ผู้เชื่อพระเจ้าไม่ว่าจะอยู่ในศาสนาไหน ก็ย่อมต้องการสื่อสารกับพระของตน ผู้นับผีก็ต้องการติดต่อกับผี ต้องการให้ผีปกป้องคุ้มครอง ผู้เชื่อรูปเคารพน่าเห็นใจที่รูปเคารพมันมีหูแต่ไม่ได้ยิน มีตาแต่มองไม่เห็น มีขาแต่เดินไม่ได้ ช่วยให้รอดไม่ได้ เป็นเพียงที่พึ่งทางใจของคนทุกชนชั้น แต่ผู้เชื่อพระเยซูอาจไม่เคยนึกว่าพระเจ้าผู้เป็นอยู่องค์นี้ยังสื่อสารกับมนุษย์ทางอื่นนอกเหนือจากที่เคยเรียนมาในชั้นเรียนรวีวารศึกษาที่คริสตจักรอาจเคยรับรู้เพียงแค่ว่า พระเจ้าสื่อสารกับมนุษย์ทางพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเท่านั้้น แต่ความจริง.คืออะไร
บ้างได้รับคำสอนว่าถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ล พระเจ้าก็จะพูดกับเราผ่านเนื้อหาในหนังสือแต่ละตอน คำสอนนี้ก็เป็นคำสอนที่ถูกต้องแน่นอนอยู่แล้ว เพราะการรับสารของพระเจ้าจากการอ่านหนังสือพระคัมภีร์เป็นการรับสารที่ตรง และเป็นลายลักษณ์อักษร ในทางกฏหมายถือว่าเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือ มากกว่าการใช้การสื่อสารด้วยการพูดเพราะไม่่มีหลักฐาน และใช้อ้างอิงไม่ค่อยได้
อย่างไรก็ตามผู้เชื่อพระเยซูคริสต์น่าจะได้เรียนรู้ว่า พระเจ้ายังใช้วิธีการต่างๆ ที่นอกเหนือจาก "วิธีปกติ" อยู่เสมอ พระเจ้าสามารถสื่อสารกับผู้เชื่อ ให้รับรู้ว่าพระองค์ต้องการให้เราทำอะไร หรือบางครั้งพระเจ้าส่งสาร หรือสื่อสารเป็นคำเตือนผ่านหลายอย่าง ผู้เชื่อจึงไม่ควรปิดกั้นตัวเองจากการสื่อสารของพระเจ้า เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตไปกับพระเจ้าผู้เป็นอยู่อย่างมีความสุข และเป็นชีวิตที่เกิดผลดีนานาประการ
ขอยกเอาข้อพระธรรมต่างๆ ที่กล่าวถึงการสื่อสารของพระเจ้าเป็นลำดับ ดังนี้
จากพระธรรม โยบ 33.14-16 ได้กล่าวว่า
"เพราะพระเจ้าตรัสวิธีหนึ่ง เออ สองวิธี แต่มนุษย์ไม่หยั่งรู้ได้ ในความฝัน ในนิมิตกลางคืน เมื่อคนหลับสนิท เมื่อเขาเคลิบเคลิ้มอยู่บนที่นอนของเขาแล้วพระองค์ทรงเบิกหูของมนุษย์ และทรงสั่งสอนอย่างลับๆ"
การเรียนรู้ที่จะเข้าใจวิธีการสื่อสารเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก มนุษย์สื่อสารกันด้วยภาษาต่างๆ อาทิ
ก. ภาษาใบ้
ข. สีหน้าและแววตา หรือภาษาท่าทาง
ค. ภาษาพูด- น้ำเสียง โทนเสียง (ระดับของน้ำเสียงทำให้ความหมายของสารเปลี่ยนไปได้)
ง. ภาษาเขียน หรือภาษาตัวอักษรที่เป็นระบบ
จ. รูปภาพ และสัญญาลักษณ์ หรือภาษารหัสลับ,
ฉ. การใช้เครื่องมือสื่อสารจากระยะไกล การใช้ควันไฟ โบกธงสัญญาณ จุดพลุ ประทัด ฯลฯ
ช. การใช้ภาษากาย การโอบกอด การชี้นิ้ว การบุ้ยปาก การถลึงตา ยักคิ้ว หันหลังให้
ซ. การนิ่งเงียบไม่พูดด้วย การไม่ติดต่อสื่อสารด้วย ก็ถือว่าเป็นการสื่อสารได้
ฯลฯ
ฯลฯ
การสื่อสารของมนุษย์มีหลายวิธี
พระเจ้าทรงสื่อสารกับเราอย่างไรบ้าง
ก. ในสมัยเริ่มแรกพระเจ้าพูดกับอาดัมโดยตรง เมื่อมนุษย์อาศัยอยู่ในสวนแห่งเอเดน และมนุษย์ได้ยินเสียงของพระเจ้าด้วยประสาทการได้ยิน คือด้วยหูของเราเอง (ปฐมกาล 3.9-10)
ข. ความฝันเป็นช่องทางสำคัญที่พระเจ้าสื่อสารกับมนุษย์มาทุกยุคสมัย
(ปฐมกาล 31.24)
แต่ในกลางคืนพระเจ้าทรงมาปรากฏ แก่ลาบันคนอารัมในความฝัน ตรัสแก่เขาว่า“ระวังอย่าพูดกับยาโคบเลย ไม่ว่าดีหรือร้าย”
ในตอนที่ลาบันต้องการติดตามไล่ล่ายาโคบผู้เป็นลูกเขยผู้ที่ได้พาลูกสาวและครอบครัวของเขาหนีออกจากบ้านพ่อตาเพื่อไปตั้งถิ่นฐานของตนเอง ลาบันหวังจะทำลายลูกเขยเพราะเข้าใจว่าลูกเขยขนทรัพย์สมบัติหนีไป แต่พระเจ้าได้สื่อสารกับท่านทางความฝัน ห้ามไว้ไม่ให้ทำอันตรายแก่เขา
-. พระกำเนิดของพระเยซูเต็มไปด้วยการสื่อสารของพระเจ้ากับมนุษย์ทางความฝัน
พระธรรมมัทธิว บทที่ 1.20 ได้กล่าวว่า
"แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า..."
