Can a Christian Be Demonized? คริสเตียนถูกผีสิงได้หรือเปล่า

โอ้....พี่น้องผมจะบอกเคล็ดลับของผมให้ บางครั้งผมเมื่อได้เวลาที่ผมต้องไปนั่งที่เก้าอี้หลังธรรมมาส ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนี้ผมจะเทศนาเรื่องอะไร แต่พี่น้องจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ผมก็เทศนาโดยใช้เวลาเป็นชั่วโมง หรือกว่านั้น บางครั้ง สองชั่วโมงทั้งการอธิษฐานอะไรด้วย บางครั้ง สามชั่วโมง โดยไม่ต้องเปิดหาข้อพระคัมภีร์ใดๆ เลย ผมมีเพียงสมุดโนต๊ที่จดโครงร่างคำเทศนาของผมเท่านั้น ตอนนี้ จำนวนสมุดโนต๊เล่มหน้าที่ผมจดโครงร่างคำเทศนาภายในเวลา 5 ปี ตอนนี้ก็จดได้ทั้งหมด 15 เล่มแล้ว เวลาที่ผ่านไป 5 ปี ที่ผมเริ่มเดินกับพระเจ้าอย่างเอาจริงเอาจัง 


นอกจากนี้ผมยังมีคำเทศนาที่ผมเขียนขึ้นจากการศึกษา การค้นคว้าที่รวบรวมจากอาจารย์ใหญ่ทั้งหลาย ที่เป็นนักเทศนาปลดปล่อย สายฤทธิ์เดช เช่น อาจารย์ เรนฮาร์ด บองเก้ (Reinhard Bonnke) อ. ปีเตอร์ ฮอโรบิน (Peter Horrobin) อ.เดเรค พรินซ์ (Derek Prince) อ.แรนดี้ คล้าก (Randy Clark), อ.ซูซาน เซมัวร์ (Susan Seymour) และหนังสือและบทความเกี่ยวกับการปลดปล่อยอีกเป็นพันๆ หน้า จากการศึกษาและการอ่านอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ทำให้ผมมีบทความที่แต่งเป็นคำเทศนาของผมเป็นหนังสือที่หนาเกือบ 400 หน้าอีกหนึ่งเล่ม ผมเรียกมันว่า หนังสือถ้อยคำแห่งการปลดปล่อย ความสุขและสุขภาพดี

ในขณะที่ผมเทศนา ข้อพระธรรมต่างๆ จะไหลเข้ามาสู่ความคิดของผมเหมือนกับแม่น้ำ เพราะผมท่องข้อพระธรรมไว้ในจิตใจ ในสมองของผมมีข้อพระธรรมของพระเยซูคริสต์เป็นพันๆ ข้อ และที่ผมจำได้แม่นทั้งข้อพระธรรมและเนื้อความในข้อพระธรรมนั้น ก็มีเป็นร้อยๆ ข้อ ผมใช้เวลาทุกๆ วันในการทบทวนข้อท่องจำพระคัมภีร์ ผมทบทวนและภาวนาแม้เวลาที่จะเข้านอน ขณะที่นอน และขณะที่ตื่นขึ้นมาผมภาวนาข้อพระธรรมแห่งการปลดปล่อยเหล่านี้เสมอ

นี่คือเคล็ดลับสำหรับนักเทศน์รุ่นใหม่ๆ ผมขอเสนอเคล็ดลับนี้เพื่อที่ผู้รับใช้พระเจ้ารุ่นน้องที่ยังใหม่ และสด ผู้ยังมีเนื้อที่ว่างในมันสมองอีกเยอะที่จดจำสิ่งใหม่ๆ และรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ได้อีกมากมาย เพื่อท่านจะเกิดผลมากขึ้น ผมขอหนุนใจ ให้ท่านจะพยายามฝึกฝนตัวเองให้เป็นนักเทศนาปลดปล่อยด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า เมื่อท่านเติมชีวิตของท่านด้วยพระคำของพระเจ้า เวลาที่เราวางมืออธิษฐานเผื่อผู้คน ผู้ที่เราวางมือบางคนจะแสดงอาการเหมือนผีเข้า ดิ้นรน ต่อสู้ หลบเลี่ยง ล้มลงไปชักดิ้นกระตุก พูดเป็นเสียงคนอื่น แสดงอาการเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเขา และเมื่อถึงเวลานั้นท่านจะไม่มีเวลาเปิดข้อพระธรรมเพื่ออ่านในการต่อสู้กับ วิญญาณอื่นที่แสดงอาการคล้ายคนโรคจิต มีวิญญาณควบคุมคนที่มันแอบสิงสู่อยู่ และสิ่งนี้ผมเรียกมันว่า วิญญาณแอบแฝงในร่างกายมนุษย์ ซึ่งอาจจะขัดกับการเรียนรู้ และความเชื่อที่ได้จากการสอนต่อๆ กันมาของนักการศาสนาสายธรรมจารย์ที่ อ้างว่า “ของเราเน้นพระธรรมไม่เน้นฤทธิ์เดช” 


