Laying of hands: How and why ทำไมต้องวางมือ |
Is there power in the hands? มีฤทธิ์อำนาจในการวางมือหรือ? |
ผู้รับใช้รุ่นใหม่ ผู้รับใช้รุ่นใหญ่ อาจารย์ใหญ่ทั้งหลายที่เป็นอาจารย์สายธรรมาจารย์ ผู้เชื่อในพระเจ้าส่วนหนึ่งที่ได้เข้ามาสู่การรับใช้ ทุกคนก็ต้องทำงานไปตามหน้าที่ และความสามารถ ความถนัดที่มีอยู่ บางท่านอาจไม่คิดที่จะขยายงานเกินกว่าขอบเขตที่ตนรับใช้อยู่ แต่คงมีหลายท่านที่อยากจะก้าวเข้าสู่การรับใช้ การเทศนา การประกาศข่าวประเสริฐด้วยสิทธิอำนาจของผู้เชื่อ อยากเห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าไหลผ่านมือของท่าน ผ่านการอธิษฐานของท่าน อยากจะเห็นคนหายจากการเจ็บป่วยใข้นานาชนิด แบบทันตา คือพออธิษฐานเสร็จคนป่วยก็หายจากอาการป่วยเลย หลายท่านอยากได้ฤทธิ์อำนาจแบบนี้ บางท่านอยากได้แต่ไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่ได้ จนท้อ บางคนเลยเถิดไปมากจนกลายเป็นเข็ดขยาด เหมือนสุนัขป่ากับเถาองุ่นเปรี้ยว คือเมื่อทำไม่ได้ก็เลยพูดและสอนคริสเตียนคนอื่นๆ ไปว่าฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่ไหลผ่านการวางมือไม่มีแล้ว ผมยังไม่มีเลย ถ้ามีคณะของเราต้องทำได้ซิ บางคนยังสอนมั่วๆ ไปอีกว่า คนที่ทำได้คือพวกลัทธิเทียมเท็จ เอ้าว่ากันเข้าไป
บทความนี้คงอาจเป็นแนวทาง เป็นการให้กำลังใจ หนุนใจ เป็นการชี้แนะให้ท่านก้าวเดินไปกับพระเจ้าผู้เป็นอยู่ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้บ้าง หากผู้อ่านเป็นผู้เชื่อที่มีใจมุ่งมั่นและรักสัจจะของพระเจ้า ผมต้องออกตัวก่อนว่าผมยังไม่ใช่อาจารย์ใหญ่ในด้านนี้ แท้จริงผมอยู่ในศาสนาคริสต์มามากกว่าสี่สิบปี ก่อนที่่ผมจะได้พบกับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าด้วยตนเอง และสามารถใช้ฤทธิ์อำนาจนี้ได้
ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนหนุ่มๆ ผมไปโบสถ์เพราะแม่บังคับให้ไป ตอนหลังผมมีเมีย(ภรรยา) เป็นคริสเตียนเมียก็บังคับให้ไปโบสถ์ทุกๆ อาทิตย์ บางครั้งฝนตกหนัก อากาศหนาว ผมไม่อยากไปโบสถ์แต่เมียก็ยังบังคับให้ไป คนต้องพาไป ลากไป ดึงผมไปโบสถ์ บางครั้งทีวีมีหนังดีฉายตอนเช้าวันอาทิตย์ ผมอยากจะนอนดูหนัง แต่เมียก็ไม่ยอม ผมจึงต้องไปโบสถ์เรื่อยๆ จนผมลืมเรื่องขี้เกีียจและการทำกิจกรรมอย่างอื่นในตอนเช้าวันอาทิตย์ไปเลย กิจกรรมอย่างเดียวที่เราทำทุกๆ เช้าวันอาทิตย์ตลอดเกือบสามสิบปี ของผมกับภรรยาคือ การไปโบสถ์
