบแต่พวกสอนความรู้ นักเล่าข่าว นักประชาสัมพันธ์ นักวางแผนโครงการ นักจัดกิจกรรมรื่นเริง พวกเขาฟังเทศนาที่ไร้วิญญาณ เขาพบกับคนที่ป่วยและยากจนทางจิตวิญญาณ เขาจึงไม่อยากไปร่วม เขาจึงพากันออกไปไงครับ
ข้อเพิ่มอีกข้อ ข้อ จ. ใครที่หาว่าผู้ทำการประกาศด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเป็นพวกลัทธิเทียมเท็จ นี่ ไม่อายปากตัวเองบ้างหรือ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ท่านผู้อ่านทุกคนย่อมเป็นผู้มีวิจารณญาณที่เที่ยงธรรม คงไม่อยากให้วิญญาณหรืออคติบางอย่างปิดบังในมโนสำนึก ท่านก็จะสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดมาจากพระเยซู สิ่งใดมาจากวิญญาณอื่น ใครๆ ก็ดูออก ของจริงกับของปลอมมันจะแตกต่างกันที่ผลของการกระทำ ผลการปฏิบัติงาน และระยะเวลาจะพิสูจน์ได้ว่า ของใครเป็นของจริง ของใครเป็นแค่หมาเห่าใบตองแห้ง
มีนักเรียนในโรงเรียนคริสเตียนใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัด ได้รับฟังเรื่องที่ครูสตรีที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนที่เป็นลัทธิของแท้ กล่าวหาคนอื่นอย่างไม่มีหลักฐานว่า ทีมประกาศของเราเป็นลัทธิเทียมเท็จ คนๆ นี้ไปที่ไหน เขาก็พยายามป่าวประกาศว่า ทีมลูกศิษย์ของผู้ประกาศ เป็นพวกลัทธิเทียมเท็จ ให้ระวัง ให้ออกห่างๆ เพราะว่าจะถูกชักจูงให้หลงไปจากพระเจ้า ทั้งๆ ที่ครูคริสเตียนคนนี้มันก็ไม่เคยได้พูดได้คุยอะไรกับผมแม้แต่น้อย แล้วมันไปเอาความคิดมั่วๆ คำกล่าวหานี้มาจากไหน ถ้าเขาไม่ได้รับมาจากพ่อของเขา คือไอ้แมงเขาโง้ว ที่ชอบใส่กางเกงสีเขียว ใส่กางเกงในกลับออกด้านนอกสีเขียวๆ และที่มือมันถือสามง่ามด้วยตัวนั้น คำกล่าวหานี้ไม่มาจากใครหรอก เพราะทีมของเราเป็นอันตรายต่ออาณาจักรของมันอย่างมาก เราไปที่ไหนสะเทือนสะท้านที่นั่นทุกครั้ง
พี่น้องครับ ผมขอตั้งข้อสังเกตและคำถามดังนี้ครับ ทีมของเราไปที่ไหน เราก็สามารถอธิษฐานวางมือให้คนเจ็บคนป่วยหายกันอย่างขนานใหญ่ บางครั้งพวกเราก็พบคนที่ถูกวิญญาณรบกวน ชีวิตขาดสันติสุข บางคนมีปัญหาทางจิตใจและอารมณ์ ก็ได้รับการบรรเทา การเยียวยา คนหูหนวกก็ได้ยิน คนตาบอดตาฟางก็กลับเห็นได้ดี คนเป็นโรคความดัน ความดันก็ลดลง แม้แต่คนกระดูกสันหลังคด ก็ยังเหยียดตรงออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ คนเป็นเนื้องอกที่เต้านม ยุบลงไปได้ง่ายๆ นี่มันอะไรกัน สิ่งนี้เป็นลัทธิเทียมเท็จหรือ ฟังแล้วอาจดูตลกไม่ออกนะครับ
