เคยมีคนโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับวิธีการขับผีเรื่อยๆ ว่า ทำอย่างไรผีมันจะออกจากการสิงสู่คน คริสเตียนบางคนมีลูกหลานที่อ่อนแอในความเชื่อ ไม่มีความเชื่อที่เข้มแข็ง ทำตัวเหลวไหลเป็นเวลานาน ต่อมาก็ถูกวิญญาณรบกวน บางคนถึงขนาดผีสำแดงอาการเข้าสิงอย่างรุนแรง พูดจาเพ้อเจ้อ แสดงตัวเป็นคนอื่น แสดงอาการผีเข้าอย่างชัดเจน
เมื่อพาคนถูกผีสิงมาหาเจ้าอธิการใหญ่ หรือ ผู้ปกครอง หรือพวกมัคทายกในโบสถ์ บางคนพอเจอคนถูกผีเข้าก็พยายามขับคนเดียว แต่เมื่อลองผีดู ขับยังไงผีก็ไม่ยอมออกจึงต้องใช้ตัวช่วย คืออาจต้องโทรศัพท์เรียกร้องให้พรรคพวกเพื่อนฝูง หรือพวกผู้ปกครองให้มากันมากๆ พวกเขารุมขับผีกันอย่างถึงพริกถึงขิง บางครั้งใช้เวลานานเป็นเวลาหลายวัน หลายคืนผีก็ไม่ยอมออก
ผู้นำความเชื่อบางคนได้รับความอับอายเพราะถูกผีด่าว่า เยาะเย้ยด้วยถ้อยคำรุนแรงและน่าอายว่า
"น้ำหน้าอย่างเมิงอย่ามาขับข้า เมิงก็เลว บาปหนา พอๆ กับข้านั่นแหละ"
(ผีพื้นบ้านไทยมักจะใช้คำภาษาโบราณในการสนทนากับคนที่พยายามขับมันอยู่เสมอ และหากเป็นวิญญาณประจำถิ่น ถิ่นไหน มันก็จะใช้ภาษาถิ่นนั้นๆ หากเป็นวิญญาณต่างประเทศก็จะใช้ภาษาแม่ของมันพูดผ่านคนที่มันสิงสู่ : หากผมไม่ลืม จะอธิบายวิธีการสื่อสารกะผีที่มันเป็นผีพูดภาษาต่างประเทศด้วย)
การขับผีตามพื้นฐานและวิธีปฏิบัติของชาวคริสต์ทั่วไปมักอาศัยการอธิษฐาน บางคนพออธิษฐานไม่ออกก็ต้องใช้อุปกรณ์ที่คิดว่าของศักดิ์สิทธิทางศาสนาเข้าช่วย บ้างก็เอาพระคัมภีร์เล่มใหญ่ๆ ฟาดหัวคนถูกผีเข้า บ้างก็ช่วยกันจับคนผีเข้าขึงผืด บ้างก็ช่วยกันจับมัด บ้างก็รุมอธิษฐานขับผีด้วยการแผดเสียงดังสนั่น บ้างก็เป็นไทยมุง ไม่ได้ทำอะไรแต่อยากรู้อยากเห็น เจ้าอธิการของโบสถ์ ก็ใส่ชุดครุยอย่างดี ออกมาวางมาดอธิษฐานขับผี ตอนแรกดูมีมาดเท่ ท่าทางจะขับได้ เพราะอาจารย์ท่านเก่่งด้านความรู้ทางพระคัมภีร์ไบเบิ้ล สอนเก่ง สอนสนุก เชี่ยวชาญด้านความรู้ทางศาสนาจนหาตัวเทียบได้ยาก แต่พอมาเจอโจทย์ขับผี ศาสนาจารย์ผู้นำแห่งความเชื่อของชาวคริสต์บางคนพยายามขับเท่าไหร่ผีมันก็ไม่ยอมออก เอามือดันหัวคนถูกผีเข้าจนคอแทบจะหลุดก็ไม่ออก บางคนเอามือกดหัวคนถูกผีเข้าจนขยับไม่ได้ ขับผีจนเหงื่อไหลไคลย้อยเป็นชั่วโมงๆ คิดไม่ออกบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนถูกลูบคม ไร้ราศี คิดในใจ "กูเสร็จแน่คราวนี้"
ตัวอาจารย์เองก็เกิดความคิดสับสนว่า ทำไมผีมันไม่ยอมออก เกิดสงสัยตัวเองว่า ตัวเองเป็นผู้เชื่อแท้หรือเปล่า สงสัยว่า ทำไมตัวเองจึงขับผีไม่ออก นึกสงสารตัวเอง ว่า "น่าอายๆ" คิดในใจว่า "ตายแน่กูคราวนี้ เสร็จผีแน่ๆ "
