ข้อห้ามอีกประการหนึ่งที่ผมอยากจะนำเสนอในเรื่องพระบัญญัติสิบประการ ตอนนี้เป็นบทความตอนที่สาม ก่อนที่จะจบบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่มีทั้งสิ้น สี่ตอนนะครับ
สิ่งนี้คือกฎแห่งพระพรข้อที่ สี่ คือการรักษาวันหยุดแห่งความบริสุทธิ์
พระคัมภีร์เขียนว่า
"จงสั่งชนชาติอิสราเอลว่า `เจ้าทั้งหลายจงรักษาวันสะบาโตของเราไว้ เพราะนี่จะเป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับเจ้าตลอดชั่วอายุของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์ ผู้ได้กระทำเจ้าให้บริสุทธิ์
อพยพ 31:13
“เหตุฉะนี้ ชนชาติอิสราเอลจึงถือวันสะบาโตตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเขาเป็นพันธสัญญา เนืองนิตย์ เป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับชนชาติอิสราเอลว่า ในหกวันพระเจ้าได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก แต่ในวันที่เจ็ดพระองค์ได้ทรงงดการงานไว้ และได้ทรงหย่อนพระทัยในวันนั้น”
(อพยพ 31:16–17)
วันสะบาโต (ภาษาอังกฤษ: Sabbath) เป็นวันสำคัญทางศาสนายิว และศาสนาคริสต์บางคณะนิกาย สะบาโต มาจากภาษาฮีบรู "ซับบาธ" แปลว่า "พัก" พระเจ้าทรงสร้างโลก ภายในหกวัน และได้พักในวันที่ 7 เพื่อให้มนุษย์ได้ปฏิบัติเป็นแบบอย่าง ถือเป็นวันบริสุทธิ์ห้ามทำกิจกรรมใดๆ ทุกอย่างได้ถือว่าวันนี้เป็นวันพักผ่อน เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ให้ทำกิจกรรมที่เป็นกุศล เช่น การสวดมนต์อธิษฐานภาวนาการอ่านพระคัมภีร์ และขอบคุณพระเจ้า เข้าร่วมการประชุมนมัสการพระเจ้า เพื่อการพบปะยี่ยมเยียนและเรียนรู้เรื่องพระเจ้า
การนับเวลาวันสะบาโต นับดังนี้
"เริ่มจากเวลาที่ดวงอาทิตย์ตกของเย็นวันหนึ่ง
ไปถึงดวงอาทิตย์ตกดินอีกในวันรุ่งขึ้น "
(หมายความว่าการนับเวลาวันสะบาโต เริ่มจากเย็นของวันเสาร์ ถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์ตกของเย็นวันอาทิตย์)
ศาสนายูดาย ถือว่าวันเสาร์คือวันสะบาโตหรือ "ซับบาธ" มีคริสเตียนบางนิกายยังถือวันซับบาธตามตัวอักษรอยู่บ้าง คือต้องเอาแบบโบราณ คริสเตียนส่วนใหญ่ปัจจุบันถือวันอาทิตย์เป็นวันพักผ่อน เป็นวันหยุด การถือวันไหนนั่นก็แล้วแต่หัวหน้าพรรคจะตีความหมายกันไป แต่คนที่ถือวันสะบาโต ก็ถือเพื่อแสดงถึงการอยู่ในการปกครองของพระเจ้า เพื่อถวายความศักดิ์สิทธิแด่พระเจ้า เพื่อแสดงตนว่ายังต้องการรับการคุ้มครองจากพระเจ้า ต้องการอยู่ในการอวยพรของพระเจ้า สำหรับคนที่จงใจละเมิดวันสะบาโต ก็คงเป็นไปในทางตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวมา ก็คือตัวใครตัวมันก็แล้วกัน แต่มีข้อคิดว่า ถ้าหากผู้เชื่อไม่อยู่ในการปกครองของพระเจ้า ย่อมอยู่นอกอาณาเขตของแผ่นดินของพระเจ้าอย่างแน่นอน เขาเหล่านั้นผู้ละเมิดวันสะบาโตอย่างจงใจ ได้เปิดโอกาสให้ตัวทำลายเข้ามาปกคลุมแทนพระเจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คงมีคริสเตียนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจวิธีการนับ หรือ ให้เกียรติแก่วันวันสะบาโตไปคนละอย่างสองอย่าง ในปัจจุบันผู้เชื่อในพระเยซู ถือวันอาทิตย์เป็นวันสะบาโตโดยปริยาย บทความนี้พยายามจะชี้แนะว่า ควรจะนับถือวันนี้ให้ดี และบริสุทธิ์จริง อย่างไรก็ตามเนื่องจากคริสตชนมีหลากหลายความเชื่อมาก มีหลายสำนัก หลายพรรค บางพรรคก็รวย บางพรรคก็จน บางพรรคก็พอมีพอใช้ บางพรรคก็ทุนหนามีทุนนอกมาเสริมตลอด บางพรรคก็เน้นแต่ผลอะไรบางอย่าง บางพรรคก็ไม่เน้นอะไรสักอย่าง อยู่กันไปอย่างนั้น สนุกๆ หลายคนจึงนับเวลาวันอาทิตย์ และถือวันสะบาโต "ตามใจฉัน"ดังนี้
- คืนวันเสาร์เข้านอนดึก ดูหนังดูละคร ไม่อ่อนไม่เพลีย มีเพศสัมพันธ์คืนวันเสาร์ (มีเตือนไว้ในพระคัมภีร์ ลองค้นดูดีๆ)
- คืนวันเสาร์ สองสามทุ่มยังซักผ้า ไม่พักไม่หยุด บางคนกรึ๊บหนักหน่อยเพราะเป็นวันหยุดงาน (การกินเหล้า หรือแอลกอฮอล์ไม่ได้เป็นข้อห้ามทางศาสนาคริสต์ ไม่มีห้ามในศีลสิบข้อ แต่คนที่เจริญในความเชื่อส่วนใหญ่ไม่ดื่มทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้เชื่อคนอื่นๆ)
- คืนวันเสาร์ เล่นอินเตอร์เนทจนดึก แชทเพลิน เปิดภาพล่อแหลม เข้านอนก็เกือบเที่ยงคืนหรือบางคนก็นอนดึกกว่านี้อีก
- วันอาทิตย์ตื่นนอนตามสบาย ไปโบสถ์สาย เวลาเก้าโมงเช้ายังไม่ออกจากบ้าน เข้าโบสถ์เขาเทศน์ใกล้จะเสร็จแล้วเพิ่งไปถึง
- เช้าวันอาทิตย์ทะเลาะกัน หาของไม่เจอโมโหกัน ทำให้เสียบรรยากาศในวันบริสุทธิ์
- เช้าวันอาทิตย์ ดูหนังดูละคร จนเพลินเลยเวลาไปนมัสการพระเจ้า
- รู้สึกเฉยๆ กับวันอาทิตย์ไม่อยากไปไหน อยากนอนอยู่กับบ้าน อยู่หน้าจอทีวี หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์
- ซักผ้าเช้าวันอาทิตย์ก่อนไปโบสถ์ เพราะผ้าที่ใส่แล้วสะสมเป็นกองใหญ่ เช้าวันอาทิตย์คือเวลาดีที่สุดสำหรับการซักผ้า
- นับถือวันสะบาโตแค่เช้าวันอาทิตย์ ตอนบ่ายต้องรีบมาเปิดร้านเพราะว่าวันอาทิตย์มันขายดีกว่าวันอื่นๆ
- เช้าวันอาทิตย์คือวันที่สามารถนอนตื่นสายได้ดีที่สุด บางคนเก้าโมงครึ่งยังไม่ตื่น ไม่ลุกจากที่นอน ไม่ได้เตรียมเสื้อผ้า ไม่ได้เตรียมอะไรเลย