ผมไปโบสถ์บ่อยอย่างสม่ำเสมอ นานจนกระทั้งผู้เชื่อที่ไปโบสถ์ด้วยกัน(คริสเตียนเขาเรียกว่ากันว่าพี่น้องคริสเตียน หรือเรียกสั้นๆ ว่า "พี่น้อง") พี่น้องยกย่องให้ผมเป็นมัคคนายก ต่อมาอีกหลายปีเขาก็ถูกยกย่องเลื่อนตำแหน่งให้เป็น ผู้ปกครองในโบสถ์ พอดีผมมีฝีมือทางด้านการเล่นดนตรีอยู่บ้าง เพราะผมเล่นกีตาร์ได้ เล่นคีย์บอร์ดได้ ร้องเพลงได้เพราะผมเคยหัดร้องเพลงมาตั้งแต่ตอนอยู่ชั้น ม. ๑ ผมหัดเล่นกีตาร์เพื่อจะร้องเพลงของวงชาตรี และวงดิอิมพอสสิเบิ้ล นานแค่ไหนพี่น้องก็ลองนึกเอาเถอะ หลายคนยังไม่เกิดผมก็เล่นดนตรีแล้ว
ผมก็ไปโบสถ์เรื่อยๆ จนพี่น้องไว้วางใจให้ผมเป็นท่านประธานคริสตจักร โอโห้เทียบกับบางคริสตจักรในเวลานี้ มันเป็นตำแหน่งที่เท่มากๆ มีอำนาจ สามารถจะขับไล่อาจารย์ศิษยาภิบาล หรือใครๆ ที่ทำตัวไม่เรียบร้อย หรือเป็นที่ไม่พออกพอใจของผมออกไปจากโบสถ์ได้ ตำแหน่งนี้ผมเคยภาคภูมิใจอยู่บ้างไม่น้อย แต่ตอนนี้ไม่แล้วครับ ไม่อยากได้อยากมี อยากเอา อยากเด่น อยากดัง ไม่อยากแล้ว
พี่น้องยังไม่ทราบความจริงบางอย่างของผม ตอนก่อนนั้นผมเป็นคริสเตียนที่อยู่ในศาสนาคริสต์เท่านั้น ผมรู้ตัวว่าที่ผมแบบนั้น มันเป็นแค่การทำตัวแค่เป็นคนดีในสังคมเท่านั้น แท้ที่จริงการเป็นคนศาสนาไหนๆ เขาก็สอนให้เป็นคนดีทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นคริสเตียนก็สามารถเป็นคนดีของพ่อแม่ ครอบครัว และสังคมได้ เท่าที่เราทราบคงไม่มีใครสอนให้เราเป็นคนไม่ดี และผมก็เป็นแค่คนดีเท่านั้นจริงๆ เพราะผมยังไม่ได้รับการสัมผัสจากพระเจ้า ผมยังไม่เคยได้รับประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างตรงๆ ด้วยตัวผมเองเลย ผมจึงเป็นแค่คนที่มาร่วมร้องเพลงนมัสการ เล่นดนตรี และพาพี่น้องนมัสการพระเจ้าไปเป็นอาทิตย์ๆ
จนอายุผมเลยเลขสี่สิบไปหลายปี ผมก็ยังเป็นแค่คริสตวย หรือ ที่เขาเรียกว่า คิด สะ ตาม คือทำตามอย่างพิธีกรรมทางศาสนาคริสต์ที่ผมสามารถจำได้อย่างแม่นยำ คือ ลุกขึ้นยืนร้องเพลงหนึ่งเพลง ผู้นำก็จะอธิษฐานเปิดประชุม การอธิษฐานเปิดประชุมตามความเข้าใจของผม เข้าใจว่า เป็นการขอเชิญพระเจ้าให้มาอยู่ท่ามกลางการประชุมเพื่อคนจะได้นมัสการพระองค์ เสร็จก็จะร้องเพลงอีกหนึ่งเพลง แล้วก็จะเป็นการอธิษฐานสารภาพบาป แล้วก็ร้องเพลงอีกหนึ่งเพลง ถ้าเวลาไม่มากก็ตัดเพลงออกไปบ้าง ต่อไปก็ให้ทุกคนอ่านข้อพระคัมภีร์สลับกันระหว่างผู้นำพิธีกรรม และผู้ที่เข้าร่วมพิธีกรรม ต่อจากนี้ก็จะมีการถวายเงินให้กับคริสตจักร ซึ่งเขาเรียกมันว่า การถวายทรัพย์
