สวัสดี ครับพี่น้องที่รัก ท่านเคยทราบไหมว่า พระคุณของพระเจ้าที่ท่านรับนั้น ท่านควรตอบแทน บางคนอาจไม่เคยได้รับคำสอนใดๆ จากอาจารย์ปู่ว่า พระคุณของพระเจ้านี้ ผู้เชื่อทุกคนที่มีสติดี และมีปัญญาดี ควรคิดจะตอบแทนบ้าง
งงละสิ พี่น้องหลายคน เคยได้ยินแต่คำสอนว่า...
“พระคุณพระเจ้าเราไม่สามารถตอบแทน ได้” หรือ ได้ยินว่า
“เราไม่สามารถตอบแทนพระคุณพระเจ้าได้”
ผู้รับใช้พระเจ้าบางคน ยังสอนแบบนี้ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน บางคนรับใช้มาหลายสิบปี ไม่กล้าจะสอนใคร เพราะคิดว่า หากสอนให้คนคิดตอบแทนบุญคุณของพระเจ้า คงกลายเป็นคนสอนผิด
วันนี้ ผมขอมอบข้อคิดที่อาจจะดี หรือไม่ดีนี้ ให้ท่านอาจารย์ ห ญ่ า ย ทั้งหลายพิจารณาดูว่า เราสมควรตอบแทนบุญคุณของพระเจ้าหรือไม่ อย่างไร
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประเทศไทยแบ่งชนชั้นคนไทยออกเป็น สี่ประเภท
ได้แก่
1. เจ้านาย
2. ขุนนาง หรือ ข้าราชการ
3. ไพร่ หรือ สามัญชน
4. ทาส
ในวัฒนธรรมไทย การรู้จักความกตัญญูรู้คุณคน การรู้จักคิดตอบแทนบุญคุณ ถือเป็นคุณธรรมระดับสูง ที่คนมีสามัญสำนึก และหากมีการปฏิบัติออกมาเป็นการกระทำเป็นสิ่งที่ถือว่า เป็นเลิศของคุณธรรมที่มนุษย์ควรจะมี แม้แต่ทาส ตัวที่โง่ที่สุด ยังคิดตอบแทนบุญคุณ ในสมัยก่อน ประเทศไม่ได้เป็นประเทศแห่งเสรีภาพ เหมือนในปัจจุบัน ทุกคนต้องอยู่ภายใต้การปกครอง คุ้มครองดูแล ของอีกคนหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากใครคิดเป็นอิสระ ก็สามารถทำได้ แต่จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะว่า ในไม่ช้า กลุ่มคน หรือคนที่คิดว่า ตัวเองเข้มแข็ง และยิ่งใหญ่ที่สุดก็จะถูกทำลายลง ไม่ด้วยวิธีใด ก็วิธีหนึ่ง เสมอ ดังนั้นครัวเรือนไหนที่อ่อนแอ หากกลัวภัยสงคราม การปล้นชิง อยากปลอดภัยตอนยอมตัวอยู่ใต้การปกครองของนายงาน ขอยกตัวอย่าง
ชุมชนไหน มีกำลังน้อย หรือเมืองไหนอ่อนแอไม่แข็งแรง ต้องถูกปล้น ถูกจับไปเป็นทาส ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นไหนเมื่อพ่ายแพ้คนแพ้ต้องกลายเป็นทาสรับใช้เมืองที่ชนะพวกเขา ดังนั้นการเป็นทาส จึงไม่ใช่ทางเลือก ทุกคนเกิดมาไม่ว่ายากดีมีจน มีสิทธิ์เป็นทาสกันทั้งนั้น คนที่เป็นทาสคือคนที่ไม่มีเสรีภาพ ต้องทำให้งานให้นายงาน โดยได้ค่าตอบแทนที่ต่ำสุด และบางครั้งไม่เป็นธรรมด้วย สิ่งเดียวที่ทาสอาจได้รับบ้าง คือการมีชีวิตอยู่ เพื่อรับใช้นายงาน
ในสมัยก่อน ประเทศไทย มีวัฒนธรรมการปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ประเทศถูกปกครองด้วยระบบกษัตริย์ ประชากรคนไทย ทุกหมู่เหล่า ส่วนใหญ่ อยู่ในความปกครองของ ขุนนาง เจ้าเมือง และข้าราชการ สถานะทุกคน คือทาสของแผ่นดิน กษัตริย์จะเกณฑ์ จะใช้งาน จะเก็บภาษีอะไรก็ได้ทั้งนั้น
ราษฏรทุกคนมีสถานะเป็นทาส เป็นส่วนใหญ่ คำในภาษาไทย เรามีคำว่าทาสตลอดมา แต่เพิ่งมาถูกยกเลิก ในสมัยรัชกาลที่ห้า เช่นคำว่า
“ไพร่หลวง” “ไพร่.... และ ทาส”
