A failure of some church leaders.
คริสตจักรที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของวิญญาณอื่น
ความล้มเหลวของผู้นำคริสตจักรไทยหรือ?
คริสตจักรที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของวิญญาณอื่น
ความล้มเหลวของผู้นำคริสตจักรไทยหรือ?
Compromising with the devil is the betrayal of God's covenant.
การปรองดองกับการไหว้รูปเคารพคือการทรยศต่อพระเจ้า
การปรองดองกับการไหว้รูปเคารพคือการทรยศต่อพระเจ้า
วันนี้ได้พูดคุยกับผู้รับใช้พระเจ้าอาวุโส ท่านทำงานกับชนเผ่าและคริสตจักรไทยมาหลายสิบปี ท่านเคยร่วมเทศนากับคริสตจักรในเครือ โอเอ็มเอฟ ท่านผู้นี้มีชื่อว่า อาจารย์เดวิด
ผมถามท่านว่าอาจารย์เดวิดว่า เดี๋ยวนี้ทางอาจารย์ไปนมัสการพระเจ้าที่ไหน
ท่านอาจารย์เดวิดแกตอบว่า "อาจารย์ครับช่วงก่อนผมเป็นนักเทศน์เคลื่อนที่ แวะเยี่ยมเยียนพี่น้องไปเรื่อย ต่อมาคิดว่าน่าจะมาช่วยคริสตจักรใกล้บ้านจริงๆ จัง แต่ปรากฎว่า คริสตจักรที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น คือ
ผู้นำคริสตจักรเขาไม่ได้ใ้ห้ผมทำอะไรเลย ไม่ให้นำประชุม ไม่ให้เทศนา ไม่ให้ครอบครัวเราทำอะไรเลย ทั้งๆ ที่เราก็มีประสบการณ์มากในการรับใช้พระเจ้าทั้งในประเทศไทย ประเทศจีน แต่ที่นี่เขาให้ผมเป็นคนนั่งดู"
"ตอนแรกๆ ผมก็คิดว่าเรายังมาใหม่ เขาคงดูเราก่อน แต่พอนานไปหลายเดือนก็ยังไ่ม่เห็นให้ทำอะไร ผมก็ทนรอ"
"แต่ตอนหลังๆ ผมชักไม่แน่ใจว่า ผู้นำคริสตจักรนี้เขาเกิดใหม่กับพระเจ้าหรือยัง เพราะว่า เขายังอนุญาตให้พี่น้องไปร่วมพิธีทางศาสนาอื่นได้ ไปถวายทานที่วัดกับพี่น้องชาวพุทธได้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงออกชอมกับความเชื่ออื่นได้ขนาดนั้น "
มีครั้งหนึ่งขณะที่ประธานคริสตจักรกำลังทำพิธีถือศีลมหาสนิท เขาเป็นคนถือถาดขนมปัง แต่พอดีขณะนั้นมีเสียงโทรศัพท์เข้ามาดังในกระเป๋าของกางเกงของเขา ผู้นำคนนี้ก็หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาพูดคุยกับใครบางคนที่โทรเข้ามา เป็นเวลาประมาณ 10 นาทีแล้วก็ทำพิธีศีลต่อ ผมดูแล้วหดหู่จริง คริสตจักรแห่งนี้ทำพิธีนมัสการพระเจ้าเหมือนเป็นพิธีกรรมบางอย่างเท่านั้น ไม่ได้ทำจริงจัง และขณะที่มีการเทศนาสมาชิกก็คุยกัน และคนฟังเทศน์ก็มักจะมองออกไปนอกหน้าต่าง
ผมจึงคิดว่าผมคงทนกับพฤติกรรมของพวกเขาไม่ได้แล้ว จึงออกมานมัสการที่บ้านกับครอบครัวดีกว่า ต่อมาก็มีเพื่อนบ้านมาร่วมนมัสการด้วยหลายคน ผมคงไม่กลับไปร่วมนมัสการกับคริสตจักรแห่งนี้อีกแล้ว
.......................................................................................
