คริสตจักรมุ่งไปทิศทางไหนกันแน่(คำบ่น อีกครั้งของคนขี้บ่น)



 "การที่ผู้ใดจะนับถือศาสนาใดนั้น ย่อมแล้วแต่พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์จะบันดาลให้เป็นไป ถ้าคริสตศาสนาเป็นศาสนาดีจริงแล้ว และเห็นว่าพระองค์สมควรที่จะเข้าเป็นคริสตศาสนิกแล้ว สักวันหนึ่งพระองค์จะถูกดลใจให้เข้ารีตจนได้"

นี่คือพระราโชวาทของกษัตริย์องค์หนึ่งของไทยในสมัยอยุธยา

คนที่มีปัญญารู้จักวิเคราะห์แยกแยะผิดถูก อันไหนจริงไม่จริง ย่อมแสวงหาความจริง ไม่หลงงมงายอยู่กับคำสอนและวัฒนธรรมอันเก่าคร่ำครึ  พี่น้องทราบไหมว่า จากหนังสือประวัติศาสตร์บางเล่มได้กล่าวถึงว่า ในสมัยพระนารายณ์ พระองค์ไม่มีโอรส หรือมีลูกชาย คอนสแตนติน ฟอลคอน (เจ้าพระยาวิชาเยนตร์) กราบทูลเสนอขอให้เปลี่ยนกฎมณเทียรบาล ให้เจ้าหญิงขึ้นปกครองแผ่นดินได้ ปรากฎว่าพระนารายณ์ไม่ยอม เพราะถือตามธรรมเนียมโบราณ ต่อมาคอนสแตนติน ฟอลคอน ถูกเพ่งเล็ง และถูกยัดเยียดข้อหากบฏต่อแผ่นดิน ถูกจับตัวนำไปทรมาน ให้บอกที่ซ่อนสมบัติ เมื่อถึงค่ำของวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ.1688 ฟอลคอนถูกนำตัวออกไปจากที่คุมขัง แล้วนำไปประหารโดยการตัดคอ ก่อนถูกฆ่าตาย  ฟอลคอน พูดขอชีวิตภรรยาและครอบครัว คือ ขอให้ไว้ชีวิตคุณหญิงท้าวทองกีมม้า ให้อยู่รอดปลอดภัย

ภายหลังจากเหตุการณ์นี้  พอสิ้นรัชกาลของสมเด็จพระนารายณ์  ผู้เผยแพร่ศาสนาคริสตศาสนานิกายโรมันแคทอลิก ก็ต้องถูกกวาดล้าง ถูกเนรเทศ ออกไปจากประเทศไทย เกือบหมด  ชาวคริสต์ที่มาจากพวกทาส พวกคนจนต่างๆ ที่มาเข้ารีต ก็ต้องละทิ้งความเชื่อเพื่อเอาชีวิตรอด  ถูกบีบบังคับ ถูกกดดันให้ละทิ้งความเชื่อ ศาสนาคริสต์จึงไม่โต เรียกว่าแทบสูญพันธ์ก็ว่าได้

ในปัจจุบันท่านคิดว่ายังมีการขมเหงทางสังคมกับชาวคริสต์ไหม?

ผมเข้าใจว่า การข่มเหงคริสเตียนยังมีอยู่ โดยเฉพาะในสังคมบ้านนอก ที่กรรมการหมู่บ้านยังยึดติดกับธรรมเนียมและวัฒนธรรมแบบดั่งเดิม  ใช้วิธีการข่มเหงด้วยการ ไล่ออกจากการเป็นสมาชิกกองทุนเกี่ยวกับการจัดการศพ  การไม่ให้เอาร่างกายไปไว้ที่สุสานของหมู่บ้าน  การตัดสิทธิและสวัสดิการ ผลประโยชน์ต่างๆ ที่พึงมีพึงได้  ในประเทศลาว บางหมู่บ้าน บางแขวงมีการห้ามไม่ให้ใช้บ่อน้ำหมู่บ้าน  ไม่ให้เข้าเรียนหนังสือในหมู่บ้าน  ถูกไล่ออกไปจากหมู่บ้าน  การประกาศพระคริสต์ในที่สาธารณะจะถูกจับ

ที่หมู่บ้านต้นยาง ในเขตจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ กรรมการหมู่บ้านสั่งห้ามไม่ให้ศิษยาภิบาลซื้อที่ดินตั้งโบสถ์ในเขตหมู่บ้าน สั่งให้ผู้เผยแพร์ศาสนาคริสต์  ไปปลดป้ายสีเหลืองที่เขียนข้อความเตือนใจเกี่ยวกับ บาป การยกโทษบาปของพระเยซูออกจากหัวเสาไฟฟ้า ตามแยกในหมู่บ้าน กรรมการหมู่บ้านบางคนที่เป็นกรรมการศาสนาอื่น รวมชื่อกันร้องเรียนว่า คริสเตียนนมัสการพระเจ้าร้องเพลงเสียงดังเป็นการรบกวน

ผมได้สังเกตลูกหลานชาวบ้านที่ไม่รู้จักพระเจ้า วันๆ ไม่มีการพัฒนาชีวิตอะไร ขี่มอร์ไซด์โลดไปแล่นมา มีชีวิตที่ไร้จุดหมาย ถ้ามีตังค์ก็ชวนกันไปกินเหล้า  เข้าร้านเกม เสพยา มั่วเซ็ก ติดมือถือ  มีชีวิตที่ไร้เป้าหมาย แต่ถ้าใครมาเชื่อพระเยซูแล้วชีวิตจะมีสันติสุข ผู้เชื่อจะมีพี่เลี้ยงคอยดูแล แต่ชีวิตอาจมีการข่มเหง  การกีดกัน หรือมีปัญหาชีวิตเหมือนๆ คนทั่วไป แต่พวกเขายังมีสันติสุข มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น มีปัญหาอะไรในชีวิตก็สามารถอธิษฐานต่อพระเยซู  พระองค์สามารถช่วยคนได้จริงๆ แต่ครอบครัวของเด็ก รวมถึงญาติมิตรทำไมเขาจึงต่อต้าน ไม่ยอมรับความเชื่อเรื่องพระเยซูยกบาปได้

ภายในครอบครัวหนึ่ง ถ้าสมาชิกในครอบครัวคนใดเปลี่ยนความเชื่อมารับเชื่อพระเยซู อาจจะถูกพ่อแม่สั่งห้ามไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมคริสเตียน  ไม่ให้มาโบสถ์วันอาทิตย์  ไม่ให้หรือลดเงินค่าขนม  ยึดจักรยานยนต์ ห้ามไม่ให้ไปเรียนรู้เรื่องพระเยซูตามบ้านเพื่อน ทั้งๆ ที่ลูกใครก็ตามที่มาเป็นคริสเตียน จะได้รับการอบรมสั่งสอนในทางที่ดี  มีชีวิตที่มีสันติสุข ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไม่ดีทั้งหลาย  ทุกอย่างในชีวิตก็ดีขึ้น ไม่ต้องเหงา ไม่ต้องผิดเพศ ผิดธรรม ไม่เป็นคนไม่ดี  แต่พ่อแม่หลายๆ ครอบครัวจะพยายามกีดกันไม่ให้เข้าร่วม หรือมาเป็นคริสเตียน เพราะอะไรหรือ  ทั้งๆ ที่เป็นคริสเตียนมีแต่สิ่งที่ดี  ก็เพราะมีบางสิ่งดูดดึง และขับดันให้เป็นไปเช่นนั้นนะซิ  เพราะการมาเชื่อพระเยซู คือการได้รับการปลดปล่อยจากอำนาจของซาตาน  แต่น่าเสียใจ บางคริสตจักรอาจารย์ของเขาไม่รู้จักวิธีการปลดปล่อย  การวางมือ การช่วยเหลือในด้านตัดกรรม ตัดเวร ตัดวิญญาณเก่าๆ ที่ติดมากับคนเชื่อใหม่  มุ่งแต่สอนทฤษฎีบาป เน้นไปทางศาสนศาสตร์มากเกินไป จนลืมนึกถึง