โยเซฝว่าที่บิดาฝ่ายเนื้อหนังของพระเยซู ไม่ค่อยพอใจที่จะรับนางมารีย์มาเป็นภรรยา เพราะปรากฎว่านางมารีย์เกิดท้องขึ้นมาก่อนที่เขาจะได้แต่งงานกับนาง แต่ทูตของพระเจ้าได้มาแจ้งความให้เขาทราบว่า บุตรที่อยู่ครรภ์ของนางมารีย์ คือพระเยซูคริสต์ ผู้ที่บังเกิดจากหญิงพรหมจารีย์
มัทธิว 2.12 แล้วพวกโหราจารย์ได้ยินคำเตือนในความฝัน มิให้กลับไปเฝ้าเฮโรด เขาจึงกลับไปยังเมืองของตนทางอื่น
พวกโหราจารย์ ได้มาแสวงหาพระกุมารที่จะกลายเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ แต่ดันทำไปอย่างประมาท ไม่ทันคิดถึงอันตรายจะตกไปสู่กุมารน้อย พวกเขาไปสืบถามสถานที่บังเกิตของพระกุมารจากพระราชาเฮโรดผู้เป็นพระราชาองค์ปัจจุบัน เฮโรดต้องการฆ่ากษัตรย์องค์ใหม่ จึงออกอุบายให้พวกโหราจารย์มารายงานที่เกิดของพระกุมาร แต่พระเจ้าได้เตือนพวกโหราจารย์ผ่านทางความฝัน
คนจำนวนมากไม่สนใจเรื่องความฝันของตน เข้าใจว่าเชื่อพระเยซูแล้วไม่ต้องไปสนใจเรื่องความฝัน บ้างไม่เข้าลึกซึ้งเรื่องการสื่อสารของพระเจ้า กลับไปสอนไม่ให้เอาเรื่องความฝันเป็นเป็นเรื่องจริงจัง บางคนแม้จะฝันเรื่องเดิมซ้ำๆ แต่ก็ไม่เคยสนใจเรื่องความฝันนั้น หากเราไม่สนใจเรื่องความฝันเลย เราอาจกลายเป็นคนไร้สติก็เป็นได้
ผมเองก่อนที่จะกลับใจเชื่อพระเจ้า ก่อนนั้นพี่ชายของผมตายไป ประมาณปีกว่า ตอนนั้นผมยังกินยังดื่ม ทำการบาปหนักที่มีโทษถึงตายหลายอย่าง ไม่ยอมเลิก ไม่ยอมละบาป ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ดี
คืนหนึ่งผมนอนอยู่ที่บ้าน ผมฝันว่า พี่ชายของผมมาหา ผมเห็นเขาร้องไห้มาก ตาแดงเลย ผมเลยถามว่า "มาหาแล้วร้องไห้ทำไม" พี่ชายผมตอบว่า "ก็ฮาเสียใจคิงนั่นแหละ" (ก็พี่เสียงใจเรื่องแกนั่นแหละ) ผมก็ถาม "ทำไมหรือ" ผมถามเขาก็ไม่ตอบแล้วก็หายตัวไป
ผมมาคิดทบทวน ดูผมก็เข้าใจว่าเป็นการส่งสารคำเตือนบางอย่างจากอะไรบางอย่าง ผมจะไม่ฟันธงว่าเป็นมาจากพระเจ้า แต่ผมรู้ว่านี่คือคำเตือนที่ทำให้ผมต้องกลับใจใหม่ เพราะช่วงนั้นชีวิตผมเหมือนกำลังสนุกกับบาป หมกมุ้นกับบาป พ่ายแต่ต่อบาปอย่างน่าอาย ผมกำลังดิ่งลงเหว และถลำลึกกับความบาป
ตอนนั้นผมเป็นถึงประธานคริสตจักรแต่เมื่อลับหลังพี่น้อง ผมชอบซื้อเบียร์ ซื้อเหล้าฝรั่งมากิน กินคนเดียวไม่พอ ผมยังชวนภรรยาที่แสนบริสุทธิ์ผู้เกิดจากครอบครัวคริสเตียน ทั้งๆ ที่เธอเกลียดเหล้าที่สุด ผมยังชวนเธอดื่มเหล้ากับผมได้ ภรรยาร้องไห้กับผมเรื่องกินเหล้าหลายสิบปี ตอนหลังเธอไม่ร้อง เธอกินกับผมเลย
(ปัจจุบันผมเลิกการดื่ม เหล้าเบียร์อย่างเด็ดขาด และยังดื่มแอลกอฮอล์ในพิธีศีลระลึกอยู่)
แท้จริงผมขอบอกว่า การดื่มเหล้าไม่ได้ผิดศีลข้อห้ามสิบประการของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และผมขอยืนยันเช่นนี้ เพราะมันไม่มีเขียนที่ไหนเขียนในพระคัมภีร์ว่าเป็นการบาป ผมอ่านพระคัมภีร์มาหลายสิบปี ไม่เคยพบข้อห้ามนี้ คนที่สอนว่าการดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ถือว่าเป็นบาป คือพวกอาจารย์ศาสนาที่สอนเกินพระคัมภีร์ทั้งนั้น มีข้อพระคัมภีร์หลายตอนได้ตักเตือนเรื่องการดื่มเหล้า ไวน์ แต่ไม่ได้ห้ามอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังมีความบาปที่เกิดจากการดื่มเหล้าด้วย นั่นคือ มีคนหนึ่งชื่อโนอาห์ พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าชอบใจเขา เพราะเขาเป็นคนซื่อตรงต่อพระเจ้า แต่ตอนปลายชีวิตของเขา เขาดื่มเหล้า นอนแก้ผ้า ต่อมามีลูกมาเห็น คนก็สาปแช่งลูกของตนเอง และลูกของโนอาห์ก็ได้รับคำสาปแช่งนั้น