- บ่ายวันอาทิตย์คือเวลาของกิจกรรมส่วนตัว ถ้าพี่น้องที่โบสถ์จะชวนเข้าร่วมกิจกรรมอะไร จะอ้างโน่นอ้างนี่ อ้างไปเยี่ยมญาติ อ้างย่าไม่สบาย อ้างส่งลูกเรียนพิเศษ แต่ไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรมแต่ไม่กล้าบอกตรงๆ
- สำหรับอนุชนคนหนุ่มสาว เกมคอมพิวเตอร์ เฟซบุ๊ค แชท หรือดาวโหลดหนัง อาจเป็นตัวสร้างความหมกหมุ่นให้กับเขาเป็นอย่างดี บางคนลืมกินข้าวกินน้ำ ลืมเวลานมัสการ ลืมเวลาเข้าเซลเลยก็มี
- เช้าวันอาทิตย์คือวันที่จะติดต่อธุระกับพี่น้องบางคนที่โบสถ์ บางคนเอาของไปขาย บางโบสถ์ขายของเพลินในวันอาทิตย์ใช้ข้ออ้างเอาไปทำพันธกิจต่างๆ เพื่อสร้างความชอบธรรม ในการค้าขายในโบสถ์
การทำงานมากเกินไป ไม่พักผ่อนเพียงพอ นานวันเข้าโรคภัยต่างๆ ก็ตามมา ร่างกายก็สึกหรอเร็วเพราะใช้งานมากเกินไปเหมือนเครื่องยนต์ที่วิ่งตลอดเวลาย่อมต้องมีการสึกหรอ สมองและความคิดก็ต้องการพักผ่อน ต้องมีการผ่อนคลาย พระเจ้าคาดหวังให้หุ่นดินปั้นของพระองค์ได้พักผ่อนบ้าง เพื่อจะได้อยู่บนโลกนี้เต็มศักยภาพที่พระเจ้าได้สร้างมนุษย์ขึ้น พระองค์จึงทำเป็นแบบอย่าง โดยการทำงานหกวันและหยุดพัก 1 วันสลับกันไปเรื่อยๆ แต่มนุษย์คิดมาก โลภมาก อยากได้มาก ไม่ต้องการพักผ่อน อยากกอบโกย อยากสร้างฐานะจึงทำงานไม่หยุด พอรู้ตัวอีกทีก็เข้าโรงพยาบาลให้หมอตรวจเช็คร่างกาย บางคนต้องเช็คประสาทด้วย อวัยวะอะไร ก็ทำงานปั่นป่วนไปหมด บางคนทำงานหนักยังไม่พอ เอาความเกลียด ความเครียด ความแค้น เข้ามาทับถมอารมณ์และความคิด เวลานานวันเข้ากลายเป็นคนป่วย คนไม่สมประกอบมีโรคสารพันรบกวน
ใครอยากเป็นคริสเตียนที่ดีต้องแบ่งเวลาสำหรับกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตอย่างสมดุล คือเวลาหยุดงาน หยุดคิด หยุดค้า หยุดขาย หยุดกินบ้างในบางมื้อ หยุดพูดคำหยาบ คำด่า คำที่สร้างความเจ็บปวดให้คนอื่น หยุดสมอง หยุดใจด้วยการฟังเพลงนมัสการเพราะๆ หยุดพักร่างกาย หยุดอารมณ์ เพื่อสำรวจตัวเอง
คริสตชนที่ดีควรหยุดในวันอาทิตย์เพื่อตรวจเช็คสภาพจิตวิญญาณของตนเอง รับการตรวจเช็คสภาพจิตวิญญาณประจำสัปดาห์ รับกำลังใหม่ด้านจิตวิญญาณจากพระคำของพระเจ้า
คริสเตียนแท้มีวิถีชีวิตที่แตกต่างไปจากคนธรรมดาทั่วไป เพราะคนทั่วไปคิดแค่ กิน กาม เกียรติ กอบโกย โกง เพื่อให้ก้าวหน้า ก้าวหน้า ๆๆ ไม่รู้จักพอ ชีวิตจึงไม่สมดุล ตอนปลายๆ ของชีวิต หรือบางคนหัวยังไม่ทันหงอก ร่างกาย จิตใจ เสื่อมโทรม มีแต่โรครุมเร้า ทั้งโรคเก๊า เครียด กระเพาะ มะเร็ง และหัวใจ ตับ ไต ลำใส้ ริดสีดวง บางคนเป็นโรคที่ไม่ค่อยมีมนุษย์คนไหนเขาเป็นกันอีกต่างหาก เช่น โรคกรดไหลย้อนกลับ นอนไม่หลับ โรคซึมเศร้า โรคต่อมเป็นพิษ โรคภูมิต้านทานทำลายตนเอง โรคต่อมน้ำตาไม่ทำงาน น้ำตาแห้ง น้ำลายไม่มี โรคประหลาด นานาโรคต่างค่อยจ้องเล่นงานคนไม่นับถือพระเจ้า จนทรัพย์สมบัติที่หามาได้อย่างแสนเหนื่อยยาก ยังไม่ได้เสพ ไม่ได้ใช้ ก็เกิดป่วย ต้องไปโรงพยาบาลบ่อยๆ เขาจึงเอาเงินไปบริจาคให้หมอเอกชนที่คิดค่าบริการแพงๆ เพื่อคนใข้จะได้บริการที่ดี และไวกว่าชาวบ้านจนๆ ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลรัฐ สำหรับผมนะ ถึงคนรวยที่ป่วยจะสามารถจ่ายค่าโรงพยาบาลระดับห้าดาว คืนละเป็นแสน ก็ไม่เท่เท่าการไปเต้นร้องเพลงนมัสการพระเจ้ากับพี่น้องคริสเตียนในโบสถ์ธรรมดาหรอกครับ
สิ่งที่น่ากลัวไปกว่านี้อีก ก็คือ บางคนมันแข็งแรงมาก ทั้งร่างกาย และจิตใจ สามารถทำงานไม่หยุดไม่หย่อน ไม่เป็นอะไรเลยก็จริง แต่คนในครอบครัว ในวงตระกูลกับกลายเป็นตัวถ่วง ตัวทำลาย ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติมิตร เกิดอาการป่วยกันถี่ยิบ แบบว่าเปลี่ยนกันทำหน้าที่คนป่วยในครอบครัว คนในวงตระกูลป่วยกันอุตลุด บางคนไม่ป่วยแต่มักจะมีเรื่องทำให้เสียเงิน เสียทรัพย์สิน เสียเวลา มีเรื่องเข้ามารบกวนชีวิตอยู่เนืองๆ เขาเรียกว่า ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรกอะไรประมาณนั้น จนชีวิตของเขาว้าวุ่น เรียกว่า "ไร้สันติสุข" ผมขอบอกว่า ถ้าใครเกิดมีแบบนี้ต้องมาขอรับการปลดปล่อยแล้วครับ
มีหลายๆ คนชอบบอกให้อาจารย์ให้อธิษฐานให้หายโรคนั้น โรคนี้ บางคนอาจารย์ไม่ต้องอธิษฐานก็หายเองแล้ว หลังจากรับฟังคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ เพราะว่า คนบางคนไม่ได้สนใจเกี่ยวกับความสมดุลของชีวิต คนทั่วไปอย่างที่บอกคือ มัวเมา หรือยุ่ง วุ่นวายกับบางสิ่งบางอย่างมากเกินไป ไม่แบ่งเวลาให้สมดุล บางคนพอตื่นนอนขึ้นมาก็แต่งตัวไปทำงาน เล่นคอมพิวเตอร์เพลินมากเกินไป จนปวดแขน ปวดไหล่ ปวดเอว เพราะแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์มันกัดกินหัวไหล่และหลัง
ชายหญิงหลายคนทำตัวตามสบาย ไม่มีวินัยในการอยู่การกิน การดำเนินชีวิต ไม่ทันระวังตัวชอบกิน กินเพลิน กินไม่หยุด กินของดีๆ เพราะมีตังค์ กินวันละหลายมื้อ ไม่มีการห้ามปาก ไม่มีวันอดอาหาร กินมากเกินไป ไม่ออกกำลังกาย ไม่แบ่งเวลาคุยกับเพื่อน ไม่มีเวลาคุยกับพระเจ้า ไม่อ่านพระคัมภีร์ ไม่มีเวลาคุยกับคนในครอบครัว ไม่มีเวลาหัวเราะ เอาแต่ทำงานๆ ทำแต่สิ่งที่ตนเองสนใจ หมกหมุ่นกับสิ่งของหรือกิจกรรมเดิมๆ ทำซ้ำๆ เป็นเวลาหลายปี ร่างกาย จิตใจจึงป่วยใข้ ขาดความสมดุลจึงเกิดโรคภัยสารพัน เมื่อคนเริ่มป่วย รักษาไม่หายจึงจะเริ่มคิดได้ว่า "กรูมันโง่"