ในทัศนของผม ผมไม่เชื่อว่า คนไทยส่วนหนึ่งอาจจะนับถือศาสนาอะไรจริงจัง  คุณลองขี่รถไปตามท้องถนนในเขตชานเมืองดูซิ คุณเห็นอะไร  ทุกๆ บ้านมีอะไรตั้งอยู่ที่หน้าบ้าน ในบ้าน มุมรั้วบ้าน  คุณลองไปเดินดูร้านค้าย่อยซิ เขาวางอะไรเป็นสิ่งดึงดูดใจ ให้คนเข้าไปซื้อสินค้าของเขาสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือที่คนไทยจำนวนมากนับถือ

แม้แต่ร้านขายขนมปังร้านเล็กๆ หน้าตลาดใกล้ๆ บ้านผม  ที่บนโต๊ะขายขนมปัง  ยังมีตัวนางกวักอ้วนๆ มีแก้วน้ำ มีเครื่องบูชาวางไว้ด้านหน้าแมวกวักให้เห็นอย่างเด่นชัด  เจ้าของคงวิงวอนให้วิญญาณแมวกวักช่วยกวักคนให้มาซื้อของ มาอุดหนุน โดยแมวกวักได้ค่าบูชาเป็นขนม น้ำและของกินเล็กๆ น้อย คนขายหารู้ไม่ว่า นั่นมันหมายถึงการสูญสิ้นอิสรภาพทางวิญญาณ  โอกาสในการแสวงหาพระเจ้าองค์แท้จริงอาจหมดสิ้นไปแล้ว เพราะไสยศาสตร์และมนต์ดำ  ดวงตาที่จะเห็นแสงสว่างของพระเจ้าถูกปิดบังมืดมิด

สัญลักษณ์ทางวิญญาณเหล่านี้ ใครคิดว่าเขาเอามาตั้งไว้เล่นๆ หรือ?
ไม่ใช่เลย สิ่งเหล่านี้แหละที่มันเป็นตัวขัดขวางไม่ให้คนมาหาพระเจ้า เพราะในโลกนี้มีการปกครองทางฝ่ายวิญญาณ เพียงสองด้านเท่านั้น คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า และวิญญาณแห่งความมืด

คริสตจักรที่ไม่ได้สนใจศึกษาเรื่องการปลดปล่อยจึงใช้เวลาหลายสิบปีในการประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนที่นับถือวิญญาณบรรพบุรุธ  นับถือเจ้าที่เจ้าทาง นับถือวิญญาณนานาชนิด ทั้งของไทยและต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้แหละที่มันผูกใจคนไม่ให้มาถึงพระเจ้าได้  ไม่ใช่ศาสนาอื่น  แต่ผู้นำคริสเตียนบางคนไม่ตระหนัก คริสตจักรไม่มีการเคลื่อนไหวมากนักในแต่ละปี  บางคริสตจักรงดการจัดประกาศแก่คนภายนอกในบางปี เพราะเบื่อกับการประกาศข่าวประเสริฐแล้ว เพราะเทกระจาดไปครั้งใด กระเป๋าขาด แถบไม่เห็นใคสนใจที่มาเชื่อพระเจ้าเลย

คริสตจักรต้องกลับใจใหม่  หันมาศึกษาเรื่องนี้ องค์ความรู้เรื่องการปลดปล่อยของชาวคริสต์มีไม่มากนัก  แม้แต่ในโรงเรียนพระคัมภีร์  ซาตานก็อาจส่งคนของมันไปสอนที่นั่น  มันสอนไม่ให้เชื่อเรื่องปรากฎการณ์ที่เหนือธรรมชาติ หรือเราเรียกว่า การอัศจรรย์ในพระนามพระเยซูคริสต์  ในเวลาปัจจุบันการสอนอาจเน้นหนักด้านความรู้เรื่องทางศาสนศาสตร์มากเกินไป อาจกลายเป็นการยัดเยียดความคิด ความเชื่อเรื่องพระเจ้าที่ไม่ครบถ้วนเข้าไปในสมองของผู้เชื่ออ่อนหัดไม่ให้เชื่อว่า ผู้เชื่อมีสิทธิอำนาจในพระนามพระเยซู  โรงเรียนบางแห่งอาจไม่เคยพบเห็นประสบการณ์การไล่ผีใดๆ  อาจเป็นเรื่องน่าตระหนกที่หลายคนเชื่อว่า  คริสเตียนไม่มีวิญญาณรบกวนแล้ว

บางแห่ง อาจารย์บางคนสอนว่าพระคำเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับศาสนาคริสต์  การนำคนมาเชื่อพระเจ้าคือการนำคนมาเข้าเป็นสมาชิกคริสตจักร  ให้มาเป็นผู้นั่งฟังเท่านั้น  ไม่ได้สอนให้เป็นผู้เชื่อที่มีสิทธิอำนาจในพระนามพระเยซูคริสต์ ตามที่พระคัมภีร์บอก  บางโบสถ์อาจสอนบ้างแต่มีอาจารย์คนเดียวเท่านั้นที่ทำได้ คนอื่นๆ เป็นคนดู  อาจารย์ก็ทำไปคนเดียว เก่งอยู่คนเดียว ทั้งโบสถ์ก็มีคนเก่งอยู่คนเดียวคืออาจารย์ มันเลยไม่มีคนช่วยประกาศ จึงมีเหลือสมาชิกในโบสถ์ไม่มากนัก  บางแห่งอาจารย์ห้ามสมาชิกอธิษฐานวางมือด้วย  เพราะผิดหลัก "วัฒนธรรมของคณะ"

มีเพื่อนของผมคนหนึ่งมันอุตส่าห์ไปเรียนพระคัมภีร์จนจบจากเมืองนอกมา  พอดีมันอยู่คณะที่ไม่เชื่อเรื่องฤทธิ์เดช  มันก็ได้รับคำสอนแบบเพี้ยนๆ มา คือมันไม่เชื่อว่า การเอาน้ำมันมะกอกทาคนจะมีผลอะไรต่อร่างกาย จิตใจและวิญญาณของคน  มันบอกฝากลูกศิษย์ของผมมาว่า เราไม่เชื่อเรื่องนี้ เราเชื่อแต่ฤทธิ์อำนาจของพระคัมภีร์เท่านั้น  การพูดแบบนี้ย่อมบ่งบอกสิ่งที่อยู่ใจของมันอย่างชัดเจนแล้ว
สำหรับผม คนแบบนี้ มันดีแต่พูดเท่านั้น  ผมเชื่อว่าแม้แต่คนที่มีอาการปวดที่ปลายนิ้วก้อย มันก็คงไม่สามารถจะอธิษฐานให้เขาหายได้  ไม่ต้องเป็นความเจ็บป่วยใหญ่อย่างเช่น ความดัน หัวใจ หรือภูมิแพ้หรอกนะครับ  อย่างดีก็แค่บอกว่า เอายาหม่องพม่าทาซิน้องเท่านั้น น่าขันไหมล่ะ