ผู้นำความเชื่อบางคนเสียรูปมวยเพราะเจอผีดื้อนี่แหละ การขับผีไม่ออก บางคนต้องได้รับความอับอายขายหน้าแสนสาหัส เพราะอาจมีคนเข้าใจไปว่า การที่อาจารย์ใหญ่ขับผีไม่ออก อาจเป็นเหมือนการบ่งบอกถึงระดับการเจิมที่ตกต่ำ และอาจเป็นคนที่ไม่มีอะไรที่ทำให้ผีมันกล้ว คำสอนที่บอกว่า มีพระอยู่ด้วยกับผู้นำจึงเป็นเพียงข้ออ้างและคำสั่งสอนลอยๆ ที่พิสูจน์ด้วยการขับผีแล้วว่าพบว่าอาจารย์อาจไม่มีองค์อยู่ด้วย เป็นการเปิดโปงให้เห็นว่าอาจมีนักการศาสนาจอมปลอมที่ไร้ฤทธิเดชของพระเจ้าอยู่แถวๆ นี้ ชาวบ้านนึกว่าเป็นผู้คงแก่การเจิม แท้จริงเป็นเพียงพวกแหกตาชาวบ้าน ไม่มีฤทธิ์ไม่มีเดช ดีแต่คุยโม้
ทั้งๆ ที่เขาก็เชื่อพระเจ้าอย่างสุดชีวิต แต่ทำไมนักการศาสนาใหญ่หลายๆ คน ขับผีไม่ออก การขับผีไม่ออกอาจเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งที่บ่งบอกถึงระดับการเติบโตด้านจิตวิญญาณ ระดับการครอบครองฤทธิ์เดชของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ที่นักการศาสนาคนนั้นได้รับการถ่ายทอดมา หรือบ่งบอกถึงระดับการเจิมอันน้อยนิด ที่มีอยู่ในตัวนักการศาสนาคนนั้นซึ่งไม่เพียงพอ ที่จะขับดันผีระดับสัมภเวสีให้ออกจากคนได้อาจเป็นได้
นักการศาสนาหรืออาจารย์ใหญ่ บางคนไม่อยากขับผี กลัวผี ไม่กล้าสู้ผี หลบผีมาตลอด แต่วันหนึ่งเกิดจับพลัดจับถู มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ต้องมารับหน้าที่เป็นเจ้าอธิการใหญ่ของโบสถ์ใหญ่ เพราะตำแหน่งเจ้าอธิการหรือเจ้าอาวาสมันให้ เจอไฟท์บังคับ บางคนจึงโชคไม่ดีถูกเชิญให้ไปขับผี นักการศาสนาเป็นระดับศาสนาจารย์และเป็นเจ้าอาวาสใหญ่จึงต้องจำใจต้องทำพิธีขับผี บ้างไม่กล้าออกบ้านไปทันที รู้สึกว่าท้องใส้ปั่นป่วน วิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำ ทำเป็นหาแว่นตาไม่เจอบ้าง หากางเกงไม่เจอบ้าง เพื่อถ่วงเวลาให้คนผีเข้าหยุดแสดงอาการไปเอง
เมื่อไปถึงบ้านของผู้ถูกผีเข้า อาจารย์ใหญ่ก็ทำการขับผี นักการศาสนาผู้คงความรู้กลับทำไม่เป็น เหมือนคนกินหอยไม่เป็น ดูดเท่าไหร่มันก็ไม่ออก อธิษฐานก็แล้ว เอาหนังสือไบเบิ้ลฟาดหัวคนถูกผีสิงก็แล้ว ขอคนช่วยกันจับ ช่วยกันมัดก็แล้ว แต่อาจารย์ดันขับผีไม่เป็น ขับยังไงก็ขับไม่ออก อาจารย์ใหญ่ แทบร้องไห้เป็นเด็กทารกเลยทีเดียว บางคนเมื่อทำไม่ได้ไม่รู้ทำอย่างไร อ้างมันลอยๆ ว่า "ผมไม่มีของประทาน"