ไพร่ หรือสามัญชน หมายถึง ผู้ชายที่มีอายุ 18 – 60 ปี
1. ไพร่สม คือ ชายที่มีอายุ 18 – 20 ปี สังกัดมูลนายที่เป็นเจ้านายและขุนนางเพื่อให้ฝึกหัดใช้งาน
2. ไพร่หลวง คือ ชายที่มีอายุ 20 – 60 ปี มีหน้าที่รับราชการแผ่นดิน ตามการเกณฑ์แรงงานตามสมัยแต่ถ้ามีลูกเข้าเกณฑ์แรงงานแทนตนถึง 3 คน ก็จะไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานให้ปลดออกจากราชการได้ก่อนอายุ 60 ปี
3. ไพร่ส่วย คือ ชายที่มีอายุ 20 – 60 ปี ที่ไม่ประสงค์เข้ารับราชการ โดนเกณฑ์แรงงาน รัฐบาลอนุญาตให้นำเงินหรือสิ่งของมาชำระแทนแรงงานได้ เรียกเงินหรือสิ่งของที่ใช้แทนแรงงานว่า ส่วย หรือเงินค่าราชการ
4. ทาส มีอยู่ 7 ประเภทดังนี้
4.1 ทาสสินไถ่ คือ ทาสที่ขายตัวเองหรือถูกผู้อื่นขายให้แก่นายเงินต้องทำงานจนกว่าจะหาเงินมาไถ่ค่าตัวได้ จึงจะหลุดพ้นเป็นไท
4.2 ทาสในเรือนเบี้ย คือ ลูกของทาสที่เกิดมาในเวลาที่พ่อ แม่กำลังเป็นทาสอยู่
4.3 ทาสได้มาแต่บิดามารดา คือ ลูกทาสที่ได้จากพ่อหรือแม่ของเด็กที่เป็นทาส
4.4 ทาสท่านให้ คือ ทาสที่เดิมเป็นของผู้หนึ่งแล้วถูกยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของอีกผู้หนึ่ง
4.5 ทาสที่ช่วยมาจากทัณฑโทษ คือ ผู้ที่ถูกต้องโทษต้องเสียค่าปรับแต่ไม่มีเงินให้ แล้วมีนายเงินเอาเงินมาใช้แทนให้ ผู้ต้องโทษก็ต้องเป็นทาสของนายเงิน
4.6 ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย คือ ในเวลามีภัยธรรมชาติทำให้ข้าวยากหมากแพง ไพร่บางคน อดอยากไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ต้องอาศัยมูลนายกิน ในที่สุดก็ต้องยอมเป็นทาสของมูลนายนั้น
4.7 ทาสเชลยคือ ทาสที่ได้มาจากการรบทัพจับศึกหรือการทำสงคราม เมื่อได้ชัยชนะจะต้อน ผู้แพ้สงครามมาเป็นทาส
“ทาสจำนวนมากถูกครอบครองโดยเจ้านคร ของอาณาจักรฝ่ายเหนือ ขุนนางเชียงใหม่ครอบครองทาส หนึ่งพัน ซึ่ง Colquhoun บันทึกไว้ว่า เจ้าชั้นที่หนึ่งหรือเจ้าหลวงมีทาส หนึ่งพันห้าร้อยคน เจ้าขั้นที่สอง หรือเจ้าหัวหน้า มีทาส หนึ่งพัน เข้าชั้นที่สาม มีทาส แปดร้อย และเจ้าที่ต่ำกว่าคนอื่นมีทาส เจ็ดสิบถึงหนึ่งร้อยคน ประวัติศาสตร์ที่เล่ากันยืนยันทั้งจำนวนทาสเป็นสำคัญและความเหนือกว่าของทาสเชลยต่อทาสลูกหนี้”
คนทุกคนก็ต้องมีคนคอยคุ้มครอง ค้ำจุนช่วยเหลือ ชีวิตแต่ละคนไม่สามารถดำเนินชีวิตแบบที่เขาเรียกว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” หรือ ตัวใครตัวมันได้ ทุกคนต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ผมว่าแม้แต่ต้นไม้ในป่า สัตว์ต่างๆ ต้องมีระบบการพึ่งพาอาศัยกันทั้งสิ้น ไม่มีใครอยู่ได้ด้วยตัวตนของตนเองเพียงลำพัง ทุกคนที่เกิดมาต้องอาศัยพ่อแม่ หรือคนอื่นๆเลี้ยงดู