นี่คือภาพความจริงของคริสตจักรในประเทศไทย ประเทศที่ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา คริสเตียนสามารถทำการประกาศความเชื่อและนำคนเข้ารีตได้อย่างอิสระ แต่มีคริสตจักรประเภทนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แ่ก่คริสตจักรที่ขาดผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ คริสตจักรที่มีผู้นำแต่เป็นผู้นำเนื้อหนัง ยังไม่บังเกิดใหม่ ผู้นำวางแผนพัฒนาคนไม่เป็น ผู้นำขาดวิสัยทัศน์ ผู้นำที่คิดไม่เป็นต้องให้นายสั่ง ผู้นำที่มุ่งสร้างอาณาจักร ผู้นำเป็นทาสนายเงิน ผู้นำรับใช้หน่วยเหนือ ผู้นำเป็นทาสบาป กินเหล้า แอบทำบาป ติดนิสัยบาป บาปซ่อนเร้น โกง ยัดยอก รายงานเท็จต่อคริสตจักรแม่ หรือหน่วยงานปกครองคริสตจักร ผู้นำไม่คิดก้าวไปข้างหน้า
ผู้นำนักแสวงหาผลประโยชน์จากสมาชิก กดขี่และบีบบังคับ ผู้นำี่พยายามสั่งให้สมาชิกเป็นคนดี ให้ออกไปประกาศชักจูงนำคนมาเป็นสมาชิกให้มากๆ แต่ภายในคริสตจักรความรักแห้งแล้ง ไม่ีมีความจริงใจ สมาชิกมีคนเจ็บคนป่วยฝ่ายร่างกายและวิญญาณจำนวนมาก พวกเขาอยากให้สมาชิกเป็นคริสเตียนที่ดีแต่ตัวผู้นำเองเป็นคนไม่เอาถ่าน ต่อหน้าดี หลับหลังนินทาว่าร้าย ภรรยาผู้นำศาสนาหลายคนเป็นผู้หญิงปากปลาร้า ไม่แน่ใจว่าเรื่องการบังเกิดใหม่ ที่สามีของเธอสอนน่ะมันหมายถึงอะไรกันแน่ การสอนให้คนอื่นเกิดใหม่แต่ตัวเองยังอยู่ในกระดองเก่าอันเหม็นอับอยู่ ยังมีแต่สิ่งน่ารังเกียจอยู่ในตัวใครๆ ไม่อยากเข้าใกล้
คริสตจักรแบบที่ว่ามานี้ มีแต่ทรงกับทรุด คนมานมัสการกับคนที่นั่งดูทีวีอยู่บ้านมีจำนวนพอๆ กัน นักการศาสนาหลายคนมักจะบ่นว่า พวกไม่มาโบสถ์ในเช้าวันอาทิตย์เป็นพวกคริสเตียนอ่อนแอ แต่แท้ที่จริงมันมีปัจจัยเกี่ยวข้องสัมพันธ์หลายอย่างที่ทำให้พวกเขาไม่อยากไปร่วมกิจกรรมของโบสถ์ สมาชิกบางคนไม่ไปโบสถ์นานหลายอาทิตย์ไม่มีใครสนใจ หรือมีเยื้อใยไปถามไถไปตามหาื
การมาโบสถ์กับการนั่งอ่านพระคัมภีร์ที่บ้านไม่สร้างความแตกต่างอะไร คนป่วยก็ยังป่วยเหมือนเดิม ตอนเดินเข้ามาในโบสถ์รู้สึกปวดหัวมากๆ ฟังเทศน์เสร็จตอนขาออกไป หััวก็ยังปวดเหมือนเดิม ถ้าปวดท้องก็ยังปวดเหมือนเดิม นักการศาสนาและผู้นำไม่สามารถช่วยพี่น้องได้เลย ดีแต่สอนความรู้และวรรณกรรมทางศาสนา การสอนเป็นเพียงบอกวิธีการทำให้คนเป็นคนดีเท่านั้น
มันต่างกันตรงไหน กับการไปหาศาสนาอื่น คนที่ไม่รู้จักพระเยซู เวลาเขามีปัญหา แ้ก้ไม่ตก เขาก็ไปถามคนทรง ผีมันก็บอกได้หลายอย่าง แต่พอมาหาคนของพระเจ้าบางคน ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาไม่ได้ วางมือรักษาคนก็ไม่กล้าทำ อ้างไม่มีของประทาน พอคนอื่นเขาทำได้ก็ไม่ไปศึกษา ไปเรียนรู้ อ้างว่าคนอื่นเป็นพวกสอนเท็จ ผมว่านักการศาสนาประเภทนี้เอาไปใส่ครกตำทำปลาร้าจะดีกว่าเอามาเป็นนักบวชของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าบางคนก็ยังมืดแปดด้าน อาหารก็ไม่พอกิน ช่วยตัวเองไม่ได้แล้วจะไปช่วยใครได้ล่ะ น่าอายตัวเองหรือเปล่า ผมว่าถ้าใครเป็นแบบนี้ต้องกลับใจเสียใหม่ทางเดียวเท่านั้น -