มีคนป่วยบางคนพอเห็นผมอธิษฐานวางมือใครๆ หายก็อยากให้อธิษฐานให้ แต่ผมไม่ทำให้ทุกคนหรอกครับ เพราะผมรู้ตัวว่าผมไม่ใช่ผู้วิเศษ ผมเป็นเพียงท่อพระพรเท่านั้น สิ่งที่นักการศาสนาหลายคนเข็ดขยาดคือการอธิษฐานวางมือช่วยเหลือคนเจ็บป่วยให้หายนี่แหละ แค่วางมือใครก็ทำได้ แต่วางมือให้หายนี่ ยากนา เพราะพอทำไปแล้วคนหายป่วยบางคนมันไม่รู้จักขอบคุณเราหรอก มันบอกว่าพระเจ้าทำให้หาย และมันก็ไม่คิดถึงการดูแล หรือตอบแทนผู้รับใช้พระเจ้า แม้จะเลี้ยงข้าวสักจานมันยังไม่ทำ ส่วนคนไม่หายมันก็จะว่าเราไม่เก่ง ไม่มีการเจิม อาจารย์บางคนอธิษฐานไปแล้วไม่มีใครหาย เลยอยากเลิก ในการนมัสการพระเจ้าในคริสตจักรทั่วไป ไม่มีรายการอธิษฐานเผื่อคนป่วยอีกแล้ว อาจเป็นเพราะความเข็ดขยาดของผู้นำนี่แหละ
แท้จริงการอธิษฐานวางมือต้องมีพื้นฐานความรู้เรื่องการปลดปล่อยและการเยียวยาภายใน แต่ผู้นำคริสเตียนไทยจำนวนมากขาดองค์ความรู้ในเรื่องนี้ จึงทำให้คริสตจักรของพระเจ้า ไม่ได้สำแดงฤทธิ์อำนาจของพระเยซูเท่าที่น่าจะเป็น ผมว่าองค์กร และสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการสอนนักศึกษาพระคัมภีร์ต้องพิจารณาเรื่องนี้โดยด่วน ผมมีประสบการณ์เป็นผู้นำคริสเตียนมากว่าสิบปี เพิ่งมาถึงบางอ้อเรื่องการปลดปล่อยเพียง 5 ปีเอง
ขอบคุณพระเจ้าที่ชักนำให้อาจารย์ด้านการปลดปล่อยมาพบผม ผมจึงสมัครเป็นศิษย์เสียเลย จึงได้รู้ความลับเรื่องการปลดปล่อยเยอะพอสมควร ถ้าไม่ได้พบกับอาจารย์ชาวออสเตเลียทีเขาสอนผม ผมอาจจะยังคงงมโข่งต่อไป ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง หาว่าตัวเองไม่มีของประทานอยู่งั้นแหละ ตอนแรกๆ ที่หัดทำผมก็ไม่รู้อะไรมากหรอก ทำไปด้วยใจรัก บางครั้งก็มั่วเหมือนกัน โดนพวกนักการศาสนาสายอนุรักษ์ชอบด่า เสียดสีเป็นประจำ แต่ผมไม่ท้อ ทำมาตลอด จนได้รับการเปิดเผยมากขึ้นเรื่อยๆ
พระคัมภีร์สอนว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารเพียงฝ่ายร่างกายเท่านั้นไม่ได้ ต้องบำรุงชีวิตด้วยถ้อยคำทุกคำที่ออกมาจากปากของพระเจ้า ที่ได้จารึกไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ มนุษย์ึจึงจะมีสันติสุข มีความอิ่มใจ ท่านล่ะครับ ท่านรักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์หรือเปล่า หรือท่านละเมิดวันสะบาโตบ่อยๆ จนไม่รู้สึกอะไรแล้ว ความรู้สึกมันด้านชาไปหมดแล้ว หากท่านเคยทำบ่อย ๆ กลับใจเสียใหม่ดีไหม สละเวลา สละงาน ตั้งใจใหม่ มานมัสการพระเจ้าแต่เช้า ร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้องคริสเตียนทุกๆ อาทิตย์ ร่วมศึกษาพระคัมภีร์กับคริสเตียนคนอื่นๆ ที่เขารักพระเจ้า ชีวิตของท่านจะมีความสันติสุข เป็นชีวิตที่เป็นพร มีอายุยืนยาว สุขภาพดี ไม่เครียด ไม่ป่วย มีชีวิตที่เต็มล้นด้วยสันติสุขอย่างแท้จริง เพราะอยู่ในการอวยพรของพระเจ้า
ในสมัยโบราณ พระเจ้าทรงให้ความสำคัญกับสะบาโต เพื่อให้คนอิสราเอลหยุดพักจากการงาน คนอิสราเอลถูกสั่งห้ามไม่ให้ทำการงานใดๆ ทั้งสิ้นและหากเขาละเลยไม่รักษาสะบาโตให้บริสุทธิ์จะต้องถูกลงโทษถึงตาย (อพย.31:13-14)
นอกจากกำหนดให้มีวันสะบาโตแล้วพระเจ้ายังได้ตั้งปีสะบาโตและปีเสียงเขาสัตว์ ไว้ด้วยเพื่อให้แผ่นดินได้หยุดพัก (ลนต.25:4-5, 25:10-12)
วัตถุประสงค์บางประการเกี่ยวกับวันสะบาโต
1. เป็นเครื่องหมายของการยอมอยู่ใต้การปกครองดูแล การอวยพระพรของพระเจ้า(อพยพ 31.13)
ใครไม่นับถือวันสะบาโต ก็ไม่ได้มอบตัวให้อยู่ในการปกครองของพระเจ้า
ถ้าผู้เชื่อไม่อยู่ภายใต้การปกคลุมของพระเจ้า ย่อมอยู่นอกเหนืออธิปไตยของพระเจ้า
เขาย่อมตกอยู่ในอันตรายแบบสุดๆ แล้ว หลายคนไม่รู้ตัว ไม่แคร์ แต่คนรวย คนสวย คนเก่งหลายคนรู้ตัวเมื่อสายไปแล้ว
คนที่ถือวันสะบาโตออกจากที่พักของตนไม่ได้ (อพยพ 16:29),
ก่อไฟไม่ได้ (อพยพ 35:3)
ใครทำการงานใด ๆ ไม่ได้ (อพยพ 5:14
2. เพื่อให้คนระลึกว่า ก่อนมาเชื่อพระเจ้าต้องเป็นทาสของเงิน ทาสของงาน แต่กลายเป็นคนมีอิสระแล้ว
พระประสงค์ของพระเจ้าในการกำหนดวันสะบาโตให้กับคนอิสราเอลไม่ใช่เพื่อบังคับให้พวกเขาหยุดงาน เพื่อให้พระเจ้าพอใจ แต่เพื่อให้พวกเขาจำการเป็นทาสในอียิปต์และการทรงปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระ
คนที่เป็นทาสไม่มีเวลาหยุดพัก ต้องทำงานเจ็ดวันไม่มีวันหยุดพัก เหนื่อยก็ต้องทำ ทำไปจนป่วย จนตาย
คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าเอาตัวเองเป็นทาสของเงิน ต้องหาเงิน ทำงานไม่หยุด ทำทุกวันไม่เว้น อ้างว่าถ้าไม่ทำก็ไม่พอกิน แต่คนของพระเยซูคริสต์ ทำหกวันพักหนึ่งวัน พอกินแน่ๆ แถบยังมีเหลือเพื่อแจกจ่ายช่วยเหลือคนอื่นด้วย เพราะพระเจ้าคุ้มครองไม่ต้องเจ็บป่วยบ่อย ไม่เครียด เงินทองไม่รั่วไหล จึงมีเหลือเก็บ