สิ่งเหล่านี้ เราไม่ได้ทำในนามของพระเจ้าองค์ใด หรือเทพองค์ใด หรือวิญญาณอื่น นอกจากพระนามของพระเยซูคริสต์ แต่น่าสังเกตตรงนี้คือ คือไอ้คนที่ชอบกล่าวหาคนอื่นว่าเป็นลัทธิเทียมเท็จ กลับทำอัศจรรย์อะไรไม่ได้สักอย่าง ดีอย่างเดียวครับ คือสร้างความแตกแยก ความสับสน ความสงสัย และกล่าวหาคนอื่นว่าเป็นอย่างนันอย่างนี้ เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น นี่มันคนมีพระเจ้าหรือเปล่า
นักการศาสนาสายความรู้ ที่เราเรียกว่าธรรมาจารย์ คนพวกนี้วางมือคนป่วยก็ไม่หายโรค เจิมคนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผีก็ไม่เคยขับออกได้ เจอผีก็จะรีบโทรหาอาจารย์คนอื่นๆ ให้มาช่วยกัน ตัวเองทำไม่เป็น ทำไม่ได้ กลัวผีจนหัวหด ไม่กล้าอธิษฐานขับผี เวลามีใครไปถามเกี่ยวกับเรื่องผีๆ ก็จะพูดเลี่ยงๆ ว่า อย่าไปยุ่งกะมัน คนอยู่ส่วนคน ผีอยู่ส่วนผี พฤติการณ์อย่างนี้ ผมขอถามว่า อันไหนเป็นของแท้ อันไหนเป็นลัทธิเทียมเท็จครับ ผมคิดว่าไอ้คนที่ชอบว่าคนอื่นเป็นของเทียมนี่ หน้าอายมากกว่านะครับ เพราะของตนเองกลายเป็นแค่ของแท้แบบพันธุ์ทาง หรือพวกผ่าเหล่ามากกว่า คนประเภทนี้ผมคิดว่าเป็นพวกนิยมอนุรักษ์ศาสนาโบราณมากกว่า เป็นผู้เชื่อแท้ของพระเยซู เพราะผู้เชื่อแท้ของพระเยซูสามารถทำสิ่งนี้ได้ครับ การอัศจรรย์ในพระนามไม่ใช่เรื่องที่ยากครับ
น่าดีใจที่ลูกศิษย์ เด็กหนุ่ม เด็กสาวที่มารับการสอน รับการฝึก ออกภาคสนามกับผมไม่กี่ครั้งพวกเขาก็สามารถอธิษฐานวางมือให้คนหายป่วยหายโรคด้วยพระนามพระเยซูได้ พวกเขาไม่ึ้กลัวผี เราขับวิญญาณที่สิงสู่ในคนออกได้อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ใช่แค่คนสองคน เราทำมาการรักษาคนและขับวิญญาณรวมกันแล้วเป็นร้อยคน แต่ทำไมคนที่อ้างตัวว่าเป็นพวกศาสนานิยมกลับทำได้แค่ เทศนาอธิบายความหมายข้อความจากหนังสือโบราณ อธิบายความหมายของคำง่ายๆ ให้เป็นคำภาษาฮีบรู ภาษากรีก เพื่อแสดงตัวว่าตัวเองมีความรู้ทางศาสนาดีเท่านั้น พวกเขานิยมสอน นิยมบอกวิธีการทำตัวให้เป็นคนดี วิธีสร้างความสำเร็จ วิธีปฏิบัติเป็นชาวศาสนิกที่ดีเท่านั้น คือมาร่วมประชุม มานั่งฟัง มาหัดร้องเพลง และให้บริจาคทรัพย์มากๆ ให้กับองค์กร ปีแล้วปีเล่า คนที่อยู่ในโบสถ์ที่มีพวกนี้เป็นใหญ่ เป็นเจ้าอธิการ ผู้เชื่ออาจยังเป็นคนเชื่ออ่อนๆ ยังเป็นแค่สมาชิกที่คาบหัวนมยางอยู่เท่านั้น