ไม่มีใครจะอยู่ลำพังได้ในสังคม ใครที่คิดว่า ข้าอยู่คนเดียวได้ไม่เห็นต้องง้อใคร ทำตัวเหลวไหล เหลวแหลก ไม่สนใจใคร ทำตามอำเภอใจตัวเองทุกอย่าง ทำความชั่ว หรือทำสิ่งเหลวๆ ที่ขัดต่อจิตสำนึกมโนธรรมของคนธรรมดา จนด้านชินชา เสพสิ่งเสพติดไม่ว่าจะถูกกฎหมาย หรือผิดกฎหมาย เสพเกมคอมพิวเตอร์ เสพติดเซ็ก เสพติดกาแฟ เสพสารพันสิ่งจนไม่มีเวลาแบ่งเหลือให้ใคร คิดแต่ของกู ตัวกู และกู กู กู คิดว่าตัวข้าคือผู้ยิ่งใหญ่ ที่ไหนได้ เวลาผ่านไปไม่นาน ชีวิตมันมีวาระของมัน สรรพสิ่งไม่สามารถตั้งอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง เมื่อคนไม่สนใจใคร ไม่พึ่งพาใครเกิดเจ็บป่วย เรื้อรัง มีโรคร้ายรบกวน มีอุบัติภัยเกิดขึ้น เมื่อภัยธรรมชาติและทุกข์เข็ญมาถึง ทุกคนจะรู้ว่า มนุษย์ไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาของตนเองได้เลย ทุกคนต้องพึ่งพาอาศัยกันทั้งนั้น
ในเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพปี พ.ศ.2554 พวกเศรษฐีขี้โกงทั้งหลาย คนรวยๆ และคนจนๆ ที่ไม่คิดพึ่งพาใคร ต่างได้รู้รสชาติของชีวิตว่า “ตนไม่สามารเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ ทุกคนต้องพึ่งพากันและกัน” ไม่เพียงคนต้องพึ่งพากันเท่านั้น คนยังต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อม ทุกคนต้องพึ่งพาธรรมชาติ สายฝน สายลม แสงแดด เมื่อสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เพราะถูกคนทำลาย คนจึงมารู้ว่า ที่เมืองของข้าไม่น่าอยู่ เพราะพวกข้ามีแต่คนเห็นแก่ตัว ไปตัดไม้ทำลายป่า ทำลายธรรมชาติ ทำลายแม่น้ำ ทำลายอากาศ ประเทศที่เจริญแล้ว เขาจึงออกกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติ
น้ำท่วมใหญ่คราวนี้ เราได้เห็นอีกว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์และรูปเคารพทั้งหลายไม่สามารถจะนำพาบ้านเมืองให้พ้นจากภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ คนมากมายวิ่งหนีน้ำท่วม จนลืมนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิที่เก็บสะสมไว้ สิ่งศักดิ์สิทธิช่วยตัวเองไม่ได้เพราะมีขาแต่เดินไม่ได้ มีตามองไม่เห็น มีหูแต่ไม่ได้ยิน เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์หัวใสทำมาขายให้เก็บไว้ ละลายหายไปกับน้ำ
คนหลายคนวิ่งหนีน้ำลืมเก็บเอาสิ่งศักดิ์สิทธิไปด้วย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ราคาแสนแพง ที่ทำด้วยดินอัด ด้วยวัสดุต่างๆ บางอันมีราคาเป็นเรือนแสน เรือนล้าน ละลายไปกับสายน้ำ ถูกพัดพาไป สูญหาย คนหลายคนเกิดมีความคิด เกิดสติจึงมาคิดว่า แท้จริงพระเจ้าคือใครกันแน่ คือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น คือสิ่งที่เก็บสะสมไว้หรือ หรือเงินตรา ในยามภัยพิบัติเงินตราอาจจะมีมาก แต่ไม่สามารถจะเอาไปซื้อหาอะไรได้ พระเจ้าที่เป็นเงินช่วยไม่ได้เสียแล้ว ต้องวิ่งหนีตายเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด
ในเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพครั้งนี้ แม้แต่ผีสาง เทวดาทั้งหลายก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ผมได้เห็นภาพทางทีวี เมื่อผู้ว่าราชการกรุงเทพ ทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้า และวิญญาณต่างๆ เพราะหมดปัญญาแก้ไขปัญหาแล้ว เข้าใจว่าเจ้าแม่คงคาที่คนไทย ได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ด้วยการเอากระทงเป็นล้านๆ อันไปถวาย ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เจ้าแม่คงคาไร้ความปราณีเสียแล้วหรือ