พอถึงช่วงหนึ่งก็จะมีการเดินถุงเรี้ยไร ซึ่งสิ่งนี้เขาเรียกว่าการถวายทรัพย์ เมื่อคนถือถุงเดินผ่านทุกคนทั่วทั้งหมดแล้ว พิธีกรก็จะเชิญใครสักคนหนึ่งให้ยืนขึ้นอธิษฐานอวยพรให้เงินที่คนใส่ถุงให้เกิดดอกออกผลดี ให้การงานของโบสถ์เจริญรุ่งเรือง ให้คนที่นำเงินถวายเหล่านี้ไปใช่มีสติปัญญา ใช้อย่างฉลาดทำให้การงานของคริสตจักรเจริญดี นอกจากนี้ก็จะขอให้พระเจ้าอวยพรทุกมือที่หยิบเงินใส่ถุงด้วย นักอธิษฐานบางคนใจดีกว่านี้อีก ยังอธิษฐานขอพระเจ้าให้อวยพรคนที่ไม่ได้นำเงินมาใส่ถุงด้วย ซึ่งผมฟังดูก็รู้สึกทะแม่งๆ คนไม่ถวายเงินแต่ก็สามารถรับพรได้พอกัน รู้อย่างงี้ผมไม่ต้องถวายก็ได้
เนื่องจากว่าคนถือถุงเงินเดินมาหาเรา เมื่อถุงมันผ่านหน้า เรามีความรู้สึกว่าถ้าไม่ถวายแล้ว คนที่มองเห็นคงดูไม่เหมาะ เพราะผมมีตำแหน่งเป็นประธานคริสตจักรด้วย จึงต้องควักเงินถวายไปอย่างนั้น ถวายเงินน้อยก็อายเด็ก ถวายมากก็เงินไม่ค่อยมี หลายครั้งถวายแต่ธนบัตรใบสีเขียวๆ จึงต้องขย้ำมันจนยับ นัยว่าไม่ให้ใครเห็นเงินสีีเขียวตอนยื่นใส่ถุง ปีแล้วปีเล่าผมทำอย่างนี้ ต่อมาผมได้รับคำสอนว่าต้องถวายเงินถึง ร้อยละสิบของรายได้เพื่อเป็นการเปิดประตูและโอกาสให้ตนเองที่จะได้รับพระพรอย่างล้นหลามมากกว่าเดิม ซึ่งสิ่งนี้ภรรยาของผมทำเป็นตัวอย่างมานานตั้งแต่เธอเริ่มรับราชการใหม่ๆ เป็นเวลาเกือบสามสิบปีแล้ว แต่ผมน่ะ เพิ่งมาหัดทำได้ไม่นาน ประมาณสิบกว่าปีเท่านั้นก็ว่าได้ แท้ที่จริงก็ทำมานานเหมือนกันแต่มันไม่สม่ำเสมอ เป็นแบบ ขาดๆ หายๆ
ในพิธีกรรมการนมัสการ พออธิษฐานเผื่อทรัพย์เสร็จ พิธีกรก็จะขอให้คนที่มาร่วมประชุมนมัสการพระเจ้าร้องเพลงยาวๆ อีกสักหนึ่งเพลง อาจเป็นเพลงที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อให้การเทศนาของผู้เทศนาในวันนั้น หลังจากนี้ก็จะมีการเชิญให้ใครอีกสักคนหนึ่งลุกขึ้นอธิษฐานเผื่อการเทศนา อาจเป็นเพราะคนกลัวว่าการเทศนาจะไม่สามารถทำให้เกิดผลอะไรมากนักต่อคนบาปหนาทั้งหลายที่มานมัสการ จึงต้องมีการอธิษฐานขอให้การฟังคำเทศนามีผลดีมากขึ้น การอธิษฐานเผื่อพระคำของพระเจ้าจะทำให้พระคำโอวาทมีอิทธิฤทธิ์เพิ่มขึ้น สร้างความเข้าใจแก่คนฟังมากขึ้น เข้าใจว่าอย่างนั้น การเทศนาของโบสถ์ถ้าคนเทศนาพูดนานเกิน ๓๐ นาที คนบางคนที่ใจมันไม่อยู่กับโบสถ์ มันก็จะยกมือซ้ายขึ้นเพื่อดูนาฬิกา เพื่อแกล้งให้นักเทศน์รู้ว่า ตาแกนะ พูดฟุ้งนานเกินไปแล้ว เพราะว่ามีนักจิตวิทยาการเรียนรู้มันสอนว่า คนเราจะมีสมาธิในการฟังได้ไม่เกิน ๑๕-๓๐ นาทีเท่านั้น ดังนั้นนักเทศน์จงหยุดพูดถ้าหากเวลาหมดแล้ว