ผมได้แต่นึกสงสารในความรู้อันสูงส่งของเพื่อนคนนี้  ไม่ทราบว่าเขาเรียนพระคัมภีร์จากมหาวิทยาลัยจากเมืองนอกชื่ออะไร มันถึงได้ความเชื่ออย่างนี้มา   พระคัมภีร์เขียนแต่เรื่องการเจิมๆ  มีเรื่องการเจิมกษัตริย์ เจิมผู้พยากรณ์  เขาเจิมแต่งตั้งปุโรหิต  เขาเอาน้ำมันเจิมเต้นท์พลับพลาของพระเจ้า เขาเอาน้ำมันเจิมแต่งตั้งซาอูล และดาวิดให้เป็นกษัตริย์  พระคัมภีร์มีคำว่าเจิมเป็นหลายร้อยครั้งก็ว่าได้  แต่วิญญาณอะไรหนอที่ปิดตาจนทำให้ความมืดปกคลุมจนไม่ทราบว่า อะไรเป็นอะไร

ในพระคัมภีร์ใหม่พระเยซูสั่งให้สาวกออกไปรักษาคน ขับผี ให้ใช้น้ำมันมะกอกทาด้วย(ลูกา, มาระโก) ในหนังสือพระธรรมยากอบ   บอกชัดเจนว่าให้เอาน้ำมันมะกอกทาคนป่วย  ในเรื่องชาวสะมาเรียใจดี มีการใช้น้ำมันมะกอก  แต่ผมไม่เคยเห็นนักการศาสนาสายฟาริสี สายธรรมาจารย์คนใดเอามาทำ  เพราะเขาอาจไม่เคยเรียน ไม่เคยรู้  พวกนี้ได้รับการถ่ายทอดเพียง  "ศาสนศาสตร์เชิงระบบ" หรือ ปรัชญา วัฒนธรรมกับข้อเชื่อของชาวคริสต์เท่านั้น   เขาจึงบอกว่าไม่เชื่อ ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ นี่ขนาดมีในพระคัมภีร์นะ  ขนาดนี้พวกเขายังไม่เชื่อ ยิ่งบางเรื่อง บางเทคนิคที่พวกนักปลดปล่อยเขาทำ พวกไม่มีประสบการณ์คงรับได้ยากแน่ๆ  องค์ความรู้เรื่องนี้ไม่เพียงพอ  งานประกาศข่าวประเสริฐเลยไม่ไปถึงไหน กลายเป็นเหมือนพวกพายเรือในอ่างน้ำ  และเรือก็เป็นเรื่องรั่วด้วย  การทำพันธกิจจึงเป็นเรื่องที่ลำบากใจมากถึงมากที่สุด

คนพวกที่ชอบพูดว่าเราไม่เชื่อเรื่องฤทธิ์อำนาจ  เราไม่เอาการเจิมน้ำมันนี้นะ ผมไม่ได้ดูถูกนะ คนเหล่านี้มันเป็นเหมือน งูไซไร้พิษจริงๆ  คนพวกนี้อาจมีสภาพไม่ต่างจากคนดูเขาชกมวยอยู่ข้างเวที  ที่ชอบตะโกนสอนให้นักมวยต่อยอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ตัวเขาเองต่อยมวยไม่เป็น คนพวกนี้แค่อธิษฐานให้คนหายจากโรคไมเกรนมันยังทำไม่ได้

เพื่อนผมคนนี้ก็เป็นสายธรรมาจารย์นี่แหละ ความรู้ดีมาก  ตอนนี้มันท่องเที่ยวไปทั่ว เป็นทั้งอาจารย์พิเศษสอนโรงเรียนพระคริสต์ธรรม  สอนตามโบสถ์ชาวเขา   มันตะลอนๆ ไปสอนพระคัมภีร์ให้ชาวบ้าน ชาวเขาทั่วดอยตั้งหลายสิบลูกให้เมื่อยล้าทำไม  ผมว่ามันทำแบบคนมีความเชื่อน้อยชัดๆ   ของดีพระเจ้ามีให้แล้วคือฤทธิ์อำนาจ  แต่เพื่อนผมมันไม่ยอมเอาไปฝึก เอาไปใช้ กลับไปใช้แต่ความรู้ทางสมอง

นักการศาสนาบางคนเชื่อว่าพระเยซูคริสต์มีฤทธิ์อำนาจในการขับผี แล้วอะไรที่อยู่ในตัวพวกเขา ไม่ใช่พระเยซูคริสต์หรือ แล้วถ้ามันเชื่อว่าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่กับผู้เชื่อ แล้วเพื่อนผมเขาเรียนพระคัมภีร์มาได้ถึงปริญญาโทจากเมืองนอกนี้ ไม่เป็นการเสียเวลาเปล่าหรือ ที่เขาทำการอัศจรรย์ในพระนามพระเยซู  หรืออธิษฐานวางมือคนป่วยอะไรไม่ได้เลย ผมว่ามันไปรับความเชื่อไม่ถูกโบสถ์จริงๆ ได้รับความเชื่อแบบไม่เต็มสเปค  เหมือนมีรถหกเกียร์ แต่คนขับดันขับแต่เกียร์ 1 เลยไปได้ด้วยความเร็วไม่มากนัก และสิ้นเปลื้องพลังงานด้วย

ถ้าพูดถึงเรื่องโบสถ์นี้ผมต้องว่าอย่างนี้เลย คือผมฟันธงเลย ใครจะว่าผมชอบด่านักการศาสนาก็ช่าง เพราะผมไม่สามารถทำใจกับพวกชาวคริสต์ที่มีความเชื่อที่เฉยชาอยู่แล้ว  ในความร้อนใจของผมเรื่องการประกาสข่าวประเสริฐนี้ ผมร้อนใจมาก  เมื่อผมนำคนรับเชื่อ  ถ้าผมไม่แนะนำให้ใครไปโบสถ์ที่ไม่มีการสอนเรื่องการปลดปล่อย  ไม่สอนเรื่องการหายโรคด้วยความเชื่อ เป็นโบสถ์ที่ไม่สร้างสาวกของพระเยซู  แล้วผมจะมีโบสถ์ไหนเหลือบ้างที่จะให้คนเชื่อใหม่ไปเรียนรู้เรื่องพระเจ้า มีอาจารย์ท่านหนึ่งพูดกระแนะผมว่า งั้นอาจารย์ก็สร้างโบสถ์เองซิ  โอ้ผมจะสร้างได้ไง การสร้างโบสถ์ถ้าไม่มีเงินฝรั่ง เกาหลี หรือสิงคโปร์ช่วย ต้องใช้เวลาหลายปีนะ  บางโบสถ์ตั้งมาเกือบร้อยปียังมีแค่สามร้อยคนเลย (ที่จริงมีรายชื่อเป็นพัน แต่ว่าไม่ปรากฎตัวที่โบสถ์ เหมือนผมที่ไม่ไปโบสถ์ของแม่มาเป็นเวลาสองปีแล้ว  เอาชื่อลอยๆ ไว้งั้น เผื่อได้ฝังร่างในสุสานใกล้ๆ ญาติของเรา) 