ที่ผมเกริ่นมานาน เพื่อจะบอกว่า แท้จริง ทุกชีวิตต้องพึ่งพาพระเจ้า คริสเตียนที่มีชีวิตใหม่ เขาดีใจที่ได้รับชีวิตใหม่ เมื่อคนบาปมาเชื่อพระเยซู ไม่ว่าจะมาด้วยวิธีใด บางคนรู้จักพระเจ้าเพราะมีคนมาแจกของ บางคนมาเองเพราะเบื่อการกราบไหว้บูชาผีที่ช่วยไม่ได้ คอยรบกวน ขู่เอาของกินอยู่ร่ำไป บ้างมาเพราะมีคนไปอธิษฐานปลดปล่อยรักษาโรคให้หายจึงกลับใจมาเชื่อพระเจ้า
การที่ท่านได้รับการปลดปล่อยจากความบาป มาได้พบแสงสว่างแห่งชีวิต ได้พบกับพระเจ้าทีเที่ยงแท้ ทีมีชีวิตอยู่ พระองค์ที่สามารถช่วยให้รอดพ้นบาป เวรกรรม และคำแช่งสาป สามารถทำให้คนหลุดพ้นจากอำนาจของผี วิญญาณร้ายทุกชนิด ท่านได้พบสันติสุขในพระเจ้า ท่านได้รับชีวิตใหม่ ท่านไม่ต้องไปหาหมอ ท่านไม่ต้องซื้อยา ท่านประหยัดเงิน ท่านประหยัดเวลา ท่านมีความสุขแล้ว ท่านควรคิดถึงการตอบแทนพระเจ้าบ้าง
อย่างไรก็ตาม การที่เราจะเติบโตในความเชื่อในพระเจ้า เราทุกคนต่างเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า ถ้าพระเจ้าไม่ยกโทษบาปชั่วให้เรา เราก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากอำนาจบาป และความตายชั่วนิรันดร์
กว่าที่เราจะกลายเป็นคริสเตียนที่ดี มีความเชื่อเข้มแข็งเราทุกคนต่างได้รับคำสอนจากท่านอาจารย์และผู้ประกาศหลายคน แต่เชื่อไหมครับว่า คริสเตียนไม่มีคำสอนที่เกี่ยวกับการตอบแทนผู้ประกาศข่าวประเสริฐมากนัก เพราะเราคิดแต่ว่า “รอดเพราะพระคุณพระเจ้า” แต่เราไม่คิดว่า กว่าเราจะรู้เรื่องรู้ราวอะไรๆ เกี่ยวกับพระเจ้า มีคนหลายคนที่ต้องอดทนสอนเรา อธิษฐานเผื่อเรา บางคนได้มารู้จักพระเจ้าเพราะได้เพื่อนคริสเตียนที่ดี บางคนที่รู้จักความกตัญญู เขาก็จะมีของขวัญอะไรเล็กๆ น้อย ไปฝากเพื่อนคนนั้นเสมอ เมื่อถึงเทศกาลแห่งการให้ หรือคริสตมาส
พระเยซูคริสต์ได้ซื้อท่านด้วยราคาสูง พระองค์ซื้อท่าน ไถ่ท่านมาด้วยการทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน พระองค์ได้ย้ายท่านจะอุ้งมือมารร้าย มาอยู่ในอาณาจักรทางวิญญาณที่มีพระเจ้าแสนดีปกครองดูแลท่าน ท่านได้หลุดพ้นจากอำนาจของบาป หลุดจากการเป็นทาสมาร ความเจ็บป่วย และความทุกข์ เข้าสู่ อาณาจักรแห่งพระคุณ ความสันติสุข และความปลามปลื้มใจในพระวิญญาณ ท่านเป็นไทย ท่านกลายเป็นเหมือนลูกคนหนึ่งของพระเจ้าที่มีสิทธิได้รับมรดก ทั้งทางร่างกาย และวิญญาณแล้ว
แต่พี่น้องทราบไหมว่า คงมีคริสเตียนเป็นพันๆ ที่ทำตัวต่ำกว่ามาตรฐานโดยไม่รู้ตัว ไม่เคยคิดถึงคนที่นำเขามารอดเลย บางคนพอเติบโตขึ้นมาหน่อย ก็ทรยศต่ออาจารย์ ด่าว่าอาจารย์ นินทาอาจารย์ ไม่เคยเอาใส่ใจอะไรท่านเลย ยามทุกข์ ตกงาน ป่วยใข้ขอให้อาจารย์อธิษฐานอวยพร มีปัญหาชีวิต ผีเข้า ถูกวิญญาณรบกวน ขอให้อาจารย์ดูแลปัดเป่า เวลามีความสุขไม่เคยคิดนำซองถวายอวยพรท่าน เวลาได้งานดีขึ้น ได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่เคยแบ่งปันสิ่งดีๆ ที่ตัวเองมีให้ท่านเลย ไม่เคยคิดตอบแทน ลืมสนิท
