คนชอบอวดพระเจ้า-จะอวดกันไปถึงปีไหน- A remark on Thai servants

Do you dare to preach the Gospel of Jesus by challenging people to receive Christ.

ที่ผ่านๆ มาไม่ค่อยมีใครกล้าแซว หรือกระเซ้าเรื่องพฤติกรรมของอาจารย์ชาวคริสต์มากเท่าไร วันนี้ผมขออนุญาตจะคุยให้ฟัง

ครั้งหนึ่งผมไปเทศนาในงานของเยาวชนแห่งหนึ่ง หลังจากที่ผมเทศนาเรื่องฟาริสี -(คลิก) เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ วันที่ 19 (หาในเว็บนี้ คำว่า “ฟาริสี” ) เสร็จ มีศาสนาจารย์ คนหนึ่งชมผมว่าเทศนาได้ดี เพราะปรากฏว่ามีการปลดปล่อยมีการเจิมของพระเจ้า แต่เมื่อเวลาผ่านไป 3 เดือนผมได้รับทราบมาว่า ศาสนาจารย์คนเดียวกันนี้ได้นินทาผมลับหลังให้คนอื่นฟังว่า การเทศนาในคำวันนั้นของผู้เทศน์ เป็นการเทศนาที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนศาสตร์

คำพูดสองด้านของท่านทำ ให้ผมตระหนักได้ทันทีว่าวิญญาณพวกฟาริสีมันเป็นอย่างไร คนประเภทนี้ต่อหน้ามักจะชมว่าดี แต่ลับหลัง กลับมีพฤติกรรมปฏิเสธและทำร้ายคนอื่นข้างหลัง ถ้าผมเป็นรุ่นพี่ รุ่นเดอะอย่างเขา ผมคงกล้าที่จะติและแนะนำคนรุ่นใหม่ๆ ที่เพิ่งเข้าสู่วงการการรับใช้พระเจ้าอย่างจริงใจ และด้วยวิธีการที่นุ่มนวล แบบตัวต่อตัวเพื่อส่งเสริมเขาให้เขาก้าวต่อไปด้วยฤทธิเดชและการเจิมของพระ เจ้า หากเขาอ่อนด้อยตรงไหน เราในฐานะผู้มีประสบการณ์ต้องคอยสอน คอยเสริม และอธิษฐานเผื่อเขา มากว่าการนินทาลับหลัง หรือเหยียบย้ำซ้ำเติมให้จมดิน ไม่ได้ผุดได้เกิด

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ผมรำลึกถึงเรื่องหนึ่งที่นักสอนศาสนาชาวคริสต์หลายคนชอบทำกันมาจนเรียกว่าเป็น ประเพณีเลยก็ว่าได้ คือ การเทศนาอวดอ้างความดี และฤทธิอำนาจของพระเจ้า

ครั้งใดที่พวกเราไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด หรือใครๆ ที่ไม่นับถืออะไรสักอย่าง หรือเป็นใครๆ ที่ชอบนับถือวิญญาณบรรพบุรุธ หากท่านมีโอกาสได้ไปงานศพของคริสเตียน คนไปร่วมจะได้ฟังคำเทศนาของนักการศาสนาที่จบจากวิทยาลัยพระคริสต์ธรรมอันมีชื่อเสียง ผู้เทศนาอาจที่ได้รับเชิญให้มาเทศนา บางคนมีคำนำหน้าชื่อที่แสดงถึงศักยภาพ สถานภาพ และภูมิรู้ของผู้เทศนา เช่น ศาสนาจารย์ ด๊อกเตอร์, ครูศาสนา ด๊อกเตอร์, ศาสนาจารย์ รองศาสตราจารย์ ด๊อกเตอร์ บางคนคำนำหน้าชื่อยาวยังไม่พอ มีนามสกุลดังอีกต่างหาก นัยว่าท่านเหล่านี้เป็นอาจารย์ทางศาสนาคริสต์ที่มีชื่อเสียงและมีคุณวุฒิอันน่านับถือ น่าเลื่อมใส

การที่ท่านได้รับเชิญอาจไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขาเป็นสาวกที่กอปรด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้าหรืออะไร แต่ด้วยการที่เขาอยู่มานาน มีบารมีและได้ทำความดีในสังคมมาไม่น้อย อยู่ในวงการหรือมีเส้นมีสายคนรู้จักเยอะ บางคนเป็นนักการศาสนาที่อยู่โบสถ์ใหญ่ และมีคนนับถือรู้จักมากมาย จึงได้รับเกียรติให้ไปแบ่งปันคำพยานในงานศพ ซึ่งก็นับว่าเป็นคุณความดีของท่านเหล่านั้นที่ได้อุตส่าห์ พากเพียรเล่าเรียน จนมีคุณวุฒิ วัยวุฒิ และได้สะสมคุณความดีไว้มาก จนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป

เมื่อผมลองทบทวนดูคำเทศนาของพวกอาจารย์ทางความรู้ทางศาสนาเหล่านี้หลายๆ คน ผมสังเกตได้อย่างหนึ่ง อาจเป็นได้ว่าบางคนอาจไม่ชอบสังเกตอะไร  ไม่สงสัยอะไรเกี่ยวกับนักเทศน์ เพราะคำเทศนาของใครๆ มันก็คงคล้ายๆ กัน ถ้าใครยังไม่เคยคิดจะสังเกตหรือเบื่อที่จะฟัง ขอให้คุณลองตั้งใจฟังอีกสักครั้ง