การสอนคนให้ทำตัวเป็นคนดี มันไม่ยากหรอกครับ นักบวชศาสนาไหนเขาก็สอนได้ และบางลัทธิอาจจะสอนได้ดี และปฎิบัติตนบำเพ็ญเพียรได้ดีกว่า พวกนักการศาสนาที่มักอ้างตัวว่าเป็นอาจารย์ทางศาสนาหลายๆ คนด้วยซ้ำ การสอนให้คนทำความดีนี่ ใครๆ ก็สอนได้ แต่คนรับการสอนจะสามารถทำได้หรือไม่นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมคิดว่ามันถึงเวลาต้องมาปฏิรูปความเชื่อกันแล้วครับ เพราะผมเคยได้ยินคำที่นักการศาสนาประเภทที่ไม่สามารถทำอะไรที่มันเหนือธรรมชาติได้ ชอบอ้างว่า "ไม่มีของประทาน"
แต่ละคนอ้างคำนี่ตลอดมาเป็นสิบๆ ปี แล้วท่านไม่แปลกใจหรือครับ ทำไมลูกศิษย์ที่ผมสอนทำไมเขาทำได้ล่ะ แล้วพวกเขาสามารถทำได้กันเกือบทุกคนเลย นี่มันอะไรกัน หรือว่าของประทานนี่มันมีแต่ในพวกที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกเทียมเท็จ ทำไมพวกที่อ้างว่าตนเองเป็นของจริง ทำไมทำไม่ได้ ถ้าคุณไปซื้อไก่ชน คุณจะเอาไก่ที่สวยงาม มีท่าทางเป็นไก่ชนแต่เวลาไปชน กลับตีไม่เป็น ชนไม่เป็น คุณจะซื้อไหม ผมว่าน่าคิดนะครับเรื่องนี้ ถ้าคุณเป็นคนชอบชนไก่คุณจะเอาไหมล่ะ ผมว่าปลายทางของไก่ชนที่ราคาแพง รูปร่างดีๆ แต่ชนไม่เก่งคือไปอยู่ในหม้อแกงเท่านั้นครับ (ขอโทษยกตัวอย่างเท่านั้น -การชนไก่ คริสเตียนเขาไม่นิยมทำกันครับ)
นักการศาสนาบางคนอยู่ในยุทธจักรมานาน ได้สปอนเซอร์ขาใหญ่สนับสนุน จึงมีอาคารโบสถ์ที่ใหญ่ หรูหรา มีเงินเดือนผู้รับใช้กินสบายๆ ไม่ต้องเดือดร้อนให้สมาชิกถวาย แต่บางท่านพยายามกีดก้นไม่ให้คนที่ท่านคิดว่าเป็นสมาชิกของท่านบางคนที่ต้องการไปร่วมกิจกรรมการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องของรอดในพระนามพระเยซู ออกไปร่วมกิจกรรมการประกาศใดๆ ทั้งๆ ที่การออกเป็นการเพิ่มพูนความรู้ และทักษะในการรับใช้พระเจ้าอีกทางหนึ่ง เพราะเขาต้องการไปเรียนรู้วิธีการใหม่ๆ เพื่อออกเผยแพร่ข่าวประเสริฐแห่งความรอดบาป แก่คนอีกมากมายที่ยังไม่รอด กำลังมองหาพระดีๆ อยู่
คนที่ต้องการออกจากโบสถ์ใหญ่เพื่อไปอยู่กับคนไม่มีอะไรนี่ เขาทำไมออกมาร่วมงานกับคนอย่างนี้ล่ะ กิจกรรมของนักประกาศอิสระ เขาไม่มีรถยนต์บรรทุกใครต่อใครไปเที่ยว เขาไม่มีการแจกของ ไม่มีการให้ทุนการศึกษา ใครมาอยู่กับนักประกาศอิสระต้องเหนื่อยเพราะทีมนักประกาศต้องประชุมอธิษฐานและนมัสการอาทิตย์ละหลายครั้ง เช่นวันอังคารมีการประชุมตามบ้าน วันศุกร์ประชุมอาธิษฐาน และวันอาทิตย์ตอนเช้ามีนมัสการ ก่อนนมัสการก็ยังมีการอธิษฐานก่อน ตอนบ่ายวันอาทิตย์ยังมีการอธิษฐานปลดปล่อย รักษาคนเจ็บคนป่วยอีก ใครมาอยู่กับเขาต้องเหนื่อยอย่างมาก ใครอยากจะมาลำบากล่ะ ถ้าเขาไม่มีอะไรบางอย่างขับดันภายในความคิด ในวิญญาณของเขา