บางคนทำตัวต่ำกว่ามาตรฐานจนยิ่งกว่าตัวบางแก้ว ดุและกัดไม่เลือกหน้า แม้สุนัขมันยังไม่กัดเจ้าของมัน แม้ว่าเจ้าของจะละทิ้งหรือ ทำร้ายมัน คนที่ทำร้ายผู้เลี้ยงของตน เป็นคนเลวจริงๆ ไม่ได้อยู่ในมาตรฐานของคริสเตียนอย่างแน่นอน ผมเขียนแบบนี้ อย่าว่าผมปากจัดเลย คนที่ทำกับผู้รับใช้พระเจ้าที่นำเขามาถึงความรอด ด้วยสิ่งร้ายแทนการดี ผมว่าxxxไทยยังมีมาตรฐานสูงกว่าคนประเภทนี้
ทำไมเราจึงต้องคิดถึงคนที่นำเราถึงความรอด จริงอยู่คนเราไม่สามารถจะตอบแทนพระคุณพระเจ้าได้ แน่ทีเดียวพระคุณเป็นสิ่งที่เราตอบแทนยังไงก็ไม่หมด พระเจ้าคงไม่ได้คาดหวังให้เราถวายตอบแทน แต่คนของพระเจ้าที่นำข่าวดีมาถึงท่านนั้น เขาต้องกินข้าว เขาต้องจ่ายบิล เขาต้องเลี้ยงลูก จ่ายค่าอะไรต่างๆ เพื่อให้ครอบครัวอยู่ได้อย่างพอมีความสุขบ้าง เขาต้องออกไปประกาศให้คนอื่นๆ เขาต้องเติมน้ำมัน เวลาเขามาเยี่ยมเรา เลี้ยงดูฝ่ายจิตวิญญาณให้เรา เขาต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แล้วถ้าเราไม่รู้จักตอบแทนเขาบ้าง เขาจะดำเนินชีวิตประจำวันอย่างยากลำบาก ทำไมเราไม่คิดอวยพรท่านบ้างล่ะ อย่าให้ผู้สอนท่านด้วยเพียงคำว่า "ขอบคุณครับ ขอบคุณอาจารย์" แต่ไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระอะไรท่านเลย
คนที่แสดงความเมตตาคุณและให้ยืม ก็อยู่เย็นเป็นสุข คือผู้ที่ดำเนินการของเขาด้วยความยุติธรรม
[พระธรรม สดุดี 112:5]
การรู้จักให้เป็นการช่วยลด ขัดเกลากิเลส ความโลภ ความเห็นแก่ตัวที่มีอยู่ในสันดานของมนุษย์ธรรมดา การให้จะช่วยให้เรามีความสุข ช่วยให้เราได้รับพระพรจากคนที่ได้รับ การให้ทำให้พระเจ้าระลึกถึง (กจ บทที่ 10) และพระเจ้ายังทรงมองเห็นการดีที่เราได้ทำ และจะตอบคำอธิษฐานในเรื่องที่ยากๆ หรือในยามที่ท่านอยู่ในความลำบาก หากใครมาหาพระเจ้าแล้วไม่เอาอะไรติดมือมาบ้างถือว่า เป็นแค่เด็กชั้นประถมในความเชื่อเท่านั้น ยังไม่ได้เป็นผู้ชาย หรือเป็นผู้ใหญ่เลย
มีพระคัมภีร์ข้อหนึ่งได้เขียนไว้ในหนังสือ พระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 16 ข้อ 16 ดังนี้ “
..... อย่าให้ผู้ใดมาเฝ้าเรามือเปล่าเลย” และในพระธรรมตอนอื่นๆ อีกหลายตอนก็ว่าข้อความนี้หลายครั้ง
ดังนั้นผมจึงขอสอนว่า อย่าให้คริสเตียนคนใดมาเฝ้าพระเจ้ามือเปล่าเลย ให้นำเครืองบูชามาถวายแก่พระเจ้าผ่านผู้รับใช้ของพระเจ้าบ้างเถอะ เพื่อให้ผู้ทำหน้าที่อธิษฐาน ปกครองดูแล สั่งสอนท่านให้ได้อยู่ดีกินดีกว่านี้หน่อยเถอะ พี่น้องที่มีรถหลายคัน ก็ถวายรถยนต์ให้อาจารย์คนจนที่สั่งสอนท่านสักคันได้ไหม เพื่ออาจารย์จะได้มีโอกาสไปเยี่ยมคนอื่นๆ นำความรอดไปให้ใครต่อใครอีกมากมาย การถวายให้กับแผ่นดินของพระเจ้า ไม่มีการขาดทุนอยู่แล้ว
ในพระธรรมกาลาเทีย บทที่ 6 ข้อที่ 4-7 ได้กล่าวว่า ...