ผมได้พบปะพวกเด็กหอพักมากมาย เด็กบางคนพ่อแม่ของพวกเขาส่งเด็กเหล่านี้มาอยู่หอพักคริสเตียน  พวกเขากลายเป็นคริสเตียนด้วยปริยาย  คือเจ้าของหอพักเขาก็ปรารถนาดี  ต้องการเผยแพร่ความเชื่อ  ให้มีความรอดของพระเยซู  จึงพยายามสอนสิ่งที่ดีให้แก่เด็กเหล่านี้ แต่เด็กพวกนี้  จำนวนมากทีเดียวที่เป็นเด็กที่ไม่รู้จักพระเยซู  ไม่เคยฝันเห็นพระเยซู ไม่เคยเห็นอาจารย์อธิษฐานให้คนหายโรค  เด็กบางคนบอกว่าถูกบังคับให้เข้าห้องอธิษฐานตั้งแต่ตีห้า  ให้อ่านพระคัมภีร์  บางคนถูกทำโทษด้วยการให้คัดพระคัมภีร์เป็นบทๆ  ทั้งๆ ที่การเรียนรู้สิ่งประเสริฐนี้ต้องสร้างค่านิยมที่ดีจูงใจให้เด็กอ่าน เด็กเขียน มากกว่าการลงโทษให้คัด ให้เข้าห้องทำกิจกรรมมากเกินไปอันอาจทำให้เขารู้สึกไม่ดีกับการฝึกตัวแบบคริสเตียนที่เคร่งเกินไป  อาจทำให้เขาเกลียดพระคัมภีร์ เมื่อถูกลงโทษด้วยการให้คัดพระคัมภีร์

เด็กเหล่านี้บางคนจึงกลายเป็นนักศาสนาเหมือนอาจารย์ของเขา  เวลาเราจัดกิจกรรมประกาศอะไร พวกเด็กหอเหล่านี้รวมทั้งอาจารย์คนดูแลหอพักบางคนไม่สนใจเข้าร่วมเลย   เพราะว่ามันไม่ใช่พันธกิจของเขา  พวกเขาอาจต้องการเสริมสร้างให้เด็กเหล่านี้รับพระเจ้า ให้เข้าใจความเชื่ออันประเสริฐเพื่อรับความรอดเท่านั้น  คนสอนเองบางคนก็ไม่ได้ปฎิบัติตามคำสอนที่พวกเขาสอน เจ้าของหอพักหลายคนกลายเป็นพวก ทำบัญชีซิกแซก  โยกรายการบัญชี  รายงานเบิกบาน  เพื่อประสานการสนับสนุนเงินสปอนเซอร์ เพื่อให้ครอบคลุมรายจ่าย 

ถ้าผมส่งผู้เชื่อใหม่ให้ไปเข้าโบถส์แบบที่ว่านี้   อาจเหมือนผมส่งเขาไปอยู่ในศาสนาคริสต์เท่านั้น  คือศาสนาไหนมันก็ดีเหมือนกัน สอนให้คนดีเหมือนกัน เมื่อผมคิดได้อย่างนี้ วิธีการที่ดีที่สุดคือผมต้องเขียนบทความแบบนี้ กระตุ้นให้คริสตจักรต่างๆ กลับมาหาฤทธิ์อำนาจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของพระเยซู  จัดระบบการสอนพระคัมภีร์ให้ครบถ้วน  ทั่วถึงทุกระดับความเชื่อ ไม่ใช่สอนแต่ชั้นอนุบาล ผู้ใหญ่ไม่สอน หรือผู้ใหญ่ทุกระดับ ทุกคนสอนเหมือนกันหมด  สอนแบบซ้ำๆ ตามอำเภอใจของอาจารย์  ผู้ใหญ่ไม่ต้องท่องจำพระคัมภีร์ 

ผมมีข้อคิดว่า ผู้ใหญ่ที่ไม่ท่องพระคัมภีร์ เขาจะเอาอะไรไปคุยกะคนไม่เชื่อพระเจ้า เขาจะไปประกาศข่าวประเสริฐอย่างไร ในเมื่อเขาไม่มีอะไรในหัวสมองเลย  เพราะชีวิตของคนอยู่ในศาสนาไหนมันก็เหมือนกัน ไม่แตกต่างกัน  คือให้เป็นคนดี  เวลาหลายปีผ่านไปคนบางคนก็ยังคงเป็นผู้เชื่อระดับอนุบาล คือต้องมีการอนุบาลกันอยู่เรื่อยไป  ทั้งที่น่าจะเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว น่าจะถึงเวลาต้องออกไปหนุนใจคนรุ่นใหม่แล้ว แต่ก็ยังเป็นอนุบาลฝ่ายวิญญาณ  บางคนชอบตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าอาจารย์ไม่ไปเยี่ยมก็จะให้ข้อกล่าวหาว่า อาจารย์ไม่เยี่ยมเยียนสมาชิกเลย 

ที่น่าประหลาดใจอีกอย่างก็คือ  ผมลองถามคริสเตียนหลายคน ว่าเชื่อมากี่ปีแล้ว หลายๆ คนตอบว่า 3 ปี 5 ปี 10 ปี บางคน 30 ปี ผมถามว่า แล้วคุณท่องข้อพระธรรมได้กี่ข้อ  น่าประแปลกใจไหม คนเชื่อมาสิบปี ท่องข้อพระธรรม 10 ข้อก็ยังไม่ได้ นี่แปลว่าอะไร ก็แปลว่า ระบบการสร้างสาวกมันไม่ได้ผล  คือ 1 ปีท่องพระธรรมเพียง 1 ข้อก็ยังไม่ได้  คริสเตียนส่วนใหญ่เลยจะท่องพระธรรมยอห์น บทที่ 3 ข้อที่ 16 ได้เท่านั้น แล้วจะเอาอะไรไปสู่กับศัตรูที่เรามองไม่เห็นตัวมันล่ะ  น่าคิดไหมครับ

พวกหมอดู คนทรงเจ้า พวกเล่นของ เวทมนต์ คนไม่เชื่อพระเจ้ามันยังมีการแสดงฤทธิ์อำนาจมากกว่านักการศาสนาสายฟาริสี สายธรรมาจารย์มากมาย เพราะคนเหล่านั้นมันติดต่อกับวิญญาณได้ มันสื่อสารกับวิญญาณอื่นๆ ให้มาช่วยมันในการแก้ปัญหา และให้ความหวังลมๆ แล้งๆ แก่คน แต่คนที่อ้างชื่อว่าเป็นผู้รับใช้พระเจ้าไม่มีของประทานแห่งฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าใดๆ  วางมือคนไม่เป็น อธิษฐานขับผีไม่เป็น ตัดกรรมไม่เป็น  แล้วคนหล่านี้จะว่าพระเยซูคริสต์มีอำนาจมากกว่าผีได้อย่างไร  แล้วผมขอถามว่า อาจารย์ที่สอนพระคัมภีร์น่ะ สอนอะไรกันถ้าไม่สอนให้คนใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้าให้เป็น  อย่างไรก็ตามพูดง่ายแต่มันทำไม่ง่าย เพราะอาจารย์คริสต์จำนวนมากเป็นแค่นักสอนศาสนศาสตร์จริงๆ คือ เขาเน้นเฉพาะความรู้เรื่องพระเจ้าเท่านั้น น่าเสียดายจริงๆ