คริสตจักรบางแห่งที่มีนักการศาสนาเป็นแค่หุ่นกระบอก ถูกเชิดไป เชิดมา มีสถานะเป็นเหมือนลูกจ้างชั่วคราว พอคนฟังเบื่อฟังคำสอนพวกเขาก็ไล่ส่ง ผู้นำศาสนาที่เอาจริงเอาจังกลับถูกเสียงโหวตของทาสวิญญาณอื่น พวกคริสเตียนที่มีธรรมชาติของมนุษย์และถูกความบาปปกคลุมอ่อนแอด้านความเชื่อและการประพฤติช่วยกันขับไล่ผู้ทำงานที่ดีและเอาจริงเอาจังออกไปจากคริสตจักรคนแล้วคนเหล่า ในโบสถ์เหลือไว้แต่พิธีกรรมที่ว่างเปล่า คริสตจักรไร้เรี่ยวแรง ไม่มีการหายโรค ไม่มีการอัศจรรย์ใดๆ เกิดขึ้น ถ้ามีก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว อาทิตย์นี้ อาทิตย์ก่อนไม่มีอะไรเลย อาทิตย์ต่อไปก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับตัวเอง คริสตจักรไม่มีแผนงานที่ชัดเจนในการพัฒนาสาวกและการเลี้ยงดูผู้เชื่อให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ
คนเกือบครึ่งโบสถ์ชอบกินยา ชอบไปหาหมอ ชอบพูดแต่เรื่องความเจ็บป่วยของเพื่อนสมาชิก ถ้าฤดูกาลไหนคนชาวโลกเขาป่วยเป็นโรคอะไร พวกคริสเตียนในโบสถ์ก็ป่วยตาม ไม่เหมือนในหนังสืออพยพที่ชาวอียิปต์โดนโรคร้ายอะไรรุม พวกที่เชื่อพระเจ้าไม่เป็นอะไรเลย แต่พวกคริสเตียนสมัยนี้ไม่เป็นเหมือนพวกอิสราเอลสมัยก่อน พวกเขารับเอาคลื่นวิญญาณแห่งความเจ็บใข้และความกลัวทุกชนิดเข้ามาสู่ชีวิต คนในคริสตจักรรับเอากระแสแห่งข่าวลือและภัยพิบัติทุกชนิดตามฤดูกาล และวาระแห่งภัยพิบัตินั้นๆ ไม่มีอะไรแตกต่างจริงๆ อาจารย์ก็ป่วย เมียอาจารย์ก็ป่วยสารพัดโรค ความดัน เบาหวาน หัวใจ ตับ ไต ปวดหลัง ปวดท้อง ปวดแขน ปวดคอ ปวดไหล่ ปวดมันไปทั่วร่างกาย แต่ละอาิทิตย์คนต้องไปเยี่ยมไข้ตามโรงพยาบาลบ่อยมาก จนไม่มีเวลาไปประกาศเรื่องการอัศจรรย์ของพระเจ้า - หดหูไหม ถึงเวลากลับมาหาพระบิดาหรือยัง หรือว่าจะเอาแค่คำสอนทางศาสนาอยู่ ผมขอร้องดังๆ ว่าคริสตจักรแบบนี้ไม่ได้นำสง่าราศีมาสู่พระนามพระเยซูคริสต์มากนัก
เมื่อไม่นานมานี่ผมเสียดายที่ไม่ได้ไปดูคริสเตียนบางคริสตจักรที่คนมาโบสถ์มันเอาหม้อกรองอากาศใส่ครอบจมูกมัน หม้อกรองอากาศนี้จะคลุมปากคลุมหน้าคนไปนมัสการพระเจ้า ตลกสิ้นดีจริงๆ ชาวโลกกลัวอะไรมันก็กลัวไปหมด
นักการศาสนาที่เหลืออยู่ดำเนินชีวิตอยู่ในสภาพคล้ายๆ ผู้เผยพระวจนะจำนวนหลายร้อยคนที่หลบอยู่ในถ้ำลึกเพื่อหลบภัยการถูกตามล่า การตามฆ่าจากภรรยาของกษัตรย์อาหับในสมัยนั้นที่ต้องการกำจัด นักบวชของพระยาเวห์ในสมัยของท่านเอลียาห์กับพระนางเยเซเบล เพราะพระนางเวเซเบลต้องการกวาดล้างผู้เปิดเผยถ้อยคำของพระเจ้าให้สิ้นซาก ทำไมหนอนักการศาสนาเหล่านั้นจึงรักตัวกลัวตาย หลบๆ ซ่อนๆ ไ่ม่กล้าที่จะทำอะไรบางอย่างที่เป็นการปฏิรูปศาสนาคริสต์นิกายผู้ต่อต้านให้มันดีกว่านี้ ให้สมกับชื่อของนิกายนี้คือ ผู้ต่อต้านหรือผู้แข็งข้อ (Protestant) ผมว่าในสมัยนี้ก็คงมีนักบวชประเภทนี้อยู่มากเหมือนกัน มันอะไรกันนี่ พวกนี้มันศรัทธาอะไรกัน พวกเขาพึ่งพระเยซูหรือพึ่งมนุษย์กันแน่