อีกเรื่องก็คือ เรื่องของคนชื่อโลท ที่รอดพ้นจากภัยพิบัติจากการที่พระเจ้าส่งลาวาและการเผาพลาญลงมายังเมืองแห่งบาปที่เขาอยู่ คือเมืองโสโดม เขาต้องวิ่งหนีออกจากเมืองเพื่อเอาตัวรอด แต่ภรรยาเขาต้องตายจากเหตุภัยพิบัติ โลทจึงอยู่กับลูกสาวสองคน ต่อมาโลทได้ทำบาปเพิ่มคือ พระคัมภีร์บันทึกว่า ลูกสาวทั้งสองคนได้มอมเหล้าบิดาตัวเอง โลทได้กินเหล้าและได้นอนกับลูกสาวทั้งสองคนตอนที่เมาไม่ได้สติอยู่ และลูกสาวทั้งสองได้เกิดลูกมาสองคน คือคนอับโมนและ คนโมอับ ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นของคนอิสราเอลนั่นเอง
เพื่อเป็นการแก้ตัวสำหรับพวกที่ชอบจับผิดคำสอนคนอื่น ผมก็ยืนยันอีกอย่างหนึ่งว่า ผมเห็นด้วยกับความเห็นเกี่ยวกับการระมัดระวังในการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ใครก็ตามที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนแล้วยังติดเหล้า ดื่มเป็นประจำจนติดเข้าในกระดูก เข้าในสันดาน มีความอยากกินอยากดื่ม แอบดื่ม ชอบดื่มประจำถือว่ายังอยู่ในอำนาจของเนื้อหนัง และยังไม่นับเข้ากับพวกที่เป็นผู้เชื่อพระเจ้าที่เข้มแข็งในความเชื่อ และถ้าเราสังเกตให้ดี การดื่มเหล้าไม่ผิดศีลก็จริง แต่ คนดื่มเหล้าอาจไม่สามารถนำใครมาถึงความรอดได้ เพราะคนไทยยังเห็นว่า คนดีต้องไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน "การดื่มเหล้าจึงเป็นลักษณะนิสัยที่แสดงออกมาเหมือนเป็นชาวโลกที่ยังไม่กลับใจใหม่
คนจำนวนมากไม่สนใจเรื่องความฝันของตน เข้าใจว่าเชื่อพระเยซูแล้วไม่ต้องไปสนใจเรื่องความฝัน บ้างไม่เข้าลึกซึ้งเรื่องการสื่อสารของพระเจ้า กลับไปสอนไม่ให้เอาเรื่องความฝันเป็นเป็นเรื่องจริงจัง บางคนแม้จะฝันเรื่องเดิมซ้ำๆ แต่ก็ไม่เคยสนใจเรื่องความฝันนั้น หากเราไม่สนใจเรื่องความฝันเลย เราอาจกลายเป็นคนไร้สติก็เป็นได้
ผมเองก่อนที่จะกลับใจเชื่อพระเจ้า ก่อนนั้นพี่ชายของผมตายไป ประมาณปีกว่า ตอนนั้นผมยังกินยังดื่ม ทำการบาปหนักที่มีโทษถึงตายหลายอย่าง ไม่ยอมเลิก ไม่ยอมละบาป ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ดี
คืนหนึ่งผมนอนอยู่ที่บ้าน ผมฝันว่า พี่ชายของผมมาหา ผมเห็นเขาร้องไห้มาก ตาแดงเลย ผมเลยถามว่า "มาหาแล้วร้องไห้ทำไม" พี่ชายผมตอบว่า "ก็ฮาเสียใจคิงนั่นแหละ" (ก็พี่เสียงใจเรื่องแกนั่นแหละ) ผมก็ถาม "ทำไมหรือ" ผมถามเขาก็ไม่ตอบแล้วก็หายตัวไป
ผมมาคิดทบทวน ดูผมก็เข้าใจว่าเป็นการส่งสารคำเตือนบางอย่างจากอะไรบางอย่าง ผมจะไม่ฟันธงว่าเป็นมาจากพระเจ้า แต่ผมรู้ว่านี่คือคำเตือนที่ทำให้ผมต้องกลับใจใหม่ เพราะช่วงนั้นชีวิตผมเหมือนกำลังสนุกกับบาป หมกมุ้นกับบาป พ่ายแต่ต่อบาปอย่างน่าอาย ผมกำลังดิ่งลงเหว และถลำลึกกับความบาป
ตอนนั้นผมเป็นถึงประธานคริสตจักรแต่เมื่อลับหลังพี่น้อง ผมชอบซื้อเบียร์ ซื้อเหล้าฝรั่งมากิน กินคนเดียวไม่พอ ผมยังชวนภรรยาที่แสนบริสุทธิ์ผู้เกิดจากครอบครัวคริสเตียน ทั้งๆ ที่เธอเกลียดเหล้าที่สุด ผมยังชวนเธอดื่มเหล้ากับผมได้ ภรรยาร้องไห้กับผมเรื่องกินเหล้าหลายสิบปี ตอนหลังเธอไม่ร้อง เธอกินกับผมเลย
(ปัจจุบันผมเลิกการดื่ม เหล้าเบียร์อย่างเด็ดขาด และยังดื่มแอลกอฮอล์ในพิธีศีลระลึกอยู่)
