ภัยใกล้ตัวที่ดูเหมือนไม่อันตราย แต่อาจนำมาสู่ความตกต่ำด้านจิตวิญญาณ
ตอนที่ 1 ทำไมผมจึงไม่เข้าถึงฤทธิ์อำนาจของพระเยซูทั้งๆ ที่ผมเกิดในครอบครัวคริสเตียน
ผมเกิดมาก็ได้เข้าสู่ศาสนาคริสต์ เพราะพ่อแม่ผมเป็นคริสต์ ก่อนที่ครอบครัวของผมจะมาเป็นคริสต์ พวกเขาเคยอยู่ในศาสนาที่นับถือผี ปู่ของผมเป็นจอมขมังเวทย์ แม่เล่าให้ฟังว่า แม้ปู่จะไม่เคยรู้จักพระนามพระเยซู แต่ปู่ก็สามารถทำหน้าที่ของจอมขมังเวทย์ได้ดีทีเดียว คือช่วยเป่า เสก ให้คนหายป่วยหายใข้ และบางครั้งก็ทำหน้าที่ไล่ผีปอบ ที่ชาวเหนือเขาเรียกว่า "ผีกะ" ได้ (ผีหิวโหย -เกิดจากการที่ผู้เลี้ยงผี เลี้ยงไม่ดีทำให้ผีหิวโหยแล้วมันไปรบกวนชาวบ้าน) ผีกะมีหลายประเภท ถ้าเป็นตัวใหญ่ๆ มีฤทธิ์มากไล่ไม่ค่อยออกเขาเรียกว่า ผีกะยักษ์ เมื่อปู่ของผมแก่ตัวขึ้น ท่านก็พบว่าเวทย์มนต์คาถาที่ท่านใช้อยู่เริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพจองท่าน ผู้ใช้เวทมนต์คาถาในการไล่ผีต้องได้รับพลังจากวิญญาณครูอีกทีหนึ่ง วิญญาณนี้คอยรบกวน และเรียกร้องเอาจากท่านไม่หยุดไม่หย่อน
นอกจากนี้ในการเป็นจอมขมังเวทย์ เล่นของเล่นไสยศาสตร์ ผู้ใช้ต้องมีข้อห้ามหลายอย่างไม่ให้ไปทำอะไรที่ผิดครู หากทำผิดก็จะถูกวิญญาณเข้าสิง ไม่รู้สติ ไม่รู้ตัว โวยวาย กลายเป็นคนเหมือนโรคประสาทกำเริบ คนใกล้ชิดต้องใช้น้ำขมิ้นส้มปอย ใส่ขันน้ำไปราดหัวก่อนวิญญาณจึงจะหยุดอาระวาด
เนื่องจากวิญญาณไสยศาสตร์คอยทำร้าย ทำให้ปู่และครอบครัวต้องได้รับความวิบัติหลายอย่าง
ทรัพย์สินต่างๆ ถูกโกง ถูกขายไปบ้างเพื่อรักษาโรคที่ปู่เริ่มเป็นคือ อาการตามองไม่เห็น ปู่ต้องใช้ทรัพย์ทั้งหมดที่มีอยู่ขายไปทีละน้อยเพื่อเป็นค่ายา ค่าหมอรักษาตาให้หายบอด แต่ในที่สุดก็ไม่หายบอด ต่อมาญาติพี่น้องเริ่มเข้ามารับเชื่อพระเยซู เนื่องจากปู่ถูกวิญญาณรบกวนบ่อยจึงมารับเชื่อพระเยซู อาการถูกวิญญาณรบกวนก็หายไป ครอบครัวของผมจึงได้รับความเชื่อพระเยซูคริสต์ผ่านทางแม่ที่เป็นคริสต์ก่อน ส่วนพ่อของผมเป็นประเภทคริสเตียนอ่อนแอ พอมาเป็นลูกเขยก็ยังพยายามเรียนเวทย์มนต์กับปู่อยู่ ปู่ก็สอนคาถาบางอย่างให้ ต่อมาแม่รู้เรื่องจึงห้ามไม่ให้เล่น พ่อจึงเลิกเล่นของ
เมื่อผมเติบโตขึ้นจากคริสตจักรสายอนุรักษ์ที่มีขนาดใหญ่พอควร แต่น่าเสียดายคริสตจักรแห่งนี้ ไม่นิยมจ้างนักการศาสนาที่จบจากโรงเรียนพระคัมภีร์ให้มาเป็นผู้เลี้ยงดูด้านพื้นฐานความเชื่อคริสเตียน เมื่อผมเป็นเด็กน้อยรุ่นหนุ่ม ในแต่ละอาทิตย์ผมสังเกตว่า มีอาจารย์ต่างๆ แวะเวียนกันมาเทศนาสั่งสอน ทางคริสต์เขาเรียกว่า มาเยี่ยมเยียน มาหนุนใจ ผมเห็นแต่ละอาทิตย์มีคนมาสอนไม่ค่อยซ้ำหน้ากัน แต่ก็ยังเป็นพวกเดิมๆ ที่แวะเวียนมาสอน ผมก็เป็นคิสตาม ตามพ่อแม่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมรับบัพติสมาปีไหน และรับเชื่อพระเยซูเมื่อไร ผมเคยคิดว่าถ้าเราตายเมื่อไหร่เราถึงจะได้พบกับพระเยซู ได้ไปสวรรค์