“ทุกคนจงสำรวจการกระทำของตนเอง จึงจะมีอะไรๆที่จะอวดได้ในตัวไม่ใช่เปรียบกับผู้อื่น เพราะว่าทุกคนต้องรับภาระของตัวเอง ส่วนผู้ที่รับคำสอน จงแบ่งสิ่งที่ดีทุกอย่างให้แก่ผู้ที่สอนตนเถิด อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น
นั่นแปลว่า อะไร ทุกสิ่งที่ท่านหว่านเข้าไปในแผ่นดินของพระเจ้า ท่านจะได้รับการเก็บเกี่ยว ท่านจะได้รับการตอบแทนอย่างแน่นอน และผมขอยืนยันว่า การหว่านนั้นจะเป็นการลงทุนน้อยกว่า การเก็บเกี่ยว เพราะตารกฎของการหว่านนั้น มันจะทวีคูณเสมอ เมื่อถึงฤดูการเก็บเกี่ยว คือหว่านน้อยกว่า การเก็บเกี่ยวจากผลแห่งการหว่าน
พระคัมภีร์ได้สอนไว้มากมาย เกี่ยวกับ การปรนนิบัติดูแลผู้ทำหน้าที่ปุโรหิต
“จงทำเสื้อรัดประคดและหมวกสำหรับบุตรอาโรนให้ สมเกียรติและงดงาม” [อพยพ 28:40]
ท่านมาเชื่อพระเจ้านานหรือยัง ท่านเคยดูแลศิษย์ยาภิบาลของท่านหรือเปล่า ท่านเคยซื้อเสื้อผ้าดีๆ ให้ผู้รับใช้ของท่านใส่บ้างใหม่ ท่านตัดสูทสวยๆ ซื้อกระเป๋าราคาเป็นหมื่น ท่านมีสันติสุขเต็มล้น ท่านกินอะไรอร่อยๆ
วันพิเศษของท่าน ท่านออกไปกินอะไรๆ ท่านอร่อย ท่านอิ่มจนไม่มีที่ว่างในกระเพาะอาหารของท่าน ท่านเคยคิดถึงคนที่อุตส่าห์สั่งสอนถ้อยคำของพระเจ้าแก่ท่าน นำวิญญาณของท่านมาถึงความเจริญในพระเจ้า ท่านตอบแทนเขาอย่างไรบ้าง หรือท่านไม่เคยคิดเลย ท่านคิดว่า พระคุณพระเจ้าไม่ต้องตอบแทนงั้นหรือ ถ้าท่านคิดแบบนี้ บทความข้างบทที่ผมกล่าวมา อาจทำให้ท่านละอายใจ แต่ถ้าท่านเป็นคนนั้นที่ทำดีอยู่แล้ว ขอพระเจ้าอวยพระพรให้ท่านเจริญยิ่งขึ้น ขอพระเจ้าอวยพระพรให้ท่านเกิดผลมากยิ่งขึ้น
บางครั้งคริสเตียนจะถวายให้กับคริสตจักรที่ตนเอง (หนี) มาอยู่ปัจจุบันเท่านั้น คริสตจักรปัจจุบันก็ไม่เคยสอนสมาชิกให้รู้จักตอบแทนแก่ ครูคนแรกที่สั่งสอนท่าน ปุโรหิตของพระเยซูเจ้าคนแรกที่นำท่านมาถึงความรอด คนที่คอยสอนบทเรียนพื้นฐานชีวิตให้กับท่าน จนท่านเติบโต ปีกกล้า ขาแข็ง แล้วท่านก็บินหนี ท่านไม่เคยคิดถึงเขา วันนี้ลองส่งเมสเสทไปสวัสดีเขาบ้างสิครับ วันเกิดเขาท่านจำได้ไหม หรือว่าท่านไม่เคยรู้เลยว่าอาจารย์เกิดวันไหน ลองส่งเค็กไปสักก้อนสิครับ เพื่อขอพร ผมเชื่อว่าถ้าท่านทำตามคำสอนของอาจารย์เปาโลที่ว่า
“ส่วนผู้ที่รับคำสอน จงแบ่งสิ่งที่ดีทุกอย่างให้แก่ผู้ที่สอนตนเถิด”
[กาลาเทีย 6.6 ]
ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงขอวิงวอนท่านว่า อย่าสักแต่รับพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น [2 โครินธ์ 6:1 ]
พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่องค์นี้จะอวยพรท่านให้ท่านมีสวัสดิภาพ มีสุขภาพ และมีสันติสุข มากขึ้น และเมื่อท่านได้เป็นผู้นำทางวิญญาณ คนที่ติดตามท่านก็จะอวยพรท่านเช่นเดียวกัน
ขอพระเจ้าอวยพรผู้อ่าน
Rice Mu. January 20, 2012
อ่านเพิ่มเติมเรื่อง ทาส