คำๆ นี้ผมพูดหลายครั้งในเว็บบล๊อคนี้ ผมขอฟันธงในที่นี่อีกครั้งว่า "การขับไม่ใช่ของประทานครับ"
ใครพบข้อความที่บอกว่า การขับผีเป็นของประทานในคัมภีร์คริสต์ ให้มาหาผมนะครับ ผมจะกราบเท้าคนนั้นและจะเขียนขอโทษ ชาวคริสเตียนทั่วโลก การขับผีคือสิทธิอำนาจของผู้เชื่อ แต่ต้องมีองค์ความรู้ ต้องมีอาจารย์สอน ต้องเรียนรู้ น่าเสียดายวิชานี้ไม่มีสอนในโรงเรียนอบรมของชาวคริสต์
อาจารย์ศาสนาคริสต์บางคนเกิดรอยแผลในใจรูใหญ่ๆ เกิดความขัดแย้ง เสียหน้า เพราะเรื่องการขับผีไม่ออกก็มีมากหลายคน บางครั้งสมาชิกของตัวเองพาคนถูกผีสิง ผีรบกวนไปหาอาจารย์โบสถ์อื่น คณะอื่น ให้ขับออกเพราะตัวเองทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ผู้นำน่าจะดีใจที่สมาชิกได้พ้นภัย กลับไปด่าว่าสมาชิก ห้ามสมาชิกไม่ให้ไปที่อื่น เพราะตัวเองเคยได้รับการดูถูกว่า บ่ม่ไกด์ ไร้ฤทธิ์เดชมาแล้ว
ในข้อนี้ผมไม่ได้เขียนเพ้อเจ้อ กรณีนี้ผมเจอบ่อยๆ อาจารย์ที่อ้างว่าเป็นอาจารย์ใหญ่ ใส่ครุยหรู มีตำแหน่งศาสนศักดิ์โก้ บ้างคนที่ชอบอวดรูปตอนไปวางมือเจิมแต่งตั้งศาสนศักดิ์ให้เห็นบ่อยๆ ตามเฟซบุ๊ค นักการศาสนาระดับบิ๊กอยู่โบสถ์ใหญ่มีสมาชิกเป็นจำนวนหลายร้อยคน ทั้งผู้ดูแล ทั้งอาจารย์ใหญ่ ช่วยกันขับผียังไง ผีก็ไม่ออก พอคนที่เขามีประสบการณ์อยากไปช่วยขับให้ฟรีๆ มันดันไม่ให้เขาเ้ข้าไปช่วยเหลือ สมาชิกจะออกมามันก็ไม่ให้ออกมา มันอ้างว่า "เป็นเรื่องภายในของเรา" ฟังมันพูดน่าอายไหมล่ะ นี่เรื่องจริงนะ
เอ้าซิ พี่น้องเอ๋ย สมาชิกของเขากำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงภัย เนื่องจากถูกวิญญาณร้ายรบกวน พวกนี้มันยังห่วงแต่หน้าตาของมัน ไม่ยอมให้เขาไปหาอาจารย์ที่ขับผีเป็น ยังไม่พอ มันยังใช้ข้ออ้างมั่วๆ อีก
ถ้าเป็นผมนะ โบสถ์แบบนี้ผมไม่เอาเงินสิบลดไปถวายให้เสียเวลาหรอก เพราะพวกนี้อาจเป็นเหมือนเพียงนักขายประกันรถยนต์ที่เอาตังค์เราไปแล้วดันไม่ส่งบริษัทแม่ พวกเอาเงินค่าประกันชั้นหนึ่งของเราตังค์เป็นหมื่นๆ ไปกินฟรีส่วนตัว หากรถเราไม่มีอุบัติเหตุมันก็กินฟรีเราไปเรื่อยโดยที่เราไม่รู้เรื่องเลย หากวันไหนเราเกิดโชคไม่ดีรถโดนชน เวลาเราโทรไปเคลมมันก็จะบอกว่า "ขอตรวจดูการส่งเิงินก่อนนะครับ" พวกจะแกล้งทำัชักช้า ถ้ารถเราแค่ถลอกซ่อมไม่แพง มันก็ยอมจ่ายให้เองสักสองสามพัน แต่ถ้าเจอเรื่องหนักๆ ในที่สุดมันก็เผยไต๋ออกมาว่า บริษัทประกันดีๆ แต่มีนายหน้าปลอมๆ เป็นพวกนักต้มตุ๋น ไม่รับผิดชอบลูกค้า คนทำประกันชั้นหนึ่งรถยนต์ก็ต้องช้ำใจเหมือนกรณีผีสิงแล้วพวกขับไม่ออกนี่แหละ สะใจไหม