(อ่านเพิ่มเติม จาก 1 พงษ์กษัตริย์ บทที่ 18 - คลิกที่นี้เพื่ออ่าน)
พวกคริสเตียนจำนวนไม่น้อยยึดเอาการปรองดองกับวิญญาณร้ายและ ศาสนพิธีอันหน้่าเบื่อนี้ไปถึงปีไหนหนอ ปีนี้ก็ปี ค.ศ.2010 แล้ว
ผมรู้จักเด็กหลายคนที่มาจากหลายๆ คริสตจักร ผมสอบถามเด็กว่า เคยไหว้รูปปั้นเจ้าแม่มารี ไหม เด็กตอบว่า "เคย" ถามเด็กอีกว่า "เคยไหว้ไม้กางเขนไหม" เ็ด็กตอบว่า "เคย" ในใจผมจึงมีคำถามว่า การไหว้สิ่งเหล่านี้มันจะมีอยู่ในศาสนาคริสต์อีกหรือนี้ ศาสนาคริสต์มีบัญญัติที่ชัดเจน ไม่ได้บอกเล่าคำสอนกันเป็นทอดๆ เหมือนศาสนาอื่นแล้วเอามาเขียนเป็นกฎ พวกเขาไม่ได้อ่านหนังสือพระัุคัมภีร์เล่มเดียวกันกับที่ผมอ่านหรือ พระธรรมอพยพ บทที่ 20 บอกไว้ชัดว่า
"อย่าสร้างสิ่งใดไว้นมัสการไม่ว่าจะเป็นรูปสิ่งใด"
สิ่งใดนี้หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีรูปร่าง แม้แต่รูปพระเจ้าก็ห้ามสร้างเพื่อให้เป็นรูปเคารพ ใครที่สร้างเพื่อให้เป็นรูปเคารพพระคัมภีร์ถือว่าทำบาปใหญ่ เพราะไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า สมัยที่โมเสสไปพบพระเจ้าก็ไม่มีกล้องถ่ายรูปด้วย แต่แล้วทำไมคนจึงไปทำรูปปั้นพระเจ้าขึ้นมาได้ น่าแปลกนะ ทำไว้ให้เพื่อดูเป็นที่ระลึกก็น่าดีอยู่ แต่คนเรามีความเชื่อไม่เหมือนกัน หลายคนจึงเอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้นมัสการเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิเสียเลย โอ้พระเจ้า -มันเพี้ยนกันสุดๆ แล้ว
พระคัมภีร์เขียนว่า
"อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูป เหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน..."
พระธรรมอพยพ บทที่ 20 ข้อที่ 3-5
และอีกตอนหนึ่งในพระธรรมโรม บทที่ 1 ข้อที่ 20-
(20)ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย
(21)เพราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป
(22)เขาอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาไป
(23) และเขาได้เอาพระสิริของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตายหรือรูปนก รูปสัตว์จตุบาท และรูปสัตว์เลื้อยคลาน
(25)เพราะว่าเขาได้เอาความจริงเรื่องพระเจ้ามาแลกกับความเท็จ และได้นมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้ แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้ซึ่งควรจะได้รับความสรรเสริญเป็นนิตย์
เท่าที่สังเกตดู คริสเตียนในปัจจุบันชักจะทำเลอะเทอะไปกันใหญ่ ในโบสถ์หลายแห่งมีการจุดเทียนนมัสการพระเจ้าด้วย แปลกดีนะ เออ... นี่มันเลียนแบบการไหว้ผีปู่ผีญ่าชัดๆ นี่นา