อย่างไรก็ตามหากท่านอยากเป็นสาวกพระคริสน์ที่มีพร้อมทุกอย่างทั้งพระธรรม จรรยาบรรณ พลังฝ่ายจิตวิญญาณและฤทธิ์เดช ผมเชื่อว่าเราจะเป็นคนที่เตรียมตัวให้พร้อมเสมอสำหรับสงครามฝ่ายวิญญาณกับ วิญญาณร้าย
[เอเฟซัส 6.10-13]
{...สุดท้ายนี้ขอท่านจงมีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้าและในฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระองค์ 11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้ 12 เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ 13 เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้ }
ครั้งใดก็ตามที่ผมได้รับเชิญจากพิธีกรให้ออกไปข้างหน้าที่ประชุมเพื่อเทศนา ผมจะไม่ยืนเหมือนต้นไม้ที่บนธรรมมาสในขณะที่ผมเทศนา บ่อยครั้งมากที่ผมจะไม่ยืนที่นั่นด้วยซ้ำ เพราะอะไรหรือ ก็เพราะผมมีประสบการณ์ในการเป็นผู้สอนมาเกือบสามสิบปี ผมรู้ว่าครูที่ยืนสอน หรือนั่งสอนอยู่โต๊ะ โดยไม่เคลื่อนที่ไปไหน มันไม่ค่อยได้ผลครับ คือได้ผลน้อยมาก ครูประเภทนี้คงจะได้เรื่องสำหรับนักเรียนที่มันอยากเก่งเท่านั้น แต่สำหรับเด็กที่สมาธิสั้น หรือเด็กสนใจเรียนน้อยคงไม่ค่อยได้ผลหรอก
ครูบางคนยืนอ่านหนังสือให้นักเรียนอ่านตามอยู่หน้าชั้น พอเลิกสอนก็จะมาบ่นให้ฟังว่า นักเรียนไม่สนใจฟัง พี่น้องทราบไหมว่า ในวงการศึกษาเขาเรียกครูประเภทนี้ว่าอะไร เขาเรียกว่า ครูผู้ช่วย หรือครูที่ยังไม่ชำนาญการพิเศษครู เหล่านี้สอนตามทฤษฎีแต่ไม่รู้จักวิธีการที่จะดึงดูดผู้ฟัง ไม่สามารถใช้วิธีการในการถ่ายทอดได้เลย ไม่ชอบอ่านงานวิจัย และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ สอนแบบเดิมๆ เป็นปีๆ บางคนสอนแบบเดิมเป็นเวลาหลายสิบปี ไม่ใช่สื่อ ไม่เขียนบทความ ไม่สร้างบทเรียนเอง ดีแต่ลอกของคนอื่น หลายคนกลายเป็นพวกสมองทึบ สมองตัน คิดอะไรใหม่ๆ ไม่เป็นดีแต่ลอกคนอื่น

ในฐานะที่เราเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเราต้องเรียนรู้จากพระเยซูคริสต์เจ้า ถ้าเราสังเกตพระเยซูสอนสาวก พระองค์นั่งสอนอย่างไร พระองค์สอนที่โต๊ะอาหาร สอนตามต้นไม้ สอนในขณะที่อยู่ในสถานการณ์จริง หลายที่หลายแห่ง พระองค์ใช้สื่อการสอนด้วย และนั่นคือต้นแบบแห่งการสอนไม่ใช่หรือ จงสังเกตและเรียนรู้จากพระองค์