แต่สิ่งนี้ผมมารู้ภายหลังว่า "มันบ่ใจ่" คือมันไม่ใช่ครับ การฟังคำเทศนาไม่จำเป็นต้องใช้เวลาแค่ ๓๐นาที อาจเป็นแค่ ๑๕ นาที หรืออาจเป็น ๑ ชั่วโมงครึ่ง หรือ สองชั่วโมง ก็แล้วแต่การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ตอนหลังๆ มานี้หลายๆ ครั้งที่ผมไปเทศนาในคริสตจักรต่างๆ คนที่มาโบสถ์ต้องรับประทานอาหารเที่ยงเวลาบ่ายโมง หรือบ่ายโมงครึ่ง แต่พี่น้องก็ชื่นชมยินดีมาก เพราะการเทศนาของเรามีการปลดปล่อย คนได้สัมผัสกับพระเจ้า ได้รับการวางมือรักษาความป่วยใข้ พวกเขาดีใจจนลืมเวลา ลืมรับประทานอาหารเที่ยงไปเลย แท้ที่จริงกระเพาะที่ร้องเสียงดัง ทุกๆ สี่ชั่วโมงเพื่อให้เจ้าตัวเอาอาหารใส่ปากให้มันได้กิน เป็นกระเพาะที่ไม่มีวินัยฝ่ายวิญญาณ เป็นกระเพาะอาหารที่ทำตัวเป็นพระเจ้าด้วยซ้ำ
ผมอยากจะหนุนใจผู้รับใช้พระเจ้ารุ่นใหม่ๆ อีกข้อว่า ถ้าท่านอยากจะเดินกับพระเยซูคริสต์ มีชีวิตที่เต็มล้นไปด้วยการเจิม และพลังแห่งการปลดปล่อย เป็นนักเทศนาปลดปล่อยที่มีสง่าราศี ท่านจะต้องฝึกตน ทั้งฝ่ายร่างกาย จิตวิญญาณอย่างสม่ำเสมอ ทุกๆ อาทิตย์ ทุกๆ เดือน จนเป็นอุปนิสัยของท่าน คือท่านจะต้องควบคุมกระเพาะอาหารของท่าน เอาจนมันอยู่หมัด คือว่ามันจะไม่ร้องกวนอะไรเลย แม้ว่าท่านจะไม่ให้มันกินอะไรเลย เป็นเวลานานๆ มากกว่า ๑๖ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมง หรือกว่านั้น แล้วท่านจะรู้ว่ามันดีอย่างไร หากท่านลองฝึกไปสักระยะหนึ่ง จนเป็นนิสัยของท่าน
ในคริสตจักรที่ผมเคยอยู่ ตอนก่อนนั้นมีลุงคนหนึ่ง ผมขอเรียกแกว่า ลุงหนิงก็แล้วกัน เวลาเราขอให้แกอธิษฐาน แกมักจะพ่วงเอาคำอธิษฐานที่พระเยซูสอนลงไปในการอธิษฐานของแกด้วย พอมาถึงตอนใกล้จะจบ แกจะพูดว่า "ข้าพระองค์ทั้งหลายขออธิษฐานตามอย่างที่พระเจ้าได้สอนไว้ดังนี้ว่า..." แล้วคนทั้งหมดในโบสถ์ก็จะอธิษฐานเสียงดังพร้อมกันตามนั้น ซึ่งก็ไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติอะไร เพราะหลายๆ ครั้งโบสถ์ที่แม่ของผมไปร่วมก็ทำอย่างนี้จนชิน จนกลายเป็นกิจวัตรและธรรมเนียมปฎิบัติไปแล้ว
หลังจากนี้ก็จะเป็นเวลาสำหรับการเทศนาสั่งสอน ผมเอง ตอนแรกๆ ก็ไม่ได้เทศนาหรอก เพราะไม่กล้า ถึงมีใครเชิญผมก็ไม่ทำ เพราะผมยังไม่มีความเข้าใจเรื่องการเทศนาดีพอ แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้า ตำแหน่งมันให้ คือเป็นผู้ปกครอง เป็นประธานคริสตจักร เรียนหนังสือจบสูงได้ปริญญามาหลายใบแล้ว มีความรู้ทางโลกสูง มีตำแหน่งหน้าที่การงานดีกว่าคนอื่นๆ ผมจึงต้องหัดทำ พอทำไปทำมากลายเป็นว่า บางครั้งผมใช้เวลาแห่งการเทศนาอันศักดิ์สิทธิไปในการพูดเรื่องส่วนตัว เรื่องผัวๆ เมียๆ เรื่องรายงานข่าวล่า เรื่องตลก บางทีหากมีอารมณ์ผมก็จะใช้เวลาแห่งการเทศนาสั่งสอนเป็นการพูดเสียดสี เสียดแทงคนที่มีความเชื่อและการปฏิบัติอ่อนแอกว่าผม ซึ่งแท้ที่จริงเรื่องอย่างนี้ผมก็รู้ว่ามันไม่ค่อยดี แต่ก็ยังทำเพราะตอนนั้นผมยัง "ไม่ถึงกับพระเจ้า" (ตอนนี้ผมเลิกเทศนาอย่างนั้นมาหลายปีแล้ว) คำว่า "ไม่ถึง" อาจแปลความได้ว่า ผมยังไม่กลับใจเชื่อฟังพระเจ้าอย่างแท้จริงก็เป็นได้ ต้องขออภัยพี่น้องมา ณ ที่นี้ด้วย