โอ้... นี่มันอะไรกันแน่ ในการนมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ คริสตศาสนสถานหลายแห่งจุดเทียนก่อนพิธีนมัสการพระเจ้า ทำไม...มันไม่สว่างหรือ หรือว่าข้างในมันมืด ส่วนไหนมันมืดหรือจึงต้องจุดเทียน ทำไมจุดแต่เทียน ทำไมไม่จุดธูปด้วยล่ะ เพราะมันไม่ครบนี่นา ดอกไม้่ก็มีแล้ว เทียนก็มีแล้ว จุดธูปหอมด้วยซิ จะได้ครบสูตร จะได้หอมฟุ้งกระจาย ตอบสนองจิตนาการอันบันเจิดให้สุดๆ ถ้าจะให้เหมือนกับสมัยโบราณจริงๆ ก็ต้องมีเครื่องสังเวยด้วยไม่ใช่หรือ? ไม่เอาเนื้อสัตว์ หัวสัตว์ แกะ แพะ ผลหมากรากไม้ ผักหญ้าต่างๆ เอามาให้ครบด้วยหรือ ท่านว่ามันมีในไบเบิ้ลอยู่แล้่วไม่ใช่หรือ แล้วก็มีการประพรมน้ำด้วยยิ่งดีใหญ่ ในพระธรรมเอเสเคียลก็มีไม่ใช่หรือการประพรมน้ำ
เอาให้เหมือนศาสนาอินเดียเลยดีไหม
คริสตจักรทุกแห่งก็ต้องมีไม้กางเขนเป็นสัญญลักษณ์ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นยอมรับกันทั่วไปอยู่แล้ว ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ จะทำด้วยโลหะเคลือบทอง เงิน ชุมโครเมี่ยม บางอัีนทำด้วยไม้ อย่างไรก็ได้ แต่ผู้นำต้องระมัดระวังให้ดี นักการศาสนาบางคนอาจไม่ทันระวัง ไม่ได้สอน ไม้กางเขนอาจกลายเป็นรูปเคารพได้นะ ไม่ทราบว่าผู้นำไ้ด้บอกให้สมาชิกหรือไม่ว่า สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิที่เราต้องไปกราบไหว้ บูชาถือเป็นวัตถุมงคล
นักการศาสนาหลายคนอาจไม่ทันสังเกตว่า สมาชิกของเขาที่ออกจากโบสถ์ไปทำงานไกลๆ หรือไปเรียนหนังสือไกลๆ พอกลับมาบ้านบนร่างกายของเขาเหล่านี้บางคน อาจจะมีรอยสัก รอยแทททู รูปไม้กางเขน รูปเสือเผ่น รูปยัณห์หลายยอด รูปหนุมาน บางคนสักเป็นรูปการ์ตูน หรืออะไรต่างๆ บางคนทำเป็นรูปพระเยซูอยู่บนผิวหนังด้วย เอาละิซิ แต่ก็ยังมีคนเคยถามเราอยู่ดีว่าสักได้ไหม
อึม... ลองเปิดพระคัมภีร์ดูไหม
เอาเข้าไป... เลอะเทอะกันใหญ่แล้ว นี่หรือชนชาติของพระเจ้าผู้ได้ถูกเรียกออกมาจากความมืดเข้าสู่ความสว่าง และให้ประกาศพระบารมีของพระเยซูเจ้า ( 1 เปโตร 2.9-11)
อึม .... คิดทบทวนกันหน่อยดีไหม อะไรถูกอะไรควรไม่ควร ชนชาติที่ถูกเรียกมาให้เข้าสู่ความสว่าง
โรมบทที่ 12.1-2 กล่าวว่า
1."พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย"
2."อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม "
ท่านเปาโลเตือนว่าอย่าทำตามอย่างคนในยุคนี้แต่จงถวายตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ คริสตจักรได้ทำแบบไหนกันแน่จึงมีเรื่องเพี้ยนๆ แบบนี้เกิดขึ้นมากมาย
แต่...ในเรื่องความเพี้ยนนี้พี่ไทยไม่ธรรมดานะ ลองไปถามเยาวชนตัวเล็กๆ ในโบสถ์ซิ ถ้าถามว่า
"หนูๆ กินเหล้า กินเบียร์ บาปไหม"
เด็กส่วนใหญ่เลยนะ จะตอบว่า " บาปค่ะ, บาปครับ"
พอถามต่อไปอีกหน่อย แล้วใครสอนหนูล่ะ? เด็กจะตอบว่า "อาจารย์ค่ะ"
โอ้... อนิจา... มีพระคัมภีร์ข้อไหนบอกว่ากินเหล้า กินเบียร์บาป
อาจารย์ต้องสอนเกินแน่ๆ เลย...ทำไมต้องสอนเกินพระคัมภีร์ มีเท่าไหนก็สอนเท่านั้นไม่ดีกว่าหรือ?