ผมรู้สึกละอายใจมากที่ผมเกิด มาจากครอบครัวคริสเตียน  แต่พ่อแม่ของผมไม่ได้รับการสอนให้เป็นคริสเตียนที่รู้จักสิทธิอำนาจของผู้เชื่อ  พ่อแม่ของผมถูกสอนแค่ ให้มาโบสถ์ทุกอาทิตย์  ให้พาลูกมาด้วย  ปีๆ หนึ่งโบสถ์ไม่เคยจัดประกาศข่าวประเสริฐอะไรเลย  มีเพียงการนำคนมาฟังคำสอนของพระเยซู  อวดว่าพระเยซูดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ แต่ละอาทิตย์สอนเรื่องการอัศจรรย์ของพระเยซู และตำนานฮีโร่ในพระคัมภีร์เดิม เช่น ดาวิด  เอลียา เอลีชา ดาเนียล ซามูเอล แซมสัน เอสเธอร์ เนหะมีห์  โยนาห์ ฯลฯ แต่ไม่เคยสอนให้เด็กๆ ออกไปวางมือรักษาเพื่อนที่โรงเรียน ไม่เคยบอกว่า ผู้เชื่อมีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า อันนี้คือความจริงที่อาจารย์บางท่านคงเจ็บปวดใจมากที่ผมเอาเรื่องนี้มาพูด

อาจารย์ผู้สอนเองก็บอกว่า ผมไม่มีของประทาน ผมรักษาโรคไม่ได้ ผมชำนาญด้านสอนความรู้ทางศาสนา
ถ้าครูสอนว่ายน้ำมันยังว่ายน้ำไม่เป็นแล้วเขาจะไปสอนให้ใครว่ายน้ำได้ล่ะ  บางคนอาจเป็นโรคกลัวน้ำด้วย

ในหมู่บ้านที่ผมเกิด สมัยตอนเป็นเด็ก  มีหญิงสาวคนหนึ่งถูกผีบอปเข้าสิง  พวกคริสเตียนในโบสถ์พากันไปไล่ผี ผมเห็นไล่ผีอยู่เป็นเวลาหลายวัน ผีก็เข้าๆ ออก  ผู้ปกครองบางคน เอาพระคัมภีร์เล่มเบ้อเริ่ม  ฟาดหัวคนถูกผีเข้า พวกเขาเข้ารุมกันอาธิษฐานรอบๆ ตัวคนถูกผีสิง แต่คนผีสิงก็ทั้งเตะทั้งถีบ  พวกเขาเอาไม่อยู่ช่วยกันจับผู้หญิงมัดไว้  เป็นที่น่าขายหน้าแก่ชาวประชามาก เพราะคริสเตียนไล่ผีไม่ออก ที่จริงเขาขับออกได้แต่อาจไม่รู้วิธี




ในปัจจุบันคงมีนักการศาสนาจำนวนไม่น้อยที่เทศนาตอนเช้าวันอาทิตย์ ชอบแต่งตัวโก้ ผู้เนคไทด์ ใส่สูท เอาน้ำมันเจลทาหัว มันแพล่บ  เทศนาด้วยวิธีการดั่งเดิมคือ เล่าข่าว  เล่าความดีของฮีโร่  เอาเรื่องกบ เรื่องเขียด  เรื่องสัตว์พูดได้ มาเล่า  บางคนชอบเล่าเรื่องคนแบกไม้กางเขน 3 คนที่มีคนบอกให้แบกไปสู่เป้าหมายแห่งหนึ่ง  คนขี้เกียจก็ตัดไม้กางเขนออกไปทีละน้อยๆ ในระหว่างทางเพราะมันหนัก  อีกคนหนึ่งก็เอามีดเลาะไม้กางเขนให้บางเบาจะได้ไม่หนัก  แต่พอเดินไปถึงปลายทาง ปรากฎว่าไม้กางเขนของสองคนที่เอ่ยถึง ไม่สามารถใช้เป็นกระดานวางข้ามปากเหวนรกไปได้ เหลือเพียงคนเดียวที่ยอมแบกกางเขนอันใหญ่และยาว  จนไปถึงปากเหวและเขาสามารถเอาไม้กางเขนปาดข้ามเหวไปได้  

พอเล่าเรื่่องนี้เสร็จอาจารย์ก็สรุปว่า คริสเตียนที่ดีจำเป็นต้องแบกกางเขนอันหนักนี้  ด้วยการ ถวายทรัพย์เข้ามาเยอะๆ  ยอมรับใช้ในหน้าที่ต่างๆ ในคริสตจักรโดยไม่บ่น โดยอย่าหวังได้รับสวัสดิการและผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ทุกสิ่งที่เข้ามาเราจะเอาเก็บไว้สร้างถาวรวัตถุ  เราแบ่งให้อาจารย์เล็กน้อย ไม่ให้มันตาย ไม่ให้มันอด  แต่ไม่ให้มันรวย  เลี้ยงให้เป็นบอนไซอย่างนี้แหละมันจะได้ไม่ไปไหน  พวกผู้เชื่อทั้งหลายให้พาญาติมาให้ครบ ให้มานั่งฟังอาจารย์เล่าเรื่องในอาทิตย์ต่อๆไป ให้นั่งนมัสการอยู่อย่างนี้จนก้นอาจจะมีรากฝอยงอก  บางคนนั่งม้านั่งตัวเดิมๆ ทุกอาทิตย์ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ไปเลย  คริสเตียนไม่ต้องไปไหนนะ  ถ้าท่านตายแล้วท่านจะได้ไปสวรรค์  นี่คือคำสอนที่ผมได้รับฟังซ้ำๆ ตั้งแต่เล็กจนอายุสี่สิบกว่าเลย

เรื่องกางเขนแบบที่ว่านี้   ฟังดูแล้วอาจมีคติสอนใจอยู่บ้าง  เออจะว่าเรื่องไม้กางเขนสามอันนี้มันเข้าท่า แต่ถ้าผมว่าไม่ดี คนที่เคยเอามาเล่าก็จะว่าผมว่า ชอบด่าอาจารย์ชาวคริสต์  จะไม่ให้ผมบ่นได้อย่างไร  เรื่องแบบนี้มันเรื่องจิตนาการชัดๆ  มันไม่มีความจริง เป็นเรื่องเปรียบเทียบของคนไม่รู้จะเอาอะไรมาสอนพี่น้องแล้ว มันก็คิดจินตนาการเรื่องพิศดารไปเรื่อย อาจเป็นมนุษย์สมองเฟื้องคิดขึ้นมา  คนชอบคิดเรื่องแบบนี้ออกมาสอน  สอนให้คนกลัวนรก  ว่านรกเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าอาจารย์ท่านไหนคิดจะควบคุมคนให้เชื่อฟังโดยการสอนให้กลัวละก็ ท่านก็ไม่ผิดกับซาตานเท่าไหร่นะ เพราะวิธีการที่ซาตานใช้ทั้งในอดีตและปัจจุบันคือ ทำให้คนกลัว เช่นกลัวความมืด กลัวผี กลัวไม่มีงาน กลัวไม่มีคนรัก กลัวระเบิดพลีชีพ กลัวชาติหน้าเกิดมาเป็นหมา   กลัวสารพัด สารพัน