3. เพื่อให้มนุษย์หรือสัตว์ซึ่งใช้แรงงานได้หยุดพักผ่อน เพื่อจะฟื้นกำลังให้พร้อมสำหรับการทำงานในรอบสัปดาห์ใหม่ หากคนเชื่อฟังยอมทำตามย่อมได้รับการอวยพร เจริญ และเกิดผลดีในทุกด้าน ทั้งทางด้านร่างกาย คือมีสุขภาพ สุขภาพจิต และจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง วันสะบาโต คือเป็นสิ่งที่นำพระพร สิ่งที่นำ แปลว่ามาก่อน ถ้าใครถือประจำพระพรจะตามมา
แต่ถ้าคนไม่ถือละ เขาอาจจะดีวันนี้ แต่ถ้าพระพรไม่มา อะไรจะมาแทนล่ะ
พระธรรมอพยพ 23:12:
“จงทำการงานของเจ้าหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดนั้น จงหยุดงาน เพื่อโคลาของเจ้าจะได้พัก และลูกชายทาสีของเจ้ากับคนต่างด้าวจะได้พักผ่อนให้สดชื่นด้วย
แท้จริงแบบอย่างของการหยุดพักมีมาก่อนบทบัญญัติทางศาสนา มีตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อพระเจ้าเริ่มเนรมิตสร้างสรรพสิ่งแล้ว พระเจ้าทำเป็นแบบอย่างแก่คนทั้งโลก
คริสเตียนมีรากเหง้ามาจากศาสนายูดาย เมื่อคนยิวเปลี่ยนจากลัทธิยูดาย มาเชื่อพระเยซู พวกเขาได้เปลี่ยนจากการถือวันสะบาโตซึ่งนับเวลาตั้งแต่ พระอาทิตย์ตกดินของเย็นวันศุกร์ ถึงวันเสาร์ตอนเย็น หรือพระอาทิตย์ตกดินของวันเสาร์ มาเป็นถือวันอาทิตย์แทน ซึ่งเขาเรียกมันว่า "วันต้นสัปดาห์"
สมัยก่อนประเทศไทยไม่มีการหยุดงานวันอาทิตย์ ต่อมาเมื่อฝรั่งเข้ามาในประเทศไทยมากๆ บริษัทของคนฝรั่งหยุดงานวันอาทิตย์ ลูกจ้างคนไทยได้หยุดงานวันอาทิตย์ ลูกจ้างบริษัทคนไทยยังไม่ได้หยุด คนไม่ได้หยุดจึงอยากหยุดบ้าง จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คนไทยก็เลียนแบบบ้าง จึงทำให้วันอาทิตย์กลายเป็นวันหยุดไปทั่วประเทศ และทั่วโลกก็ว่าได้
4. ถือเป็นสิทธิพิเศษสำหรับผู้เชื่อทุกคนที่สามารถเข้ามาพักสงบด้วยการไว้วางใจ ในพระเจ้า วางภาระปัญหาของเราไว้กับพระองค์เพราะพระองค์ทรงห่วงใยเราทั้งหลาย
พระธรรมโคโลสี 2:16:
เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกิน การดื่ม ในเรื่องเทศกาล วันต้นเดือน หรือวันสะบาโต
“คนหนึ่งถือว่าวันหนึ่งดีกว่าอีกวันหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งถือว่าทุกวันเหมือนกัน ขอให้ทุกคนมีความแน่ใจในความคิดเห็นของตนเถิด ผู้ที่ถือวันก็ถือเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่กินก็กินเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาขอบพระคุณพระเจ้า และผู้ที่ไม่ได้กิน ก็มิได้กิจเพื่อถวายเกียรติแค่องค์พระผู้เป็นเจ้า และยังขอบพระคุณพระเจ้า” (โรม 14:5–6ก)
“แต่บัดนี้เมื่อท่านรู้จักพระเจ้าแล้ว หรือที่ถูกก็คือพระเจ้าทรงรู้จักท่านแล้ว เหตุไฉนท่านจึงจะกลับไปหาวิญญาณต่างๆ ซึ่งอ่อนแอและอเนจอนาถ และอยากจะเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นอีก ท่านถือวัน เดือน ฤดู และปี”
(กาลาเทีย 4:9–10)
5. การประชุมนมัสการวันอาทิตย์เป็นวันแห่งการปลดปล่อย เป็นวันแห่งการเยียวยา วันแห่งการหายป่วย วันพบปะญาติมิตร วันสะบาโตเป็นวันที่พระเยซูชอบทำการอัศจรรย์ พระเยซูทำการอัศจรรย์ในวันสะบาโตถึง 7 ครั้งเลยที่เดียว ดังนั้นผู้นำชาวคริสต์ไม่ควรละเลย หรือยกเลิกระเบียบวาระแห่งการอธิษฐานช่วยคนป่วยให้หายโรค
เท่าที่ผมสังเกต โบสถ์หลายแห่งยกเลิกวาระแห่งการอธิษฐานเพื่อคนป่วย วาระการเป็นพยานไปแล้ว เอามันกลับมาใหม่ได้ไหมครับ วาระที่เปิดโอกาสให้คนได้รับการอธิษฐานให้หายป่วย เพื่อให้คนได้รับการปลดปล่อย การเยียวยาทั้งทางร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ และวาระแห่งการเป็นพยานชีวิต อย่าวางขั้นตอนกีดกันคนเป็นพยานชีวิตให้มันยากนักเลย ได้ทราบว่าบางแห่งต้องเขียนสคริปส์ให้ดูก่อน ถ้าได้รับอนุมัติแล้วจึงจะเป็นพยานได้ โอยทำไมมันถึงยากนักหนาขนาดนั้น กลัวอะไรกันนักกันหนานะ
ดังนั้นในการประชุมนมัสการของชาวคริสต์ พวกเราน่าจะคาดหวังการหายโรค การอัศจรรย์แห่งการปลดปล่อย การได้รับการชูใจในวันอาทิตย์เนื่องจากการเข้าร่วมประชุมนมัสการ ผมใคร่ขอหนุนใจชาวคริสต์ทั้งหลายที่จะกล้าอธิษฐานเผื่อคนเจ็บคนป่วยที่มาร่วมประชุมนมัสการในวันอาทิตย์ด้วย เพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่ประเจ้า และนำความชื่นชมยินดีมาสู่คนนะครับ พระเยซูบอกเสมอว่าให้เป็นไปตามความเชื่อของเจ้า ถ้าคริสเตียนมีความเชื่อเรื่องนี้ไม่เพียงพอ ไม่กล้าทำการบำบัด เราก็อาจจะยังเป็นคริสเตียนตกยุคนะครับ
โรมบทที่ 14 : 5-8
คนหนึ่งถือว่าวันหนึ่งดีกว่าอีกวันหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งถือว่าทุกวันเหมือนกัน ขอให้ทุกคนมีความแน่ใจในความคิดเห็นของตนเถิด
ผู้ที่ถือวันก็ถือเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และผู้ที่ไม่ถือวันก็ไม่ถือเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่กินก็กินเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาขอบพระคุณพระเจ้า และผู้ที่มิได้กินก็มิได้กินเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และยังขอบพระคุณพระเจ้า
เพราะในพวกเราไม่มีผู้ใดมีชีวิตอยู่เพื่อตนเองฝ่ายเดียว และไม่มีผู้ใดตายเพื่อตนเองฝ่ายเดียว