เมื่อการเทศนาเสร็จสิ้นไปแล้วก็จะเป็นการร้องเพลงอีก ๑ เพลง เสร็จแล้วก็จะเป็นการประกาศเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ของคริสตจักรว่าจะทำอะไรต่อไปในอาทิตย์หน้า ใครจะทำหน้าที่ฝ่ายไหนอย่างไร มีการขอบคุณคนที่ทำคุณงามความดีให้กับโบสถ์จนยาวยืด จุดประสงค์เพื่อเสริมแรงและทำให้ทุกฝ่ายพอใจ
พอเสร็จ ก็เป็นการอธิษฐานขอพระพร เราก็จะเชิญให้อาจารย์ขึ้นไปยืนที่ธรรมมาสหรือโพเดียม อาจารย์ก็จะยกมือขึ้นอวยพรให้คนมาร่วมนมัสการพระเจ้าได้รับความโชคดี มีอนามัย ปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้าย และทุกคนก็จะพูดพร้อมกันว่า "อาเมน" เสร็จจากนี้เราก็จะไม่มีอะไรแล้วเพราะโบสถ์ของเราไม่นิยมการกินข้าวด้วยกัน ผู้ปกครองก็ตัวใครตัวมัน บางคนที่ความเชื่ออ่อนแอ ก็จะรีบเผ่นออกจากโบสถ์ไปโดยไม่ทักทายอะไรกะใคร อาจเนื่องจากบางคนความเชื่อของเขาอยู่ในช่วง "ขาลง" พี่น้องก็จะรีบกลับไปบ้าน พฤติกรรมของผมและพี่น้องในโบสถ์เป็นอย่างนี้ปีแล้วปีเล่า
ผมเองพอเลิกจากการนมัสการก็จะถือคันเบ็ดไปตกปลาบ้าง ไม่งั้นก็จะพาลูกเมียไปช๊อปปิ้ง อ้างไปเยี่ยมญาติ พ่อแม่ เพราะถ้าไม่อ้าง อาจารย์อาจจะชวนทำโน้นทำนี่ ผมรู้สึกไม่อยากทำจึงต้องหาข้ออ้างแบบนี้ตลอด ถ้าเป็นตอนปลายๆ เดือนก็ไม่ไปซื้อของเพราะเงินไม่ค่อยมีแล้ว ผมอาจจะไปหัดกีฬาบางอย่างที่ผมชอบ คือการตีสนุ๊กเกอร์ ไอ้สนุ๊กเกอร์นี่ผมติดมันมาก หัดอยู่สามปีกว่า จนเพื่อนที่เล่นด้วยกันไม่อยากจะสู้กับผมเพราะแม่นเกินไป(ตอนนี้ผมเลิกไปหลายปีแล้ว) หากวันเสาร์ใดเขานัดทำความสะอาดโบสถ์ หรือทำกิจกรรมพิเศษ ผมก็จะอ้างกิจธุระส่วนตัว เพื่อปลีกตัวไปตามลำพัง ตามใจฉัน พี่น้องจะเป็นอย่างไร ผมปล่อยให้อาจารย์ผู้รับใช้ที่คริสตจักรทำก็พอ เพราะตอนนั้นผมคิดว่า เราจ้างอาจารย์มาแล้ว ถ้าไม่ทำก็คงเป็นไปไม่ได้
นี่คืออดีตชีวิตคริสเตียนที่น่าเบื่อหน่ายของผม ไม่มีอะไรมาก สนุกๆ บำรุงบำเรอ ความอยากและตัณหาของตนเอง เพื่อความเพลิดเพลิด ตอบสนองความต้องการของจิตใจและอารมณ์ของตนเองอย่างเต็มที่ แต่ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ผมไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่เป็นอะไรมากเพียงแต่เป็นหวัดลงคอปีละ สองสามครั้ง
สิ่งที่คริสตจักรและอาจารย์ของเราบอกกับมวลชมาชิกของเราอยู่เสมอในตอนต้นปีก็คือว่า...
"เอ้าพี่น้อง ปีใหม่นี้นะ ให้ทุกคนออกไปเป็นพยานเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ช่วยให้รอดบาปนะ
เราจะใช้คำขวัญว่า..."