แท้จริงผมขอบอกว่า การดื่มเหล้าไม่ได้ผิดศีลข้อห้ามสิบประการของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และผมขอยืนยันเช่นนี้ เพราะมันไม่มีเขียนที่ไหนเขียนในพระคัมภีร์ว่าเป็นการบาป ผมอ่านพระคัมภีร์มาหลายสิบปี ไม่เคยพบข้อห้ามนี้ คนที่สอนว่าการดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ถือว่าเป็นบาป คือพวกอาจารย์ศาสนาที่สอนเกินพระคัมภีร์ทั้งนั้น มีข้อพระคัมภีร์หลายตอนได้ตักเตือนเรื่องการดื่มเหล้า ไวน์ แต่ไม่ได้ห้ามอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังมีความบาปที่เกิดจากการดื่มเหล้าด้วย นั่นคือ มีคนหนึ่งชื่อโนอาห์ พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าชอบใจเขา เพราะเขาเป็นคนซื่อตรงต่อพระเจ้า แต่ตอนปลายชีวิตของเขา เขาดื่มเหล้า นอนแก้ผ้า ต่อมามีลูกมาเห็น คนก็สาปแช่งลูกของตนเอง และลูกของโนอาห์ก็ได้รับคำสาปแช่งนั้น
อีกเรื่องก็คือ เรื่องของคนชื่อโลท ที่รอดพ้นจากภัยพิบัติจากการที่พระเจ้าส่งลาวาและการเผาพลาญลงมายังเมืองแห่งบาปที่เขาอยู่ คือเมืองโสโดม เขาต้องวิ่งหนีออกจากเมืองเพื่อเอาตัวรอด แต่ภรรยาเขาต้องตายจากเหตุภัยพิบัติ โลทจึงอยู่กับลูกสาวสองคน ต่อมาโลทได้ทำบาปเพิ่มคือ พระคัมภีร์บันทึกว่า ลูกสาวทั้งสองคนได้มอมเหล้าบิดาตัวเอง โลทได้กินเหล้าและได้นอนกับลูกสาวทั้งสองคนตอนที่เมาไม่ได้สติอยู่ และลูกสาวทั้งสองได้เกิดลูกมาสองคน คือคนอับโมนและ คนโมอับ ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นของคนอิสราเอลนั่นเอง
เพื่อเป็นการแก้ตัวสำหรับพวกที่ชอบจับผิดคำสอนคนอื่น ผมก็ยืนยันอีกอย่างหนึ่งว่า ผมเห็นด้วยกับความเห็นเกี่ยวกับการระมัดระวังในการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ใครก็ตามที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนแล้วยังติดเหล้า ดื่มเป็นประจำจนติดเข้าในกระดูก เข้าในสันดาน มีความอยากกินอยากดื่ม แอบดื่ม ชอบดื่มประจำถือว่ายังอยู่ในอำนาจของเนื้อหนัง และยังไม่นับเข้ากับพวกที่เป็นผู้เชื่อพระเจ้าที่เข้มแข็งในความเชื่อ และถ้าเราสังเกตให้ดี การดื่มเหล้าไม่ผิดศีลก็จริง แต่ คนดื่มเหล้าอาจไม่สามารถนำใครมาถึงความรอดได้ เพราะคนไทยยังเห็นว่า คนดีต้องไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน "การดื่มเหล้าจึงเป็นลักษณะนิสัยที่แสดงออกมาเหมือนเป็นชาวโลกที่ยังไม่กลับใจใหม่
ค. พระเจ้าใช้ผู้สื่อสารของพระองค์ที่เรียกว่า ทูตของพระเจ้า มาหามนุษย์
ปฐมกาล 16.9 เมื่อภรรยาที่เป็นหญิงทาสได้ถูกนางซาราห์รังแก และได้หนีออกจากบ้านไป แต่พระเจ้าได้ส่งทูตให้ไปเตือนนาง และให้กลับไปหานายหญิงของตนเหมือนเดิม ดังนี้
” ทูตของพระเจ้าจึงสั่งว่า
“กลับไปหานายผู้หญิงของเจ้า และยอมอยู่ใต้บังคับเขาเถิด”
อีกตอนหนึ่ง จากหนังสือ ปฐมกาล 32.1
"เมื่อยาโคบเดินทางไปเหล่าทูตของพระเจ้าพบเขา เมื่อยาโคบเห็นทูตสวรรค์เหล่านั้นจึงว่า “นี่แหละกองทัพของพระเจ้า” จึงเรียกสถานที่นั้นว่า “มาหะนาอิม”
บางครั้งพระเจ้าใช้ทูตของพระเจ้ามาเตือน มาบอก มาชี้แนะ ทูตเหล่านี้มีรูปลักษณ์เหมือนคนธรรมดา
ง. การดลใจให้ลุกขึ้นอธิษฐาน หรือทำบางสิ่งในตอนกลางคืน
จากพระธรรม เนหะมีห์ 2.12
"แล้วข้าพเจ้าลุกขึ้นในกลางคืน คือข้าพเจ้ากับบางคนที่อยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้บอกผู้หนึ่งผู้ใดถึงเรื่องที่ พระเจ้าของข้าพเจ้าดลใจข้าพเจ้าให้กระทำเพื่อเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าไม่มีสัตว์อื่นกับข้าพเจ้านอกจากสัตว์ที่ข้าพเจ้าขี่อยู่"
จ. ให้เห็นภาพในภวังค์ หรือ นิมิต (แต่เป็นภาพที่ต้องมีการตีความหมายภายหลัง)
จากพระธรรม กิจการ 10.3 เราได้พบว่า พระเจ้าสื่อสารกับ นายร้อยชาวโรมันที่ยังไม่เป็นคริสเตียน