ถ้าเรามีชีวิตอยู่ก็มีชีวิตอยู่เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และถ้าเราตายก็ตายเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เหตุฉะนั้นไม่ว่าเรามีชีวิตอยู่หรือตายไปก็ตาม เราก็เป็นคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า
อุทาหรณ์เรื่องหนึ่ง
ผมเคยพบกับพ่อค้าคนหนึ่ง เขาได้มาเชื่อพระเจ้าเพราะว่า ก่อนที่ภรรยาเขาจะเสียชีวิต ภรรยาของเขาได้รับเชื่อในพระเยซู ก่อนที่เธอจะสิ้นลมหายใจ ลูกสาวของครอบครัวนี้ได้รับเชื่อมาก่อนแล้ว และดูเหมือนว่าตอนแรกๆ ลูกสาวของเขามีความเชื่อที่เข้มแข็งดี เธอก็คงจะพยายามเป็นพยานหนุนใจให้คนในครอบครัวให้กลับใจใหม่รับเชื่อ คุณแม่ของเขารับเชื่อก่อนตาย พ่อค้าคนนี้ได้รับเชื่อตาม เพราะคาดหวังว่าถ้าเขาตายไปจะได้ไปพบกับภรรยาสุดที่รักในสวรรค์ชั้นเดียวกันกับภรรยาผู้จากไป แต่ว่าเขาและคนในครอบครัวยังไม่สามารถจะรักษาความบริสุทธิ์ของวันสบาโตได้อย่างเท่าที่ควรจะเป็น แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม แต่ชีวิตเขายังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
ผมสังเกตได้ว่าเมื่อใดที่ใกล้เปิดเทอม ประมาณสองอาทิตย์และหลังเปิดเทอมสองสามอาทิตย์ ครอบครัวนี้จะไม่มาโบสถ์เลย เขาอ้างว่าเป็นช่วงเวลาที่ขายของดีมาก เพราะเด็กนักเรียนต้องการซื้อเครื่องแบบนักเรียนและอุปกรณ์ต่างๆ จึงเป็นเวลาที่เหมาะมากที่พวกเขาจะกอบโกยเงินทอง ด้วยการเปิดร้านในวันอาทิตย์เพื่อทำการค้า พวกเขามีความเชื่อว่าโดยการละเมิดวันสะบาโตเพียงบางครั้ง ไม่ทำให้พระเจ้าเสียใจ เพราะว่าเมื่อได้กำไรก็เอามาแบ่งให้คริสตจักรร้อยละสิบ
ช่วงแรกๆ เขาก็นำเงินที่เขาละเมิดวันอาทิตย์ไปค้าขายแล้วได้กำไรงามๆ มาถวายสิบลด คริสตจักรก็ไม่ว่าอะไร เพราะว่าดีกันทั้งสองฝ่าย คือโบสถ์ก็ได้เงินถวาย คนขายของวันอาทิตย์ก็ได้กำไรงาม แต่พี่น้องครับ ไม่นานหลังจากนี้ หลายปีผ่านไป (ประมาณ 5-6 ปี) พ่อค้าคนนี้พร้อมทั้งครอบครัวของเขา กลับยังไม่เติบโตกับพระเจ้าเท่าที่ควรครับ คือมีคนสังเกตว่า เขาไม่สามารถเข้าร่วมสัมมนาสำคัญๆ ที่คริสตจักรจัดขึ้น หรือไปรับการอบรมที่มีนักเทศน์มีระดับมาเทศนาสั่งสอนเลย เขากลายเป็นคนเข้าร่วมในเช้าวันอาทิตย์เท่านั้น ทั้งๆ ที่เขามีตำแหน่งเป็นถึงผู้ปกครอง แต่น่าเสียดายเขาไม่รู้ว่า หน้าที่ผู้ปกครองต้องทำอะไรบ้าง ไม่นานมานี้ผมได้ข่าวว่าครอบครัวนี้กลายเป็นหอกข้างแคร่ของศิษยาภิบาลไปเสียด้วย คือเขาชักนำคนไม่ให้มาร่วมนมัสการที่โบสถ์ แต่พาคนเที่ยวตะลอนๆ ไปเยี่ยมชมคริสตจักรต่างๆ นานๆ ก็กลับมานมัสการที่โบสถ์เดิมบ้างเท่านั้น เพื่อรักษาสภาพสมาชิกไว้เท่านั้น น่าคิดไหมละครับ
พระธรรมอพยพ 34.21
“เจ้าจงทำการงานในกำหนดหกวัน
แต่วันที่เจ็ดจงพัก
แม้ว่าในฤดูไถนาและฤดูเกี่ยวข้าวก็จงพัก"
นี่หมายความว่าอะไร การรักษาวันหยุดต้องทำให้ศักดิ์สิทธิจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ทุกวันที่ไม่มีอะไรทำเท่านั้น แต่รวมไปถึงเทศกาล หรือฤดูกาลที่น่าจะทำให้เกิดรายได้ หรือแม้แต่ในฤดูเก็บเกี่ยวที่มีความจำเป็นต้องรีบเก็บเกี่ยวผลผลิตด้วย หรือถ้าเป็นอาชีพอื่นๆ ที่สามารถทำรายได้ หรือทำเงินก็ต้องหยุดพักด้วย เช่นกัน
การที่จะเติบโตในด้านจิตวิญญาณ ในการติดตามพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ พระคัมภีร์บอกว่า การไปอยู่ดินแดนสวรรค์กับพระเจ้าเป็นเรื่องที่ต้องช่วงชิงเอาครับ (มัทธิว 11.12) ไม่ได้ไปง่ายๆ อย่างที่มีคนพูดบอกตอนเรารับเชื่อพระเยซูครั้งแรกหรอกครับ เพราะก่อนที่วิญญาณของเราจะได้รับอนุญาตให้ไปอยู่สวรรค์ เราต้องได้รับการขัดเกลาเอาความชั่ว ความเลว ความเห็นแก่ตัวออกไปให้หมดก่อน ไม่งั้นวิญญาณชั่วๆ ที่ไปอยู่บนสวรรค์ก็คงจะทำเรื่องยุ่งๆ เรื่องวุ่นวายขึ้นในสวรรค์ เหมือนนิยายนนท์ทุกข์ หรือไซอิ๋วอะไรประมาณนั้น
นอกจากเราจะต้องรับการขัดเกลา รับการชำระแล้ว เรายังไม่สามารถเป็นคริสเตียนที่เกิดผลได้ครับ เราต้องรับการสอน รับการอบรมในเรื่องทางของพระเจ้า รับการทดสอบก่อนว่า เราน่ะเป็นคนมีสัจจะวาจาหรือเปล่า เป็นคนที่อดทนต่อความอ่อนแอของคนอื่นหรือเปล่า เรารู้จักกตัญญูเสียสละตัวเองแก่ ครอบครัว คนใกล้ชิด เพื่อนบ้าน และที่สำคัญเราสามารถอุทิศชีวิตในการรับใช้ปรนนิบัติผู้อื่นได้หรือไม่ ถ้ายังเราก็อาจจะรอดได้ไปครับ เพราะพระเยซูบอกว่า เรารอดเพราะพระคุณ คือเป็นของให้ฟรี แต่ต้องรับเอาด้วยความเชื่อ
เรารอดด้วยความเชื่อ โดยฤทธิ์พระโลหิตแห่งการไถ่บาปบนไม้กางเขน ด้วยความความรักของพระเจ้า แต่บางคนจะรอด แต่เป็นเหมือนคนไม่ได้ใส่เสื้อครับ คือมีแต่ตัวเปล่าๆ ไม่มีศักดิ์ศรีเพราะไม่มีเสื้อผ้าใส่ครับ เป็นเหมือนคนที่อยู่ในเมืองแต่เป็นพวกขอทานครับ เป็นพวกอนาถา ได้ไปอยู่ในสวรรค์แบบไม่มีศักดิ์ศรีครับ เพราะพระคัมภีร์สอนไว้หลายต่อหลายครั้งว่า คนที่ทำงานให้พระเจ้าด้วยการปรนนิบัติผู้อื่นในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้ว วิญญาณจะไม่เพียงแค่รอดเข้าสวรรค์ แต่จะได้รับบำเหน็จในสวรรค์ด้วย