"หนึ่งคนนำหนึ่งคนในหนึ่งปี"
คำขวัญนี้ผมเข้าใจว่าโบสถ์หลายแห่งก็ใช้เหมือนกัน เป็นอย่างนี้ปีแล้วปีเล่า ผมและสมาชิกอีกเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ ๒๐ กว่าคน ไม่สามารถนำใครมาเชื่อพระเยซูได้เลยแม้จะมีเวลาถึงปีละ 365 วัน คือ ๙๙ เปอร์เซนต์ ไม่สามารถหาใครมาเป็นคริสเตียนได้แม้แต่คนเดียว ซึ่งว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากๆ แต่มันเป็นความจริง ก็ผมยังเป็นคริสตามอยู่ผมจะไปช่วยใครได้ ถ้ามีใครถามว่า "เป็นคริสเตียนแล้วมันดีอย่างไร" ผมยังตอบไม่ค่อยจะตรงประเด็น ยิ่งถามว่าเราจะรับความรอดได้อย่างไร ผมตอบไปก็ไม่มีคนเชื่อเลย
ผมไปเล่าให้คนอื่นฟังเรื่องพระเจ้า เล่าให้เพื่อนๆ ที่ทำงาน เด็กๆ ที่ไหน เขาก็จะตอบว่า ศาสนาไหนก็ดีเหมือนกัน ทุกศาสนาก็สอนให้เป็นคนดีเหมือนกัน ผมจึงรู้สึกว่า ท้อกับการจะหาใครสักคนมาเชื่อพระเจ้าในหนึ่งปี เพราะมันมีความหมายว่าเราเป็นคนที่เกิดผลด้านจิตวิญญาณ แต่เราประกาศอย่างไรมันก็ไม่ได้ผล ทุกปีเราทุ่มทุนกับการซื้อของเล็กๆ น้อย แถบด้วยรางวัลชิ้นใหญ่ล่อใจให้คนมาที่โบสถ์ในเทศกาลคริสตมาส ปีๆ หนึ่งเราก็หมดไปหลายหมื่นบาท สำหรับโบสถ์เล็กๆ บ้านนอกถือว่าลงทุนสูงทีเดียว แต่น่าเสียใจครับ ประกาศไม่ได้ผล ไม่มีใครกลับใจมาเชื่อพระเยซูอย่างจริงจังเลย มีแต่เด็กๆ มาเอาขนมในวันคริสตมาส และอีกสองสามอาทิตย์ต่อมาเท่านั้น พอขนมหมดก็หายหน้าไป บางคนมาสองสามอาทิตย์ก็หายหน้าไป อาจเป็นเพราะเขาพบว่า การมาเป็นคริสเตียนก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่าง หรือดีไปกว่าการไปไหว้ผีก็เป็นได้ คริสเตียนก็ยังป่วย ยังทะเลาะกัน ยังแย่งสมบัติกัน แย่งกันเป็นใหญ่ หลายแห่งทำตัวแย่กว่าคนไม่รู้จักพระเจ้าเสียอีก ไม่สุงสิงกะใคร ไม่ช่วยเหลือใคร วัดไม่เข้า พระเจ้าไม่เอา ชอบปลีกวิเวก
ยิ่งมาพิจารณาดูตามสภาพความเป็นจริง ผมและอาจารย์ของผมที่อยู่โบสถ์เราไม่มีบางอย่างที่พวกหมอดูมันมี คือพวกหมอดู พวกคนทรงเจ้าดูเหมือนว่ามันสามารถช่วยคนได้มากกว่าชาวคริสต์ เพราะเมื่อคนมีปัญหาไปถามอะไรมันก็ตอบได้ เพราะพวกหมอดูมีพวกผีคอยช่วยบอก มันจึงดูเหมือนมีอำนาจมากกว่าพวกผมที่เป็นคริสเตียนอ่อนแอเสียอีก พวกเขามีเครื่องรางแจก มีวัตถุที่ทำให้คนอุ่นใจ แต่ของเรากลับไม่เป็นคำตอบอะไรให้กับชาวบ้านเลย งานชุมชนเราก็ไม่ยุ่ง ทุนการศึกษาเด็กโบสถ์ก็ไม่เคยให้ เขาทำบุญทำทานอะไรเราก็ไม่ไปยุ่งเกี่ยว นับวันคริสเตียนยิ่งทำตัวเหินห่างจากชาวบ้านไปทุกที แล้วเราจะประกาศให้เขาร่วมกิจกรรมกับเราอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร
ผมและพี่น้องในคริสตจักรเคยทำสารพัดวิธีในการที่นำคนเข้ามาในคริสตจักรให้มากๆ เพื่อให้การนมัสการพระเจ้ามันคึกครื่น คึกคักแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะพวกหัวเก่ามันไม่ชอบเพลงสั้น ไม่ชอบการเต้นโลด ไม่เอาเสียงดัง เพลงเร็วๆ พวกเขาก็ร้องไม่เป็น เราจึงได้แต่ทำ พยายามทำ ทำ และทำ ปีแล้วปีเล่า แต่ไม่ประสบความสำเร็จอะไรมากนัก ได้แต่พยุงชีวิตคริสเตียนรอพระเจ้ากลับมารับอย่างเดียว