บางคนคิดว่าพาคนผีเข้าไปขับผีในโบสถ์แล้วนึกว่าผีจะกลัวโบสถ์ ที่ไหนได้ ยิ่งทำให้ขายหน้ามากขึ้น เพราะผีมันไม่กลัวโบสถ์ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ยิ่งเวลาการขับผีขยายเนิ่นนานไป ยิ่งเป็นการสร้างความขายหน้าประชาชีให้แก่เจ้าอาวาส เพราะไทยมุงทั้งคริสต์และไม่คริสต์พากันวิพากษ์วิจารณ์ วิธีการขับผีของท่านอาจารย์และ สมาชิกอาวุโส ที่ทำไม่ได้สักที ปิดบัญชีไม่ลง บางคนถูกคนเล่าลือไปต่างๆ นานาว่า "บ่มีกึ๋น บ่มีไกด์ "
ผมได้รับทราบมาว่า การขับผีอีกวิธีหนึ่งของผู้นำที่ไม่สามารถขับผีได้ คือพวกเขากะเกณฑ์คนให้ไปนมัสการพระเจ้าร้องเพลงเสียงดังที่บ้านคนถูกผีเข้าทุกๆ คืน จนคนถูกผีเข้าและญาติได้รับความเดือดร้อนเพิ่มเติมเนื่องจากต้องคอยต้อนรับ และเสียค่าเลี้ยงดูผู้มาเยี่ยมเยียนด้วยความหวังดีทุกๆ คืน บางครั้งใช้เวลาเป็นเดือนอาการผีเข้าก็ยังไม่ยอมหยุด ผู้นำบางคนสรุปง่ายว่า "ไม่ใช่ผีเข้า เป็นโรคจิต" แล้วก็แนะนำคนให้ส่งคนผีเข้าไปที่โรงพยาบาลประสาท หรือศรีธันยาเสียเลย
ตลกไม่ออกเลยใช่ไหมครับ คนมันเรียนมาแต่เรื่องความรู้ทางศาสนา ไม่มีประสบการณ์กับฤทธิ์เดชของพระเจ้าด้วยตนเอง ได้รับรู้แต่เรื่องในคัมภีร์แต่ไม่มีฤทธิ์เดชในตัวเองจากการศึกษานั้น
ดังนั้นชาวคริสต์ทั้งหลายทั้งเชื่อใหม่ และเืชื่อเก่า โดยเฉพาะคนที่่คนอื่นอาจคาดหวังว่าใครเป็นอาจารย์ใหญ่ บางคนมีศาสนศักดิ์นำหน้าชื่อยาวๆ อาจต้องมาสนใจเรื่องการปลดปล่อยกันให้มากขึ้นนะครับ เพราะไม่วันใดก็วันหนึ่งเหตุการณ์ผีเข้า ผีสิงอาจเกิดขึ้นกับคนที่อาจารย์ใหญ่ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย เมื่อเหตุการณ์ผีเข้ามาถึง อาจารย์ใหญ่จึงจะสามารถปฎิบัติการหรือให้คำชี้แนะได้พอสมควร และสิ่งนี้จะไม่ทำให้ขายหน้า เมื่อมีคนบอกว่า ดูซิอาจารย์ใหญ่ขับผีไม่ออก ไร้น้ำยา ไหนสอนว่าผีทำอะไรเราไม่ได้ "เห็นไหม อาจารย์ใหญ่ หัวหน้าเราไม่มีน้ำยาจริงๆ"
ตั้งแต่เริ่มแรกมาแล้ว พระเยซูเข้ามาในโลกนี้ พระเยซูไปที่ไหนพระองค์ก็ปฏิบัติการขับผี ไล่ผี ปลดปล่อย รักษาโรค พระเยซูไม่เพียงทำคนเดียว แต่พระองค์ยังสั่งให้สาวกออกไปเป็นคู่ๆ เพื่อไปฝึกปฏิบัติการประกาศเรื่องราวของแผ่นดินของพระเจ้าที่เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจเหนือผี และความป่วยใข้
