หากบังเอิญมีพระเจ้า Are there Gods or just evolution?


คนที่ดำเนินชีวิตไปตามวิถีของคนสามัญมักไม่ทันหยุดคิดว่า ทำไมชีวิตคนเราจึงต้องเป็นไปแบบนี้  ชีวิตมีทั้งสุข ทุกข์ ผิดหวัง สมหวัง  สนุก เศร้า เหงา ว้าเหว่   ชีวิตมีทั้งดีและร้าย คลุกเค้ากันไป มีแค่นี้แล้วหรือ
 
บางคนดำเนินชีวิตอย่างไม่ยั้งคิด พอพลาดท่าเสียที ก็ป่วย เจ็บ บางคนได้รับอุบัติเหตุแขนขาพิการ บางคนกลายเป็นคนไร้สมรรถภาพ บางคนได้พบกับเหตุการณ์ร้าย  ถูกละเมิดจนอารมณ์และจิตใจเปลี่ยนแปลงไป  อยู่ไปแบบเซ็งๆ เพราะมีอดีตคอยหลอน  มีใครเคยคิดไหมว่า เราเกิดมาได้อย่างไร  โลกนี้มีพระเจ้าหรือเปล่า หรือว่าเราเกิดมาตามเวรกรรม ตามธรรมชาติ หรือเกิดมาเป็นแค่สักว่าได้เกิดมาแล้วก็อยู่ แล้วก็ตายไป ชดใช้กรรม  ชีวิตมีเพียงแค่นี้เองหรือ



หลายวันก่อนเราได้เห็นการรณรงค์เกี่ยวกับการจัดบริการสาธารณะให้เอื้อต่อคนพิการในกรุงเทพ  มีคนพิการหลายคนมาช่วยกันรณรงค์  มีหญิงสาวคนหนึ่งหน้าตาสวยงาม เธอกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยชื่อดัง  แต่เธอกลายเป็นคนพิการ เนื่องจากขณะนั่งซ้อนมอร์เตอร์ไซด์ รถของเธอถูกรถสิบล้อชนท้ายทำให้เธอบาดเจ็บสาหัส  เข้ารับการรักษาพยาบาลนานหลายเดือน 

พอแผลหายดี ปรากฎว่ากระดูกไปทับเส้นประสาทที่กระดูกสันหลัง  หมอไม่สามารถช่วยได้  หมดทางรักษา  ผู้หญิงหน้าตาสวยงามและยังเยาว์คนนี้กลายเป็นคนพิการ  ชีวิตของเธอหักเหจากชีวิตที่แสนสุข  น่าตื่นเต้น  ท้าทาย  คิดทำอะไรก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคนอื่นมากนัก  แต่บัดนี้ชีวิตของเธอหักเห  เธอกลายเป็นคนพิการขาเดินไม่ได้  ชีวิตของเธอจึงถูกจำกัดด้วยความสามารถอันจำกัดของร่างกาย  ผมเชื่อว่า ความหวังสูงสุดของคนพิการเดินไม่ได้ คือการได้กลับมาเดินได้เหมือนคนปกติอีกครั้ง  เท่านั้นก็เป็นสุขเกินพอแล้ว

มนุษย์ถูกสั่งสอนตั้งแต่อยู่โรงเรียนมัธยมศึกษาว่า ตามทฤษฏีของนักวิทยาศาสตร์พวกเขาเชื่อว่า สรรพสิ่งเกิดจาก "ความบังเอิญ" โลกนี้ไม่มีพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้สร้างโลก เพราะโลกเกิดจากการวิวัฒนาการ  มนุษย์เกิดจากสัตว์  บรรพบุรุธของมนุษย์เป็นสัตว์  เริ่มตั้งแต่สัตว์เซลเดียว  เป็นเหมือนตัวประหลาดบางอย่างที่ขึ้นมาจากทะเล ใช้เวลาเป็นล้านๆ ปี  

แล้วร่างกายก็พัฒนากลายมาเป็นสัตว์บางอย่าง กลายมาเป็นลิง และในที่สุดก็กลายมาเป็นมนุษย์  ทฤษฏีที่เหมือนตำนานหลอกเด็กเรื่องนี้ ดูไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าเป็นไปได้    กลับกลายเป็นความเชื่อของคนจำนวนมากทีต่อต้านพระเจ้า  ทั้งที่เรื่องนี้มาจากเรื่อง "สมมุติฐาน" หรือการคาดเดาสุ่มของคนนักวิทยาศาสตร์สมองเฟื่องชื่อ ชารล์ ดาวิน ผู้แต่งหนังสือวิทยาศาสตร์เล่มนี้  จนกลายมาเป็นมาตรฐานความเชื่อของคนทั่วโลกในปัจจุบัน