เมื่อผมเริ่มโตผมเมื่อจบ ม.ศ. 3 ผมก็ออกจากบ้านไปเรียนโรงเรียนฝึกอาชีพ ผมก็เริ่มได้รู้จักกับพระเยซูบ้างจากการสอนของโรงเรียนฝึกอาชีพที่พวกคริสเตียนเขาจัดสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมอาชีพ หรือฝึกอาชีพให้แก่ลูกหลานคริสเตียนที่เข้ารีตมาเชื่อพระเยซู พวกเขาจะสอนศาสนาทุกๆ วันไม่ขาด ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็เริ่มสนใจเรื่องพระเจ้าขึ้นมาบ้าง แต่ผมสังเกตว่าคนที่มาเข้าโรงเรียนนี้มีแต่นักเรียนที่ไม่ค่อยเอาถ่านเท่าไหร่ พวกเขาจับกลุ่มกันเล่นและทำให้สิ่งที่ไม่ดีเยอะแยะ ไม่นานหลายคนก็ถูกไล่ออกไป บ้างก็ทนระบบการสอน และการอบรมแบบคริสเตียนที่ให้นมัสการทุกวันไม่ไหว ต้องลาออกไปมากมาย
ในรุ่นที่ผมเรียนอยู่มีประมาณ 40 คน ต้องเรียนสองปี ในปีที่ผมจบ ผมพบว่ามีเหลือผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อยู่เวียงป่าเป้าเพียงสองคนเท่านั้น ตอนนี้เพื่อนของผมยังยึดอาชีพเกี่ยวกับช่างอยู่ ตอนนั้นเราเรียนการซ่อมเครื่องยนต์ แต่ว่าเพื่อนผมไปไกลกว่าเดิมเขาซ่อมได้แทบทุกอย่าง ส่วนผมไม่เป็นช่างซ่อม เมื่อผมจบ ผมกลับไปเรียนอย่างอื่น จนผมจบมาแล้วก็มาเป็นข้าราชการ ทำงานไปเกือบยี่สิบกว่าปี ผมจึงมารู้จักกับพระเยซูจริงๆ และได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตเมื่ออายุเลยเลขสี่สิบแล้ว
เนื่องจากวิญญาณไสยศาสตร์คอยทำร้าย ทำให้ปู่และครอบครัวต้องได้รับความวิบัติหลายอย่าง
ทรัพย์สินต่างๆ ถูกโกง ถูกขายไปบ้างเพื่อรักษาโรคที่ปู่เริ่มเป็นคือ อาการตามองไม่เห็น ปู่ต้องใช้ทรัพย์ทั้งหมดที่มีอยู่ขายไปทีละน้อยเพื่อเป็นค่ายา ค่าหมอรักษาตาให้หายบอด แต่ในที่สุดก็ไม่หายบอด ต่อมาญาติพี่น้องเริ่มเข้ามารับเชื่อพระเยซู เนื่องจากปู่ถูกวิญญาณรบกวนบ่อยจึงมารับเชื่อพระเยซู อาการถูกวิญญาณรบกวนก็หายไป ครอบครัวของผมจึงได้รับความเชื่อพระเยซูคริสต์ผ่านทางแม่ที่เป็นคริสต์ก่อน ส่วนพ่อของผมเป็นประเภทคริสเตียนอ่อนแอ พอมาเป็นลูกเขยก็ยังพยายามเรียนเวทย์มนต์กับปู่อยู่ ปู่ก็สอนคาถาบางอย่างให้ ต่อมาแม่รู้เรื่องจึงห้ามไม่ให้เล่น พ่อจึงเลิกเล่นของ
เมื่อผมเติบโตขึ้นจากคริสตจักรสายอนุรักษ์ที่มีขนาดใหญ่พอควร แต่น่าเสียดายคริสตจักรแห่งนี้ ไม่นิยมจ้างนักการศาสนาที่จบจากโรงเรียนพระคัมภีร์ให้มาเป็นผู้เลี้ยงดูด้านพื้นฐานความเชื่อคริสเตียน เมื่อผมเป็นเด็กน้อยรุ่นหนุ่ม ในแต่ละอาทิตย์ผมสังเกตว่า มีอาจารย์ต่างๆ แวะเวียนกันมาเทศนาสั่งสอน ทางคริสต์เขาเรียกว่า มาเยี่ยมเยียน มาหนุนใจ ผมเห็นแต่ละอาทิตย์มีคนมาสอนไม่ค่อยซ้ำหน้ากัน แต่ก็ยังเป็นพวกเดิมๆ ที่แวะเวียนมาสอน ผมก็เป็นคิสตาม ตามพ่อแม่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมรับบัพติสมาปีไหน และรับเชื่อพระเยซูเมื่อไร ผมเคยคิดว่าถ้าเราตายเมื่อไหร่เราถึงจะได้พบกับพระเยซู ได้ไปสวรรค์