... เอ้า...เถียงกันเข้าไป
เรื่องนี้ เคยได้ยิน นายธวัช สอนเสียยืดยาวว่า กินเหล้ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
สิ่งหนึ่งที่ชาวคริสต์หลายคนจากที่มีอยู่ไม่กี่แสนคนในเมืองไทยไม่ยอมรับคือเรื่องนี้แหละ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้จำนวนคนไทยที่มาเข้าศาสนาคริสต์มีจำนวนน้อยลง ก็เรื่องนี้แหละเพราะเราไม่ยอมรับความจริง คริสเตียนที่แอบไปกินเหล้่าก็มีอยู่เยอะแยะ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยมีประสบการณ์
จะไม่ให้เราทำได้อย่างไร ก็ผมหลงอยู่ในศาสนาคริสต์ตามพ่อแม่ตั้งแต่เกิดมาแล้ว นี่ถ้าอาจารย์ของผมไม่มาจากต่างประเทศมาสอนให้รู้จักฤทธิ์เดชของพระเจ้า ถ้าปล่อยให้ผมนั่งฟังคำสอนทางศาสนาด้วยความรู้ทางศาสนาอยู่ที่โบสถ์เดิม ตอนนี้อาจจะยังงมโข่งอยู่ก็ได้
ว่าตรงๆ เลยนะ อาจารย์ที่โบสถ์แห่งหนึ่งที่ผมรู้จักดี ยังมุ่งหาแต่ยศ ตำแหน่ง และหน้าตาเท่านั้น ผมถามยายคนหนึ่งว่า ยายๆ โบสถ์ที่นี้นอกจากประกาศวันคริสตมาสแล้ว มีการประกาศอื่นไหม ยายก็บอกว่ามีนะ มีโรงเรียนเอานักเรียนมานั่งฟัง พอผมถามว่ามีเด็กรับเชื่อพระเจ้ากี่สิบคนแล้ว ยายก็ตอบไม่ได้ บอกว่าไม่แน่ใจนะ เพราะสมาชิกก็มีอยู่หร่อยหรอ บางก็ตายไป นี่ตั้งโบสถ์มาได้ 50 กว่าปีแล้วนะ มานมัสการจริงๆ ไม่ถึง 100 คน นำคนมาเชื่อปีละ 2 คนยังไม่ได้เลย น่าเป็นห่วงมาก
นี่หรือคริสตจักรไทย ของใครกันแน่ ของผู้นำหรือของใคร พ่อแก่ตัวลงก็ให้ลูกเสียบแทนโดยไม่รู้ว่าลูกจะพาคริสตจักรไปทางไหน โบสถ์แบบนี้ผมไม่ไปดีกว่า เรื่องอะไรจะไปเป็นทาสคริสตจักรของครอบครัว ปีๆ หนึ่งไม่พยายามประกาศความรอดอะไรสักอย่าง กินหอมตอมม้วนกันไป(สนุกสนานและสร้างคริสตจักรให้เป็นเหมือนสโมสรทั่วไป) เดี๋ยวสิ้นปีก็กินเลี้ยงคริสตมาส ก็จะจบไปอีก 1 ปี ถ้าเป็นแบบนี้ผมไปโบสถ์ที่เป็นของพระเยซูคริสต์จริงๆ ดีกว่า ไม่อยากเสียเวลากับพวกไม่พัฒนา ไม่มีวิสัยทัศน์
ถ้าหากจะชวนนักการศาสนาคุยกันเรื่องความรู้ด้านคัมภีร์ทางศาสนา พวกเขาจะเก่งและรู้มาก อันนี้คือข้อดีของเขา แต่พอพูดเรื่อง การไปประกาศเรื่องความรอด การขับผี การวางมือรักษาโรคแล้วหลายคนไม่เคยพูดถึงเลย ไม่กล้า กลัว ไม่ค่อยมีประสบการณ์ กลัวผีจะกระเด้งเข้าหาตัวเอง กลัวคนไม่หาย กลัวเสียหน้า กลัวสารพัด หลายๆ คนเล่าเรื่องขับผีเมื่อหลายสิบปีก่อนเท่านั้น ในปัจจุบันไม่เคยเจอ เพราะเริ่มเสื่อมถอยแล้ว ยิ่งไปเห็นอาจารย์บางคนที่รับหน้าที่ไปอธิษฐานวางมือตามโรงพยาบาลยิ่งน่าสงสารใหญ่ หลายๆ คนไม่กล้าวางมือหรอก เอามือวางอากาศห่างจากตัวคนใข้ประมาณ 1-2 ฟุตเลย บางคนปฏิเสธความจริงไปเลยว่า ไม่มีแล้วฤทธิ์เดชของพระเจ้าตามพระคัมภีร์ มันเป็นสมัยพระคุณ...ท่านจอห์น แบ๊ปติ๊ส คงเสียใจแย่เลย -
