ถ้าต่อไปจะไม่ชวนใครไปโบสถ์? If going to church is useless?


การชวนเชิญคนไปโบสถ์ได้อะไร?



ถ้าเราไม่ชวนคนไปโบสถ์ (๑)

คำว่าไปโบสถ์ หรือไปวัด เป็นคำสามัญที่หมายความว่าไปนมัสการพระเจ้า หรือไปทำบุญ เป็นการไปร่วมศาสนกิจ   สำหรับผู้ที่แสวงหาพระเจ้า หรือว่าแสวงบุญย่อมเข้าใจดีว่ามีความสำคัญเพียงใด มีจุดประสงค์เพื่ออะไร  แต่ว่ามีกี่คนที่เริ่มตระหนัก หรือสงสัยว่า การชวนคนไปโบสถ์กลายเป็นความว่างเปล่า เป็นความหดหู่   ศูนย์เปล่า  ไม่ได้ตามที่คาดหวังของหลายๆ คน ทำไมล่ะ




ชาวคริสต์จำนวนมากเชื่ออย่างหนักแน่นว่า วิธีการประกาศข่าวประเสริฐ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือการประกาศเรื่องการไถ่บาปของพระคริสต์แล้วนำคนมาเข้าสู่ความเชื่อ หรือเข้ารีตนั้น คือการชวนคนไปโบสถ์

คริสตจักรไทยตั้งแต่ยุค 150 ปีล่วงไป  วิธีการประกาศพระคริสต์ที่สำคัญคือการชวนคนไปโบสถ์  ในโอกาสต่างๆ โบสถ์คริสต์จะจัดงานพิเศษต่างๆ เพื่อเชิญชวนคนให้ไปโบสถ์  เช่นการจัดงานมหาเทศกาลเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส แบบเทกระจาด  แจกของขวัญครั้งมโหฬารในรอบปี  เพื่อแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสคล้ายวันประสูติของพระคริสต์ เพื่อเทอดพระเกียรติพระคริสต์

คริสเตียนเกือบทุกคณะก็ว่าได้ จะถือว่าเป็นวันสำคัญสูงสุดทางศาสนา  โบสถ์ต่างๆ จะเห่อกันจัดมหาเทศกาลนี้อย่างเอิกเริก  อาจถือได้ว่าเป็นเทศกาลสุดยอดไฮไลน์ของปีของชาวคริสต์   โบสถ์ในชนบทหรือในเมือง ไม่ว่าอยู่ที่ใด  ชาวคริสต์จะทุ่มเทงบประมาณจากคลังทรัพย์ที่เก็บรวบรวมมาตลอดปี  เพื่อจัดงานประกาศวันคริสต์มาสอย่างอลังการยิ่งใหญ่   ผมเคยเห็นบางจังหวัดในภาคอิสาน   แจกแม้กระทั้งรถมอร์เตอร์ไซด์หลายคัน เพื่อเป็นของขวัญจับฉลากวันคริสต์มาส  อึม  ไม่เบานะ
 
ในเทศกาลสำคัญ สมาชิกคริสตจักรทุกคนจะถูกขอร้อง และเชิญชวนถี่ยิบ ก่อนการจัดงานพิเศษอะไรต่างๆ  โดยเฉพาะวันคริสต์มาส ให้ออกไปเชิญชวนคนมาร่วมการนมัสการพระเจ้าในโบสถ์ให้มากที่สุดในรอบปี  เพื่อกระตุ้นให้คนหันมาสนใจพระเจ้า สนใจเรื่องความบาป  การหลุดพ้นบาป  เมื่อเขาได้ฟังคำเทศนาจากศาสนาจารย์พิเศษผู้ที่ได้รับเชิญมากล่าว ซึ่งมักจะจบลงด้วยการเชิญชวนให้คนหันกลับมาหาพระเจ้า   สมาชิกโบสถ์และผู้นำทางศาสนาจะดีใจหน้าบานสุดๆ เมื่อมีคนรับเชื่อพระเจ้า แม้เพียง 1-2 คนในแต่ละปี  

ทั้งนี้เพราะชาวคริสต์เชื่อว่า แม้เพียงคนหนึ่งกลับใจจากบาป เลิกทำบาปหันมาหาพระเจ้า  บนสรวงสวรรค์ก็จะมีความยินดีปรีดา  เทวทูต  ทูตสวรรค์ (เทวดาของชาวคริสต์) ผู้รับใช้ของพระเจ้าจะดีใจสุดปลื้ม  ดังนั้นแม้ว่าการจัดงานพิเศษเพื่อชวนคนมาโบสถ์แล้วได้นำคนมารอด จึงเป็นสิ่งที่ชาวคริสต์ย่อมทุ่มทุนไม่อั้น  แบบสุดความสามารถเพื่อการนี้ 