เมื่อผมเริ่มโตผมเมื่อจบ ม.ศ. 3 ผมก็ออกจากบ้านไปเรียนโรงเรียนฝึกอาชีพ ผมก็เริ่มได้รู้จักกับพระเยซูบ้างจากการสอนของโรงเรียนฝึกอาชีพที่พวกคริสเตียนเขาจัดสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมอาชีพ หรือฝึกอาชีพให้แก่ลูกหลานคริสเตียนที่เข้ารีตมาเชื่อพระเยซู พวกเขาจะสอนศาสนาทุกๆ วันไม่ขาด ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็เริ่มสนใจเรื่องพระเจ้าขึ้นมาบ้าง แต่ผมสังเกตว่าคนที่มาเข้าโรงเรียนนี้มีแต่นักเรียนที่ไม่ค่อยเอาถ่านเท่าไหร่ พวกเขาจับกลุ่มกันเล่นและทำให้สิ่งที่ไม่ดีเยอะแยะ ไม่นานหลายคนก็ถูกไล่ออกไป บ้างก็ทนระบบการสอน และการอบรมแบบคริสเตียนที่ให้นมัสการทุกวันไม่ไหว ต้องลาออกไปมากมาย
ในรุ่นที่ผมเรียนอยู่มีประมาณ 40 คน ต้องเรียนสองปี ในปีที่ผมจบ ผมพบว่ามีเหลือผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อยู่เวียงป่าเป้าเพียงสองคนเท่านั้น ตอนนี้เพื่อนของผมยังยึดอาชีพเกี่ยวกับช่างอยู่ ตอนนั้นเราเรียนการซ่อมเครื่องยนต์ แต่ว่าเพื่อนผมไปไกลกว่าเดิมเขาซ่อมได้แทบทุกอย่าง ส่วนผมไม่เป็นช่างซ่อม เมื่อผมจบ ผมกลับไปเรียนอย่างอื่น จนผมจบมาแล้วก็มาเป็นข้าราชการ ทำงานไปเกือบยี่สิบกว่าปี ผมจึงมารู้จักกับพระเยซูจริงๆ และได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตเมื่ออายุเลยเลขสี่สิบแล้ว
ทั้งๆ ที่ผมอยู่ในศาสนาคริสต์มานาน ทำไมผมจึงไม่รู้จักพระเยซู ไม่เคยสัมผัสกับพระเยซู ทั้งๆ ที่พระเยซูก็รู้จักผมแล้ว แต่ที่ผมไม่รู้อาจเป็นเพราะผมไม่ได้รับคำสั่งสอนที่ดีเพียงพอที่จะทำให้ผมได้รู้จักพระเจ้าองค์นี้ อันนี้ผมคิดว่าระบบการสอนของโบสถ์ที่ผมอยู่ไม่เข้มแข็งเพียงพอ ที่สำคัญคือคนสอนก็รู้จักพระเยซูเป็นเพียงศาสดาทางศาสนาเหมือนกันก็อาจเป็นได้ เพราะพวกเขาไม่มีศิษยาภิบาล เขาปกครองด้วยระบบผู้ปกครอง ผมเห็นการทะเลาะวิวาทของผู้เชื่อ การละเมิดต่อกัน การด่ากัน การทำร้ายกันด้วยวาจา การสอนก็ไม่เป็นระบบ นักเทศน์ขาจรแต่ละคนมาสอน ก็สอนกันไปคนละอย่าง ไม่เป็นแนว ไม่เป็นพื้นฐานให้กันและักัน
ผู้ใหญ่หลายคนทะยอยกันย้ายครอบครัวออกอยู่โบสถ์อื่น เพราะอะไรผมก็ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่ผมได้รับรู้ว่า มีการแตกแยกกันอย่างแน่นอน ในโบสถ์ที่ผมเกิดมาไม่มีการพูดถึงการรับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณ ไม่มีการวางมือรักษาโรค ไม่มีการอัศจรรย์ใดๆ เกิดขึ้นเลย หรือหากมีก็เป็นการหายป่วยหายใข้ธรรมดา ไม่ได้เห็นชัดเจน พวกเขามีการรับบัพติสมาของยอห์นเท่านั้น เขาไม่มีการให้การบัพติสมาตามแบบของพระเยซู หรือตามแบบที่เปโตร หรือเปาโลทำ ไม่มีการจัดรณรงค์ประกาศแก่ชุมชนรอบๆ คริสตจักร กว่าห้าสิบปียังไม่เคยได้ยินว่ามีการจัดการประกาศข่าวประเสริฐใดๆ เกิดขึ้นเลย