แต่่ผู้เชื่อพระเยซูจำนวนไม่น้อยในยุคปัจจุบัน ได้ละเลยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า หันไปสนใจแต่ความรู้ทางศาสนา และศาสนพิธีเพียงด้านเดียว จึงอาจทำให้พระกิตติคุณ หรือตัวหนังสือบางเล่มที่่เป็นของพระเยซู เป็นตัวหนังสือที่ขาดองค์ประกอบสำคัญที่ครบถ้วน เนื่องจากคนบางกลุ่มก็เน้นแต่พระคำ บางกลุ่มก็เน้นเจิมๆ บ้างก็เน้นล้มๆ ลุกๆ บ้างก็เน้นเต้นๆ รำๆ บ้างก็เน้นพิธีกรรม บ้างก็ไม่เน้นอะไรเลยปล่อยตัวตามสบาย วันอาทิตย์ก็มานั่งฟัง ผ่านไปปีแล้วปีเล่า ไม่สามารถนำใครมารอดได้มากนัก บางคนในช่วงเวลาหนึ่งปี ไม่สามารถนำใครมารอดได้เลยแม้แต่คนเดียว น่าเจ็บใจตัวเองมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำฉันใด เพราะสิ่งนี้มันคือความตีบตันทางวิญญาณที่หมักหมกมานาน จนกลายเป็นมะเร็งร้าย
การเน้นการสื่อพระกิตติคุณแบบไม่ครบองค์ประกอบ อาจเปรียบเหมือนนักรบที่ใส่ชุดเกราะที่ไม่ครบสมบูรณ์ บางคนใส่เพียงเสื้อเกราะ แต่ไม่มีเข็มขัด บางคนมีทุกอย่างแต่ไม่มีรองเท้า ไม่มีเกราะอก ไม่มีโลห์ ไม่มีดาบ คริสเตียนส่วนใหญ่ไม่มีชุดเกราะครบชุด บ้างมีหมวกมีเกราะแต่ไม่มีดาบ ชาวคริสต์ส่วนใหญ่มีพระแสงดาบของพระวิญญาณอยู่ในหนังสือคัมภีร์ไบเบิ้ลเท่านั้น ไม่มีอยู่ในหัว เพราะพวกเขาหย่อนยานเรื่องการท่องจำ และการภาวนาถ้อยคำของพระเจ้า เขาสอนแต่เด็กอนุบาลให้ท่องจำเพื่อไม่ให้เด็กว่างเท่านั้น แต่ชาวคริสต์ผู้ใหญ่ไม่ค่อยมีใครทำ ดาบของเขาเลยไม่มีคม ชาวคริสต์ส่วนใหญ่มีแต่หมวกแห่งความรอดอย่างเดียว ขอให้ฉันรอดก็พอแล้ว ไม่สนจะไปรบราฆ่าฟันกะใครแล้ว ขออยู่ในความเชื่อของฉันแบบเงียบๆ ก็เพียงพอแล้ว โอ้อนิจา ทำไมถึงเป็นไปได้ถึงเพียงนี้
ผมคิดว่าคงมีใครที่ใหญ่และทรงฤทธิ์ ผู้ที่ชาวคริสต์เอาชื่อของท่านมาอ้างเป็นชื่อของพระเจ้าของตน ถ้าพระองค์ได้เห็นพฤติกรรมแบบนี้คงส่ายหน้า และรู้สึกไม่ปลื้มกับพฤติกรรมหย่อนยานของคนเหล่านี้ยิ่งนัก เพราะพระองค์บอกอย่างชัดเจนว่า มีคนเชื่อที่ไหนเขาจะขับผีออก และวางมือบนคนป่วยจะหาย และเมื่อพระองค์จะจากไป พระองค์ย้ำนักย้ำหนา ว่าให้ไปสร้างสาวก แต่ผู้เชื่อปัจจุบันมีใครเป็นสาวกบ้าง เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดความรู้ทางศาสนาไปเสียส่วนใหญ่ใช่หรือไม่ใช่
เมื่อการสอน การปฏิบัติของชาวคริสต์ เป็นเช่นนี้จึงทำให้องค์ประกอบของพระกิตติคุณที่เขาถือครองอยู่ ไม่ครอบคลุมเนื้อหาคำสอนและไม่ครบองค์ประกอบสำคัญในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม ชาวคริสต์จึงไม่สามารถใช้สิ่งที่มีฤทธิ์อำนาจตามที่พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิได้กล่าวไว้ แม้แต่ผู้นำทางความเชื่อกิันเงินเดือนจากหน่วยเหนือเดือนละหลายหมื่นก็ไม่สามารถใช้สิ่งที่มีฤทธิ์อำนาจในแผ่นดินของพระเจ้าในการทำสงครามกับมารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะผู้สอนพระกิตติคุณของนักการศาสนาจำนวนไม่น้อย สอนไม่่ครบ องค์ประกอบ