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%AA
http://www.lanna.mbu.ac.th/artilces/Slavery.asp
http://www.sainampeung.ac.th/chalengsak/units/unit4/chapter4/chapter4_5/Ram5_6_social.htm
10:7 จงไปพลางประกาศพลางว่า ‘อาณาจักรแห่งสวรรค์มาใกล้แล้ว’
ตอบลบ10:8 จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนโรคเรื้อนให้หายสะอาด คนตายแล้วให้ฟื้น และจงขับผีให้ออก ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ ก็จงให้เปล่าๆ
10:9 อย่าหาเหรียญทองคำ หรือเงิน หรือทองแดงไว้ในไถ้ของท่าน
เอเฟซัส 2:8-9 8 ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่าน ทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ 9 ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้ คนหนึ่งคนใดอวดได้
ตอบลบ1ซามูเอลบทที่ 2:17
ตอบลบ27ครั้งนั้นมีบุรุษของพระเจ้ามาหาเอลี กล่าวแก่ท่านว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'เราได้เผยเราเองให้แจ้งแก่พงศ์พันธุ์บิดาเจ้า เมื่อเขาทั้งหลายอยู่ในอียิปต์ใต้บังคับพงศ์พันธุ์ของฟาโรห์ 28และเราได้เลือกเขาออกจากเผ่าอิสราเอลทั้งหมด ให้เป็นปุโรหิตของเราเพื่อจะขึ้นไปที่แท่นบูชาของเรา เพื่อเผาเครื่องบูชาเพื่อใช้เอโฟดต่อหน้าเรา และเราได้มอบของที่บูชาด้วยไฟ ซึ่งคนอิสราเอลนำมาถวายนั้นแก่พงศ์พันธุ์บิดาของ เจ้า 29เหตุใดเจ้าจึงเหยียบย่ำเครื่องสัตวบูชาของเรา และของที่เขาถวายตามบัญชาของเรา และให้เกียรติแก่บุตรทั้งสองของเจ้าเหนือเรา และกระทำให้ตัวของเจ้าทั้งหลายอ้วนพี ด้วยส่วนที่ดีที่สุดจากของถวายทุกราย จากอิสราเอลชนชาติของเรา' 30เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของอิสราเอลจึงตรัสว่า 'เราพูดจริงๆ ว่าพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ บิดาของเจ้าจะเข้าออกต่อหน้าเราอยู่เป็นนิตย์' แต่บัดนี้พระเจ้าทรงประกาศว่า 'ขอให้การนั้นห่างไกลจากเรา เพราะว่าผู้ที่ให้เกียรติแก่เรา เราจะให้เกียรติและบรรดาผู้ที่ดูหมิ่นเรา ผู้นั้นจะถูกดูหมิ่น 31ดูเถิด วาระนั้นจะมาถึงอยู่แล้ว เมื่อเราจะตัดแขนของเจ้าออกและตัด แขนของพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้าออก เพื่อจะไม่มีคนชราในพงศ์พันธุ์ของเจ้า 32แล้วด้วยสายตาริษยาและด้วยความทุกข์ร้อน เจ้าจะมองดูความมั่งคั่งซึ่งเราจะพอกพูนให้อิสราเอล และจะไม่มีคนชราในพงศ์พันธุ์ของเจ้าเป็นนิตย์ 33คนของเจ้าซึ่งเรามิได้ตัดขาดเสียจากแท่น บูชาของเรานั้น เราจะไว้ชีวิตเพื่อให้ร้องไห้จนตาถลน และให้เจ้ามีจิตใจเศร้าโศกและผลอัน เพิ่มพูนในพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะตายเสียเมื่อวัยฉกรรจ์ 34และสิ่งนี้จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้า ซึ่งจะบังเกิดแก่บุตรทั้งสองของเจ้า คือโฮฟนีและฟีเนหัส