ในงานศพของชาวคริสต์ หรืองานใดๆ ที่คริสเตียนเชิญชวนคนที่ยังไม่ยอมรับเชื่อพระเยซู ผู้สอนเหล่านี้จะเทศนาอวดว่าพระเจ้าของเขาดีอย่างนั้นดีอย่างนี้  พระเยซูรักษาโรค พระเยซูขับผี  สาวกของพระเยซูขับผี รักษาคนป่วย  และคนที่มาหาพระเยซูจะได้อย่างนั้นอย่างนี้  อวดว่าการดำเนินชีวิตของคริสเตียนดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ การเชื่อพระเจ้าจะได้รับชีวิตมีสุขมากกว่าชาวโลกทั่วไป

การเทศนาจะพยายามบอกว่า คนที่มีพระเจ้าจะดีเลิศเลอ เพอเฟค และที่ขาดไม่ได้คือ การเล่าอวดคุณงามความดีของคนที่ตายไปแล้ว การเทศนาแบบนี้มันไม่มีความแตกต่างอะไรกับ การเทศนาของนักบวชทั่วไปในทุกศาสนา นักเทศน์จะพยายามบอกคนไปร่วมงานว่า ถ้าใครอยากจะเป็นคนดี คนเด่น คนดัง เหมือนคนที่ตายไปแล้วที่นอนอยู่ต่อหน้าประชาชนวันนี้ ขอให้คนนั้นทำตามอย่าง ทำตามวิธีการที่นักเทศน์จะสอน คือ แล้วนักเทศน์ก็จะเริ่มเปิดประเด็น เริ่มด้วยคำว่า ประการที่ 1-2-3 และ 4 และสรุป พอใกล้จะจบจะพูดว่า ....เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...... และตอนท้ายอาจจะหยอดแถมท้ายอีกว่า "หากท่านเชื่อพระเยซูท่านจะได้รับความรอด ท่านจะมีชีวิตที่มีสุข

และนี้คือสูตรการเทศนาของนักการศาสนาที่จบ จากวิทยาลัยคริสต์ธรรมทั่วๆ ไปก็ว่าได้ ที่ผมทราบดีเพราะผมก็เคยเรียนมาแบบนี้แหละ อาจารย์ท่านไหนมาสอนก็คล้ายๆ กัน คือจะอ่านพระคัมภีร์ก่อนแล้วก็ค่อยๆ อธิบายไปทีละประเด็น แล้วก็สรุป  ในการเทศนาของนักเทศนาสายความรู้ เขาจะเน้น ข้อมูล สถิติ ข่าวดัง ละครดัง คำพูดของคนดัง  หรืออมตะพจนะ  เพื่อแสดงถึงภูมิความรู้ทางศาสนาของคริสเตียนของผู้เทศนาว่ารู้ดี  รู้มาก รู้ลึก รู้กว้าง

นักเทศน์บางคนพยายามอธิบายความหมายของคำบางคำจากพระคัมภีร์โดยการอธิบายคำจากรากศัพท์ภาษาต่างประเทศ อย่างยืดยาว เป็นคำที่ผู้เชื่อใหม่หรือนักเทศน์ธรรมดาไม่เคยรู้จักเลย คือภาษายิวโบราณ และภาษาของพวกกรีก ซึ่งเป็นการแสดงภูมิรู้ทางด้านภาษาฮีบรู ภาษากรีก ผู้เทศนาสามารถอธิบายข้อพระธรรมได้อย่างลึกซึ้งได้ความหมายที่ถูกต้อง  ผู้เทศนาอาจสอดเสริมด้วยมุกตลกและมุกฮา พร้อมกับกล่าวเสริมอ้างความดีของคนที่ตายไป ว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้

ตอนสุดท้ายนักเทศน์จะสรุปว่า เออคนนี้นะดีจริงๆ นักเทศน์เชื่อว่า เขาต้องได้ไปอยู่กับพระเจ้าแน่ๆ เพราะเขาได้รู้จักพระเจ้าของชาวคริสตชน สิ่งที่เขากล่าวเป็นความจริงแท้แน่นอนทีเดียว เขาไม่ได้หลอกลวงคนฟังเลย เป็นความจริงทั้งดุ้นเลยก็ว่าได้

แต่ผมขอตั้งขอสังเกตให้ผู้อ่านทราบว่า ท่านเคยได้ยินศาสนาจารย์ หรืออาจารย์คริสเตียนคนใดไหมที่ไปเทศนาในงานวันคริสต์มาส หรืองานศพ หรืองานขึ้นบ้านใหม่ เมื่อเขาเทศนาใกล้จะจบเขาจะกล้าประกาศเชิญชวนว่า ...

"พี่น้องที่มาในงานวันนี้ ทั้งผู้ที่เชื่อพระเยซู และยังไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ มีใครไม่สบายหรือเปล่า มีโรคภัย เป็นไข้ มีอาการปวด เจ็บตามร่างกายในที่ต่างๆ หรือท่านถูกวิญญาณรบกวน มักได้ยินเสียงผิดปกติ เสียงแว่ว รู้สึกกลัวอะไรต่างๆ อย่างผิดปกติ ท่านเคยไปหาแพทย์รักษาแล้ว กินยาแล้วก็ไม่หายสักที เป็นๆ หาย วันนี้เป็นวันปลดปล่อย เป็นวันหายดีของท่าน"

นักเทศนากล่าวเสิรมต่ออีกว่า  "เราขอท้าชวนให้คนที่ต้องการรับการช่วยเหลือจากพระเยซูผู้เป็นอยู่ ขอให้ท่านกล้าที่จะยกมือขึ้น ผมและทีมงานของเราพร้อมที่จะอธิษฐานอวยพรท่านให้หายดี หากท่านมีความหิวกระหายอยากหลุดพ้นจากบาป จากเวรกรรม เคราะห์กรรม ท่านไปสะเดาะห์เคราะห์แล้วยังไม่หาย ขอเชิญท่านออกมารับการอธิษฐานอวยพร เพื่อท่านจะหายดี เราเชื่อว่าท่านหายดีเพราะพระเยซูคริสต์คือพระเจ้าที่รักคนบาป เชิญท่านออกมาได้เลย"