ในเว็บบล็อกนี้มีลูกศิษย์ลูกหาของผมหลายคนที่เดียวที่ติดตามอ่าน ผมก็ขอขอบคุณที่ติดตามและ อีเมล์มาให้กำลังใจ บางคนก็โทรมาให้กำลังใจเพราะพันธกิจแบบนี้มันยังไม่แพร่หลายในเมืองไทย จึงต้องมีการต่อสู้ทางความคิด ความเชื่อ มีการรื้อฟื้นกันใหม่ 

นักการศาสนาของไทยรุ่นเก่าๆ กลายเป็นพวกอนุรักษ์นิยมคิดว่าของเก่าดี หาว่าพันธกิจการปลดปล่อยเป็นเรื่องที่มาใหม่ เป็นเรื่องสอนผิดเพี้ยน ผมขอยืนยันในที่นี้อีกครั้งว่า คนที่สอนเพี้ยนคือโบสถ์คริสต์ที่ไม่เอาเรื่องการอธิษฐานปลดปล่อย ไม่เอาเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่เอาเรื่อง การพูดคำว่า ฮาเลลูยา ไม่เอาการเอาน้ำมันทาคนป่วยและอธิษฐานวางมือคนป่วยให้เขาหายโรค ไม่เอาเรื่องการเจิมด้วยพระวิญญาณและการเจิมน้ำมัน  ไม่เอาเรืื่องการถืออด ไม่เอาเรื่องความสามารถฝ่่ายวิญญาณ

จากข้อเท็จจริงในพระคัมภีร์เรื่องการเจิมด้วยน้ำมัน มีมาตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมแล้ว แต่คริสเตียนยะโส หลายคนกลัวเสื้อผ้าเปื้อน กลัวหน้าผากเป็นมันเลยไม่ทำ การปลดปล่อย การขับผีคือพันธกิจหนึ่งที่พระเยซูทำก่อนจะไปถูกตรึงที่กางเขน คนตาฝาง ตาถั่วเท่านั้นมองไม่เห็น ถึงมันเห็นด้วยตามันก็ไม่เชื่อ เพราะมันถูกพระของยุคนี้บังตาไว้ ( 2 คร. 4.4) แต่ศาสนพิธีที่ไม่มีในพระคัมภีร์กลับชอบทำกันจริงเพราะได้อิ่ม ได้ซอง ได้หน้า และดูหรูเริศ อลังการ

ในหนังสือกิตติคุณมีเรื่องการขับผี มีเรื่องการวางมือรักษาคนป่วยมากมาย ในหนังสือกิจการยิ่งมีมากที่สุด ทั้งการวางมือรักษาโรค การสั่งขับผีด้วยวาจา (ผมขอบอกในที่นี้อีกครั้งว่า- การอธิษฐานขับผีท่านอย่าหลับตาเด็ดขาด ถ้าท่านหลับตา ท่านอาจจะได้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยข่วน ท่านอาจถูกเตะ ถูกถีบ ได้รับบาดเจ็บ และผีจะไม่กลัวท่าน เพราะมันไม่เห็นแววตาที่ประกอบด้วยสิทธิอำนาจของท่าน )

ในหนังสือกิจการมีเรื่องการอธิษฐานวางมือเพื่อให้รับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณ (กจ. บทที่ 1.5, 8, บทที่ 2, บทที่ 18 ) แต่คริสตจักรหลายแห่งในปัจจุบันเขียนไว้ในหลักข้อเชื่อแค่การจุมน้ำแบบยอห์นเท่านั้น ไม่มีใครกล้าทำ อ้างว่าการทำอย่างนั้นคือพระเยซูเท่านั้น เรื่องการให้บัพติสมา ถ้าเขียนมาไปมากกว่านี้ผมก็อาจจะถูกหาว่าเป็นคนปากจัด และชอบสร้างข้อทะเลาะวิวาทในหลักข้อเชื่อในหมู่ชาวคริสต์ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อพระกายของพระคริสต์แต่อย่างใด จึงไม่ขอเขียนมากความ เพราะมันมีความแตกต่างหลากหลายอย่างมาก ทั้งๆ ที่ตัวอย่างในพระคัมภีร์ที่พระเยซูไปรับบัพติสมาในแม่น้ำจอแดนก็เห็นกันชัดๆ การทำอย่างนั้นถูกต้องตามพระคัมภีร์ร้อยเปอร์เซนต์ แต่พวกนักเลี่ยงบาลีมันก็มีข้ออ้าง ข้อแก้ตัวสารพัด ลื่นกว่าปลาไหลในบ่อโคลนเสียอีก ตลกไหมล่ะ อย่างไรก็ตามรายละเอียดของพิธีกรรมต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่สาระสำคัญของพระกิตติคุณ