จนกระทั้งวันหนึ่ง มีผู้รับใช้ของพระเจ้าท่านหนึ่งที่พระเจ้าส่งมาจากต่างประเทศ เขามาเยี่ยมพี่น้องแถวๆ เมืองที่ผมอยู่ ผมจึงเชิญเขามาเทศนาที่โบสถ์ของผม ปรากฎว่าขณะที่เขาเทศนาเสร็จ ทันใดนั้นเขาก็เชิญพี่น้องให้ยืนขึ้นรับการอวยพร เขาก็อธิษฐานอวยพรขณะที่เขายังยืนอยู่ที่ธรรมมาส พี่น้องก็ยืนอยู่ม้านั่งยาวๆ ปรากฎว่ามีพี่น้องคนหนึ่งเกิดล้มลง หงายหลังไปข้างหลังและดูคล้ายๆ หมดสติขณะที่อธิษฐานอยู่ และพี่น้องคนอื่นๆ ได้รับการสัมผัสกับพลังบางอย่างมาสัมผัส ผมจึงรับทราบว่า อาจารย์ท่านนี้มีการเจิมของพระเจ้า เพราะพี่น้องที่ล้มลงไปพอลุกขึ้นกับได้รับสันติสุข รับการสัมผัสกับอำนาจของพระเจ้า
เราจึงเชิญชวนให้อาจารย์ท่านนี้มาเยี่ยมเราอีกในครั้งต่อๆ มา
ในการมาครั้งที่สองของคณะจากต่างประเทศนี้เอง ในปี ค.ศ. ๒๐๐๖ โบสถ์ของเราจัดสัมมนาพิเศษ เรียกว่า สัมมนาเอนเคาร์เตอร์ (Encounter with Jesus) ตอนนี้เราเปลี่ยนชื่อว่า สู่เสรีภาพ (Living Free) ในการประชุมสัมมนาวันแรก ผมก็ได้รับการอธิษฐานวางมือจากผู้รับใช้ที่มากับทีมนี้ ในเช้าวันนั้นเวลาประมาณ ๑๐.๒๐ น. ขณะที่ผมรับการอธิษฐานวางมือ ผมได้รับประสบการณ์บัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมพูดภาษาอื่น ที่ผมไม่เคยได้เรียนมาก่อนเป็นครั้งแรก เป็นประสบการณ์ที่มีอยู่ในหนังสือพระคริสต์ธรรมคัมภีร์หลายแห่ง หลายข้อ โดยเฉพาะหนังสือลูกา บทที่ ๓ข้อ ๑๖ และกิจการบทที่ ๑ ข้อ ๘ และบทที่ ๒ และบทที่ ๔
ผมดีใจสุดๆ เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยออกมาอธิษฐาน รับการวางมือจากอาจารย์หลายท่าน ทั้งไทยและต่างประเทศ เป็นเวลาหลายปีแต่ผมไม่เคยได้รับเลย หลายครั้งผมหน้าแห้ง ท้อแท้มาก รู้สึกว่าตัวเองคงมีบาปหนามากๆ พระเจ้าจึงไม่สัมผัสผมเลย นอกจากนี้ผมยังเคยได้ยินคำสอนของอาจารย์บางท่านสอนผิดๆ เพี้ยนๆ ว่า ประสบการณ์นี้ไม่มีแล้ว และการพูดภาษาแปลกๆ หรือภาษาอื่นๆ ไม่ใช่ภาษาที่คนไม่เข้าใจ อย่างไรก็ตามประสบการณ์นี้ไม่ใช่องุ่นเปรี้ยวสำหรับผมอีกต่อไป ผมได้รับแล้วเพราะการวางมืออธิษฐานของผู้รับใช้พระเจ้าที่มีการเจิม อย่างแท้จริง ผมจึงรับฤทธิ์เดชรับการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนั้น
หลังจากวันนั้นชีวิตผมเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ผมสามารถบังคับจิตใจตนเองได้ดีขึ้น ผมเลิกบาปแอบ บาปซ่อน และพฤติกรรมไม่ดีต่างๆ ภรรยาผมก็ดีใจที่ได้สามีคนใหม่ (คนเดิมแต่นิสัยใหม่) ผมเริ่มรับใช้อย่างเกิดผล ตอนแรกๆ ผมวางมือคนอื่น เห็นเขาล้มลงไปกองกับฟื้นเมื่อผมลืมตาขึ้นมา ผมงงกับตนเองมาก จนบางครั้งรู้สึกว่าอาจจะดูเป็นคนพองตัวก็เป็นได้
นอกจากนี้ผมเริ่มอ่านพระคัมภีร์อย่างเข้าใจ ผมเริ่มไปเรียนพระคริสต์ธรรม จนจบหลักสูตร ออกไปเยี่ยมเยียนและอธิษฐานเผื่อพี่น้องอย่างเกิดผล แต่การอธิษฐานวางมือเผื่อคนเจ็บผมยังทำไม่ได้ในตอนแรก