"เวลาประมาณบ่ายสามโมง นายร้อยนั้นเห็นนิมิตแจ่มกระจ่าง คือเห็นทูตองค์หนึ่งของพระเจ้าเข้ามาหาตนกล่าวว่า “โครเนลิอัสเอ๋ย" ...” และเมื่อโครเนลิอัสเขม้นดูทูตองค์นั้น ด้วยความตกใจกลัว จึงถามว่า
“นี่เป็นประการใด พระเจ้าข้า”
ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า
“คำอธิษฐานและทานของท่านนั้น ได้ขึ้นไปเป็นเหตุให้พระเจ้าระลึกถึงแล้วบัดนี้จงใช้คนไปยังเมืองยัฟฟา เชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา เปโตรอาศัยอยู่กับคนหนึ่งชื่อซีโมนเป็นช่างฟอกหนัง ตึกของเขาอยู่ริมฝั่งทะเล”
พระเจ้าต้องการสื่อสารกับ นายร้อยโรมันที่ชื่อว่า โครเนลิอัส เพื่อให้เขาได้รับความรอด
และได้รับการถ่ายทอดพระพรจากการอธิษฐานของอัครสาวกเปโตร
[พระธรรม กิจการ 10.10-12]
(ขณะที่เปโตรกำลังคอยรับประทานอาหารและกำลังหิว) เปโตรก็เข้าสู่ภวังค์ และได้เห็นท้องฟ้าแหวกออกเป็นช่อง มีอะไรอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ ทั้งสี่มุมหย่อนลงมายังพื้นโลก ในนั้นมีสัตว์ทุกอย่าง คือสัตว์ที่เดิน ที่เลื้อยคลาน และที่บิน
ฉ. ให้สัตว์ทำพฤติกรรมแปลกๆ หรือมีปรากฎการณ์พิเศษเพื่อสื่อสารบางอย่าง
พระธรรมกันดารวิถี 22.27-28 ได้กล่าวถึงวิธีการที่พระเจ้าต้องหยุดยั้งไม่ให้ บาลาอัม ไปแช่งสาปคนของพระเจ้า โดยให้ลามองเห็นทูตสวรรค์ และเกิดความกลัว ไม่เดินไปในทิศทางที่บาลาอัมต้องการ
"เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้ามันก็หมอบลง บาลาอัมยังคงนั่งอยู่บนหลัง บาลาอัมก็โกรธ จึงเอาไม้เท้าของเขาตีลา แล้วพระเจ้าเปิดปากลา มันจึงพูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรแก่ท่าน ท่านจึงได้ตีข้าพเจ้าถึงสามครั้ง”
ก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่ประเทศจีน ในปี วันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2008
ฝูง กบและอึ้งอ่างจำนวนเป็นพันๆ ตัวได้อพยมย้ายที่หลบซ่อนตัว และที่อาศัย ก่อนการเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ครั้งรุนแรง 1 วัน คือวันที่ 13 พฤษภาคม 2008 พวกมันอพยมย้ายที่อยู่แบบไม่กลัวตายเลย
ภาพจาก: http://www.weirdasianews.com/2008/05/13/frog-migration-omen-to-china-earthquake-disaster/
ก่อนการเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่เสสวนของจีน ท้องฟ้าเหนือเมืองเกิดมีรุ้งลักษณะพิเศษในท้องฟ้าเหนือเมืองประมาณ 30 นาทีก่อนการเกิดแผ่นดินไหวร้ายแรง ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2008ทำให้คนตายเป็นหมื่นคน
ที่มา: http://www.youtube.com/watch?v=KKMTSDzU1Z4
ช. ตรัสผ่านผู้มีของประทานแห่งการเผยพระวจนะ (บอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต)
พระธรรม กิจการ 11:28 ได้กล่าวถึงการสื่อสารของพระเจ้าผ่านผู้มีของประทานการเผยพระวจนะ
(การเผยพระวจนะในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการขึ้นไปเทศนาบนธรรมมาสเหมือนกับคริสเตียนทั่วไปเข้าใจ)
"ฝ่ายผู้หนึ่งในจำนวนนั้นชื่ออากาบัส ได้ลุกขึ้นกล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า จะบังเกิดการกันดารอาหารมากยิ่งทั่วแผ่นดินโลก การกันดารอาหารนั้น ได้บังเกิดขึ้นในรัชสมัยจักรพรรดิคลาวดิอัส"
ในหนังสือ กิจการ บทที่ 21.10 ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า
"ครั้นเราอยู่ที่นั่นหลายวันแล้ว มีชายผู้ทำนายคนหนึ่งลงมาจากแคว้นยูเดียชื่ออากาบัส ครั้นมาถึงเรา เขาก็เอาเครื่องคาดเอวของเปาโล ผูกมือและเท้าของตนกล่าวว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสดังนี้ว่า 'พวกยิวในกรุงเยรูซาเล็ม จะผูกมัดคนที่เป็นเจ้าของเครื่องคาดเอวนี้ อย่างนี้มอบไว้ในมือของคนต่างชาติ'