คริสเตียนอ่อนแอที่ชอบทำบาปชั่ว ดีแต่หน้าลับหลังนินทา มักจะชอบพูดต่อต้านพันธกิจของพระเจ้า ต่อต้านนักเทศน์ที่เอาจริงเอาจังเรื่องความบาปและการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ต่อพระเจ้า มีคริสตจักรจำนวนมากที่ปกครองด้วยระบบโหวตด้วยเสียงส่วนใหญ่ อาจารย์ที่เทศนาตรงไปตรงมา ต่อสู้กับความบาปชั่วของคริสเตียนอ่อนแอในคริสตจักรต้องน้ำตาตกในมามากต่อมาก เพราะถูกโหวตให้ออกไปจากคริสตจักร เพราะการพูดตรงเกินไป หม้อข้าวเลยแตก น่าสงสารและเห็นใจจริงๆ

ปัจจุบันนักเทศน์ประเภทนี้คงเหลือไว้ทำพันธุ์ไม่มากนัก เพราะนักเทศน์ที่เทศน์เรื่องความบาปของคนในคริสตจักรมักจะไม่มีใครเชิญไปเทศน์ นักเทศน์ที่เทศน์เกิน 30 นาทีก็จะได้รับเชิญเพียงครั้งเดียวและไม่ได้รับเชิญอีกเลย เพราะนักการศาสนาสายฮิวแมนนิสซึมอ้างคำสอนของพวกซาตานที่บอกว่า การรับรู้ของคนเรามีไม่มากนัก แค่ 15-25 นาที


ดังนั้นเราจึงเห็นว่านักเทศน์สายธรรมจารย์ปัจจุบันจะเทศน์เรื่องความสำเร็จ ความสุข เคล็ดลับความสุข เรื่อง The Top Secret เรื่องความรวย การรับพระพร การมีอนาคตที่ดีในพระเจ้า  เทศนาปากหวานแบบนี้ฝรั่งก็มีนะครับ อย่างโจเอล กับวิคตอเรียภรรยานั่นไง  เขาเทศนาแต่ละทีจะเน้นการเสริมกำลังใจ (emcouragement) เท่านั้นจะไม่พูดถึงการกลับใจใหม่เลย  เขาจะไม่แตะบาปของใคร  หลีกเลี่ยงการเทศนาให้คนละทิ้งนิสัยบาป บาปซ่อนเร้น พฤติกรรมลามก และอะไรที่พระคัมภีร์เรียกมันว่า สิ่งน่าสะอิดสะเอียน

คริสเตียนอ่อนแอที่หลงอุบายของมาร ติดนิสัยบาปพวกนี้วิญญาณของเขาจะอิ่ม เหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าจนพองสุดๆ แล้ว ไม่สามารถจะเติมลมได้เพิ่มอีก ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยไฟราคะเพราะบริโภคเหยื่อล่อของซาตานเข้าไปเยอะ บริโภคสื่อของมารมากเกินไป วิญญาณของเขาจึงไม่หิวกระหายพระคำของพระเจ้า เป็นเหมือนเด็กที่ถูกพ่อแม่ตามใจกินแต่อาหารจั้งค์ฟูดจนเต็มกระเพาะ   พอถึงเวลากินอาหารเย็นที่เป็นสิ่งดีๆ ที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้เด็กๆ ก็ไม่สามารถกินเข้าไปได้อีกมากนัก เพราะท้องมันอิ่มด้วยขนมที่กินเข้าไปก่อนแล้ว คนไทยหลายคนลอกเลียนแบบพฤติกรรมการกินอาหารไร้ค่าของพวกพ่อค้านักโฆษณาสินค้าทางทีวี ฉันใดก็ฉันนั้น