ต่อจากนั้นอาจารย์ก็จะอธิษฐานวางมือให้คนหายป่วย และนำคนรับพระเจ้า

ผมเข้าใจว่า ถ้าอาจารย์คริสเตียนคนใดที่พระเจ้าชักนำให้มาอ่านเว็บบล็อกนี้แล้ว หากท่านเกิดข้อสังเกตเหมือนผม ไม่แน่นะ ท่านอาจกลับใจใหม่ บางทีการเทศนาในงานคริสต์มาส หรือเทศนางานศพครั้งต่อไป ท่านอาจทำบางอย่างที่ "แตกต่าง" เช่นเดียวกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่ชื่อว่า ยอห์นผู้ให้บัพติสมาผู้ที่กล้าประกาศให้คนกลับใจใหม่ บอกว่าแผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้แล้ว

แต่ท่านเชื่อไหมว่า ตอนนี้มีโบสถ์แห่งหนึ่งที่อยู่ที่ประเทศเกาหลี ศบ.ของเขาถ้าผมจำไม่ผิดดูเหมือนจะชื่อ เจ หรือลีๆ อะไรนี่แหละ ท่านมีสมาชิกในคริสตจักรของท่านเป็นแสนๆ คน ท่านส่งคนเข้ามาในเมืองไทย ท่านให้คนเอาเครื่องขยายเสียงไปประกาศทั่วไปว่า "จงกลับใจใหม่ เพราะว่าใกล้ถึงวันสิ้นยุคแล้ว" แต่เชื่อไหมครับ ผมได้รับทราบมาว่า มีนักการศาสนาระดับบิ๊กๆ บางคน พยายามสื่อสารให้คนทั่วไปเข้าใจไปว่า พวกที่มาทำอย่างนี้เป็นพวกนี้เพี้ยน และสอนผิด

ไม่แน่นะ ผมว่าการเทศนาครั้งต่อไปนักการศาสนาหลายคนอาจมีการเปลี่ยนแนวการเทศนาใหม่ เลิกการเทศนาแบบแจกความรู้ทางพระคัมภีร์  เทศนาอวดความดีของพระเจ้าตามแบบที่อาจารย์โรงเรียนพระคัมภีร์บางคนสอนมา คือการเทศนาอย่างสุภาพ อย่างเกรงอกเกรงใจคนบาป ไม่พูดเรื่องบาปที่ทิ่มแทงใคร เทศนาอธิบายเรื่องพระเจ้าว่าเป็นพระเจ้าดี  ให้คนฟังทราบว่ามีพระเจ้าดีที่เคยอยู่ในโลกนี้ก็พอ  การเทศนากี่ครั้งๆ ก็เป็นเพียงการหว่านโปรยเมล็ดพันธุ์ของคริสตศาสนาก็พอแล้วอย่างนั้นหรือ

ผมคิดว่าวิธีการเทศนาพระกิตติคุณแบบนี้ได้ผลดีหรือ มันเวิร์คหรือเปล่า เพราะขนาดพวกคริสเตียนและลูกหลานของท่านฟังมาหลายปีพวกเขายังไม่เปลี่ยนพฤติกรรม  ยังทำตัวเหมือนเดิม พฤติกรรมที่แสดงออกไม่แตกต่างไปจากคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า พอกลับไปบ้านก็กินเหล้าเมายา ด่ากัน ทำสิ่งไม่ดี ไม่สามารถบังคับตนเอง ลับหลังคนชอบเสพบาป  ทำบาปจนเป็นนิสัยอยากเลิกแต่เลิกไม่ได้สักที

การเทศนาแบบเล่าอวดความรู้  การตีความถ้อยคำด้วยภาษาฮีบรู และภาษากรีก แต่ไม่มีการปลดปล่อยผมเห็นมาตั้งแต่ผมเป็นเด็กพอจำความได้ก็ได้ยินการเทศนาแบบนี้ คือคนเทศนางานศพจะสาธยายความดี ความอัศจรรย์ และฤทธิ์อำนาจของพระเยซูว่าดี เก่ง และยิ่งใหญ่ แต่คนพูดคนสอนไม่กล้าสาธิตให้คนดูในสิ่งที่เขาอวดอ้าง ภาษาคริสเตียนเขาบอกว่า การสำแดงพระเดชานุภาพของพระเจ้าให้คนเห็น ผ่านมือของผู้เทศนานั่นเอง

การเพียงแต่พูดอวดอ้างว่าพระเยซูดีอย่างนั้น อย่างนี้แต่คนพูดไม่ทำให้ดู มันก็คล้ายๆ กับการที่เราไปงานมหรสพ แล้วพอดีไปเจอคนมุงดูพวกจำอวดที่ชอบเอางูมาแสดง อวดว่าหว่านของเขาดีอย่างนั้นอย่างนี้ พอพูดไปสักพักก็จะบอกว่า "เดี๋ยวจะปล่อยงูออกมาให้ดู เดี่ยวจะปล่อยพังพรออกมาสู้กับงู เดี่ยวๆ รอเดี๋ยวนะครับ" แต่สุดท้ายไม่ยอมปล่อยงูใหญ่ออกมาให้คนดูสักที จนคนเบื่อที่จะฟังการโฆษณาชวนเชื่อพากันเดินหนีไปทีละคนสองคน