สิ่งต่างๆ ที่เล่ามายืดยาวนี้ คือผลจากการอธิษฐานวางมือทั้งสิ้น ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้เข้ามาอยู่ในชีวิต ในร่างกาย ความคิด ในวิญญาณของผมมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมสามารถอธิษฐานเผื่อคนป่วยให้หายอย่างอัศจรรย์เพิ่มขึ้นเรื่ีอยๆ ดังประจักษณ์พยานหลักฐานที่ผมโพสไว้ในเว็บบล็อกนี้ สิ่งเหล่านี้คือความจริง ผมเชื่อว่าการเจิมผ่านการอธิษฐานวางมือ และการรับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิื์ของพระเจ้า คือคำตอบสำหรับชีวิตคริสเตียนของผมและของทุกคนที่แสวงหาการทำงานของพระเจ้าอย่างเกิดผลไม่อยากเป็นแค่นักเล่านิทานหลอกเด็ก ไม่อยากโดนผีข่วนหน้า เมื่อเวลาที่มีคนเิชิญให้ท่านไปอธิษฐานขับผี ไม่อยากเป็นแค่นักการศาสนาที่เป็นเหมือนงูไซ ไร้พิษอีกต่อไป
ผมอยากจะแบ่งปันประสบการณ์ และความเข้าใจเกี่ยวกับการอธิษฐานวางมือสำหรับผู้เชื่อที่ต้องการก้าวไปข้างหน้ากับพระเจ้า เพื่อที่ท่านจะสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีชัยชนะและเกิดผล สิ่งนี้คือการอธิษฐานวางมือของผู้เชื่อ ผมขอย้ำว่า การอธิษฐานของผู้เชื่อไม่จำเป็นต้องมีศาสนศักดิ์หรือคุณวุฒิทางศาสนาก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้อายุแก่ก่อนก็ทำได้ เพียงแต่ให้เรารับการเปลี่ยนแปลงก่อน และเรียนรู้วิธีการก็สามารถทำได้ เพราะสิ่งนี้มาจากเบื้องบนเท่านั้น
หลายครั้งเราได้เห็นชัดแล้วว่า ตำแหน่งทางศาสนาไม่ได้ช่วยให้คนมีสง่าราศีในฤทธิ์เดชของพระเจ้าเลย นักการศาสนาหลายคนยังตั้งข้อรังเกียจการเจิม อ้างไม่มีในพระคัมภีร์ พวกนี้เป็นพวกนักเถียง เป็นนักการศาสนาที่เป็นแค่ลูกจ้างขององค์กร เป็นคนที่หยิ่งยะโส รับใช้พระเจ้าด้วยกำลังของเนื้อหนัง และพลังสมองและแรงขับดันอย่างอื่นมากกว่า การพึงอาศัยฤทธิอำนาจของพระเจ้า เขาอาจไม่ใช่ผู้รับใช้ที่มีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า หลายคนอาจเป็นไปเพียงเพื่อทำงานเลี้ยงปากท้องและหน้าตาเท่านั้น
พิธีกรรมหลายอย่างที่นักการศาสนาทำ ไม่ได้มีข้ออ้างอิงในพระคัมภีร์แต่พวกนี้ก็สามารถประกอบพิธีได้อย่างไม่เขินอาย แต่การรับการเจิม การรับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าหลายคนยังไปไม่ถึงไหน บางคนรังเกียจการรับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณด้วยซ้ำ อ้างว่าดูน่าเกลียด เอะอะ วุ่นวาย และไม่เป็นระเบียบอย่างไรก็ตามผมไม่ขอโต้แย้งกับคนเหล่านี้มากไปกว่านี้ ปล่อยให้เขาไปตามความเชื่อของเขา คนไม่เชื่อเขาจะไม่ได้รับอย่างแน่นอน เพราะสิ่งเหล่านี้เราต้องรับเอาด้วยความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ตามความดี ความมานะ ตามคุณวุฒิ หรือศาสนศักดิ์ใดๆ เลย
มีต่อตอนที่สอง...
ตอนที่สอง
ตอนที่สาม
กลับไปหน้าแรก
สรรญเสริญพระเจ้าในกิจการของพระองค์
ตอบลบฮาเลลูยา ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่แสนดี
ตอบลบ