ตัวอย่างการประชุมอธิษฐานในคืนวันศุกร์ ทีมประกาศเขามักจะอธิษฐานกันจนดึกจนดื่น หลายๆ คืนเขาเลิกประชุมตอน 23.00 น. บางทีก็ตีหนึ่งตีสอง โบสถ์ใหญ่ทำกันหรือเปล่าล่ะ ถ้าทำมีคนมากี่คน
ผมคิดว่าการที่คนเขาติดตามทีมประกาศอิสระ เพราะเขาคงเชื่อว่าพวกนี้ต้องมีอะไรดีๆ ที่โบสถ์ใหญ่ๆ หลายแห่งไม่มีแน่ๆ พวกเขาเพียงแต่กลัวว่าแกะอ้วนจะหนีไปกินหญ้าคอกอื่น ทำไมผู้นำไม่ปรับปรุงตัวเองล่ะ ปรับปรุงองค์กรของท่านให้มีการนมัสการที่เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าซิ สร้างทีมนมัสการที่ดีสิ ใช้เครื่องเสียงที่มีคุณภาพสิ เทศนาอย่างมีชีวิตชีวา ปรับปรุงพิธีการนมัสการพระเจ้าที่เน้นพิธีกรรม จนคนนั่งหลับเกือบทั้งห้องเสียใหม่ ใส่ใจคนที่เขามาร่วมนมัสการกับท่านให้ดี ดูแลเขาให้ดีด้วยใจจริงสิ แล้วเมื่อคนมาพบของดีแล้วเขาจะไปไหน ทำไมต้องห้ามต้องกีดกันคนว่าต้องเป็นทาสอยู่ในอาณาจักรของอาตมาเท่านั้น
นอกจากนี้ผู้นำที่ดี จงสอนผู้เชื่อให้เติบโตด้วยถ้วยคำของพระเจ้า ด้วยความรัก แทนการเทศนาแจกความรู้สิ หากมีใครเข้ามานั่งในโบสถ์ของท่านแล้วไม่สบาย ปวดหัว มีโรคภัยรบกวน ท่านก็ช่วยกันอธิษฐานให้เขาจนเขาหายดีสิ อย่าพยายามเพียงเอาคนมาเข้าโบสถ์ให้เป็นแค่คนถวายทรัพย์ เป็นแค่ลูกแกะอ้วนที่ชอบนั่งฟังสิ เป็นสมาชิกขมองอิ่ม ท่านจงรักเขาด้วยใจจริงสิ รักษาโรคเขาให้หายด้วยฤทธิเดชของพระเยซูที่ท่านอ้างว่ามีชีวิตอยู่สิ สอนให้เขากล้าเป็นพยานบอกเล่าข่าวประเสริฐแห่งฤทธิอำนาจของพระเยซูคริสต์สิ แล้วโบสถ์แบบนี้ก็จะมีคนวิ่งเข้ามามากมาย จนนักการศาสนาที่ทำงานอยู่ไม่มีเวลาที่จะเลี้ยงดูอย่างทั่วถึงด้วยซ้ำ การที่คนทยอยกันเข้ามาอยู่ในคริสตจักรแบบนี้ ผมเชื่อว่าเป็นเพราะเขาเห็นว่าพระเจ้าอยู่กับคริสตจักรที่มีฤทธิ์เดช มีการปลดปล่อยของพระเจ้าไม่ใช่หรือ
โบสถ์รวยๆ หลายแห่งมีทรัพยากรมากมาย ทำไมไม่เอามาใช้ ทำไมไม่ออกประกาศข่าวประเสริฐ แต่กลับมาตั้งข้อสังเกต ข่มขู่นินทา คนอื่นที่เขาจะประกาศข่าวประเสริฐ มีการบล๊อค กีดกัน ส่งต่อข้อมูลเป็นเท็จ นักการศาสนามีความรู้สึกสูงเสียเปล่า แต่ขาดวิจารณญาณ หูเบา แต่เชื่อคนปากบอน ปากม้า ที่ชอบซุบซิบนินทา สร้างความแตกแยกในพระกายของพระคริสต์ คนของโบสถ์เก่าๆ บางคนออกมากล่าวหาใครๆ ส่งเดชว่าเป็นลัทธิเทียมเท็จแบบนี้ ผมคิดว่าไม่ใช่ศักดิ์ศรีคนของพระเจ้าแน่ๆ ผมคิดว่าเป็นพวกนักเลง หรือเป็นลูกพญามารมากกว่าการอ้างตัวเป็นลูกพระเจ้า