ที่ผมเขียนเว็บมามากมายเพื่อจะเตือนใจนักการศาสนาที่อ้างตัวว่าเป็นผู้เชื่อพระเยซูให้กลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาฤทธิ์อำนาจของพระเจ้ามากขึ้นในการเทศนาพระกิตติคุณ  ผมสงสัยว่าคนเหล่านี้ไม่เบื่อพฤติกรรมและผลงานของตนเองบ้างหรือ  เทศนาให้คนฟังเป็นร้อยๆ แต่ไม่มีใครกลับใจเชื่อพระเจ้าสักคน ไม่มีใครหายโรคสักคน  คนเทศนาก็ทำหน้าที่ไปตามกำหนดเวลาที่เขาเชิญมาทำพิธีเท่านั้น การเทศนาดูเหมือนการทำตัวเป็นเพียงนักเล่านิทาน นักเล่าข่าว  นักขายประกันที่หวังเอาเปอร์เซนต์แต่ไม่ได้ตั้งใจให้คนพ้นทุกข์จริงๆ

ที่ร้ายไปกว่านี้อีก คือ บางคนทำตัวแย่กว่าคนไม่รู้จักพระเจ้าเสียอีก  อาจมีนักการศาสนาหลายคนใน ปัจจุบันกำลังติดอินเตอร์เนท เอาอินเตอร์เนทไปเล่น ไปสอนในโบสถ์ ว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ บางคนเปิดพระคัมภีร์ดิจิตอล แต่ลับหลังสมาชิก อาจารย์ทางศาสนา ผู้มีศาสนศักดิ์บางคนอาจแอบเปิดรูปโป๊ในอินเตอร์เนท กำลังสะสมรูปสาวๆ บางคนโหลดคลิปลามก บางคนใช้เวลาเป็นวันๆ ในการแชทกับสาวๆ แทนการอธิษฐานเพื่อพี่น้อง และประเทศชาติ มีพฤติกรรมลอกแลน ปากว่าตาขยิบ

ผู้อ่านมาถึงตรงนี้  อาจจะคิดว่าผมเป็นพวกเพ้อเจ้อ แต่ผมขอบอกว่า ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ ย่อมมีมูลอย่างแน่นอน  เพราะซาตานมันอยู่เบื้องหลังความชั่ว  ความไร้ผล  การล่อลวงทุกชนิด มันพยายามปกปิดซ่อนเร้นร่องรอยของมัน เพื่อไม่ให้คนทั่วไปรู้ว่า มารมีตัวตนอยู่และมันครอบครองอยู่ทุกแห่ง

หากใครเป็นนักอ่านพระคัมภีร์เราจะพบว่า พระเจ้าต้องการให้ผู้พยากรณ์ทุกคนที่รับใช้พระองค์

กล้าที่ สู้กับวิญญาณศาสนา (เน้นพิธีกรรมและขั้นตอน มากกว่าเน้นให้พี่น้องได้รับการปลดปล่อย)
กล้าที่จะประกาศพระบารมีของพระ เจ้ากล้าที่จะยืนอยู่ในฝ่ายที่ถูกต้อง แม้ต้องเสี่ยงชีวิต
กล้าที่จะประกาศความจริง ด้วยความเชื่อมั่น กล้าเดินด้วยสิทธิอำนาจในพระนามฯ
กล้าที่จะยอมรับคน ที่มาที่หลังตัวเอง เพราะเขามีสิทธิอำนาจและของประทานมากกว่าตัวเอง
กล้า ที่จะถ่อมใจ ยอมก้มหัวให้กับคนที่อ่อนวัยกว่าตนเพราะว่าเขามีการเจิมมีของประทาน
กล้า ที่จะบอกว่า "อธิษฐานเผื่อพี่ด้วยนะน้อง"
กล้าที่เสี่ยงชีวิตเพื่อประกาศพระกิตติคุณอย่างท้าทาย  กล้าทำสิ่งที่นักเทศนาทั่วไปไม่กล้าทำ

ผมไปงานฟื้นฟูสัมมนาคริสเตียนมาหลายงาน ผมเห็นพวกนักการศาสนา ศิษยาภิบาลหลายๆ คนทำตัว "จมไม่ลง" คือเขาเป็นคนพาพี่น้องไปฟื้นฟู แต่ตัวเองไม่ฟื้นฟู เมื่ออาจารย์ใหญ่ที่รับเชิญมาจากแดนไกล หรือผู้มีการเจิมระดับสูงกำลังอธิษฐานอวยพรผู้เชื่อ   พวกเขาบางคนจะเอามือกอดอกดูคนอื่นๆ เขารับการอธิษฐานเผื่อแต่ตนเองกลับบ้านอย่างแห้งเหี่ยว เพราะความถือดีของตนเอง เลยได้รับแต่ข้อมูลเพิ่มเติม เหมือนกับการอัดข้อมูลลงฮาร์ดดิสคอมพิวเตอร์ให้มีข้อมูลเพิ่มขึ้นเท่านั้นแต่กลับทำให้เครื่องอืดกว่าเดิมอีกต่างหาก

นักการศาสนาหลายคนสอนคนอื่นจนคำพูดแทบจะเหมือนการอัดเทปเสียงไว้  เขามักจะพูดซ้ำๆ ว่าให้เรารักกันนะ เราเป็นคริสเตียนทำตัวให้เป็นตัวอย่างชาวโลกนะ จงรักซึ่งกันและกันนะ แปลกแต่จริง นักการศาสนา อาจารย์ชาวคริสต์จำนวนมากมายหลายคน สามารถรักได้เฉพาะแต่คนที่อยู่ในกลุ่ม คณะ (denomination) ของตนเองเท่านั้น พวกเขาไม่กล้า และไม่มีจิตใจที่จะไปสมาคมหรือมีความสัมพันธ์กับ คนอื่นๆ ไม่สามารถไปร่วมกิจกรรมการรวมพลังอธิษฐานกับผู้นำคณะอื่นๆ เพื่ออธิษฐานอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้คนไทยได้อยู่ดี กินดี หลุดพ้นจากการทะเลาะเบาะแว้งกันในเวลานี้