นี่คือเหตุผลสำคัญเบื้องหลัง ว่าทำไมต้องจัดงานคริสตมาสอย่างยิ่งใหญ่  ในความปรารถนาลึกๆ ของคริสตชนที่เชื่อพระเจ้าที่เติบโตแล้วย่อมอยากเห็นเพื่อนบ้านที่ยังไม่รู้จักทางแห่งพระคริสต์มีสันติสุข  พ้นทุกข์ พ้นมือมาร  ไม่ต้องเที่ยวไปเสียเงินทำบุญปีละไม่รู้กี่ครั้ง  คนรวยบางกลุ่มเที่ยวไปปีละไม่รู้กี่วัด  เพื่อไปกราบไหว้ขอพรจากเทวสถาน  สิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย  เพื่อตัวเองจะได้มีบุญ  มีความเจริญ  ทำบุญกุศลไว้เผื่อชาติหน้า จะได้เกิดมามั่งมีกว่าเดิม  หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ยากจนเหมือนชีวิตนี้ 

เมื่อมีใครก็ตามยอมรับพระคริสต์เขาก็จะมีโอกาสได้รับคำสอนในการเป็นคริสตศาสนิกที่ดี  ให้เรียนรู้พิธีการเข้าร่วมการบัพติสมา  การเป็นสมาชิกที่ดีของโบสถ์  โบสถ์จำนวนหนึ่งจะไม่อนุญาตให้ใครก็ตามเข้าร่วมพิธีหักขนมปัง  เพราะถือว่า ยังไม่ได้ชำระบาป  ไม่ได้เข้าร่วมพิธีบัพติสมาเข้าเป็นสมาชิกสมบูรณ์ของคริสต์จักร  แม้ว่าคนไปร่วมจะรออยู่นานหลายเดือน หลายปี  หากไม่มีศาสนาจารย์จัดให้  เขาก็ไม่มีสิทธิเข้าร่วมงานเลี้ยงของพระผู้เป็นเจ้า 

นอกจากการสอนพื้นฐานชีวิตแล้ว คริสตชนใหม่จะได้รับการสอนให้รู้จักละเลิกความบาป  ความเห็นแก่ตัว  เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติบุคคลสำคัญที่ปรากฎในพระคัมภีร์  การแสดงออก  การแสดงตนเป็นคริสตชนที่ดีด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมของโบสถ์อย่างสม่ำเสมอ 

สำหรับการเป็นสมาชิกในอุดมคติของคริสตชนทั่วไป คือการเข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์  ร่วมฟังคำสอน  ร่วมกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ  เมื่อเวลาผ่านไปหลายสัปดาห์  หากผู้เชื่อ มาร่วมกิจกรรมโบสถ์เป็นประจำจนทางโบสถ์มั่นใจว่า เขาเอาจริงจังแล้ว  ทางโบสถ์ก็จะจัดพิธีบัพติสมาแบบพรมน้ำ หรือจุ่มน้ำให้  เพื่อเชิญชวนให้เป็นสมาชิกถาวร หรือสมาชิกสมบูรณ์ของโบสถ์  เพื่อโบสถ์จะนับรายชื่อเข้าเป็นสมาชิกอย่างแท้จริง

เมื่อผู้เชื่อเติบโตในคำสอนของกลุ่มความเชื่อ  ผู้เชื่อก็จะได้รับการเลื่อนฐานะจาก สมาชิกธรรมดา  กลายเป็นสมาชิกคนสำคัญ  เริ่มมีบทบาทในการทำงานร่วมกับผู้นำ ผู้นำโบสถ์ก็จะมอบหมายงานเล็กๆ น้อยให้ทำก่อนเพื่อดูความพากเพียร  เช่นเป็นคนถือถุงถวายทรัพย์  เป็นคนช่วยร้องเพลงนำนมัสการ  เป็นพนักงานต้อนรับ  เป็นคนครัว  จนก้าวหน้ากลายมาเป็นผู้นำนมัสการ