ารอัศจรรย์และหมายสำคัญเหล่านี้มีมาตั้งแต่สมัยพระเยซูแล้ว ชาวสะมาเรียใจดี ก็ใช้น้ำมันทาคนป่วย พระเยซูก็สั่งให้สาวกออกไปประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า ให้พวกเขามีฤทธิ์อำนาจในการขับผี (ลูกา 9.1-2) ในยากอบบทที่ห้าก็บอกให้เอาน้ำมันทาคนป่วย แต่คริสตจักรหลายแห่งในปัจจุบันเป็นแค่ ลอบดักปลา หรือ ไซปลาไหลเท่านั้น ไซนี้จะดักเอาแต่ปลาที่หลงว่ายเข้าไปติดลอบ ลอบแบบนี้ชอบปลาต่างประเทศที่มีเงินติดตัวมามากๆ พวกเขาไม่กล้า ไม่พร้อมที่จะก้าวออกไปสู่ชุมชน คริสตจักรไม่มีเขตบริการเหมือนโรงเรียนดังๆ ในจังหวัด นักการศาสนาจำนวนมากไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คำว่าเขตบริการคืออะไร
คริสตจักรอ่อนแอด้านฤทธิ์เดชประเภทนี้จะปิดประตูห้ามคำสอนใหม่ๆ เข้ามาในคริสตจักร (แท้จริงคำสอนใหม่ๆ นี้มีมานานก่อนคำสอนที่ผิดเพี้ยนของคริสตจักรสายอนุรักษ์ของเก่าที่เป็นของปลอมปนอยู่จนแยกไม่ออกว่าอันไหนดีไม่ดี) พวกเขาอ้างอย่างเดียวคือการปกป้องคำสอน แต่ถ้าฝรั่งเมืองนอกหอบเงินเป็นแสนเป็นล้านมาเสนอให้ทำการประกาศ  ชาวคริสต์บางพวกนี้จะรีบเปิดประตูรับ ระดมกำลังกันมาจัดประชุมวางแผนอย่างขะมีขมัน ช่วยเขาทำการประกาศฟื้นฟูนิดหน่อย แล้วก็พักยก

ถ้าหากคนในหน่วยงานมีไม่พอ จำนวนคนคำนวณดูแล้วไม่ค่อยเต็มม้านั่ง กลัวถ่ายรูปแล้วสปอนเซอร์ไม่พอใจก็จะไปเกณฑ์คนให้มามากๆ มีทั้งแจกทั้งแถบของและสิ่งล่อใจสารพัด พอได้เงินจากต่างชาติมาทำโปรเจ็กเสร็จแล้วก็จะหยุดทำงาน เป็นเหมือนหมีกินผึ้งที่อิ่มจนพุงกาง พอถึงฤดูหนาวก็เข้าจำศีล ปีๆ หนึ่งไม่คิดทำอะไรมาก ประกาศมันแค่วันคริสตมาสวันเดียวในเวลา 365 วัน ปีๆ หนึ่งผ่านไป ไม่คิดทำการประกาศเรื่องความรอดอะไรเลย รอให้มีเงินนอกเข้ามามากๆ นักการศาสนาหิวกระหายเงินพวกนี้ก็วิ่งเต้นจะทำงานกันทีหนึ่ง โบสถ์คริสต์บางส่วนที่เป็นอย่างนี้ก็น่าเศร้าจริงๆ ท่านคิดว่าถึงเวลาปฎิรูปหรือยัง

พวกนักการศาสนาบางคนเมื่อรับใช้พระเจ้านานๆ ได้อธิษฐานขอการเลี้ยงดู พอได้รับสปอนเซอร์ใหญ่เข้ามาดูแลด้านเศรษฐกิจ นานวันเข้ากลายเป็นทาสนายเงิน บางคนชอบรับใช้นายเงินมากกว่าการรับใช้พระเจ้า น่าอนาถใจจริงๆ การมีสปอนเซอร์เป็นสิ่งที่ดี เราคงไม่สามารถปฏิเสธความช่วยเหลือนี้ได้เสียทีเดียว เพราะเรื่องเงินเป็นตัวช่วยเสริิมให้พันธกิจให้ไปได้ดี และเร็วขึ้น แต่หลายครั้งเรื่องการเงินและการสนับสนุนกลายเป็นหลุมพลางให้คนของพระเจ้ากลายเป็นทาสนายเงิน ตกหลุมพลางแห่งการล่อลวง ความโลภ เกิดการทุจริต คอรัปชั่น

นอกจากนี้เรายังได้ยินข่าวเนื่องๆ เกี่ยวกับผู้นำทางศาสนาในท้องถิ่นบางแห่งแย่งสิ่งของ ปัจจัยที่ฝรั่งนำมามอบให้ แต่คนแบ่งสมบัติดันแบ่งไม่เป็นธรรม บางคนเอาเข้าตัวเองและพรรคพวกมากเกินไป ผู้นำนักการศาสนาหลายคนไม่มองหน้ากัน ไม่ร่วมมือกันทำงานของพระเจ้าในการประกาศได้อีกต่อไป
เพราะเหตุการณ์แย่งผลประโยชน์และหน้าตา ตำแหน่งและชื่อเสียงจอมปลอม