ในทางศาสนานิยมฮินดูเชื่อว่ามนุษย์เกิดจากการเวียนว่ายตายเกิด  เกิดเป็นสัตว์เล็กๆ จนกลายมาเกิดเป็นสัตว์ใหญ่  ในเวลาแต่ละชาติภพก็พยายามสร้างกุศลเพื่อจะได้ชดใช้กรรมเก่า  หากชาติภพใดสร้างกุศลดี  ชาติภพต่อมาก็จะได้เกิดเป็นสัตว์ที่มีบุญมากขึ้น เช่นได้เกิด เป็นปลา เป็นเสือ เป็นนก เป็นช้าง เป็น ลิง ฯลฯ จนในที่สุดได้เกิดเป็นมนุษย์ 

เรื่องแบบนี้ฟังดูก็เข้าท่าดี  ดูมีเหตุมีผลเพราะทุกสิ่งเกิดจากปัจจัยคือ กรรม  พอได้เป็นมนุษย์ก็ยังไม่จบ ยังต้องมีคำสอนอีกว่า เป็นมนุษย์ฐานะแบบไหนล่ะ  ยากจน มั่งมี  เป็นพระ หรือเป็นเศรษฐี  ใครที่อยากจะได้ดีในภพชาติต่อไปจึงต้อง  เอาเงินไปให้ศาสนาเพื่อจะได้ไปเกิดใหม่ในภพชาติใหม่ที่ดีกว่า  ก็ว่ากันไป นี่แหละความเชื่อที่พิสูจน์ไม่ได้

เมื่อมนุษย์ไม่ทราบแน่ชัดว่าพวกเขาเกิดมาจากอะไร    ตายแล้วไปไหนกัน   พวกเขาจึงมีความคิดผิดพลาดไปหมด   เพราะความไม่รู้  ไม่ตระหนักถึงจุดประสงค์ของชีวิตว่าเกิดมาทำไม  ชีวิตจึงดำเนินไปอย่างไร้จุดหมายที่แท้จริง  มนุษย์ส่วนใหญ่จึงดำเนินชีวิตไปอย่างประมาท  คิดว่าชีวิตนี้มีอายุไม่เกินหนึ่งร้อยปี ตายแล้วไม่ได้กิน ไม่ได้สนุก ภายหลังจากตายแล้วไม่รู้ว่าจะได้ไปอยู่ที่ไหน  หรือชีวิตสิ้นสุดเพียงแค่ความตายเท่านั้น  มนุษย์จึงทำอะไรตามใจ  กินดื่ม  หาเลี้ยงชีพ  เรียนหนังสือ หางาน ทำงาน และสร้างฐานะ พร้อมกับการหาความสุขใส่ชีวิตไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะแกตายไป

ยิ่งถ้ามนุษย์คนใดหลงเชื่อว่ามนุษย์เกิดมาด้วยความบังเอิญ  คือทั้งโลก และสรรพสิ่ง ฤดูกาล สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา สายน้ำ ต่างเกิดขึ้นมาเอง ตามธรรมชาติ  ตามความบังเอิญ 

มนุษย์จึงเข้าใจไปว่า ชีวิตมนุษย์เป็นวิวัฒนาการของสัตว์ชั้นสูงชนิดหนึ่งเท่านั้น มนุษย์จึงดำเนินชีวิตไม่ต่างกับสัตว์มากนัก ดีหน่อยที่มนุษย์  เพราะนอกจากการกิน ขับถ่าย เติบโต  สนุก และสืบพันธุ์แล้ว มนุษย์ยังต้องเรียนรู้ ทำงาน หาความสำเร็จ หาคู่ที่เหมาะสมกับตัวและฐานะ  แล้วก็มีลูกเพื่อสืบสกุล เลี้ยงลูกอ่อนเพื่อสืบพันธุ์  สร้างฐานะให้มั่นคงเพื่อก่อนตาย หรือตอนแก่จะได้อยู่สบายไม่ลำบาก  อย่างน้อยก็มีเงินไปหาหมอ  เพราะคนสามัญเข้าใจว่าชีวิตมันอยู่แค่นี้จริงๆ

หากชีวิตของมนุษย์คิดว่ามีเพียง เกิด แก่ เจ็บ ตาย สนุก กินดื่ม กอบโกย เพลิดเพลินกับทรัพย์สินเงินทอง  สมบัติ อสังหาริมทรัพย์  การได้มีอำนาจในการซื้อ  อำนาจในการบริหาร  การใช้จ่ายสิ่งของที่ทันสมัย  แล้วก็เป็นไปตามครรลองของโลก  มนุยย์ก็คงไม่ผิดกับสัตว์มากเท่าใดนัก  เพราะต่างไปยังที่เดียวกัน คือ ความตายแล้วหายไปจากโลก ไม่มีอะไรเหลือ

โลกนี้เกิดจากความบังเอิญจริงหรือ?
 