แสดงว่าคนที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของผู้เชื่อ ไม่กลับใจจริงๆ ไม่ได้รับการชำระ มีบาปติดบาปซ่อน เป็นทาสของมารร้าย ไม่สามารถปรนนิบัติคนอื่นอย่างจริงใจ ไม่ชอบรับใช้คนอื่น เป็นผู้นำคริสตจักรแต่ไม่คิดประกาศข่าวประเสริฐ คิดแต่จะเอาผลประโยชน์จากความเชื่อของสมาชิก คิดเอาผลประโยชน์จากเงินถวาย ไม่สัตย์ซื่อในการบริหารงานของพระเจ้า ก็คงเป็นเหมือนคนที่ว่ามาคือ รอดขึ้นไปแต่ตัว มีแต่วิญญาณที่เปลือยเปล่า เหมือนคนแก้ผ้า เหมือนกับพวกผู้อพยพ ครับคือไม่มีอะไร ไม่มีมงกุญใส่หัว ไม่มีสง่าราศรี เหมือนคนหนีภัยสงครามที่แบกของพรุงพะลังบนหลัง แต่เป็นเพียงเศษขยะที่เขามัวเมาในโลกนี้ ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย เพราะดีแต่จะรบกวนคนอื่น สภาพแบบนี้ใครเป็นก็คงไม่มีศักดิ์ศรีครับ
ท่านละครับ ท่านอยากเป็นคนที่ได้รับพระพรแห่งการรักษาวันสะบาโต วันที่เป็นเหมือนพันธสัญญา เป็นเครื่องหมายแห่งการอยู่ในความปกครอง ในความคุ้มครองของพระเจ้าหรือไม
ข้อพระคัมภีร์หนุนใจ
1 เปโตร 5:4
"และเมื่อพระผู้เลี้ยงผู้ยิ่งใหญ่จะเสด็จมาปรากฏ ท่านทั้งหลายจะรับศักดิ์ศรีเป็นมงกุฎที่ร่วงโรยไม่ได้เลย "
ฟิลิปปี 3:14
"ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัยเพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ"
พระธรรมอพยพ 20:10
"แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการงาน ใดๆไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชายบุตรหญิงของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า"
อพยพ 31:14
"เหตุฉะนี้ เจ้าทั้งหลายจงรักษาวันสะบาโตไว้ เพราะเป็นวันบริสุทธิ์สำหรับเจ้า ผู้ใดกระทำให้วันนั้นเป็นมลทินจะต้องถูกลงโทษถึงตาย ถ้าผู้ใดทำการงานในวันนั้น ผู้นั้นต้องถูกกำจัดออกเสียจากพรรคพวกของตน"
เลวีนิติ 23:3
"จงทำการงานในหกวัน แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตแห่งการหยุดพักสงบ เป็นวันประชุมบริสุทธิ์ เจ้าอย่าทำการงานใดๆ เป็นสะบาโตแด่พระเจ้าตามที่อยู่ทั่วไปของเจ้า"
เลวีนิต 23:32
"...จะเป็นวันสะบาโตสำหรับหยุดพักสงบแก่เจ้าและเจ้าจงบังคับใจของเจ้า เริ่มแต่เวลาเย็นในวันที่เก้าของเดือน เจ้าต้องรักษาวันสะบาโตจากเวลาเย็นถึงเวลาเย็น”
และในพระธรรม เนหะมีย์บทที่ 13
บอกอะไรบางอย่างที่ชัดเจนมากเกี่ยวกับวันสะบาโต
15. ครั้งนั้นในยูดาห์ข้าพเจ้าเห็นคนย่ำเหล้าองุ่นในวันสะบาโต และนำฟ่อนข้าวเข้ามาบรรทุกหลังลา ทั้งเหล้าองุ่น ผลองุ่น มะเดื่อ และภาระทุกอย่าง ซึ่งเขานำมายังเยรูซาเล็มในวันสะบาโต ข้าพเจ้าได้ตักเตือนเขาในวันที่เขาทั้งหลายขายอาหาร
16. และมีคนชาวไทระอาศัยอยู่ในเมืองได้นำปลาและ สินค้าทุกอย่างเข้ามาขายในวันสะบาโตแก่ประชาชนยูดาห์ และในเยรูซาเล็ม
17. แล้วข้าพเจ้าได้ต่อว่าพวกขุนนางแห่ง ยูดาห์ และพูดกับเขาว่า “ทำไมท่านทั้งหลายกระทำความชั่วร้ายเช่นนี้ กระทำให้วันสะบาโตเป็นมลทิน
18. บรรพบุรุษของท่านมิได้กระทำเช่นนี้หรือ และพระเจ้าของเรามิได้ทรงนำเหตุร้ายนี้ทั้งสิ้น ให้ตกอยู่บนเราและบนเมืองนี้หรือ ท่านยังจะนำพระพิโรธยิ่งกว่านั้นมาเหนืออิสราเอล ด้วยการกระทำให้สะบาโตเป็นมลทิน”
19. และอยู่มาพอเริ่มมืดที่ประตูเมือง เยรูซาเล็มก่อนวันสะบาโต ข้าพเจ้าได้บัญชาให้ปิดประตูเมือง และสั่งว่า ไม่ให้เปิดจนกว่าจะพ้นวันสะบาโตแล้ว และข้าพเจ้าก็ตั้งข้าราชการบางคนของข้าพเจ้า ให้ดูแลประตูเมือง ว่าไม่ให้นำภาระสิ่งใดเข้ามาในวันสะบาโต
20.แล้วพวกพ่อค้าและพวกขายสินค้าทุกชนิดค้างอยู่นอก เยรูซาเล็มหนหนึ่ง หรือสองหน
21. ข้าพเจ้าได้ตักเตือนเขา และพูดกับเขาว่า “ทำไมท่านมานอนอยู่ข้างกำแพงเมือง ถ้าท่านทำอีกข้าพเจ้าจะจับท่าน” ตั้งแต่คราวนั้นมาเขาก็ไม่มาอีกในวันสะบาโต
22. และข้าพเจ้าบัญชาคนเลวีให้ชำระตัวเขาและมา เฝ้าประตูเมืองเพื่อรักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงระลึกถึงความชอบของข้าพระองค์ในเรื่องนี้ และขอทรงไว้ชีวิตข้าพระองค์ตามความยิ่งใหญ่แห่ง ความรักมั่นคงของพระองค์
พี่น้องผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ที่รัก พระเยซูมิได้มาลบล้างวันหยุดศักดิ์สิทธิ์ แต่พระองค์มาสอนให้เกิดความสมบูรณ์ การถือวันหยุดก็เพื่อเราจะได้หยุดมองสิ่งชั่วคราวเสียบ้าง ให้เราหยุดโฟกัสไปยังสิ่งที่เป็นวัตถุ เป็นเงินเป็นทอง หรือความสุขของร่างกาย หรืออารมณ์เพียงชั่วคราว
แต่เราจะหันใจ หันความคิดของเรามาสู่เรื่องจิตวิญญาณ เราควรทำงานเพียง 6 วันก็เพียงพอแล้ว อีก 1 วันในรอบสัปดาห์ ชาวคริสต์ใช้วันนี้สำหรับการเสริมสร้างด้านจิตวิญญาณ และการเข้าร่วมสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อคนอื่นๆ เพื่อเสริมสร้างซึ่งกันและกัน เป็นวันที่เราจะเรียนรู้ในเรื่องที่เป็นสิ่งนิรันดร์ ไม่ว่าใครจะถือเอาวันไหนเป็นวันหยุด วันนั้นย่อมเป็นวันที่ท่านได้ถือไว้เพื่อประกาศตัวว่า
"ท่านเป็นผู้เชื่อที่อยู่ภายใต้การปกครองของพระคริสต์"
พระธรรม อิสยาห์ 56:2
"ความสุขย่อมมีแก่ผู้กระทำเช่นนี้
และแก่บุตรของมนุษย์ผู้ยึดไว้มั่น"
"ผู้รักษาวันสะบาโต ไม่เหยียดหยามวันนั้น
และระวังมือของเขาจากการกระทำชั่วร้ายใดๆ”
คำอธิษฐานเพื่อการเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าในการรักษาวันสะบาโต
พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ ลูกขอมาหาพระองค์ในพระนามพระเยซู ขอบพระคุณที่พระเจ้าได้ทรงตั้งวันสะบาโตไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความผูกพัน การเชื่อฟัง การอวยพร สุขภาพดี และความสันติสุขแห่งชีวิต
แต่ลูกเสียใจที่ไม่ได้รักษา วันแห่งความบริสุทธิ์นี้อย่างถูกต้อง หลายครั้งลูกทำตามใจตนเอง โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ บางครั้งลูกรู้แต่ยังฝืนกระทำ จนกลายเป็นนิสัยที่ไม่ดี
วันนี้ขอสารภาพต่อพระเจ้าที่ลูกได้ละเมิดวันสะบาโต ครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้ลูกขอกลับใจใหม่ ลูกขอหันกลับมาหาพระเจ้า ลูกจะรักษาวันสะบาโตให้บริสทธิ์ในชีวิตของลูก ขอทรงยกโทษจากความบาปแห่งการละเมิดวันแห่งพระเจ้านี้ ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงช่วยลูกให้สามารถดำเนินกับพระเจ้า ในการรักษาความบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิของวันสะบาโต ขอทรงสอนและช่วยลูกให้สามารถรักษาวันสะบาโต ตลอดวันเวลาแห่งชีวิต ของลูก ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรตามสัญญาแห่งพระพร ให้ลูกได้อยู่ในการปกครองของพระเจ้าตลอดเวลา อธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า
อาเมน
กลับไปหน้าแรกของบล๊อค
โอโหผมมาคนแรกเลย หนุนใจมากครับ ทำให้รู้ตัวขึ้นเยอะเลย
ตอบลบขอบคุณครับอาจารย์ สำหรับบทความหนุนใจ และตักเตือนเรื่องวันสะบาโต รวมถึงเรื่องการอธิษฐานเผื่อคนป่วยครับ
ตอบลบขอบคุณครับ ขอพระเจ้าเสริมกำล้ังทุกคนที่ได้รับเอาด้วยความถ่อมใจ และกลับใจใหม่ เพื่อปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นครับ
ตอบลบวันสะบาโตของผมเป็นวันศุกร์เย็นถึงเสาร์เยน พยายามไม่ทำงานอะไร นอกจากการสามัคคีธรรมกับพี่น้อง หักขนมปังในครอบครัว
ตอบลบอย่างไรก็ตามพระคริสต์อยู่เหนือวันสะบาโต เราเป็นกายเดียวกับพระคริสต์
ไม่อยู่ใต้กฎธรรมบัญญัติ แต่ยังรักษาธรรมบัญญัติครับเพื่อเป็นฝ่ายเดียวกับพระองค์
ผมอยากติดต่อกับอาจารย์เเละทีมงานตอนนี้ผมร้อนรนอยากจะพบอาจารย์มากผมมีลูกเเกะอยู่เกือบ20คนเป็นเยาวชนการเจิมนี้เป็นประโยชน์กับกลุ่มผมเเน่นอนผมขอกราบวิงวอนติดต่อกับมาด้วยครับ ผมอยู่ จังหวัดสกลนคร Lovegod2524@hotmail.comถ้าตอบกลับมาจะเป็นพระคุณมากครับ
ตอบลบคริสตจักรโปเตสแตนท์บางแห่งพูดว่าอะไรบ้าง?
ตอบลบเอกสารทางการหลายฉบับได้ให้ข้อสังเขปว่า ความเชื่อในนิกายโปรเตสแตนท์ทั้งหลายเห็นพ้องต้องกันว่า พระคัมภีร์มิได้ให้สิทธิ์การรักษาวันสะบาโตในวันอาทิตย์แต่อย่างใด
มาร์ติน ลูเธอร์ (ผู้ก่อตั้งคริสตจักรลูเธอร์แรนด์ (Lutheran Church)) ได้เขียนใน Augsburg Confession, เรื่องที่ 28 ย่อหน้าที่ 9 ว่า
“ เขาทั้งหลาย (กลุ่มโรมันคาทอลิก) ได้ใช้สิทธิ์บิดเบือนและเปลี่ยนวันสะบาโตเป็นวันอาทิตย์ (วันของพระเจ้า) ซึ่งผิดพระบัญญัติสิบประการ..... ไม่มีตัวอย่างใดที่จะกล้าดีไปกว่าการเปลี่ยนแปลงวันสะบาโตนี้อีกแล้ว ความยิ่งใหญ่ (ตามที่เขาพูด) เป็นอำนาจและสิทธิหน้าที่ของโบสถ์ เพราะความยิ่งใหญ่นั้นได้ตัดพระบัญญัติไปหนึ่งข้อจากสิบข้อเรียบร้อยแล้ว”
ศาสนาจารย์เมโทดีสท์ (Methodist) อาโมส บินนี่ (Amos Binney) และ เดเนียล สตีล (Daniel Steele) ได้ให้ข้อคิดว่า
“มันเป็นความจริงที่ว่า ไม่มีคำสั่งใดที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับการรับศีลนอน (การรับบัพติศมาเด็กทารกในคริสตจักรคาทอลิก) ... หรือพอๆกับที่ไม่มีอะไรเป็นคำสั่ง ให้รักษาวันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ในวันแรกของสัปดาห์” เรื่องย่อเกี่ยวกับศาสนา (นิวยอร์ค:หนังสือเกี่ยวกับเมโทดีสท์, 1902) หน้า 180, 181
ดร. เอ็น ซัมเมอร์เบลล์ ( Dr. N. Summerbell) นักประวัติศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับอัครสาวกของพระเจ้าหรือโบสถ์ของคริสตชนได้กล่าวไว้ว่า
“โบสถ์โรมันคาทอลิกได้ละทิ้งความเชื่อเดิมโดยสิ้นเชิง... ได้บิดเบือนพระบัญญัติข้อที่สี่โดยเปลี่ยนพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับวันสะบาโตไปเป็นอื่น และกำหนดวันอาทิตย์ให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์แทน” ประวัติศาสตร์จริงของคริสตชนและโบสถ์ของคริสตชน, หน้า 417, 418
นักประวัติศาสตร์โบสถ์นิกายโปรเตสแตนท์ที่เป็นแกนนำได้เขียนไว้ว่า
“ประเพณีวันอาทิตย์ (ซึ่งก็เหมือนกับประเพณีอื่นๆ) ก็เป็นเพียงศาสนพิธีของมนุษย์ที่เกิดขึ้นเสมอมาเท่านั้น ซึ่งห่างไกลจากจุดประสงค์หลักของบรรดาอัครสาวกที่จัดตั้งโบสถ์ตามพระบัญญัติของพระเจ้า หรือโบสถ์ของอัครสาวกรุ่นแรกๆ โดยเปลี่ยนพระบัญญัติวันสะบาโตเป็นวันอาทิตย์ บางทีหลังจากสิ้นสองร้อยปีไปแล้ว การประยุกต์ใช้อย่างผิดๆนี้อาจจะทำให้หลงผิดอีก เพราะว่าเมื่อถึงเวลานั้นมนุษย์ทั้งหลายจะคิดว่าการทำงานวันอาทิตย์เป็นความบาป” ดร. ออกัสตัส นีแอนเดอร์, The History of the Christian Religion and Church During the Three First Centuries (Rose translation), หน้า 186
ใครเป็นคนเปลี่ยน?