บางกลุ่มเน้นแต่ด้านใดด้านหนึ่ีงเท่านั้น เน้นแต่เรื่องข้อถกเถียงในคัมภีร์ หลักข้อเชื่อ การสำรวจร่องรอยการเดินทางของสาวกเปาโล พิธีกรรมต่างๆ เน้นถ้อยคำ เน้นจริยศาสตร์ การปฏิบัติเช่นนี้อาจเป็นเหมือน ครูบางคนที่สอนนักเรียนแต่เรื่อง บวกๆ ลบๆ ในชั้นเรียนประถม สอนจนเด็กจะจบชั้นประถมหกแล้ว ยังไม่สามารถทำเลขคูณเลขหารได้ นักเรียนบางคนอ่านหนังสือไม่่ออก เพราะผู้สอน สอนแต่สิ่งง่ายๆ เท่านั้น ดังนั้นชาวคริสต์บางคนจึงกลายเป็นตัวหนังสือที่ให้แต่ความรู้ทางศาสนาเท่านั้น ไม่มีฤทธิ์อำนาจออกมาจากผู้ที่เชื่อเหล่านี้เพียงพอที่จะมีผลกระทบต่อสังคมที่พวกเขาอยู่
ก่อนที่ผมจะเล่าต่อเรื่องนี้ ผมอยากให้ศึกษาจากวิธีการขับผีของพระเยซูคริสต์ก่อนนะครับ หลังจากนั้นผมจะบรรยายเกี่ยวกับประสบการณ์การขับผีของผมและทีมงาน ที่เรามีประสบการณ์เรื่องการขับผีและ การวางมือรักษาโรคมาพอสมควร นอกจากนี้ผมก็จะเล่าการขับผีแบบไทย และแบบอื่นๆ และตามแบบที่คริสเตียนเมืองนอกเขาทำกันว่าเขาทำกันอย่างไร เพื่อเป็นข้อคิด อาจเป็นแนวปฏิบัติแก่พี่น้องคริสเตียนบางคน ที่ยังมีประสบการณ์ในด้านนี้ไม่มากนัก
การเผยแพร่และสร้างความเข้าใจเรื่องการขับวิญญาณนี้ อาจเป็นประโยชน์สำหรับบางคนที่อยากก้าวไปกับพระเยซูคริสต์ด้วยฤทธิอำนาจของพระเจ้า เพื่อที่ว่า วันหนึ่่งหากผู้เชื่อพระเยซูได้มีโอกาสเจอคนถูกวิญญาณรบกวน หรือถูกผีสิง เมื่อถึงเวลานั้นอาจเป็นโอกาสที่ท่านจะได้รับใช้พระเจ้าและมนุึษย์ เพื่อปัดเป่าทุกข์ภัยที่เกิดจากวิญญาณรบกวนได้ ในเวลานั้นเมื่อใครมีโอกาสทำการไล่ผี ท่านจะสามารถทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้คนรุมทั้งโบสถ์ก็จะสามารถขับผีได้ง่ายๆ ไม่ต้องเสียหน้า เสียรูปมวย และที่สำคัญไม่ทำให้พระนามของพระเจ้าเสียหาย เพราะเอาไปใช้แล้วไม่ได้ผล เพราะคนทำไม่มีความเชื่อ ทำไม่เป็น
(การขับผีของคริสเตียนมีความแตกต่างกันอย่างมากกับการขับวิญญาณของนักบวชศาสนาอื่น เพราะคริสเตียนขับผีให้ออกด้วยการขับไล่ แต่ของนักบวชศาสนาอื่น ใช้วิธีต่อรองและการ เจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ให้กัับวิญญาณที่มาสิงสู่ในคน เพื่อให้มันหยุดพฤติกรรมสิงสู่)