บางคนออกมาต่อต้านการประกาศด้วยฤทธิอำนาจของพระเยซูของพวกนักประกาศอิสระ ว่าเป็นลัทธินอกรีต อ้างว่าคำสอนบางอย่าง ไม่มีในพระคัมภีร์ พวกเขาเอาอะไรมาพูด เขาไม่กลัวใครๆ กล่าวหาว่าท่านเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กหรือ ผมว่าเลิกเสียเถอะครับวิธีการสกปรกแบบนี้
ท่านผู้อ่านลองนึกดูขนาดพวกฟาริสี และพวกธรรมาจารย์ ที่ใครๆ นับถือว่าเป็นผู้รู้ เป็นกูรูพระคัมภีร์ แต่ยังถูกนับว่าเป็นคนโง่ เป็นคนชั่วร้ายในสมัยพระเยซู พวกฟาริสียังไม่ทำสิ่งเลวๆ เหมือนกับคนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้รับใช้พระเจ้าบางคนกำลังกระทำอยู่ ดังตัวอย่างในพระคัมภีร์ตอนนี้
...
เมื่อเขาได้พาพวกอัครทูตมาแล้วก็ให้ยืนหน้าสภา มหาปุโรหิตประจำการจึงถามว่า
“เราได้กำชับพวกเจ้าอย่างแข็งแรงมิให้สอนออกชื่อนี้ ก็นี่แน่ะ เจ้าได้ให้คำสอนของเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และปรารถนาให้ความผิดเนื่องด้วยความตายของผู้นั้นตกอยู่กับเรา”
ฝ่ายเปโตรกับอัครทูตอื่นๆตอบว่า...
“ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ พระเยซูซึ่งท่านทั้งหลายได้ฆ่าเสียโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้นั้น พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงบันดาลให้เป็นขึ้นมาใหม่ พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ ให้เป็นองค์พระผู้นำและองค์พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงโปรดยกความบาปผิดของเขา เราทั้งหลายจึงเป็นพยานถึงเรื่องเหล่านี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์นั้น ก็เป็นพยานด้วย”
เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินอย่างนี้โทโสก็พลุ่งขึ้น คิดกันว่าจะฆ่าพวกอัครทูตเสีย แต่คนหนึ่งชื่อกามาลิเอล เป็นพวกฟาริสีและเป็นบาเรียน เป็นที่นับถือของประชาชน ได้ยืนขึ้นในสภา แล้วสั่งให้พาพวกอัครทูตออกไปเสียภายนอกครู่หนึ่ง ท่านจึงได้กล่าวแก่เขาว่า
“ท่านชนชาติอิสราเอล ซึ่งท่านหวังจะทำแก่คนเหล่านี้ จงระวังตัวให้ดี
เมื่อคราวก่อนมีคนหนึ่งชื่อธุดาส อวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษ มีผู้คนติดตามประมาณสี่ร้อย แต่ธุดาสถูกฆ่าเสีย คนที่เป็นพรรคพวกก็กระจัดกระจายสาปสูญไป
ภายหลังผู้นี้มีอีกคนหนึ่งชื่อยูดาสเป็นชาวกาลิลี ได้ปรากฏขึ้นในคราวจดบัญชีสำมะโนครัว และได้เกลี้ยกล่อมผู้คนให้ติดตามตัวไป ผู้นั้นก็พินาศด้วย คนที่เป็นพรรคพวกก็กระจัดกระจายไป