ที่น่าสลดที่เราได้ยินบ่อยๆ คือ นักการศาสนาระดับใหญ่ ระดับบิ๊กๆ แย่งตำแหน่งกัน ประธานกับคณะกรรมการทะเลาะกัน แย่งตำแหน่งกัน ส่งจดหมายสร้างความสับสนไปทั่วยุทธภพ  กล่าวหากันไปมา  นี่คืออะไรครับ  มันก็คือสิ่งที่เขาพยายามจะบอกให้ชาวโลก และผู้เชื่อทั่วไปให้รู้ว่า พวกผมคือพวกที่ยังไม่บรรลุธรรม ยังไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิต  ยังเป็นเพียงมนุษย์ที่โลภ ตัณหา ไม่รู้จักพอ  ยังเป็นแค่นักสอนศาสนาที่บอกให้คนอื่นรักกัน แต่พวกผมยังทำไม่ได้  พวกผมยังเป็นคนดีแต่สอนคนอื่นแต่ตนเองทำไม่ได้เท่านั้น

สภาพคริสเตียนในจังหวัดแถว เหนือๆ ยิ่งไปกันใหญ่ ตัวใครตัวมัน
ผมคิดว่าน่าจะตั้งชื่อว่า "สามก๊ก" เพราะการแย่งสมบัติที่ฝรั่งให้ไว้ แย่งหน้าตา แย่งเกียรติของพระเจ้า

การประกาศข่าวประเสริฐระัดับใหญ่เพื่อนำคนบาปมาเชื่อพระเจ้าทำได้ยากมาก เพราะความบาดหมาดเก่ามีมาก การรวมตัวกันอธิษฐาน การประกาศข่าวประเสริฐแทบเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามีฝรั่งเอาเงินล้านมาทุ่ม คริสตจักรหลายๆ แห่งอาจจะรุมช่วย เป็นการเฉพาะกิจ เพื่อทำงานประกาศแบบลวกๆ ไม่มีการเตรียมการเป็นปีๆ  แต่จะเป็นการรวมกันแบบกระทันหัน เพื่อละลายงบฝรั่ง  (ผมขอใช้คำว่ารุมกินโต๊ะเงินฝรั่ง -เกาหลี อาจจะตรงกว่า) แต่ถ้างานประกาศฯ ที่ไหน ไม่มีทุนหนา นักเทศน์ไม่ดัง จ้างให้ท่านขนคนมาร่วมมันยังไม่อยากมา

มีคำพูดเขาเขียนไว้ว่า อย่างนี้่

" You will never get a new thing if you do the same old things"

แปลว่า " คุณจะไม่ได้เห็นสิ่งใหม่ๆที่ดีกว่าเดิมเกิดขึ้น  ถ้าคุณยังคิด และทำแบบเดิมๆ "
นี่คือสาเหตุหนึ่งที่คนไทยยังทำ เครื่องบินโดยสารให้เป็นเรื่องเป็นราวยังไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็เป็นแต่เครื่องบินบังคับวิทยุหรือ บ้องไฟหมื่น บ้องไฟแสน ที่ทำเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น ทำเป็นเรื่องเป็นราวยังไม่ได้

พวกอาจารย์นักการศาสนาูจำนวนมไ่ม่น้อยถูกฝังใจกับ "วัฒนธรรมโรมัน"  ยึดติดและกลัววิญญาณศาสนา กลัวธรรมเนียมของพวกผู้ปกครองหัวโบราณที่ไม่กลับใจ พวกเขาบางคนทำตัวให้เป็นเพียงลูกจ้างที่ดี มุ่งเอาใจนายจ้างของพวกเขามากกว่าการช่วยกันเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ (The Body of Christ) ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

สิ่งที่น่าเป็นไปได้ คือนักการศาสนาทุกกลุ่มน่าจะมาช่วยกันรบฝ่ายวิญญาณด้วยการอธิษฐานร่วมกัน คริสตจักรต่างๆ ใช้ทรัพยากรร่วมกัน ช่วยกันประกาศข่าวประเสริฐกลางแจ้ง 3-6 เดือนต่อหนึ่งครั้งในแต่ละชุมชน หรือตำบล อำเภอ ร่วมกันจัดกลุ่มอธิษฐาน รวมพลังอธิษฐานของผู้นำคริสตจักรจากทุกคณะ  ทุกกลุ่ม   แต่พวกเขาไม่กล้าทำสิ่งใหม่ๆ สาเหตุอาจเป็นเพราะวิญญาณบางอย่างปกคลุมอยู่  เช่นความกลัว วิญญาณศาสนา (Spirit of Fear and Spirit of Religion) ได้ครอบงำไปทั่วจนพวกเขากระดิกตัวไม่ได้ โอ นักการศาสนาผู้หยิ่งยะโสในความรู้ ท่านตกเป็นเหยื่อ และตกหลุมพลางของซาตานแล้วหรือ

พวกนักการศาสนาบางคนยังทำตัวเป็นเพียงผู้มีอาชีพเป็นนักบวชที่พยุงชีวิตด้วยการพึ่งพาโบสถ์  มากกว่าการเชื่อพึ่งพาพระเจ้า เขาไม่สนใจที่จะทำกิจกรรมทำสิ่งใหม่  หรือสิ่งที่น่าจะปฏิรูปในคริสตจักร พวกเขาไม่กล้าลงทุนทำการบำบัดฟื้นฟูคริสตจักร  บางคนกลัวว่าลูกเมียจะอดตาย หากไม่ถูกใจเจ้าของโบสถ์ บางคนหมิ่นประมาทพระเจ้าโดยไม่รู้ตัวโดยคำพูดที่ว่า

“ทุกวันนี้ที่ผม รับใช้พระเจ้าได้ เพราะเมียผมเลี้ยง”