เจ้าอธิการบางคนไล่ผี ขับวิญญาณไม่ออก เขาทำอย่างไรก็ไม่ออก เขาจึงต้องโทรไปถามอาจารย์ใหญ่คนโน้นคนนี้ เพื่อถามวิธีการว่าทำอย่างไรผีมันจึงจะออก เมื่อได้รับรู้วิธีการแล้ว พอตัวเองเอามาทำเอง พยายามไล่ผีอย่างไร ผีก็ไม่ยอมออกอยู่ดี จนรู้สึกท้อแท้ใจ เพิ่งรู้สึกถึงความอ่อนแอด้านฤทธิอำนาจของตัวเอง ทั้งๆ ที่ตัวเองมีตำแหน่งใหญ่ เป็นถึงเจ้าอธิการ เป็นผู้ปกครองดูแลผู้เชื่อเป็นร้อยๆ คน แต่ไล่แค่ผีตายโหงธรรมดายังไม่ออก บางคนไล่ผีออกได้แล้ว ไม่ใช่เพราะผีมันกลัว แต่เพราะผีมันรำคราญที่หลายคนรุมด่ามัน รุมจับมัน มันแค่พักยกเท่านั้น ไม่นานมันก็กลับมาเข้าสิงอีก เป็นแบบนี้จนน่าเบื่อ หาวิธีการอย่างไรก็ไม่ได้สักที
ก่อนที่ผมจะเล่าเรื่องต่อ ลองอ่านวิธีการขับผีของพระเยซูก่อน
คนหนึ่งในฝูงชนทูลพระเยซูว่า
“ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าได้พาลูกชายมาหาท่านเพราะมีผีใบ้เข้าสิง เมื่อไหร่ก็ตามที่ผีเข้าสิงตัวเขา มันจะทำให้เขาล้มชัก น้ำลายฟูมปาก กัดฟัน และตัวแข็งทื่อ ข้าพเจ้ามาขอให้พวกสาวกของท่านขับมันออก แต่พวกเขาไม่สามารถทำได้”
พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า
“โอ นี่เป็นยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกท่านนานแค่ไหน? และจะต้องอดทนกับพวกท่านนานเพียงไร? จงพาเด็กคนนั้นมาหาเราเถิด”
พวกเขาจึงพาเด็กคนนั้นมาหาพระองค์ เมื่อผีนั้นเห็นพระเยซู มันก็ทำให้เด็กล้มชักทันที และลงไปกลิ้งเกลือกที่ดิน มีน้ำลายฟูมปาก
พระเยซูจึงตรัสถามผู้เป็นบิดาว่า
“เขาเป็นอย่างนี้มานานเท่าไหร่?” บิดาทูลตอบว่า “ตั้งแต่เขายังเล็กๆ และผีมักจะทำให้เขาตกในกองไฟหรือในน้ำ เพื่อจะฆ่าให้ตาย ถ้าท่านสามารถช่วยได้ก็โปรดสงสารและช่วยเราทั้งสองด้วย”
พระเยซูจึงตรัสกับบิดานั้นว่า
“ 'ถ้าช่วยได้' น่ะหรือ ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง” บิดาของเด็กจึงร้องทูลทันทีว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ และขอโปรดช่วยในส่วนที่ขาดอยู่ด้วยเถิด”
เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นฝูงชนกำลังวิ่งเข้ามา พระองค์ตรัสห้ามผีโสโครกนั้นว่า
“เจ้าผีใบ้หูหนวก เราสั่งให้เจ้าออกจากตัวเขา และอย่ากลับเข้ามาสิงในตัวเขาอีก” ผีนั้นจึงร้องเสียงดังและทำให้เด็กคนนั้นล้มชักอย่างรุนแรง แล้วมันก็ออกมา เด็กคนนั้นก็แน่นิ่งเหมือนคนตายจนคนส่วนมากกล่าวว่า “เขาตายแล้ว” แต่พระเยซูทรงจับมือพยุงเด็กคนนั้น เขาก็ยืนขึ้น
เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในบ้านแล้ว พวกสาวกก็มาทูลถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า
“ทำไมพวกข้าพระองค์ถึงขับผีนั้นออกไม่ได้?”