อาจมีการตั้งคำถามว่า  ทำไมชาวบ้านต้องสร้างศาลพระภูมิ  ศาลเจ้าที่ให้มีมากมายทั่วประเทศ และในเมืองที่ไม่รู้จักพระเยซูทุกๆ ประเทศ ยกเว้นภาคไต้ตอนปลายของไทยล่ะ อาจเป็นเพราะเขาถูกวิญญาณอื่นครอบครอง เบียดเบียด  พวกเขามีการจัดการเรื่องขอบเขตอำนาจของวิญญาณด้วยการสร้างที่อยู่ให้มันเป็นที่เป็นทาง ถ้าเขาไม่ทำมันก็ไม่ดี  ถ้าเขาไม่ทำวิบัติ ความโชคร้ายจะเกิดกับเขา เขาจึงยอมทำ  ตามหัวโค้งถนนหลายแห่งต้องมีศาลเจ้าไว้  เพราะไม่งั้นวิญญาณสัมปเวสีที่ไม่มีที่อยู่เป็นที่เป็นทางจะคอยแกล้งคนที่ขับรถผ่านไปมา ทำให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำๆ จนคนเรียกโค้งถนนบางแห่งว่า โค้งผีสิง

การตั้งศาลเจ้าต้องมีเครื่องสักการะไปให้เจ้า หรือวิญญาณเป็นประจำ  เพื่อประกันว่าคนที่อยู่อาศัยแถวนั้นจะปลอดภัย อยู่เป็นสุข  เด็กชาวเขาคนหนึ่งที่พวกเขานับถือวิญญาณบรรพบุรุธบอกผมว่า เวลาทำอาหารในบ้านเสร็จ หรือนึ่งข้าวสุกแล้ว จะเอาหยิบกินยังไม่ได้ เพราะถ้าทำอย่างนั้นจะผิดผี และผีจะทำร้ายเอา ต้องให้ผีกินก่อนคนค่อยกิน ทุกๆ เดือนต้องมีพิธีกรรมเกี่ยวกับการบูชาผีในชนเผ่าอาข่าที่นับถือวิญญาณบรรพรุธด้วย คนที่เขาไม่รู้จักพระเจ้าเขายังสอนวิธีการของผีได้อย่างเป็นระบบ พวกเขามีระบบความเชื่อที่แข็งแรงมาก

เรื่องการสอนนี่สำคัญมาก ถ้าเราไม่มีองค์ความรู้เรื่องใดอย่างลึกซึ้งเราจะไปสอนคนอื่นได้อย่างไร  ทุกวันนี้องค์ความรู้เรื่องการปลดปล่อย การเยียวยา การแก้กรรม การยกเลิกคำแช่งสาป ชาวคริสต์ส่วนใหญ่ยังมีไม่มากนัก เรารู้แต่เรื่องความรอด  การรับพระพร  แต่ไม่เอาเรื่องการชำระ การปลดปล่อย ที่น่าเสียใจมากคือ นักการศาสนาของไทยหลายคนอาจเป็นเพียงผู้สืบทอดศาสนา ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา  พวกเขาอาจไม่สนใจที่จะออกไปปลดปล่อยผู้คน เพราะขาดองค์ความรู้ ขาดความเข้าใจ  บางแห่งไม่มีความรู้ยังไม่พอ และยังปิดหู ปิดตา ไม่ยอมรับการเปิดเผยใดๆ เพราะเราปฎิบัติศาสนกิจตามองค์ความรู้ที่เรียกว่า วัฒนธรรม ทางศาสนา (Tradition)

ในพิธีการนมัสการพระเจ้า การประชุมหลายแห่งได้ตัดเอาฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าออกไปแล้วเป็นพันปี  ไม่มีการอธิษฐานวางมือให้หายเจ็บใข้  ไม่มีการขับผีในคริสตจักรอีกแล้ว เมื่อคริสตจักรย้ายจากการประชุมตามที่สาธารณะ  ตามบ้านเข้ามาอยู่ในอาคารโบสถ์  การนมัสการด้วยดวงใจ ด้วยความจริง ถูกแทนที่ด้วยระเบียบนมัสการที่เขียนสคริปส์มาอย่างดี  โปรเจ็คเตอร์ระดับ 2500 ลูเมนส์ ที่ส่องไปที่จอขนาดใหญ่ ต่อไปคริสเตียนไม่ต้องมีพระคัมภีร์ไปโบสถ์เพราะที่โบสถ์จะฉายข้อพระธรรมที่จอ  หนังสือเพลงไม่ต้องมีแล้ว วงดนตรีก็อาจไม่ต้องมีเพราะจะร้องเพลงนมัสการแบบคาราโอเกะไปเลย

ไม่ว่าเราจะนมัสการรูปแบบใด ขอให้เรานมัสการด้วยจิตวิญญาณและด้วยความจริง ต้อนรับการเจิมด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า  คริสตจักรจะกลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง  ตอนนี้ถึงเวลาเชิญฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าผู้เป็นอยู่กลับมาแล้ว นำการอัศจรรย์กลับเข้ามาในคริสตจักร เพื่อให้คริสตจักรเป็นคำตอบสำหรับคนที่กราบไหว้ผีวิญญาณอื่น ให้หันกลับมานมัสการพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด แต่คริสตจักรหลายแห่งยังไม่ตระหนักถึงการสอนเรื่องความจริงและฤทธิ์เดช สิทธิอำนาจของผู้เชื่อ  ยังอืด ยังมีคนต้าน ยังสอนศาสนาศาสตร์เชิงระบบ แล้วเราจะทำอย่างไร

ผมเคยพบครูสอนอนุบาลที่คริสตจักรแห่งหนึ่ง พอดีวันอาทิตย์นั้นผมพาลูกเล็กไปร่วมสามคน  พอลูกกลับมาบ้านผมก็ถาม

"วันนี้ครูชั้นอนุบาลของคริสตจักรสอนอะไร"
  ลูกบอกผมว่า

"พ่อ  พี่แจ๋วนะ (นามสมมุติ)  แกสอนอะไรไม่รู้ แกเล่าแต่เรื่องผีหลอกที่บ้าน พี่เขาเห็นผีมาหลอกที่โบสถ์ พี่เขายังบอกว่าที่บ้านเก่าหลังโบสถ์นะมีผีด้วย และแนะนำว่าเด็กๆ ไม่ควรไปที่นั่น"
"พี่เขายังบอกว่า เวลามีงานศพที่โบสถ์ พี่เขามักจะเห็นผีคนที่ตายแล้ว มาป่วนเปี้ยนแถวๆ โบสถ์ด้วย"