คำพูดนี้เหมือนเป็นคำสาปแช่งแก่ตัวเขาและลูกหลานเพราะเขาได้ดูหมิ่นการเลี้ยงดูของพระเจ้า พระเจ้าจึงต้องปล่อยให้เขาอยู่ในความเขลา ความขัดสน ความป่วยใข้ ต่อไป ไม่มีวันได้งอกเงยรุ่งเรือง เหมือนที่เราเคยได้ยินมาว่า ผู้รับใช้ตกยาก เพราะบางคนไม่สามารถเข้าถึงพระพรของพระเจ้านั่นเอง น่าเจ็บใจ แมวที่นอนเฝ้าปลาย่าง แต่ไม่ได้กินเนื้อปลานั้นเลย เป็นลูกที่ไม่ได้รับมรดกเพราะไม่รู้ว่าพ่อได้มอบให้แล้ว

อาจารย์ ก. ได้เล่าให้เราฟังในการเทศนาครั้งหนึ่งว่า ในจังหวัดเชียงใหม่มีผู้ชายคนหนึ่งเขาโกรธพ่อที่ตายไปตั้งนานถึง 20 ปี เพราะเขาคิดว่าพ่อให้แต่ของเล็กๆ น้อยแก่เขา แต่ไม่ได้มอบที่ดินและบ้านให้เขา เขาโกรธพ่อจนป่วยมาหลายปี ต่อมาวันหนึ่งเขาพบว่า แท้ที่จริงพ่อได้มอบสมบัติเป็นเพชร และทองคำให้กับเขาในกระปุกเก่าๆ ใบหนึ่งซึ่งเขาไม่เคยคิดจะเปิดดูเลยตั้งแต่วันที่พ่อให้เขา มันยังคงตั้งอยู่ที่เดิมในบ้านมานานแล้ว เขารู้สึกเสียใจที่ได้โกรธพ่อที่ตายไปเป็นเวลาถึง 20 กว่าปี ต่อมาเมื่อเขาเปิดดู เขาแทบเป็นลม และต้องสารภาพผิดต่อพ่อและพระเจ้า

คริสเตียน ในปัจจุบันอาจเป็นอย่างนี้จริงๆ  อาจารย์บางคนก็เป็นอย่างนี้จริงๆ บางคนยังสอนให้สมาชิก
กล้วผี สอนคริสเตียนว่าอย่าไปยุ่งกะผี อย่าขับผีเดี๋ยวผีออกจากคนจะกระโดดใส่เรา อาจารย์บางคนถ้ามีใครพูดเรื่องผี เรื่องการปลดปล่อย จะพูดตัดไปเรื่องอื่นทันที  บ้างพูดว่าคริสตจักรของเราไม่เน้นเรื่องนี้ เน้นแต่เรื่องการสอนพระคำ ว่าไปโน้นเลย  ลืมคิดไปว่า อาวุธฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าให้มาไม่ได้มีอย่างเดียว  แต่พวกนี้กลับทำตัวเหมือนชาวบ้านป่าที่ใช้มีดเพียงด้ามเดียวในห้องครัว เพื่อทำอาหารทุกประเภท   พวกเขาไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องมีดหลายชนิด และทำไมมีดต้องมีรูปร่าง และขนาดไม่เหมือนกัน

เราเคยได้รับอีเมล์ ของผู้รับใช้พระเจ้าคนหนึ่งได้เขียนในอีเมล์ตอนท้ายว่า

“พอก่อนนะจะไปทำงานพิเศษก่อนเงินเดือนของผู้รับใช้พระเจ้ากระจอก ๆ ไม่พอกิน”

ผมคิดว่าคำพูดอย่างนี้ไม่รู้คนพูดได้ความคิดมาจากไหน ยิ่งจนก็ยิ่งดูถูกพระเจ้า การพูดแบบนี้ยิ่งเหมือน เป็็นการเปิดช่องที่จะปล่อยให้ซาตานทำลายชีวิต วิญญาณแห่งความยากไร้ทำลายชีวิต สุขภาพและอารมณ์ไปเรื่อยๆ คนที่พูดดูหมิ่นพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่า “ไม่มีรุ่งอรุณเอาเสียเลย”

ไม่นานมานี้ผู้เขียนได้พบกับนักการศาสนามีชื่อท่านหนึ่งในงานสัมมนาผู้รับใช้

ท่านถามผมว่า

"อาจารย์รับใช้ที่ไหนหรือ"

ผมตอบว่า "ผมรับใช้ทั่วไปครับ"

"แล้วอาจารย์อยู่ประจำโบสถ์ไหนหรือ"

ผมตอบว่า

"ผมไปอวยพรพี่น้องทุกๆ คริสตจักรที่ต้องการรู้จักกับการหายป่วยและการปลดปล่อยจากโรคภัยด้วยพระนามพระเยซูครับ"

อาจารย์ท่านนี้ เกิดอาการปิ๊งขึ้นมาทันที ท่านบอกกับผมว่า

"อาจารย์ผมอยากได้รับการปลดปล่อยครับ" "ผมมีสิ่งผูกมัดบางอย่างที่เอาชนะมันไม่ได้"

ผมจึงขอนัดท่านอาจารย์ท่านนี้ไปพบกับที่ห้องเงียบๆ ขณะอยู่ในช่วงพักเบรกอาหารว่าง
ขณะที่เราพูดคุยกัน ท่านบอกผมว่า

"ผมอยากได้รับการปลดปล่อยจากปัญหาบางอย่าง ที่มันเป็นบาปที่เกาะแน่นผมมานาน ผมไม่เจริญกับพระเจ้า ผมไม่รู้จะบอกใคร มันเป็นเรื่องน่าอายด้วย"