ทั้งสองจะสิ้นชีวิตในวันเดียว 35และเราจะให้ปุโรหิตผู้ซื่อสัตย์ของเราเกิดขึ้นมา ซึ่งจะกระทำตามสิ่งที่มีอยู่ในจิตในใจของเรา และเราจะสร้างพงศ์พันธุ์มั่นคงให้เขา และเขาจะดำเนินอยู่ต่อหน้าผู้ที่เราเจิมไว้เป็นนิตย์ 36และทุกคนที่ยังเหลืออยู่ในพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากราบไหว้เขา ขอเงินเหรียญหนึ่งและขนมปังก้อนหนึ่ง และจะกล่าวว่า "ขอท่านกรุณาตั้งข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งปุโรหิตสักทีหนึ่งเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับประทานอาหารสักหน่อยหนึ่ง" '
นี้เป็นพระจนะที่มาถึงปุโรหิต ซึ่งปุโรหิตในสมัยนั้นก็เปรียบเหมือนผู้นำศาสนาในปัจจุบัน อาจเป็นศิษยาภิบาลหรือผู้นำทั้งหลาย หลายครั้งผู้นำศาสนาหรือปุโรหิตในอดีตอยู่บนความฟุ้งเฟ้อและพระเจ้าส่งผู้เผยอย่างเอเสเคียลมาเพื่อเตือนสติคนพวกนี้ พวกเขาอยู่บนความมั่งคั่งและเกินความจำเป็นและยังเข้าใจประสงค์พระเจ้าอย่างผิดๆ พระเจ้าจะให้เราไม่ขาดในสิ่งที่เราจำเป็นเท่านั้นและสิ่งที่มีมากกว่านั้นพระเจ้าให้เราแบ่งปันออกไป ผมจำเรื่องที่มีศบ.เกาหลีคนหนึ่งประสบการณ์ตายแล้วฟื้น คนนี้มีรถราคาแพงคันหนึ่งประมาณ 20 ล้าน ถึง 5 คัน เมื่อพระเจ้านำเขาไปในแดนนรกและเขาจะต้องอยู่ที่นั่นหลังถ้าไม่กลับใจใหม่ หลังจากกลับมาเขาขายรถพวกนั้นทั้งหมด และเอาเงินช่วยคนยากจนแม่หม้ายในคริสจักรที่เขาไม่เคยดูแลเลยตลอดการรับใช้ของเขา แต่ปุโรหิตในพระคัมภีร์เดิมก็ไม่ต่างกับผู้นำคริสจักรหลายคนที่อยู่บนความฟุ้งเฟ้อจากเงินถวายที่ผู้คนถวายเพื่องานพระเจ้า โดยเฉพาะผู้นำคริสจักรในอเมริกา พระเจ้าตรัสกับเอลี ว่าพวกเขาเหยียบย่ำเครื่องบูชาของเรา พวกเขาเลือกส่วนที่ดีที่สุดในของถวายเพื่อตัวเขาเอง พระเจ้าเตือนบรรดาผู้นำคริสจักรที่เอาเงินที่คนถวายเพื่อการหนึ่งไปใช้เพื่อตัวเอง ท่านได้เหยียบย่ำของถวายนั้น และพระเจ้าตรัสว่าจะไม่มีคนชราเป็นนิตย์หมายความว่าพวกเขาจะตายก่อนที่จะแก่ ในข้อ33 กล่าวว่าเจ้าจะตายเมื่อวัยฉกรรจ์ และพระเจ้าจะตั้งปุโรหิตที่สัตย์ซื่อขึ้นมาแทน ถ้าผูนำคริสจักรไม่กลับใจเรื่องนี้ท่านจะตายในบึงไฟนรก อย่าคิดว่าการรับใช้พระเจ้าจะช่วยเรามัทธิวบทที่ 7 กล่าวเรื่องนี้ชัดเจนมากว่าไม่ใช่ทุกคนที่เทศนาสั่งสอนขับผีจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์เพราะวันนั้นมาถึงพระเจ้าไม่รู้จักเรา และที่เราต้องเตือนสติครนพวกนี้เพราะเมื่อปุโรหิตทำบาปจะนำคำแช่งสาบมายังแผ่นดินนั้นเขาเป็นเหมือนตัวแทนของประชาชนที่จะพบพระเจ้าและพระพรก็มาผ่านทางพวกเขา ให้เราศึกษาพระคำและอ่านไม่ใช่ส่วนที่เราชอบอ่าน อ่านสิ่งที่พระเจ้าเตือนเรามากๆ ถ้าผู้นำคริสจักรไม่เรียนรู้การให้ และเขาสอนคนที่จะกับคริสจักรอย่างเดียว และตัวเขาจะให้เขาจะเป็นเหมือนปุโรหิตที่เอลีได้เผยพระวัจนะนี้