ที่น่าเศร้าอีกเรื่องก็คือ การแย่งกันเป็นใหญ่ในคณะต่างๆ ระยะนี้ก็มีจดหมายโจมตีกัน มีบทความหาเสียงสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์อันนั้นอันนี้ แจกสวัสดิการ แจกผลประโยชน์กันเพื่อให้ตัวเองและพรรคพวกเข้าไปมีอำนาจในการบริหาร บางคนหวังเพียงเพื่อการเสพสุขในกองมรดกซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติที่มิชชั่นนารีมอบทิ้งไว้ให้คริสตจักรไทยดูแลมากกว่าความตั้งใจจริงในการปฎิรูปคริสตจักร

พี่น้องที่อ่านบทความที่ผมบ่นนี้ อย่าเพิ่งท้อใจในการรับใช้พระเจ้า จงทำหน้าที่ของผู้เชื่อให้ดีที่สุด และพระเจ้าจะโปรดปรานเรา ปล่อยเขาไปเถอะ ใครหว่านอะไรก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ผู้นำนักการศาสนาหลายๆ คนก่อนตายมีชีวิตที่น่าสมเพชมาก นอนแช่อยู่บนเตียงคนป่วยรับความทุกข์ทรมานเป็นเดือนๆ บางคนเป็นเวลาหลายปีก่อนตาย บางคนป่วยสารพัดโรค เพราะถูกวิญญาณความป่วยใข้ทำร้ายเพราะถือศาสนาแต่เปลือกนอก แก่นแท้ของศาสนาไม่ยอมรับ


- พระธรรม ลูกา 9.1-2] พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมาพร้อมกัน แล้วก็ประทานให้เขามีอำนาจเหนือผีทั้งปวง และรักษาโรคต่างๆให้หาย [มธ. 10:5]; 2 แล้วพระองค์ทรงใช้เขาไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า และรักษาคนป่วยเจ็บให้หาย
- พระธรรม มัทธิว 10.7-8]“จงไปพลางประกาศพลางว่า 'แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว' 8 8 จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนตายแล้วให้ฟื้น คนโรคเรื้อนให้หายสะอาด และจงขับผีให้ออก ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ จงให้เปล่าๆ

กลับมาเรื่องครูกันต่อ ครูผู้สอนด้วยประสิทธิภาพเหล่านี้จะสอนอย่างขอไปที ความตั้งใจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ฟังมีน้อย สอนไปแบบงั้นๆ ไม่น่าตื่นเต้น สอนให้มันหมดเวลาสอนไปเป็นวันๆ คนที่สอนแบบนี้เขาไม่เรียกว่าครูมืออาชีพ แต่เรียกว่าครูหากิน หรือคนทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเท่านั้น

ท่านคงเคยได้ยินคริสเตียนพูดกัน เขาจะถามกันว่า วันนี้ใครเทศนา ถ้าบอกว่าเป็นคนนั้นคนนี้ ที่เทศนาน่าเบื่อ เขาจะบอกว่า คนนี้อีกแล้วหรือ...น่าเบื่อจัง บางคนหนักกว่านี้อีกคือถ้าวันอาทิตย์ไหน เป็นนักเทศน์ที่เทศนาได้น่าง่วงนอนที่สุด น่าเบื่อ เขากลัวว่าจะไปนั่งหลับในโบสถ์ให้เสียภาพพจน์ เขา จะไม่ไปโบสถ์เอาเสียเลย เขาคิดว่าการนอนดูทีวีที่บ้านในเช้าวันอาทิตย์ และหลับๆ ตื่นๆ ยังดีกว่าการไปนั่งฟังนักเทศน์ที่เทศนาได้น่าเบื่อที่สุด แท้ที่จริง ความคิดและพฤติกรรมเช่นนี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง แต่เราต้องเข้าใจว่า เด็กอนุบาลไม่สามารถกินอาหารบางอย่างได้ ดังนั้น ผู้เลี้ยงจึงต้องปรุงแต่งอาหารให้น่ารับประทานเหมาะสมกับวัย และพัฒนาการของเด็กด้วย