จากสมาชิกธรรมดา กลายมาเป็นผู้ช่วยผู้นำความเชื่อ โดยได้รับตำแหน่งทางศาสนา (ศาสนศักดิ์) เป็นตำแหน่งเช่น มัคนายก (ชาย) มัคนายิกา(หญิง)  ผู้ปกครอง (คณะผู้อาวุโสที่เป็นกรรมการบริหารงานโบสถ์)  สำหรับตำแหน่งผู้ปกครองเป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับคริสตชนบางคณะ  เพราะจะได้สิทธิในการเข้าร่วมการออกเสียงในการบริหารงานของโบสถ์

หากโบสถ์ใดมีสมาชิกเกิน 300-600 คน หรือกว่านี้ ผู้ปกครองจะมีโอกาสได้ขึ้นธรรมมาส  ขยับฐานะจากคนรับคำสอนกลายเป็นคนสอน  คนเทศนา   ผู้ปกครองอาจจะได้รับโอกาสในการขึ้นบนธรรมมาสเพื่อเทศนาสั่งสอนสมาชิกในโบสถ์  ปีละครั้งสองครั้ง ครั้งละ 25-45 นาทีต่อครั้ง   ซึ่งการนี้เป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของผู้นำความเชื่อสายฆราวาส  ที่ไม่ได้เรียนจบสถานศึกษาพระคริสต์ธรรมอย่างเป็นทางการ  (ฆราวาสจะทำงานเคียงบาเคียงไหล่กับงานของโบสถ์เกือบทุกอย่างแต่จะไม่ได้รับผลตอบแทนเป็นเงิน  จากโบสถ์)  มีเพียงนักการศาสนาที่ได้รับการแต่งตั้งให้มาดำรงตำแหน่งศิษยาภิบาล หรือผู้ช่วย เพื่อทำหน้าที่ดูแลสมาชิกในด้านการสอนพระศาสนา  และจะดำรงตำแหน่งประมาณ 4 ปี หากทำงานเป็นที่ถูกใจของเหล่าผู้ปกครอง และสมาชิก ก็อาจจะมีการต่อสัญญาไปอีกในสมัยหน้า

หากสมาชิกคนใดมีการศึกษาดี ฐานะการเงินดี   มีอายุพอสมควร เรียกว่าหน่วยก้านดี  แม้จะมาเป็นสมาชิกได้ไม่นาน ก็อาจจะได้เลื่อนฐานะทางศาสนา เป็นมัคนายก หรือ เป็นผู้ปกครองได้ไม่ยาก   หรือเรียกง่ายๆ ว่า เร็วหน่อย  เพราะจะได้เข้ามาช่วยแบกภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ของโบสถ์ที่นับวันจะสูงขึ้นตามภาวะของเศรษฐกิจ  เพราะคนมีฐานะย่อมมีอำนาจด้านการเงิน  เมื่อเขาเอาบ่าเข้าแบกงาน  ก็จะได้รับการหนุนใจให้บริจาคทรัพย์เข้าสู่โบสถ์  ภาระการหาเงินของโบสถ์ก็จะคล่องตัวขึ้น ซึ่งถือกันว่าเป็นการรับใช้อย่างหนึ่งที่สำคัญด้วยสำหรับผู้นำฆราวาส

ขอวกกลับมาเข้าเรื่องที่จะพูดถึงว่า  ทำไมต้องชวนคนมาโบสถ์   แค่เกริ่นนำก็เขียนต้นฉบับปาเข้าไปสองหน้ากระดาษกว่าแล้ว  ก็มีคำถามว่า ทำไมต้องเขียนเรื่องนี้  ทำไมต้องเอามาเล่าให้ละเอียดแบบนี้   ที่เล่าก็เพราะมีจุดประสงค์อยากเห็นสิ่งที่ดีกว่าเกิดขึ้น   การจะเอาสิ่งใหม่มาบอกก็ต้องเล่าสิ่งเก่า ซึ่งเป็นพฤติกรรมองค์กรของศาสนาคริสต์มาให้คนได้ตระหนักเสียหน่อย 

อย่าลืมว่า  คนที่เข้ามาอยู่ในพระคริสต์  แม้ว่าจะมีความรอดเป็นเป้าหมาย  แต่แท้จริง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้ว่า  แม้จะอยู่โบสถ์นานๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า   วิถีชีวิตแบบคริสต์จะทำให้เขาเกิดผลที่ดีกว่าเสมอไป ถ้าหากไปอยู่กับ องค์กรหรือโบสถ์ที่ ถือแต่เปลือกนอกของศาสนา  ถือการปกครอง  ถือระเบียบการ   สร้างโบสถ์ สร้างองค์กร  สร้างกลุ่มเพื่อความยิ่งใหญ่ของผู้นำ เพื่อหน้าตา  หรือเพื่อพระคริสต์  แต่ไม่มีการพัฒนายุทธศาสตร์ที่ดีกว่าในการจัดการ