ในกรณีนี้ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านทั้งหลายว่า
"จงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรแก่เขาเลย"
"เพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้ มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเอง แต่ถ้ามาจากพระเจ้าท่านทั้งหลายจะทำลายเสียก็ไม่ได้"
"เกลือกว่าท่านกลับจะเป็นผู้สู้รบกับพระเจ้า”
บทคัดลอก จากหนังสือพระธรรมกิจการของอัครทูต บทที่ 5 ข้อ 27-39
ใครไม่กลัวว่า ต้องไปรายงานตัวกับพระเยซู เมื่อตายแล้ว พระเยซูอาจถามว่า
"ทำไมเจ้าต้องต่อสู้เรา ทำไมขัดขวางคนของเรา"
หากใครไม่กลัว ก็จงทำต่อไปเถอะ จงต่อสู้ผู้ที่มีการเจิม ผู้ที่ทำการด้วยฤทธิ์เดชในพระนามของพระเยซูต่อไปเถอะ แต่ผมเชื่อว่าคนที่ต่อต้านพระเจ้าไม่ต้องรอให้ตายก่อนค่อยรับความวิบัติหรอก ผมว่าชีวิตนี้ต้องได้รับเภทภัย ความป่วยไข้ ทุกข์ทรมานก่อนตายแน่ๆ
อีกตอนหนึ่งจากหนังสือพระธรรม มัทธิว 23:13
"วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ พวกเจ้าเองก็ไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ขัดขวางไว้"
พวกฟาริสีไม่อยากให้ใครไปไหน เพราะการที่สมาชิกออกไปจากโบสถ์คือการเสียผลประโยชน์
ถึงแม้การสอน การปฏิบัติ ของคนอื่นจะดีอย่างไร พวกฟาริสี และนักการศาสนาก็ห้ามสมาชิกออกไป ห้ามไปฟัง ห้ามไปรับ ห้ามไม่ให้คนนอกเข้ามาเผยแพร่ความรู้ใหม่ การเปิดเผยใหม่ๆ เชื่ออย่างเดียวกคือ "ของเราดีที่สุดแล้ว"
นี่คือข้ออ้างของพวก ฟาริสี
กลับใจเสียใหม่เถอะครับคริสตจักรไทย พระเยซูไม่ใช่พระเจ้าทางศาสนาที่ไร้ฤทธิเดช
ถ้าพระเยซูอยู่ที่ไหน การอัศจรรย์ต้องบังเกิดขึ้นที่นั่น หากไม่มีการอัศจรรย์ มันแสดงว่า ที่ตรงนั้นพระเยซูอาจจะอยู่แค่เป็นรูปภาพที่ติดฝาฝนัง หรือคล้ายเป็นแค่รูปเคารพที่ยังถูกผูกมัดติดอยู่ที่ไม้กางเขนอยู่ก็เป็นได้ และถ้าเป็นแบบนี้เรื่อยๆ ชุมชนแบบนี้มันอาจมีไม่ได้เห็นอะไรที่เป็นสิ่งอัศจรรย์ใดๆ เกิดขึ้นเลย ปีแล้ว ปีเล่า
ขอพระเจ้าอวยพรคริสตจักรให้เข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง เพราะว่ามันเป็นยุคสุดท้ายแล้ว
Evangelist Rice. March 2011
กลับไปหน้าแรก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ได้อ่านบทความแล้วรู้สึกดีมากๆเลยค่ะ เพราะได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง
ตอบลบทำให้มีหลักการในการดำเนินกับพระเจ้ามากขึ้น ขอบคุณจากใจค่ะ
ขอพระเจ้าอวยพรและหนุนใจในการประกาศใบแบบที่พระเจ้าทรงนำนะค่ะ