ผมขอเสนอเคล็ดลับให้กับนักเทศน์รุ่นใหม่ๆ ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ประกอบด้วยสิทธิอำนาจและการเจิม เป็นผู้ที่สามารถตรึงผู้ฟังได้เป็นชั่วโมงๆ ด้วยการเทศนาที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นในการปลดปล่อย และการปลดปล่อยข้อพระธรรมแห่งฤทธานุภาพของพระเจ้าออกมาเป็นช่วงๆ ตามประสบการณ์ของผม บ่อยครั้งหลังจากการเทศนาที่บางครั้งก็จบ บางครั้งก็ไม่จบตามสคริสป์ การอธิษฐานอวยพรกลายเป็นการปลดปล่อยที่น่ายินดี พี่น้องได้รับความรอด ได้รับการหนุนใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้รับการฟื้นใจ ได้รับการปลดปล่อย หายเจ็บหายป่วย หายพิการ มีความ ชื่นชมยินดีในพระศิริของพระเจ้า ได้สัมผัสกับพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่

ผมเชื่อว่า การขับผี การอธิษฐานวางมือผู้คนมันไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไร ที่เราจะต้องไปทำหน้าตาให้มันดูขึงขัง สำรวม หรือสร้างบรรยากาศให้เคร่งขรึม เพราะพระเยซูต้องการให้ลูกๆ ของพระองค์ที่เป็นคริสเตียนแล้ว หรือบางคนยังไม่เคยรู้จักพระองค์ให้หายดี ให้หลุดพ้นจากคำแช่งสาป และการผูกมัดของวิญญาณแห่งโรคภัยทุกอย่าง หากเราเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง

นี่คือสิ่งที่ผมได้มีประสบการณ์อีกครั้งกับ การปลดปล่อยวิญญาณที่สิงสู่ในร่างกายของผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่า เป็นคริสเตียนจริงๆ มาเป็นเวลา 3 ปีกว่า แล้วแต่ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คนป่วยเหล่านี้รับเอาวิญญาณต่างๆ เข้ามาสู่ร่างกายของเขาได้อย่างไร ในการประชุมของเราในครั้งนี้ ผู้หญิงท่านนี้ได้รับเชื่อพระเจ้าได้เป็นเวลาถึง 3 ปีกว่า ทำไมเขายังมีวิญญาณต่างๆ หลงเหลืออยู่ในร่างกายของเขามากมาย ทั้งๆ ที่เขาก็เป็นคริสเตียนแล้ว หลายท่านคงเกิดความสงสัยในจิตใจ  แน่นอนผมยอมรับศาสนศาสตร์ที่ว่า คริสเตียนที่แท้จริงไม่มีวิญญาณสิงสู่ 

เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณที่สิงสู่อยู่ในคน โดยไม่แสดงอาการผีเข้า หรือของขึ้นอะไรสักอย่าง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น อยากให้ท่านรับชมคลิปวีดีโอเหล่านี้ดูก่อนเพื่อเป็นแบ่งปันการศึกษาและเรียนรู้ประสบการณ์การขับผีร่วมกัน (ผมทำวีดีทัศน์ให้เป็นสีเนกกะทีฝเนื่องจากไม่ต้องการเปิดเผยใบหน้า ของคนป่วยเพราะอาจทำให้เขาอับอายได้ แต่เขาก็ยังเต็มใจที่จะให้ข้อมูลแก่เราตามประสบการณ์จริงที่เขาได้ประสบมา ความยินดีที่ได้รับการปลดปล่อยด้วยฤทธิอำนาจของพระเจ้าทำให้เขากล้าที่จะเป็นพยานให้แก่พี่น้องและชาวโลก)



สาเหตุที่เขาได้รับการครองงำ


ผมคงไม่อยากจะสร้างแสความขัดแย้งหรือข้อถกเถียงทางวิชาการด้านศาสนศาสตร์คริสเตียนแต่
ขอนำเสนอวีดีทัศน์นี้ตอนนี้เพื่อนำเสนอให้เป็นข้อพิจารณา และส่งเสริมความเชื่อของผู้เชื่อพระเจ้าที่ต้องการทำให้คริสตจักรของพระเจ้าเคลื่อนไปด้วยสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเยซูคริสต์