ไม่แน่นะบางคนที่คิดว่าตัวเองรับใช้พระเจ้าอย่างสุดใจ  ทุ่มเทอย่าเต็มกำลัง แต่ต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า กับระบบศาสนาที่อ่อนแอ  บางคนคิดว่าตัวเองรู้แล้ว  แต่อาจไม่รู้ครบก็ได้  หรือบางคนอาจรู้แค่งูๆ ปลาๆ  ก็ว่ากันไป  ก็ทำงานรับใช้ไปหลายปี จนกลายเป็นความเชื่อ  ว่าการนำคนมาเชื่อพระเจ้า คือการชวนคนมาโบสถ์อย่างเดียว  ดีที่สุดแล้ว 

เอ๊ะ ยังมีวิธีอื่นที่ดีกว่าการพาคนมาโบสถ์อีกหรือ  มีแน่หรือ 

คำถามสำคัญคือ  ถ้าไม่ชวนคนมาโบสถ์ คนจะมีโอกาสได้ยินข่าวสารเรื่องการไถ่บาปของพระคริสต์ไหม (เรื่องการไถ่บาปนี้มีคำศัพท์ที่ชาวคริสต์ใช้กัน คือพระกิตติคุณ)   คนจะมาถึงความรอดได้หรือเปล่า ถ้าไม่ชวนเขามาโบสถ์   มีวิธีการประกาศพระคริสต์ที่ดีกว่าการชวนคนมาโบสถ์อยู่ไหม  วิธีใดหรือที่จะทำให้คนมารอดได้มากกว่าการชวนคนมาเข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์

คริสตชนส่วนใหญ่ หรือแม้แต่ผู้นำทางศาสนาคงปฏิเสธไม่ได้ว่า การพาคนมาโบสถ์เป็นวิธีการที่นิยมกันมาก  ผู้นำเชื่อและสอนสมาชิกอย่างเอาเป็นเอาตายว่า  สมาชิกที่ดีต้องประกาศพระคริสต์  และวิธีการที่ดีที่สุด คือการชักชวนคนใกล้ชิดของผู้เชื่อ ของสมาชิกไม่ว่าจะเป็นญาติ  สามี ภรรยา หรือเพื่อน ที่ยังไม่รู้จักพระคริสต์ให้มาโบสถ์  เพื่อจะได้เรียนรู้วิถีคริสต์  และรับเชื่อพระเจ้าในที่สุด  เมื่อรับเชื่อพระคริสต์แล้วก็จะได้รับสิทธิเข้าเป็นสมาชิกถาวรของโบสถ์ต่อไป

วิธีการนี้ดูเหมือนเป็นวิธีการที่สุดแสนคลาสสิค  เป็นอมตะก็ว่าได้  เชื่อว่าน่าจะเป็นวิธีการสำคัญที่ชาวคริสต์ที่มีคริสตจักรแบบอาคารถาวร หรือกึ่งถาวรนิยมใช้  ถือปฏิบัติกันมานาน  ตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อน   นานจนอาจไม่มีใครตั้งคำถามเลยว่า มีวิธีการอย่างอื่นอีกไหมในการประกาศพระคริสต์ที่จะได้ผลดีกว่าวิธีการพาคนมาเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์

เดือนที่ผ่านไป (มิ.ย. 2013) ผมได้ต้อนรับน้องสาวผู้เชื่อใหม่ที่มาเยี่ยมผมที่บ้านพร้อมกับคุณแม่เพื่อรับคำสอน และหนุนใจ  ขอพรให้อธิษฐานเผื่อ  หนุนใจในการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า  เธอเพิ่งเชื่อพระเจ้าได้ประมาณ  8-9 เดือน เธอเล่าว่า  ...

โปรดติดตามตอนที่ 2

ตอนที่ 2

HOME

rice mu: Authentic message from rice.mu  Copy righted

Tag: การประกาศพระกิตติคุณ + How to evangelize + Evangelism in Thailand + การประกาศข่าวประเสริฐในประเทศไทย + วิธีประกาศข่าวประเสริฐ + วิธีการประกาศข่าวดี

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ5/25/2566

    บางทีคนพิการ ก็ไม่ได้รับความสะดวกในการไปมนัสการที่โบสถ์ ท่าทีเฉยเมย เป็นการตอบสนองต่อคนพิการ

    ตอบลบ

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)