และในพระธรรมกิจการ บทที่ 4:25 ได้กล่าวอีกว่า ดังนี้
"พระองค์ตรัสไว้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยปากของดาวิดบรรพบุรุษของเรา ผู้รับใช้ของพระองค์ว่า 'เหตุใดชนต่างชาติจึงหยิ่งยโส และชนชาติทั้งหลายปองร้ายกันเปล่าๆ๐
ในสมัยปัจจุบันมีการเปิดเผยของพระเจ้าโดยวิธีนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
จากพระธรรม เอเฟซัส 3.5
"ซึ่งในสมัยก่อนพระองค์ไม่ได้ทรงโปรดสำแดงแก่มนุษย์เหมือนอย่างบัดนี้ ซึ่งทรงโปรดเผยแก่พวกอัครทูตผู้บริสุทธิ์และพวกผู้เผยพระวจนะโดยพระวิญญาณ"
ปัจจุบันนี้พระเจ้ายังคงสื่อสารกับมนุษย์อย่างต่อเนื่อง
พี่ชายของข้าพเจ้าคนหนึ่งเป็นศิษยาภิบาลที่จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ยินเสียงพระเจ้าตรัสบ่อยๆ หลายครั้งแล้ว นอกจากนี้ยังมีเพื่อนผู้รับใช้ที่ผมได้รู้จักหลายคน มาจากหลายกลุ่ม พวกเขามีประสบการณ์คล้ายๆ กัน คือ เมื่อเขาไปเทศนาสั่งสอน ในขณะที่เขากำลังสอนอยู่นั้นเขาจะได้รับสารของพระเจ้า นัยว่า พระเจ้าจะตรัสบอกให้เขาทำบางอย่างเพื่อ ปลดปล่อย เยียวยา รักษาการเจ็บป่วย หรือเรียกคนให้กลับใจ หรือเชิญชวนคนให้มอบถวายตัวรับใช้พระเจ้า หลายครั้งเราพบว่า มีการหายโรคอย่างอัศจรรย์ในการประชุมเสมอๆ เมื่อมีการเผยพระวจนะแบบนี้
แต่พี่น้องคงแปลกใจ บางคนอาจได้ทราบเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ พระเจ้ามีวิธีการสื่อสารกับผู้เชื่อ และผู้ไม่เชื่อได้หลากหลายวิธีอย่างไม่จำกัด และพระเจ้าสามารถดลใจ หรือสื่อสารกับผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็ได้ หากท่านสงสัยลองไปอ่านเรื่อง กษัตริย์ไซรัสดู (๒ พศว ๓๖)
ในการอธิษฐานขับผี วิญญาณร้าย หลายๆ ครั้งทีมของเราต้องการเพื่อนร่วมทีมอธิษฐานที่มีของประทานในสังเกตวิญญาณ (Discerning Spirit) และถ้อยคำแห่งความรู้ (Word of knowledge) และการเผยพระวจนะด้วย การใช้ของประทานร่วมกันทำให้การปลดปล่อยช่วยเหลือคนป่วย หรือผู้ที่ถูกวิญญาณรบกวนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเหลือเชื่อมาก
บางคนไม่อยากเชื่อว่าเหตุแบบนี้ยังมีอยู่ในปัจจุบัน แต่เรื่องนี้หากใครอยากพิสูจน์ ก็สามารถมาพิสูจน์ได้ และเราจะสาธิตให้ดู แต่คนที่ต้องการพิสูจน์ต้องยอมทำบางอย่างที่ทำให้เรารู้ว่า คนที่บังอาจท้าทายอำนาจของพระเจ้า ต้องกลับใจใหม่ และต้องถ่อมใจมากๆ เมื่อแพ้ต้องยอมรับผิดโดยดุษฏีอย่างไม่มีเงื่อนไข และต้องรักษาสัจจะด้วย
บางครั้งมีคนมาหาผมเพื่อขอรับการรักษาให้หายจากโรคที่เขาทุกข์ทรมาน บางคนถูกวิญญาณรบกวน ถึงแม้ผมจะทราบว่าการอธิษฐานต้องทำอย่างไร และการเรียกวิญญาณให้มันแสดงตัวต้องทำอย่างไร แต่ผมก็ไม่ทำทันที หรือช่วยอธิษฐานให้ไวไว หรือทำเพื่ออวดว่าผมเก่ง หรือมีฤทธิ์มีเดช การจะได้ของสูง สิ่งที่เป็นสุดยอดต้องมีการลงทุน ต้องมีการกลับใจใหม่ เพราะพระเจ้าหรือบุญไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินตรา
ผมมักจะถามคนที่อยากหายว่า คุณไปหาหมอคุณเสียเงินหรือเปล่า เสียเวลาไหม คุณต้องลงทุนใช่ไหม หากคุณมาหาพระเยซู คุณอยากให้พระเยซูรักษาคุณ คุณมีอะไรที่จะลงทุนกับพระเจ้าบ้าง บางคนอยากหายใจจะขาดแต่กลัวว่า ถ้าหายแล้วผมจะถ่ายคลิปวีดีโอคำพยานว่าได้หายแล้ว เขาไม่เอา เขาบอกว่าเขาอาย คนแบบนี้ปล่อยให้มันป่วยตายไปก็สมควรแล้ว คนไม่รู้จักพระคุณ ไม่รู้จักการให้เกียรติพระเจ้า