และนี่คือความจริงที่ผมได้บันทึกไว้ บุคคลในวีดีทัศน์ผมไม่เคยรู้จักเขามาก่อน เมื่อเขารับการอธิษฐานอะไรเกิดขึ้นกับเขา ผู้หญิงท่านนี้ได้รับการปลดปล่อย เขาได้รับการเยียวยา จากฤทธิ์อำนาจในพระนามพระเยซู และนี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า ฤทธานุภาพในพระนามของพระเยซูคริสต์ กิตติคุณของพระเยซูคริสต์คือกิตติคุณแห่งฤทธิ์อำนาจในการปลดปล่อยจากความบาปและความป่วยใข้ ความอ่อนแอทุกชนิด

การที่คนเหล่านี้ได้รับเอาวิญญาณต่างๆ เข้าอยู่ในร่างกายได้เพราะพวกเขาถูกหลอกว่า ถ้าทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วผีจะไม่มารบกวน หลายคนจึงไปกราบไหว้ผี นับถือผีเป็นพระเจ้า บางคนเอาสิ่งของที่เป็นเหมือนคำแช่งสาปมาไว้กับตัว โปรดอ่านรายละเอียดจากบทความ อุปสรรค์ของการหายโรค (คลิปที่ลิงค์นี้)
ข้อพระธรรมหนุนใจ ยอห์น บทที่ 8.32
ถ้าท่านได้รู้จักสัจจะ สัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท


ท่านจะเป็นไทจากอะไรหรือ ก็เป็นไทจากความเชื่อและความคิดที่ขัดแย้งกับคำสอนของพระเยซูที่ว่า มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะเกิดขึ้น เขาจะขับผีออกในนามของเรา ถ้าเขาวางมือบนคนใข้คนป่วย คนเหล่านั้นจะหายโรค ท่านจะเป็นไทจากอำนาจของวิญญาณร้าย ไสยศาสตร์ โชคร้าย อำนาจของดวงดาวและโหราศาสตร์ ท่านจะดำเนินชีวิตที่เหนือธรรมชาิติ และได้เป็นลูกของพระเจ้า

นี่คือวิธีการขับผีอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อเราอธิษฐานคนธรรมดากลับแสดงพฤติกรรมคล้ายเป็นคนอื่นหรือกลายเป็นคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ส่งเสียงเอะอะโวยวาย ควบคุมไม่ได้
ผมจะไม่ขับผีในทันที เพราะการขับผีบางครั้งเสียเวลานาน ผีหลายตัวชอบโชว์ แสดงอาการให้คนดูเห็นว่ามันไม่กลัวพระเจ้า ไม่กลัวคนขับมัน ผมจึงสั่งให้มันกลับหลบเข้าไปในร่างกาย ไม่ให้พวกมันแสดงอาการใดๆ ก่อนแล้วภายหลังเมื่ออธิษฐานเผื่อคนป่วยคนอื่นๆ เสร็จ เราค่อยจัดการเรียกมันออกมาพูดคุยด้วย และขับมันออกมาทีละตัวๆ จนหมด ในกรณีนี้ ผมเชื่อว่ามีวิญญาณอื่นแอบแฝงอยู่ไม่ต่ำกว่า 7 ตัว (ในกรณีพูดคุยกับผี ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเราไม่ควรเสียเวลา หาข้อมูลจากผี เพราะผีมันเป็นพวกนักหลอกลวง ชอบพูดโกหกอยู่แล้ว นอกจากนี้จากประสบการณ์เราพบว่าการที่ผีมีโอกาสได้พูดคุยจะทำให้กำลังมันไม่ตก มันจึงออกยาก )



ขอพระเจ้าเสริมกำลังในความเชื่อ

เขียนโดย Rice MU October 2010
Original writing: ท่านสามารถนำบทความในเว็บนี้ไปเผยแพร่ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต หากไม่มีจุดประสงค์ในด้านการหาผลประโยชน์และการค้า หรือเพื่อจุดประสงค์ในทางไม่ชอบธรรม

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ4/09/2554

    ถ้าคริสตเตียนเเท้ทำเเบบนี้ได้หมดผมว่าผู้เชื่อในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกมากครับ ขอบคุณอ.ลีวัฒ ที่เเบ่งปันLovegod2524@hotmail.com

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ8/14/2559

    ผมคิดว่าผีพนันน่ากลัวกว่าครับ

    ตอบลบ

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)