สวรรค์ นรก คือสิ่งสมมุติที่ นักการศาสนา ศาสนาขู่ให้คนกลัวบาป เพื่อทำให้คนในสังคมมีความสงบสุขเท่านั้นจริงหรือ

ด้วยความเชื่อที่เข้าใจว่าทุกอย่างเกิดจากความบังเอิญ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ชีวิตมีความไม่แน่นอนแบบนี้ มนุษย์จึงไม่แน่ใจว่า  เขาเกิดมาเพื่ออะไรแน่  โลกนี้มีพระเจ้าหรือเปล่า  ชีวิตมีความต้องการสารพัน ตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน ชีวิตมีแต่ความอยาก ต้องกิน ต้องดื่ม ต้องการความสนุก ทั้งทางปาก ทางลิ้น ทางตา ทางหู  ทางสัมผัส ทางมือ ทางเพศ และทางใจ  เป็นไปอย่างนี้วันแล้ววันเล่าจนชิน

มนุษย์จึงดำเนินชีวิตไป "ยถากรรม"  ใครไม่รู้ว่านรกสวรรค์จะมีจริง หรือไม่มี  มนุษย์รู้แค่ว่าชีวิตต้องสู้ ต้องดิ้นรนอยู่ไปอย่างนี้ ถ้ามีฐานะขึ้นมาหน่อยก็บริโภคมากขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้น  ใช้ของไฮเทค มีรถขี่ มีบ้านอยู่  ส่งลูกเข้าโรงเรียนดัง  คิดว่าแค่นี้ก็มีสุขล้นแล้วสำหรับมนุษย์   มนุษย์คิดอิจฉาเพื่อนบ้าน อยากเป็น อยากมีเท่าเทียม หรือดีกว่าคนอื่น จึงจะเรียกว่านี่คือ  ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ  เป็นชีวิต เป็นไลฝ์สไตล์ที่เยี่ยมยอด

มนุษย์ส่วนหนึ่งที่ยอมทำตัวดี  เพราะเกรงกลัวกฎหมาย และกฎศีลธรรม กฎกติกาของคนหมู่มากเท่านั้น ในใจจริงเขายังอยากทำสิ่งที่ผิดกฎหมายและศีลธรรมอยู่  นี่คือสาเหตุว่าทำไมคนจำนวนหนึ่งจึงเป็นคนดีเฉพาะตอนที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น พอลับหลังคนอื่น ก็แอบทำอะไรๆ ที่ล่อแหลมได้ตามใจฉัน 

มนุษย์สามัญสามารถละเมิดทางเพศกับคนในสายเลือดได้  สามารถฆ่ากันได้ง่ายๆ  ลูกสามารถฆ่ากันเพื่อแย่งสมบัติพ่อแม่    เพื่อนทรยศต่อเพื่อน    นายจ้างละเมิดต่อลูกจ้าง  นักการเมืองกอบโกยและปล้นชาติ ชาติต่างๆ เอาเปรียบและแอบสอดแนมเพื่อหาผลประโยชน์จากชาติที่อ่อนแอ ไร้สามัคคี

มนุษย์ชอบกระทำบางสิ่งที่ศาสนาเรียกมันว่า "บาป" ได้อย่างสบาย ไม่สะทกสะท้าน  เพราะไม่มีใครมาจับผิด ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครตามทัน  มนุษย์จึงปล่อยตัวไปกับการกินอย่างไม่ยั้งคิด   อยากทำอะไรก็ทำ  จนเกินขอบเขตของกฎหมาย ศีลธรรม และมโนธรรมในจิตใจ

ในเมื่อไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น คนบางคนจึงไม่จำเป็นต้องไปกลัวใคร  ไม่มีใครเห็น   ไม่มีใครรู้ สวรรค์ นรกไม่มี  บาปไม่มี ไม่มีการลงโทษใดๆ  แก่เขา หรือดวงวิญญาณของเขาเลย   ถ้าหากมนุษย์เชื่อว่าเขาเกิดมาด้วยความบังเอิญจะอันตรายมาก  แต่ถ้าหากมนุษย์เชื่อว่าเขาเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม เขาก็จะดำเนินชีวิตอีกอย่างหนึ่งเพื่อหาชีวิตที่ดีกว่าในชาติภพต่อไป ชึ่งจะขอกล่าวเพิ่มเติมในบทความต่อๆ ไป