เนื่องจากเหตุแห่งความไม่รู้ ผมจึงเป็นคิสตาม เชื่อพระเจ้าตามสบาย คริสต์มาสทุกปีครอบครัวของเราก็จะชวนพี่ๆ น้องๆ มานั่งวงกินเหล้ากันสนุกสนานครื่นเครงเป็นอย่างมาก เพราะครอบครัวของเรามีทักษะดนตรีที่พอใช้ได้ พี่น้องแต่ละคนเป็นนักดนตรี นักร้องฝีมือดี หลายคนทำงานรับใช้ชาวโลกตามห้องอาหาร พวกเราหลายคนร้องเพลงให้ขี้เหล้าฟังเป็นเวลาหลายปี
ตอนนี้ยังมีเหลืออีกคนหนึ่งที่ยังทำงานร้องเพลงให้ขี้เหล้าฟังอยู่ คือน้องชายผมเอง วันๆ เขาไม่เคยคิดอะไรมาก เปิดคอมพิวเตอร์ทำเพลงคาราโอเกะชาวโลก ร้องเพลง อัดเสียง ทำเดโม บางทีมีคนมาขอทำดนตรีเขาก็ทำให้ ผมพยายามเตือนหลายครั้งเขาก็ไม่ค่อยสนใจ แต่เขาก็ยังมาโบสถ์ตามคำแนะนำของแม่นะ คือเดือนหนึ่งอาจจะมาโบสถ์สักครั้งสองครั้ง นอกนั้นเขาไม่ค่อยมา อ้างติดงาน อ้างไม่ค่อยสบายอ่อนเพลีย ฝนตก หรืออะไรต่างๆ
ผู้ใหญ่หลายคนทะยอยกันย้ายครอบครัวออกอยู่โบสถ์อื่น เพราะอะไรผมก็ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่ผมได้รับรู้ว่า มีการแตกแยกกันอย่างแน่นอน ในโบสถ์ที่ผมเกิดมาไม่มีการพูดถึงการรับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณ ไม่มีการวางมือรักษาโรค ไม่มีการอัศจรรย์ใดๆ เกิดขึ้นเลย หรือหากมีก็เป็นการหายป่วยหายใข้ธรรมดา ไม่ได้เห็นชัดเจน พวกเขามีการรับบัพติสมาของยอห์นเท่านั้น เขาไม่มีการให้การบัพติสมาตามแบบของพระเยซู หรือตามแบบที่เปโตร หรือเปาโลทำ ไม่มีการจัดรณรงค์ประกาศแก่ชุมชนรอบๆ คริสตจักร กว่าห้าสิบปียังไม่เคยได้ยินว่ามีการจัดการประกาศข่าวประเสริฐใดๆ เกิดขึ้นเลย
เนื่องจากเหตุแห่งความไม่รู้ ผมจึงเป็นคิสตาม เชื่อพระเจ้าตามสบาย คริสต์มาสทุกปีครอบครัวของเราก็จะชวนพี่ๆ น้องๆ มานั่งวงกินเหล้ากันสนุกสนานครื่นเครงเป็นอย่างมาก เพราะครอบครัวของเรามีทักษะดนตรีที่พอใช้ได้ พี่น้องแต่ละคนเป็นนักดนตรี นักร้องฝีมือดี หลายคนทำงานรับใช้ชาวโลกตามห้องอาหาร พวกเราหลายคนร้องเพลงให้ขี้เหล้าฟังเป็นเวลาหลายปี
ตอนนี้ยังมีเหลืออีกคนหนึ่งที่ยังทำงานร้องเพลงให้ขี้เหล้าฟังอยู่ คือน้องชายผมเอง วันๆ เขาไม่เคยคิดอะไรมาก เปิดคอมพิวเตอร์ทำเพลงคาราโอเกะชาวโลก ร้องเพลง อัดเสียง ทำเดโม บางทีมีคนมาขอทำดนตรีเขาก็ทำให้ ผมพยายามเตือนหลายครั้งเขาก็ไม่ค่อยสนใจ แต่เขาก็ยังมาโบสถ์ตามคำแนะนำของแม่นะ คือเดือนหนึ่งอาจจะมาโบสถ์สักครั้งสองครั้ง นอกนั้นเขาไม่ค่อยมา อ้างติดงาน อ้างไม่ค่อยสบายอ่อนเพลีย ฝนตก หรืออะไรต่างๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)