น่าเสียดายวิทยาลัยพระคริสต์ธรรมระดับดังๆ ใหญ่ไม่มีวิชา Deliverance and Healing น่าเสียดายเวลาไปนั่งเรียนเป็นปีๆ จริงๆ สอนแต่ประวัติการเขียนพระคัมภีร์ สอนเรื่องการเดินทางผจญภัยของสาวก สอนเรื่อง พิธีกรรม พิธีการ สอนให้เป็นนักการศาสนาจริงๆ แต่ไม่สอนวิชาเป็นสาวกพระเยซู แต่ถ้าเราไม่เรียนพวกนักบวชหัวโบราณก็ไม่ยอมรับอีก อ้างว่าเราไม่มีความรู้ ไม่ผ่านโรงเรียนศาสนา
ผมได้รับทราบข่าวว่านักการศาสนาบางคน ออกไปประกาศข่าวเรื่องพระเยซูช่วยให้รอดบาป การไปประกาศเรื่องพระคริสต์เขาต้องเอาของไปแจก บางคนใจดีมากเลย ขนเอายาไปแจกเป็นกระสอบๆ ไปถึงประเทศพม่า ลาว จีน ขนยาไปแจกเพื่อการประกาศ ไปมาแล้วยังไม่พอ เอามาเขียนลงเว็บ ลงวารสารเผยแพร์ อวดว่าตนเองได้ไปแจกยาเพื่อเป็นการประกาศพระคริสต์มา
ตามความเห็นส่วนตัวของผม ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการเอายา หรือเอาของไปแจกจริงๆ ผมว่าคุณกำลังย้อนยุคสมัยมิชชั่นนารีมาเมืองไทยในตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์มากกว่านะ แจกทำไม อาจเป็นเพราะการแจกยานี่เองที่ืทำให้คริสตจักรไทยแจกกลายเป็นพวกงูไซไร้พิษ ศาสนาจารย์ใส่ครุยเท่ระเบิด เทศนาได้ไพเราะจับใจ แต่พอถึงเวลาอธิษฐานเผื่อ แค่คนปวดหัวที่มาโบสถ์ก็ไม่หายสักที นักการศาสนาประเภทนี้ถ้าหากท่านรู้จักใคร โปรดแนะนำให้มาอ่านเว็บบล๊อกนี้ ไม่แน่นะพระเจ้าอาจให้เขาหายสมเพชตัวเอง และมีความละอาย ไม่แน่นะนักการศาสนาประเภทนี้อาจกลับใจจาก การเป็นนักพูดกลายมาเป็นนักปฏิรูปก็ได้
พระเยซูบอกให้ผู้เชื่อวางมือรักษาโรค และขับผี ผมสงสัยว่าคนไปแจกยาอาจจะเป็นพวกลูกจ้างฝรั่ง หรือชาวต่างประเทศอื่นๆ มากกว่า มีใครเอาเงินซื้อยาให้ท่านหรือเปล่า เงินในหรือเงินนอกก็ไม่สวยทั้งนั้น มันไม่ใช่หน้าที่ของคริสตจักรที่จะไปประกาศด้วยการแจกยาแก้ปวด เราต้องอธิษฐานวางมือ ทาด้วยน้ำมัน
ตามพระคัมภีร์น่าจะเวิร์คกว่า
นี่มันเป็นกิตติคุณแบบไหน พระเยซูไม่ได้บอกว่า
"มีคนเชื่อที่ไหนการแจกยาหายโรคจะเกิดขึ้นที่นั่น คนจะมาคริสเตียนเมื่อเราแจกของ"
คริสตจักรไทยเอ๋ย ถึงเวลาทบทวนตัวเองหรือยัง ผู้รับใช้ที่สบายเอ๋ย ท่านจะสบายไปถึงไหน พระเยซูสั่งให้ท่านรักษาเขาให้หาย ไม่ใช่ด้วยการแจกยา แต่ให้อธิษฐาน ให้ทาด้วยน้ำมันพืชธรรมดานี่แหละ ด้วยความเชื่อคนจะหายโรค (มาระโก 6.13, ยากอบ 5.14-15)