อย่างไรก็ตามมนุษย์ส่วนหนึ่งแม้จะตระหนักรู้ในจิตลึกๆ ถึงความถูกต้อง ศีลธรรม ว่าสิ่งใดควรไม่ควร  สิ่งใดชอบธรรมและยุติธรรม  แม้ว่าเขาจะสนใจว่าบาปมีอยู่  กรรมมีอยู่  แต่เขาก็ไม่สามารถจะบังคับให้ตนเองมีอุปนิสัยแห่งความรัก  ความเมตตาได้  เขายังชอบเพลอไปเกลียดคนนั้น คนนี้  กระทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับมโนสำนึกที่ดีอยู่ในจิตใจอยู่เสมอ  สิ่งเหล่านี้เอง พระคัมภีร์บอกว่าเป็น วิสัยบาป  คือสันดานบาปที่ติดมาตั้งแต่ตอนเกิดเลยที่เดียว  

ถ้าเป็นอย่างนี้มนุษย์จะมีทางออกไหม  เราจะพ้นจากอารมณ์ร้ายๆ นิสัยที่เลวๆ  สันดานบาปได้อย่างไร  ผมอยากสกิดใจพี่น้องว่า ถ้าเราปล่อยชีวิตไปตามยถากรรมเราก็จะเป็นไปตามกรรมจริงๆ เพราะชีวิตไม่ใช่ความบังเอิญ  ชีวิตไม่ได้เกิดจากความวิวัฒนาการ ไม่ได้เกิดมาแค่นี้พอตอนตายทุกอย่างก็จบ  ทุกอย่างมันไม่จบแน่ เพราะโลกนี้มีพระเจ้าที่จะตัดสินคดีความของทุกคนตามการกระทำของตน

พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกไว้ก่อนเมื่อสองพันปีมาแล้วว่า เมื่อมีการพิพากษาโลกทุกคนจะได้รับบำเหน็จหรือการลงโทษตามการกระทำของตน 

เหตุว่าเมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยพระสิริแห่งพระบิดา และพร้อมด้วยทูตสวรรค์ของพระองค์   เมื่อนั้นจะประทานบำเหน็จให้ทุกคนตามการกระทำของตน
[ พระธรรมมัธทิว 16:27:]

พระคริสต์ธรรมได้เตือนล่วงหน้าไว้แล้วว่า  เมื่อมนุษย์มีชีวิตอยู่หากไม่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ในกรอบแห่งเสรีภาพ  และในศีลธรรมแห่งศาสนาที่กำหนดไว้ได้ หากเขาทำอะไรตามสัณชาตญาณ ทำตาม สันดานบาป  คิดว่าชีวิตเกิดมามีแค่นี้ ทำอะไรได้เต็มที่ ชีวิตคือตัวฉัน ของฉัน ฉันจะเลือกทำอะไรก็ได้  แน่นอนทีเดียว เมื่อวันนั้นมาถึงเขาจะไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ได้เลย เพราะมีคำกล่าวว่า

"แต่คนขลาด  คนไม่เชื่อ คนที่น่าเกลียดน่าชัง  คนที่ฆ่ามนุษย์  คนล่วงประเวณี  คนใช้เวทมนตร์  คนไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดมุสานั้น  มรดกของเขาอยู่ที่ในบึงไฟและกำมะถันที่กำลังไหม้อยู่นั้น   นั่นคือความตายครั้งที่สอง”
[ พระธรรมวิวรณ์ 21:8:]

ที่น่าสังเกต และน่าสดุดใจก็คือว่า แม้แต่คนที่ขลาดกลัว ไม่กล้าประกาศตนว่าเป็นผู้เชื่อพระคริสต์ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์กับพระคริสต์ได้  แล้วนับประสาอะไรกับคนที่ทำบาปอย่างอื่น ที่หนักหนาสาหัส