ผมได้ฟังดังนี้ผมก็ไม่ให้ลูกของผมไปเรียนกับครูคนนั้นอีกเลย เพราะครูอนุบาลยังไม่รู้จักพระเจ้าแล้วเขาจะสอนให้ลูกผมรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร เขายังเอาเรื่องผี เรื่องความกลัว มาปลูกฝังในความคิดของเด็กอีกด้วย  เรื่องที่ผมเล่านี้ต้องการสื่อว่า  คงมีโบสถ์คริสต์ และนักการศาสนาและผู้นำอีกหลายคนที่ เวลาจะใช้ให้ใครทำงานรับใชั เขาใช้วิธีการนี้เลือกคนคือ ดูว่าใครก็ได้ที่ "มีแวว"  หรือใครก็ได้ที่มีความรู้  หรือใครก็ได้ที่ดูแล้วมี "อาวุโส"  สำหรับสิ่งนี้ผมขอเรียกว่า ผู้นำใช้วิธี "จิกหัวใช้" คือใช้ใครก็ได้ที่มีแวว มีความสามารถ มากกว่าเลือกมาและอบรมให้ดีก่อน ดูชีวิตเขาก่อน และเลือกใช้แต่คนที่เริ่มโตแล้วในความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ใครก็ได้ที่มีแววเท่านั้น

มีศิษยาภิบาลใหม่คนหนึ่ง  พอได้ทราบเกี่ยวกับรื่องการตั้งกลุ่มเซล การนมัสการตามบ้าน  พอดีมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังมีไฟในการรับใช้  เธอก็เสนอเข้ามา  ศ.บ.ก็ให้ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์ในการอยู่กับคริสตจักรแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ  เขามีท่าทางดี  รู้พระคัมภีร์พอสมควร จบการศึกษาสูงระดับปริญญาโทแล้ว ให้ทำหน้าที่หัวหน้ากลุ่มเซล  ตอนแรกๆ ก็ดีมีพี่น้องเข้าร่วมพอสมควร  แต่พอตอนหลัง เวลาผ่านไปไม่กี่เดือน กลุ่มเซลที่มีอยุ่กลุ่มเดียวก็ล้ม  จากการวิเคราะห์ของผม เราพบว่ากลุ่มเซลถูกตั้งขึ้นโดยไม่มีเป้าหมายชัดเจนว่า ตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร  จะสอนเรื่องอะไร จะสร้างสรรค์อะไร  เรื่องสาระการสอนศิษยาภิบาลก็ปล่อยให้เขาสอนอะไรก็ได้ตามใจเขา ศิษยาภิบาลไม่เคยติดตามว่าสอนอะไรไปบ้าง ศิษยาภิบาลไม่เคยเรียกหัวหน้ากลุ่มเซลมาสอน มาหนุนใจ ปล่อยไปตามยถากรรม 

ต่อมากลุ่มเซลกลายเป็นสถานที่ประชุมสำหรับการนินทาศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักร ผู้หญิงผู้นำเซลคนนี้ก็กลายเป็นผู้ขมขื่นสำหรับคริสตจักร เพราะเธอแสดงอาการต่อต้านศิษยาภิบาลอย่างชัดเจน ผมสังเกตพฤติกรรมของเธอพบว่า  เธอกลายเป็นผู้อยู่ปลายแถว  คือตอนแรกๆ นั่งในโบสถ์ชอบนั่งในแถวหน้าๆ หรือกลาง แต่ต่อมาย้ายไปอยู่แถวสุดท้ายใกล้ประตูออกจากโบสถ์ พอเลิกโบสถ์ก็ไม่มีจิตใจทักทายกะใคร  รีบกลับบ้านไวๆ และภาคบ่ายก็ไม่ปรากฎตัวอีกเลย โบสถ์จะเรียกประชุมอะไรเธอก็ไม่มาปรากฎตัวแล้ว 

อาการอย่างนี้ผมรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับระดับจิตวิญญาณของเธอ ไม่น่าล่ะ  ผมได้รับข่าวว่าเธอเป็นคนหนึ่งในกลุ่มผู้นำที่ต้องการไปหาประสพการณ์ พวกเขาเอารถปิคอัพใส่พี่น้องและผู้นำสิบกว่าคนตะเวนไปร่วมนมัสการตามคริสตจักรต่างๆ โดยอ้างว่า ไปเพื่อทัศนศึกษา เยี่ยมเยียนคริสตจักรอื่นๆ  สิ่งนี้อาจไม่ใช่ความผิดพลาดอะไรของคนเลยก็ได้ อาจเป็นเพราะระบบต่างๆ ที่มีอยู่มันยังไม่ดีพอที่ส่งเสริมให้คนเติบโตขึ้นในความเชื่ออย่างจริงจัง


คนที่มีความรู้เรื่องพระเจ้าดี  แต่ไม่มีใจถ่อม ไม่ยอมฟังผู้นำ ไม่ยอมสยบต่อสิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณ คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่น  มานมัสการพระเจ้ามุ่งจับผิดคำเทศนา  ชอบหาโอกาสติติงคำเทศนา  เลือกฟังแต่นักเทศน์ที่เทศนาประเล้าประโลมใจ นักเทศน์สาริกลิ้นทอง นักเทศน์ดังๆ  พวกเขาชอบฟังนักเทศน์ที่ไม่แจกบาป  ไม่ต้องการรู้ความจริงเรื่องการกลับใจใหม่จากบาปต่างๆ  พวกเขาเลือกฟังแต่สิ่งที่ตนชอบ  คนประเภทนี้ไม่นานซาตานจะส่งวิญญาณอิจฉา ยะโส วิญญาณ ขมขื่น ริษยา วิญญาณป่วยใข้เข้าแทรก ไม่ช้าไม่นานก็ป่วย ท้อถอยในความเชื่อ  ถ้าไม่กลับใจก็ถอยหลัง หรือใส่เกียร์ว่าง กลายเป็นเพียงผู้เชื่อระดับต้นเท่านั้น คือที่ผมเรียกว่า คริสเตียนเบบี้ (คลิกดูลักษณะคริสเตียนเบบี้) มีชีวิตคริสเตียนอยู่ในคริสตจักร หรืออยู่ที่บ้านเท่านั้น ชอบความโดดเดียว  ไม่ชอบการไปร่วมนมัสการกับใคร เป็นคริสเตียนที่รอวันตายเพื่อรอไปพบพระเจ้า ไม่สามารถเป็นคริสเตียนที่เกิดผล  ไม่มีสิทธิอำนาจ รอดแต่เพียงตัวคนเดียว เป็นเพียงผู้ขมขื่น พ่ายแพ้  โดดเดียว ไม่ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่สนใจเรื่องการพัฒนาของประทาน การเกิดผล
ผู้นำคริสเตียนบางคนที่ชอบสอนว่าตายแล้วได้ไปสวรรค์ ทันที เขาเรียกว่าผู้รู้ไม่จริง ได้ไปสวรรค์น่ะได้ไปแน่ แต่ไม่ใช่หลังจากที่เราตายทันที หรือ 1 วันหลังจากตาย  ลองไปศึกษาพระคัมภีร์ให้ดีๆ ซิๆ มีที่ไหนบอกว่าคริสเตียนตายแล้วจึงจะได้พบพระเจ้าในสวรรค์   ในความเป็นจริงแล้ว  การเป็นคริสเตียนเราไม่ต้องรอให้พบกับความสุขในโลกแห่งวิญญาณอย่างเดียวหรอก เราจะได้พบกับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ เราจะได้ยินเสียง หรือได้รับการสื่อสารจากพระเจ้าโดยตรง หรือผ่านทางการสื่อสารด้วยวิธีการต่างๆ ของพระเจ้าอยู่แล้ว