ท่านที่เคยเป็นศาสนิกทั้งหลายที่เคยไหว้รูปเคารพย่อมทราบดีว่า มีพระดี พระที่คนคิดว่าศักดิ์สิทธิ์องค์ไหนที่คนจะได้มาครอบครองโดยไม่ต้องลงทุนอะไร ผมเคยเห็นในทีวี คนบางคนเขาซื้อรูปเคารพที่ทำจากดิน หิน ทราย ราคาเป็นสิบล้าน เพราะเขาเข้าใจว่าเป็นของดี เขาจึงกล้าทุ่มทุนซื้อเพื่อหวังเอามาครอบครอง เหมือนกับการได้ครอบครองตระเกียงวิเศษของอาระดิน เพราะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ หรือยักษ์ที่อยู่ในตะเกียงนั้นมันจะเป็นทาสของคนที่ครอบครองตะเกียง น่าเสียดายที่คนหลายคนก็เข้าใจว่ารูปเคารพที่ตนซื้อมาก็เป็นเหมือนตะเกียงวิเศษนั้น
แต่พระเยซูเป็นพระดีที่ไม่ต้องซื้อด้วยเงิน และจะซื้อด้วยเงินก็ไม่ได้ ใครอยากได้ต้องลงทุนก้มหัว ทูลเอา รับเอามาใส่ในใจ เอามาใส่เกล้าด้วยความถ่อมใจ ต้องรับเอาด้วยความเชื่อ ผู้รับพระเจ้าองค์นี้ ต้องสำนึกบาป ต้องกลับใจใหม่จากนิสัยบาป สันดานบาป ใครที่ยังรักบาป รักความสนุกส่ำส่อนทางเพศ ยังยุ่งกับเรื่อง กิน กาม โกง โลภ เพลิดเพลินกับเหยื่อล่อของมาร คิดว่าบาปคืออาหารอร่อย จะไม่สามารถได้อยู่ในการปกครองของพระเจ้าผู้เป็นอยู่ เพราะการปกครองของพระองค์ไม่ได้เกิดจากการบังคับเอา แต่ต้องยอมให้พระองค์ครอบครองเราเท่านั้น คนทั่วไปไม่สนใจเรื่องบาป คิดว่าบาปไม่มีตัวตน ไม่มีผลอะไร อยากทำอะไรก็ทำตามอำเภอใจ บางคนเข้าใจว่าตัวเองไม่มีบาป แต่ก็อาจได้รับบาปและคำแช่งสาปจากบรรพบุรูธมาได้นะครับ คนที่อยู่ในบาปก็ยังอยู่ในเขตการปกครอง และอิทธิพลของวิญญาณชั่วร้าย ที่เราเรียกว่า ซาตาน
เวรกรรมมันมีจริง วิญญาณอื่นมีจริง ถ้าใครบอกว่าผีไม่มีจริง คนนั้นยังเข้าไม่ถึงสัจจะอย่างแน่นอน เพราะถ้าไม่มีวิญญาณ คนไทย คนพม่า คนลาว คนเวียตนาม คนจีน คงไม่สร้างหอผี ไม่สร้างศาลตามบ้านเรือนของตนให้เสียเงินไปเปล่าๆ หรอก แม้แต่คนที่รวยๆ จบการศึกษาสูงๆ อาจารย์มหาลัย ถ้าเขาไม่รู้จักพระเยซูเขาก็ต้องไหว้วิญญาณกันทั้งนั้น ถ้าใครไม่เชื่อผมลองไปดูหน้าห้างบิ๊กซี แม๊คโคร และห้างเซนทรัลซิ ดูว่าเขาสร้างศาลหรือเปล่า ทุกๆ แห่งมีสัญลักษณ์ทางวิญญาณทั้งนั้น นั่นแสดงว่ามีวิญญาณอยู่ทุกหนทุกแห่ง คนที่ไม่รู้จักพระเยซูอย่างแท้จริงเขาจึงต้องให้ความเคารพต่อวิญญาณต่างๆ เพราะหากไม่ทำพิธี ไม่เลี้ยงดูวิญญาณเหล่านั้นอาจดลบันดาลให้ชีวิตเขาประสบเคราะห์กรรม ป่วยใข้ และล้มเหลวในชีวิต
มนุษย์เองก็เป็นวิญญาณที่ยังมีร่างอยู่ ยังไม่ได้ออกจากร่าง มนุษย์สื่อสารกันด้วยความคิด และจิตใจ หลายคนไม่คิดว่าตัวตนแท้จริงของตนอยู่ภายใน คือวิญญาณจิตของเขา คนจำนวนมาไม่รู้ นึกว่าร่างกายเท่านั้นคือตัว กู ของกู หลายคนชื่อชอบพูดแต่คำว่า my life, my way, my house, my husband, my wife, my kiks, my my my... ชีวิตต้องต่อสู้ดิ้นรน ใข่วคว้าไม่มีสิ้นสุด แต่เขาไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ลมหายใจเฮีอกสุดท้ายออกจากร่าง คำว่า my ทั้งหลายก็ไม่มีแล้ว เหลือแต่วิญญาณ โลกนี้มีวิญญาณและมีการปกปครองฝ่ายวิญญาณ ถ้าไม่มีพระเจ้าโลกคงวุ่นกว่านี้แน่ เพราะวิญญาณมีเยอะมาก เมื่อไร้การปกปครอง ไร้การควบคุมจากผู้มีอำนาจสูงสุด โลกก็จะตั้งอยู่ไม่ได้