ใครเป็นคนเปลี่ยนวันสะบาโตวันที่เจ็ดเป็นวันแรกของสัปดาห์อย่างเป็นทางการ? คริสตจักรคาทอลิกยอมรับว่าได้ทำเช่นนั้น เพื่อพยายามรักษาจักรวรรดิ์โรมันที่แตกละเอียดให้คงอยู่ต่อไป ผู้นำทางศาสนาที่เข้าใจความหมายวันสะบาโตเป็นอย่างดี ได้ต่อรองและพยายามเปลี่ยนวันนมัสการจากวันเสาร์เป็นวันอาทิตย์
หนังสือคำสอนพื้นฐานของโบสถ์คาทอลิกมีว่า
ถาม “วันสะบาโตคือวันใด?”
ตอบ “วันเสาร์เป็นวันสะบาโต”
ถาม “ทำไมจึงต้องมีการเปลี่ยนวันสะบาโตจากวันเสาร์เป็นวันอาทิตย์”
ตอบ “เราเปลี่ยนเป็นวันอาทิตย์แทนวันเสาร์เพราะโบสถ์คาทอลิก...... เปลี่ยนความศักดิ์สิทธิ์จากวันเสาร์เป็นวันอาทิตย์” - ปีเตอร์ กีลแมน, The Convert’s Catechism of Catholic Doctrine (พิมพ์เมื่อ 1957) หน้า 50
วารสาร Mirror ของคาทอลิกลงวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1893 รายงานว่า “มากกว่า 1,000 ปีก่อนการเกิดนิกายโปเตสแตนท์ โดยการประกาศพระเกียรติคุณของโบสถ์คาทอลิก ได้เปลี่ยนวันสะบาโตจากวันเสาร์เป็นวันอาทิตย์”
นี่คือข้อความเพิ่มเติมจากผู้นำโบสถ์คาทอลิกซึ่งกล่าวไว้ว่า “ท่านอาจจะอ่านพระคัมภีร์ตั้งแต่หนังสือปฐมกาลจนถึงหนังสือวิวรณ์ และไม่พบการให้สิทธิ์วันนมัสการเป็นวันอาทิตย์แม้แต่บรรทัดเดียว พระคัมภีร์บังคับให้รักษาวันสะบาโตวันเสาร์ซึ่งเราไม่เคยทำ” เจมส์ คาร์ดินัล กิบบอนส์, The Faith of Our Fathers, หน้า 89
“วันบริสุทธิ์ (วันสะบาโต) ได้ถูกเปลี่ยนจากวันเสาร์เป็นวันอาทิตย์......มิได้มาจากการกล่าวนำใดๆในพระคัมภีร์ แต่มาจากอำนาจและความรู้สึกของคริสตจักรเท่านั้น...... ประชาชนที่คิดว่าพระคัมภีร์เท่านั้นที่มีอำนาจเด็ดขาดและถูกต้องตามหลักเหตุผลก็คือ กลุ่มคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีส ซึ่งยังคงรักษาวันบริสุทธิ์วันสะบาโตในวันเสาร์” – คาร์ดินัล ไมด้า,หัวหน้าบาทหลวงแห่งดีทรอยด์, โบสถ์คาทอลิกเซนต์ แคธรีน, อัลโกแนค, มิชิแกน, วันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1995
ไม่มีอะไรจะชัดเจนไปกว่านี้แล้ว โบสถ์คาทอลิกประกาศอย่างภาคภูมิใจว่ามนุษย์ผู้นำคริสตจักรเป็นผู้เปลี่ยนวันสะบาโต
ยอมรับว่า มีคนรักพระเจ้า มากมายจริง ๆ ครับ
ตอบลบนายจิ๊บสุริยน JeepSuriyon@hotmail.com ครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคุณไม่ระบุชื่อนะ เราก็เปลี่ยนจากวันอาทิตย์มาเป็นวันเสาร์ เออ... แล้วเขาบอกได้ไงว่าวันสะบาโตคือวันอาทิตย์เนี่ย
ตอบลบต้องขอโทษด้วยคับผมก็ยังอยากนมัสการพระเจ้าวันเสาร์อยู่ดีตามแบบอย่างของยิวคับ แต่การนมัสการพระเจ้าวันไหนๆก็ไม่สำคัญเท่ากับการนมัสการพระเจ้าด้วยใจของเรามากกว่า
ตอบลบในสมัยก่อนวันต้นสัปดาห์ คือวันอาทิตย์ครับ ฉะนั้นวันสะบาโต (หยุดพัก)คือวันเสาร์ "เมื่อเวลาเปลี่ยน"อะไรก็เปลี่ยน วันต้นสัปดาห์เป็นวันจันทร์ ฉะนั้นวันหยุดพักคือวัน อาทิตย์ครับ รู้ครับว่า ธรรมบัญญัติ วันสะบาโตคือ วันเสาร์ และพันธสัญญาใหม่ ไม่มีข้อไหนให้เปลี่ยนวันสะบาโตเป็น วันอาทิตย์ แต่ผมมีข้อน่าสังเกตุนิดนึง คือพระเยซูสิ้นพระชนม์ เวลาบ่ายสามโมง ของวันศุกร์ กว่าจะนำพระศพลงมา กว่าจะพันผ้า กว่าจะหามเดินทางไปอุโมงค์ กว่าจะกลิ้งหินที่ต้องใช้คนเป็นสิบ ในการกลิ้ง กระบวนการนี้น่าจะกินเวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ปิดอุโมงค์น่าจะเข้าสู่วันสะบาโตพอดี
ตอบลบแต่ในพระคัมภีร์บอกว่า เช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์พระเยซูทรงออกจากอุโมงค์แล้ว ซึ่งก็คือวัน อีสเตอร์ นั่นเอง "อ๊ะ ๆ รู้นะคิดอะไรอยู่"
เอาอย่างนี้นะครับ พี่ น้องที่รักในพระคริสต์ จะถืออะไรก็เพื่อถวายเกียรติ์แด่พระเจ้า จะไม่ถือก็เพื่อถวายเกียรติ์แด่พระเจ้า
ขอพระคุณ ความรัก ของพระคริสต์ ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด อาเมน
มนุษย์ก้อเปลี่ยนวันสะบาโต ด้วยเห็นว่าสะดวกกับตัวเอง วันสะบาโต ก้อคือ วันสะบาโต วันเสาร์ ครับ ไม่ใช่วันอาทิตย์
ตอบลบขอบคุณครับ
ตอบลบ