หลายๆ ครั้งการสื่อสารของพระเจ้า ไม่จำเป็นต้องให้ผ่านนักเทศนาก็ได้  เรื่องนักสอนศาสนานี่นะ บอกตรงๆ บางคนยังไม่มีประสบการณ์กับพระเจ้าเลย  เขาเป็นเพียงแค่คนรู้เรื่องพระเจ้าผ่านทางการสอนของคนอื่นเท่านั้น ยังไม่พบกับพระเยซูตัวต่อตัว ในตัวเขาบางคนยังมีบาปซ่อน บาปหนา ตัณหา ความโลภ ความอยากเป็นใหญ่ ชอบวางอุบายหลายชั้น มีหน้ากาก และหลายๆ คนยังไม่มีสันติสุขในพระเจ้าเลยก็มี  แต่ที่เขาเข้ามาทำงานรับใช้พระเจ้า  เพราะถูกดัน ถูกขอให้มาทำ ภาระใจไม่เพียงพอ ทำไปเพื่อประคองตัวเท่านั้น

บางคนอยากมาทำงานรับใช้เพราะไม่มีที่ไป เป็นเพียงคนขาดโอกาสทางการศึกษา พอได้มาเป็นคนรับใช้จึงเป็นเพียงคนอยู่ในอาชีพเท่านั้น บางคนทำงานเพราะอยากได้หน้า อยากได้การยอมรับ อยากสร้างฐานะ บางคนพอได้เรียนรู้มากกลายเป็นคนยะโส ชอบอวดภูมิรู้ภูมิปัญญา   แต่พอมาทำบริการ ทำได้ไม่นานก็ถอยไป เพราะตัวเองยังไม่ถึงพระเจ้า  บางคนตั้งใจทำงานก็จริงแต่ยังมีบาปหนาเปิดช่องให้ถูกซาตานหลอกใช้  กลายเป็นการปิดกั้นคนอื่นๆ ไม่ให้เจริญกับพระเจ้า ด้วยการเป็นตัวขวาง มีคำพูดที่เป็นหินสดุด  เป็นตัวถ่วงความเจริญ  คอยขัดแย้ง นินทา ตั้งประเด็นขัดแย้งในคริสตจักรเพื่อให้หยุดเคลื่อนไหว้ด้านการประกาศข่าวประเสริฐ  การศึกษาพระคัมภีร์ และพันธกิจอื่น ที่ถวายเกียรติแด่พระเยซู

ถึงเวลาหรือยังที่คริสตจักร จะหันมาสนใจสอนในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตคนให้เป็นคนใหม่ๆ จริง
ถ้าบอกว่าเป็นคริสเตียน ต้องเป็นคนที่คนอื่นต้องยกนิ้วให้ แล้วคนก็จะมาเป็นคริสเตียนกันมากขึ้น เหมือนกับสมัยเมื่อห้าสิบปีก่อน ถ้าพูดถึงโรงเรียนต้องเป็นโรงเรียนคริสเตียนจึงจะเยี่ยมยอด  แต่ตอนนี้เป็นไง โรงเรียนคริสต์บางจังหวัด เป็นเพียงโรงเรียนชั้นสอง ชั้นสาม ใครเข้าที่ไหนไม่ได้ก็ไปเข้าโรงเรียนคริสต์
เพราะอะไรหรือ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจาก  ระบบอุปถัมป์  เพราะเวลาลูกใครไปทำงานไหนไม่ได้ก็เอามายัด เอามาฝากให้เป็นครูที่โรงเรียนคริสต์  แล้วพวกมีเส้นนี้ใครเตะได้บ้างล่ะ  นานวันวินัยก็หย่อนยาน เด็กในโรงเรียนมีแต่ลูกยักษ์ลูกมาร  ถูกไล่ออกมาจากโรงเรียนรัฐบาล ไปสอบที่ไหนไม่ได้มาเข้าโรงเรียนคริสต์  พอมาก็มาพบกับครูไม่เกิดใหม่อีก  เลยไปกันใหญ่

ลูกของผมตอนเราย้ายจากบ้านนอกเข้ามาในเมือง ความรู้อ่อนไม่สามารถสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลชื่อดังได้  ผมจึงเอาลูกไปเข้าโรงเรียนคริสต์ ปรากฎว่า ลูกมารายงานผมว่า ครูในโรงเรียนบางคน ชอบพูดภาษานักเลงกับนักเรียน พูดกูๆ มึงๆ  ด่าคำหยาบ  ในโรงเรียนยังมีเด็กเล่นยาเสพติด  สูบบุหรี่เหมือนกับโรงเรียนรัฐทั่วๆ ไป ไม่มีความแตกต่างอะไรเลย  โรงเรียนก็มีคาบสอนวิชาคริสตจริย หรือคาบจริยธรรม  คนที่มาสอนก็อาจจะขาดประสบการณ์  ยังไม่สามารถสื่อ หรือถ่ายทอดพระกิตติคุณของพระเจ้าได้อย่างประสิทธิภาพ คนเก่งๆ ก็ไม่อยากมาทำ เพราะค่าตอบแทนไม่มากนัก  สิ่งเหล่านี้ผมกำลังสื่อว่า ปัจจุบันเรามีคริสเตียนที่ไม่รู้จักสิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณมากเกินไปแล้ว

น่าเสียดายถ้าคริสตจักรยังขาดผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์ระดับมหาภาค  คือมองในภาพรวมของพระกายของพระคริสต์มากกว่า การสร้างสรรค์อาณาจักรของอาตมา  คำสอนมุ่งแต่สร้างคนให้เป็นคนดี  แค่เป็นคนดีศาสนาไหนก็สอนให้เป็นได้  แล้วมีคนไหนบ้างล่ะที่เป็นคนดีจริงๆ  เราทุกคนเป็นคนบาปทั้งนั้น  ยิ่งผมได้อ่านบทความของ "ผู้อาวุโส" ของบางคณะที่เขาด่ากัน  เขาด่ากันแรงๆ โดนใช้คำนี่เลย คือ "ผู้บริหารชุดซาตาน" ลองคลิกเพื่ออ่านดู (ผมได้ตัดบางข้อความออกไป เพื่อไม่ให้เป็นการหมิ่นประมาท)

ผมเชื่อว่าถ้าคริสตจักรหันกลับมาหาฤทธิ์อำนาจการเปลี่ยนแปลงชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าคริสตจักรจะเจริญรุ่งเรืองมากกว่าในปัจจุบัน  แต่คริสตจักรในปัจจุบันหลายแห่งไม่มีการเคลื่อนไหว ที่สร้างผลกระทบต่อสังคม  ไม่มีการรวมพลังกันอย่างจริงจัง แล้วเราจะนำคนมาหาพระเจ้าได้อย่างไร  มีเพียงคริสเตียนส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้จักและเข้าถึงคำสอนแห่งฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าอย่างแท้จริง  ขอให้เราช่วยกันอธิษฐานเผื่อคริสตจักรกันเถอะ  ขอให้คริสตจักรหันมาสู่คริสตจักรแห่งฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อการปลดปล่อยอย่างแท้จริง

ขอพระเจ้าอวยพร
หากมีข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะต่อบทความนี้ กรุณา ช่วยเขียนในลิงค์ ความคิดเห็นด้านล่างนี้

Original essay from: RW MU. Dec 16, 2010
Home: กลับไปหน้าแรก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)