พระเยซูไม่ใช่พระธรรมดาที่สามารถหาซื้อมาด้วยเงิน แต่ต้องแลกด้วยจิตใจ และวิญญาณที่รับรู้ว่าตนเองเป็นคนบาป และอยากหลุดพ้นจากการเป็นทาสบาป ติดนิสัยบาป ขาดสันติสุข ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ รับรู้และตระหนักว่า ต้องการพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคือพระผู้ที่สามารถช่วยให้รอดทั้งชีวิตปัจจุบันและชีวิตหลังความตาย มนุษย์ไม่สามารถครอบครองพระเยซูองค์ได้แต่ ถ้าเราอยากสบาย อยากมีสุข เราต้องยอมให้พระเยซูมาครอบครองเรา ไม่ใช่ว่าเราเป็นผู้ครอบครอง บางคนอาจเอารูปพระเยซู เอาไม้กางเขนไปห้อยแล้วคิดว่าเรามีพระคุ้มครองแล้ว ใครคิดแบบนี้ก็เป็นผู้เชื่อพระเยซูที่ตลกมาก และไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับพระเจ้าผู้เป็นอยู่
ผมขอบคุณพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ได้ทรงทีมงานมาร่วมงานกับเรา ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พระเจ้าโปรดให้ลูกสาวของผม และทีมงานหลายๆ คน ได้รับการเปิดเผยผ่านการเพยพระวจนะบ่อยๆ ผมพาลูกสาวและสมาชิกในทีมออกไปฝึกประสบการณ์เรื่อยๆ จนปัจจุบันการมองเห็นภาพฝ่ายวิญญาณและ การรับการสื่อสารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการเยียวยารักษาบำบัดภายในของทีมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้พระเจ้ายังส่งทีมงานที่มีของประทานด้าน ถ้อยคำแห่งความรู้ และการเผยพระวจนะมาให้ทีมปลดปล่อยเราอีกถึงหลายคน ดังนั้นเวลาเราไปที่ไหน เราจำเป็นต้องนั่งรถตู้ไปแล้ว แต่ลำบากหน่อยตรงที่เรายังไม่มีรถตู้ แต่เราเชื่อว่าพระเจ้าจะประทานมาจากคลังทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ในไม่ช้า
สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นการพูดอวดอตริ โอ้อวด แต่ความจริงก็คือความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ ผมเชื่อว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ที่ตั้งใจจะรับใช้พระเจ้า หากเราปฏิเสธของประทานเหล่านี้ ผู้เชื่อที่ออกไปประกาศ ก็อาจเป็นเหมือนทหารตาบอด มองไม่เห็นศัตรู ทำให้เราทำงานไม่ค่อยได้ผล ไม่มีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันนี้ฝ่ายความมืดได้นำของประทานแบบนี้ไปใช้หลายอย่างใช้ในการทำนาย การติดต่อกับวิญญาณอื่น เพื่อดูโชคลาง และสื่อสารกับวิญญาณอื่น ถ้าผู้เชื่อไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับ ไม่เข้าถึง ไม่พัฒนาของประทานเหล่านี้ในกลุ่มผู้เชื่อ แล้วเราจะต่อสู้กับพญามารได้อย่างไร
ผมอยากสื่อสารให้ผู้รับใช้ และผู้เชื่อพระเยซูเจ้า ยุคปัจจุบันให้รับรู้ว่า พระเจ้าต้องการสื่อสารกับเราจริงๆ แต่ธรรมชาติบาป และความใคร่ตามสันดานของมนุษย์ได้กลบเกลื่อนเสียงของพระเจ้าไปหมดเราจึงไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า
ดูเถิด พระหัตถ์ (มือ) ของพระเจ้ามิได้สั้นลง ที่จะช่วยให้รอดไม่ได้
หรือพระกรรณ (หู) ตึง ซึ่งจะไม่ทรงได้ยิน
แต่ว่าความบาปชั่วของเจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เกิดการแยก
ระหว่างเจ้ากับพระเจ้าของเจ้า
[พระธรรมอิสยาห์ บทที่ 59]
และบาปของเจ้าทั้งหลาย ได้บังพระพักตร์ (บังหน้า) ของพระองค์เสียจากเจ้า
พระองค์จึงมิได้ยิน
เพราะมือของเจ้ามลทินด้วยโลหิต
และนิ้วมือของเจ้าด้วยความบาปชั่ว
ริมฝีปากของเจ้าได้พูดคำเท็จ
ลิ้นของเจ้าพึมพำความอธรรม
ขอพระเจ้าอวยพระพร
Rice Mu. Original Writing: Rewriten and Edited August 2011
กลับไปหน้าแรก
ชอบครับ ลึกดีครับ
ตอบลบขอขอบพระคุณพระเจ้าในทุก ๆ ที่-เวลา-เหตุการณ์-กรณี อาเมน
ตอบลบนายสุริยน วงศ์ใหญ่ 0898359765
แนะนำหนังสือดีๆ และฟรี เกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้าครับ ส่งถึงบ้านพี่น้องทุกท่านโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
ตอบลบhttp://www.rhemabooks.org