คัดย่อจาก พระธรรม มาระโก บทที่ 9
การขับผีมีหลายระดับ เพราะวิญญาณมีหลายระดับ (เอเฟซัส บทที่ 1, 6) บางคนเคยขับผีพื้นบ้านธรรมดา ผีปอบ สัมภเวสีหรือผีเร่ร่อน อาจจะสามารถทำได้ง่ายๆ บางคนเคยขับผีมาได้ไม่มากประมาณ สิบยี่สิบตัว อย่าเพิ่งเย่อหยิ่งไป การขับวิญญาณในพันธกิจประกาศข่าวประเสริฐด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าไม่ใช้เรื่องง่าย และการเรียนรู้ก็ไม่มีที่สิ้นสุด คนที่บอกว่าสำเร็จแล้ว ผมรู้แล้ว ไม่แน่นะครับเขาอาจเป็นแค่กบน้อยในบวกควายก็ได้ (บวกควาย อาจแปล กบน้อยในกะลา)
ตอนที่ผมเริ่มเข้ามาสู่พันธกิจการปลดปล่อยใหม่ๆ พระเจ้าเมตตาให้ผมได้มีประสบการณ์ขับผีกับอาจารย์จากต่างประเทศท่านหนึ่ง คืออาจารย์ บรูซ ทอมสันส์ ชาวออสเตรเลีย ผมร่วมขับผีกับอาจารย์เนื่องจากเราทำการประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องพระเยซู ด้วยการออกไปทำเวทีประกาศตามที่สาธารณะ คล้ายๆ ของอาจารย์มัทธิว แต่่เราไม่ได้ทำใหญ่ขนาดนั้น เราทำแบบเล็ก แต่ก็มีการวางมือรักษาโรคเหมือนกัน
ครั้งใดที่เราไปทำการประกาศแบบนี้ เรามักจะได้พบกับปรากฎการณ์ของวิญญาณที่เข้ามารบกวน ด้วยการเข้าสิงสู่ในคน ทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายไม่น้อย ต่อมาผมเริ่มขับวิญญาณเอง เมื่อประมาณสามปีที่ผ่านไป ผมได้พบกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่อยู่ที่ น้ำโสม จังหวัดอุดรธานี คืออาจารย์เชษฐา (ขออนุญาตเอ่ยนาม) ผมก็คุยให้ท่านฟังเกี่ยวกับประสบการณ์การขับผีของผม เพราะตอนนั้นผมได้มีประสบการณ์การขับวิญญาณมาบ้างแล้ว ผมรู้สึกเบิกบานใจ และเข้าใจว่า ตัวเองมีความรุ้เกี่ยวกับการขับผีมามาก
ผมบอกอาจารย์เชษฐาอย่างภาคภูมิใจไปว่า "อาจารย์ครับ ผมเคยขับผีมากหลายตัวแล้วนะครับ" อาจารย์เชษฐา บอกกับผมพร้อมกับหัวเราะเหมือนกับจะเย้ยผม
อาจารย์เชษฐา ตอบผมว่า
" อาจารย์ยังมีประสบการณ์ไม่มาก อย่าเพิ่งดีใจไป ของผมเจอมาเป็นร้อยๆ พันๆ ตัวแล้ว"
(ผมแอบรู้สึกว่า อาจารย์ำกำลังพูดยกตนข่มท่าน )แต่ผมไม่ได้แสดงอาการอะไร เพียงแต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้เงียบๆ
เมื่อผมกลับมาบ้าน ผมได้พบกับประสบการณ์เกี่ยวกับการขับผีนี้ บ่อยมาก แทบทุกเดือนก็ว่าได้ แล้วผมก็มาถึงบางอ้อว่า แท้จริงอาจารย์เชษฐา แห่งน้ำโสม จังหวัดอุดรไม่ได้อวดตัวเลย เพราะท่่านอยู่อิสาน ดินแดนที่มีการนับถือวิญญาณบรรพบุรุธ และถือพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีอย่างเข้มข้น ท่านจึงได้พบมาก และในตอนนั้นผมเองเพิ่ง...
โปรดติดตามบทความนี้ ....ในตอนต่อไป
HOME กลับไปหน้าแรก
อ่านการขับผีตอนที่ หนึ่ง คลิก
อ่านการขับวผีตอนที่สอง คลิก
อ่านการขับผีตอนที่ สาม คลิก
อ่านแล้ว ฮาดี 555 เสร็จผีแน่ตู 555
ตอบลบ