ผมบอกท่านอาจารย์ท่านนี้ว่า
"อาจารย์ครับ อาจารย์มาหาถูกคนแล้ว ครับ เพราะผมจะไม่แพร่งพรายความลับ และชื่อของอาจารย์แก่ใคร และอาจารย์จะได้รับการปลดปล่อยแน่นอนครับ"

ผมขอสมมุติชื่อของท่านว่า ศ.บ. บรรเจิด ก็แล้วกัน
ผมนัด ศบ.บรรเจิดให้ไปถือศีลอด ไปเรื่อยๆ จนกว่าผมจะโทรนัดท่าน

พอผมนับเวลาได้สามวัน ผมจึงโทรไปนัดท่านไปยังสถานที่สงบ และปลอดคนแห่งหนึ่ง
มันเป็นเหมือนรีสอร์ทที่คนไม่พลุ่งพล่านเท่าใด ผมนัดท่านไปพบ เพื่อจะทำการอธิษฐานปลดปล่อย
อาจารย์บรรเจิดมีสีหน้า เคร่งเครียดจริงจัง และผมเข้าใจว่า ท่านจะได้รับการปลดปล่อยแน่ๆ

ผมพาลูกศิษย์ของผม สามคนที่มีของประทาน คือ โจชัวร์ เยเย้ และตูน ไปด้วย
ผมไปถึงสถานที่นัดพบเป็นรีสอร์ทร้างแห่งหนึ่ง ผมก็หนุนใจด้วยพระคัมภีร์สองสามข้อ อาจารย์บรรเจิดรับฟัง และเปิดใจเต็มที่เลย ผมอธิบายขั้นตอนการปลดปล่อยให้ท่านได้รับทราบ และอธิษบายให้ท่านเข้าใจพอคร่าวๆ ในตอนท้ายผมได้นำท่านอธิษฐานในแบบที่เราทำการปลดปล่อย

พอผมนำท่านสารภาพความบาป และกลับใจใหม่กลับพระเจ้า ขอการคืนดีเสร็จแล้ว
อาจารย์ท่านนี้ได้คุกเข่าลง และร้องเรียกหาพระเยซูอย่างจริงใจ ผมสังเกตเห็นหยดน้ำตาที่ไหลออกมาจากตาของท่าน  ร่างกายของท่านสั่นระริก ท่านยกมือขึ้นสูง อธิษฐานร้องเรียกหาพระเยซูเจ้าอย่างจริงใจ

ทีมของเราเห็นการเปิดเผยของพระเจ้า เราจึงบอกให้ท่านรับทราบเกี่ยวกับภาพในอดีตที่เราได้รับการเปิดเผย  เราจึงเริ่มการอธิษฐานปลดปล่อย อาจารย์บรรเจิดเกิดอาการอ๊วกเอาบางสิ่งออกมาจากลำคอ
เราอธิษฐานเจิมท่านจนท่านล้มลงไปนอนกับพื้นห้อง ปากของท่านพูดถ้อยคำบางอย่างที่ท่านไม่ได้พูดมานานแล้ว และเป็นภาษาท่านไม่ได้เรียนมาด้วย

ผมขอบคุณพระเจ้ามากสำหรับอาจารย์บรรเจิด เเราเชื่อว่าท่านได้รับการปลดปล่อยแล้ว ปัญหาของท่านร้ายแรงแค่ไหน พันธนาการที่วิญญาณชั่วได้แอบเข้ามาทำการในจิตใต้สำนึกของท่านมันลึกล้ำเพียงใด แต่มันไม่เกินความสามารถของฤทธิ์อำนาจของพระโลหิตแห่งการไถ่และการปลดปล่อยในพระนามพระเยซู  

ภายหลังจากการอธิษฐานสิ่งที่เรารู้คือ สิ่งนี้ผูกมัดท่านมาตั้งแต่ท่านเป็นเด็ก ท่านเป็นอาจารย์ทางศาสนาที่คนนับหน้าถือตามาก จนท่านไม่กล้าจะไปสารภาพกับใคร แม้แต่ภรรยาของท่านท่านก็บอกให้ทราบไม่ได้ แต่พระเจ้านำท่านมาพบกับทีมงานของเรา ตอนนี้ท่านเป็นไทแล้ว ขอบคุณท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้ ที่ท่านกล้าสารภาพบาปของท่านกับผู้รับใช้ฆราวาส ที่ไม่มีใครรู้จักทีมนี้

หลังจากเหตุการณ์นี้หนึ่งคืน ตอนเช้า ศบ.บรรเจิดได้โทรศัพท์มาขอบคุณผม และท่านบอกว่า
"ผมได้อธิษฐานกับภรรยาและเราเข้าใจกันดีแล้ว พระเจ้าได้เจิมผมที่บ้านด้วย ผมขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยเหลือในปัญหาเร้นลับนี้ จนผมหลุดพ้นจากการผูกมัดของวิญญาณอื่น ที่คอยฟ้อง ทำให้ผมคิดในหัวสมองผมเสมอเป็นเวลานาน ตอนนี้ผมสบายใจและเป็นไทแล้ว ขอบคุณพระเจ้า"

ผู้อ่่านที่รักในพระคริสต์ ศาสนศาสตร์ที่ผมพูดถึงนี้ยังเป็นข้อถกเถียงกันอย่างมากในกลุ่มคณะ นิกายต่างๆ ของคริสเตียนในปัจจุบัน ทุกคณะที่หลักข้อเชื่อ และสิ่งที่เราเรียกว่า "วัฒนธรรม" ไม่เหมือนกัน