 โอ้ .. มาถึงตรงนี้ใครที่ไม่เคยคิดว่าโลกนี้มีพระเจ้าอาจจะรู้สึกหวาดเสียวบ้างก็เป็นได้  แต่อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าคนฉลาดย่อมหาวิธีการแก้ปัญหาได้ และวิธีการที่ฉลาดที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การกลับใจเสียใหม่จากบาป  ดำเนินชีวิตที่อยู่ในความรัก  ความเมตตาต่อเพื่อมนุษย์ ละทิ้งสันดานบาป  เพราะ ไม่แน่ว่า หาก "บังเอิญ" พระเจ้ามีจริง เราก็จะไม่ขาดทุน ไม่เสียโอกาส เพราะได้เตรียมพร้อมสำหรับชีวิตหลังความตายไว้แล้ว   ถือเป็นชีวิตที่ปลอดภัย และจะได้รอดพ้นจากหลุมนรกได้อย่างแน่นอน

พระคริสต์ธรรมได้เขียนไว้อีกตอนหนึ่งว่า "ถ้าผู้ใดเชื่อ  วางใจในพระคริสต์ ผู้นั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์"  

การจะยอมรับพระคริสต์มาเป็นพระเจ้าไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เรารู้สึกสำนึกบาป  สำนึกถึงกรรมที่ตามสนองตามเวรกรรมที่เราสร้างไว้  ยอมละเลิกจากพฤติกรรมบาปทั้งปวง ขอการยกโทษจากพระเจ้า ขอเชิญพระเจ้าเข้ามาสู่จิตใจ  ยอมละทิ้งรูปเคารพ ผี วิญญาณต่างๆ ที่เราเคยขอให้มาปกป้อง หรือมาคุ้มครอง แล้วยอมรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราก็จะได้รับการปลดปล่อยไม่เพียงแค่ความบาปเท่านั้น เรายังจะได้รับการปลดปล่อยออกจาก นิสัยบาป อารมณ์ร้ายๆ  การเสพติด  ความเจ็บ  ความปวด  และโรคบางอย่างที่แพทย์รักษายาก หรือต้องให้ยาต่อเนื่อง   

สำหรับคนที่เคยไปรับเจ้า รับองค์ รับของมา แน่นอนทีเดียว  ท่านจะได้รับการปลดปล่อยในบัดดล ด้วยคำอธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์

ถ้ามนุษย์ดำเนินชีวิตเหมือนปุถุชนทั่วไป ที่เกิดมาเพื่อหาอาหารกิน ขับถ่าย เติบโต เรียนรู้  สร้างความสำเร็จ  สืบพันธุ์  สร้างฐานะ  แสวงหาทรัพย์สมบัติ แล้วก็ป่วย แก่ ตายไป อย่างธรรมชาติ ตามธรรมชาติ  ชีวิตคงไม่มีความหมายอะไรที่สำคัญมากไปกว่านั้น   จริงไหมครับ  ลองพิจารณาดู

ถ้าลองมาเชื่อพระเจ้าแล้วพระเจ้าไม่มีจริง    เราไม่เสียอะไรเพราะไม่มีอะไรจะเสีย เพราะชีวิตเป็นไปตามกรรม  แต่ถ้า   "บังเอิญ" พระเจ้ามีจริง ชีวิตนี้เราจะรอดพ้นบาปได้ เราจะมีสุขภาพดีขึ้น  หายป่วย หายเจ็บ  หายจากอารมณ์ร้าย  หลุดพ้นจากการเบียดเบียนของวิญญาณชั่ว  ผี เจ้า องค์ หรืออะไรๆ ที่ใครๆ ต้องเอาเครื่องสังเวยไปให้เพื่อไม่ให้มันมารังครวญ   ชีวิตจะมีพระผู้ช่วย ชีวิตไม่ต้องดิ้นไปคนเดียว ไม่ต้องไร้ที่พึ่งเพราะมีพระเจ้าที่สามารถคอยช่วยเหลือ พอเวลาสิ้นอายุขัยวิญญาณของเราก็ไม่ต้องถูกโยนเข้ากองไฟแห่งวิญญาณที่ไม่รู้จักคำว่า หมอดไหม้  จิตวิญญาณเราจะได้รับความปลอดภัยอย่างแน่นอน

ขอพระเจ้าอวยพระพร

rice mu

HOME กลับไปหน้าแรก


Orignal Message from Rice Mu. January 23, 2013
อนุญาตให้เผยแพร์ได้หากไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการค้า

@rice mu, Original message

ห้ามคัดลอกตัดต่อเพื่อทำการใดๆ ที่เป็นการผลประโยชน์ทางการค้า หรือเพื่อการศึกษา  การทำรายงานในสถาบันคริสตศาสนาที่ไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เขียน  สำหรับผู้ต้องการนำไปศึกษาส่วนตัวสามารถทำการคัดลอกได้โดยไม่ต้องขออนุญาต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)