เรื่องความล้มเหลว ความเละเทะของนักการศาสนาไทยนี่ ถ้าผมไม่เขียนใครจะกล้าเขียน เพราะนักการศาสนาต้องมีค่าย ต้องมีสังกัดดูแล ใครแตกแถวมันก็จะไปด่าหัวหน้า ล๊อบบี้นายเงิน คนเขียนตำหนิคนอื่นด้วยความคิดเห็น ด้วยความจริงใจ ต้องตกงานหรือย้ายไปอยู่โบสถ์ที่กันดาร คนน้อย ยากจน ช่วยตัวเองไม่ได้ มีใครกล้าพูดความจริง แต่ดีหน่อยที่ผมไม่ได้เป็นลูกจ้างของคณะนิกายใด เขียนผ่าหมากมันไปแบบนี้ตรงๆ เผื่อคนที่พระเจ้าดลใจให้มาอ่านจะได้กลับใจใหม่บ้าง หรือไม่งั้นก็มีคนเอาไปวิพากณ์วิจารณ์ คริสตจักรของพระเจ้าจะได้ถึงเวลาปรับปรุงเสียบ้าง ขอเปรียบคริสตจักรเป็นรถยนต์ยี่ห้อดีที่สุดแต่คนขับมันใ่ส่แต่เกียร์ว่างมานานหลายสิบปีแล้ว บางคนก็ขับไม่เป็นขี่แต่เกียร์หนึ่งเกี่ยร์สอง เมื่อไหร่มันจะถึงจุดหมายละพี่ ถึงเวลาให้เกียร์สี่เกี่ยร์ห้าแล้ว
คริสตจักรต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง เพราะเป็นยุคแห่งฤดูกาลใหม่แล้ว หลายท่านคันปากอยากจะพูดแต่เพราะลูกกำลังเรียนหนังสือ เดี๋ยวตกงานทำไง ผู้บริหารหน่วยงานมีการวิ่งเต้นหาเสียง มีการกระหายหาอำนาจบริหาร นี่มันก็ไม่ต่างกันมากกับพฤติกรรมของชาวโลกหรอกนะ มันคล้ายๆ กัน แต่ไม่เหมือนกันทั้งหมด ก็มีส่วนดีอยู่บ้าง
มีบางพวกทำตามอย่าง ท่านยอห์น จนเอาชื่อท่านมาเป็นจุดขาย แต่ไม่ยอมรับคำสอนของท่าน ในพระธรรม ลูกา บทที่ 3 ข้อ 16 เป็นคริสเตียนมาหลายปี ท่องได้อยู่ข้อเดียวคือ ยอห์น บทที่ 3 ข้อที่ 16 แต่มีพระธรรมอีกข้อหนึ่งคือพระธรรม ลูกาบทที่ 3 ข้อ 16 ยังไม่เคยเห็น อาจไม่เชื่อว่าจะมีในพระคัมภีร์ ถึงมีก็ไม่เอา น่าแปลกจริงๆ
ผมเข้าใจว่า "การเจิมมันมีหลายระดับ" ผมอยากจะเขียนเรื่องนี้อีกในโอกาสต่อไป
ระดับการเจิมขณะเข้าเป็นคริสเตียนนั่นมันระดับเบบี้คริสเตียนเท่านั้น ทำอะไรมากไม่ได้หรอกครับ เพราะความเชื่อมันไม่พอ มันยังไม่สามารถไปไม่ถึงตรงจุดที่จะเกิดผลได้
นักการศาสนาหลายคนชอบอ้างคำพูดที่ว่า คือ...
" ผม/ข้าพระองค์ ไม่มีของประทาน..."
ในพระคัมภีร์ไม่มีข้อใดเลยที่บอกว่า การขับผีเป็นของประทาน
การขับผีคือสิทธิอำนาจของผู้เชื่อแท้ใช่หรือไม่?
(มาระโก 16.17-18)
ขอพระเจ้าอวยพระพรคริสตจักรไทย
Keyword: อุบายของซาตาน, การเิติบโตของคริสตจักร, การเพิ่มพูนคริสตจักร, การพัฒนาคริสตจักร, ชีวิตคริสเตียน, ศิษยาภิบาล, ครูศาสนา, อาจารย์, ป่วย, หายป่วย, ผีอำ, ชีิวิตผู้รับใช้, ผู้อภิบาล, คริสเตียนศึกษา, พระคริสตธรรม, พระคัมภีร์, การสอน, การขับผี, วิธีการขับผี, การประกาศ, ศาสนาคริสเตียน, ศาสนาคริสต์, โปเตสแต้นท์
อ่านแล้วอึ้งเหมือนกันนะครับ
ตอบลบศิลป์ชัย