ผมได้รับทราบข่าวปล่อย เสียงเล่าลือบางคำจากนักเทศน์สายธรรมาจารย์ ที่ยึดมั่นแต่วัฒนธรรม จนลืมเรื่องฤทธิ์เดช หลายคำไม่ยอมรับเรื่องการปลดปล่อย  ไม่เชื่อในสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ได้สำแดงแก่ผู้เล็กน้อยอย่างทีมของเรา ผมจึงเอาวีดีโอคลิปมากมายมาโพสไว้ในเว็บบล็อคนี้เพื่อยืนยันว่า ฤทธิ์อำนาจแห่งการปลดปล่อยในพระนามพระเยซูคริสต์ยังมีอยู่ ใครไม่เชื่อไม่ต้อนรับเอา ก็แล้วแต่ท่านไปแก้ตัวเอากับพระเยซูก็แล้วกัน

น่าเสียดายมากที่อาจารย์ใหญ่ อาจารย์ระดับอาจารย์ใหญ่  นักเทศน์มีชื่อเสียงที่ได้รับการเปิดเผยด้านความรู้จากพระเจ้ามากมาย มีโอกาสได้ไปเรียนถึงเมืองนอก บางคนเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของคริสเตียนระดับโลก มีความรู้มากพอที่จะเขียนตำราขายเป็นเล่มๆ แต่การเทศนาของท่านเหล่านั้นไม่มีการปลดปล่อย คนป่วยนั่งฟังเทศนาอยู่เป็นสิบๆ คนในโบสถ์ยังป่วยเหมือนเดิมเมื่อออกจากโบสถ์ไป ใครปวดหัว ปวดท้องก็ยังเป็นเหมือนเดิม

นักเทศนาที่ไร้ฤทธิ์เดชเหล่านี้ทำอะไรช่วยผู้เชื่ออ่อนแอไม่ได้เลย อธิษฐานวางมือบนหัวคนจนคอแทบเคล็ดก็ไม่หาย เพราะผู้วางมือดีแต่เก่งศาสนศาสตร์ แต่ไม่รับฤทธิ์เดช  เขาปฏิเสธฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ปฎิเสธ ปฏิเสธการบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  เชื่ออย่างหัวชนฝาว่า บัพติสมามีอย่างเดียว คือ บัพติสมาของยอห์น  ทั้งๆ ที่ในพระคัมภีร์มีเขียนไว้มากมาย แต่พวกเขาตัดเอามาเฉพาะการบัพติสมาของยอห์นเท่านั้น  พวกเขาปฎิเสธการสำแดงที่ไร้ขอบเขตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เมื่อไหร่หนอแสงสว่างจะมาส่องมาถึงคนกลุ่มนี้

นักการศาสนาหลายคนที่คิดว่าตัวเองรู้ดีพยายามเข้าใจพระเจ้าด้วยความสามารถทางสมอง  โดยการใช้ความรู้ และประสาทสัมผัส พวกเขาจึงไม่สามารถเข้าถึงฤทธิอำนาจของพระเจ้าได้ นักการศาสนาหลายคนใส่เสื้อคลุยหรูเริด เท่กว่าใครในงานรับปริญญาแต่เขาเหล่านี้หลายๆ คนเป็นเพียงคนรู้พระคัมภีร์เท่านั้นแต่ไม่ใช่ผู้เชื่อที่มีสิทธิอำนาจ  พวกเขาไม่สามารถใช้สิทธิอำนาจในพระนามพระเยซู  ฤทธิ์เดชอำนาจที่เขามีสิทธิ์ได้รับตามพระสัญญาแต่เขาไม่สามารถได้สัมผัส ไม่ได้ครอบครองเพราะไม่เชื่อ

หากใครไม่อยากถูกนับรวมเข้ากับคนเหล่านั้นที่รู้แต่ทฤษฎีเรื่องของพระเยซู เราขอหนุนใจให้กลับใจใหม่ หันมาแสวงหาพระเจ้า กลับใจจากบาปทุกชนิด แล้วเขาจะได้รับฤทธิ์เดชตามพระสัญญาอย่างแน่นอน

ผมไม่ได้คุยโม้โอ้อวดเรื่องฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่ผมได้รับใช้อยู่ แต่ผมต้องการสร้างความตระหนักให้เกิดกับผู้เชื่อพระเจ้ามากกว่า ผู้เชื่อของพระเยซูสามารถทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติอย่างนี้ได้ สำหรับพวกเราแล้ว การอธิษฐานให้คนปวดหัวโรคไมเกรนยังเป็นแค่ขนมฮอทด๊อกเท่านั้นจริงๆ

สิ่งที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟัง นำมาแบ่งปันเป็นความสัตย์จริง เป็นสิ่งที่บันทึกไว้ด้วยกล้องวีดีโอ คลิปเสียงมากมาย ใครคิดว่าสิ่งนี้เป็นลัทธิเทียมเท็จก็อาจจะผิดพลาดได้ เราอยากประกาศด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเยซูให้คริสเตียนรุ่นใหม่ๆ ดู และสอนเขาให้ทำแบบนี้เพื่อประกาศพระบารมีของพระเยซู

การวางมือและการปลดปล่อย เป็นสิ่งที่ยังมีอยู่ หากใครได้รับการสอน และวางมือถ่ายทอดของประทานก็สามารถทำงานได้อย่างเกิดผล ไม่ต้องรอให้พรรษาทางความเชื่อแก่กล้า หรือเป็นคริสเตียนนานๆ หรือมีศาสนศักดิ์ก็สามารถทำได้ เพราะนี่คือพระมหาบัญชาของพระเยซู จากพระธรรมมาระโกบทที่ 16 ข้อที่ 17-18 ดังนี้

"มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ 18เขาจะจับงูได้ ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค”

ผมขอย้ำว่าของประทานฝ่ายวิญญาณจิตยังมีอยู่  การเผยพระวจนะ  ถ้อยคำแห่งความรู้  การทำการอัศจรรย์  การสังเกตวิญญาณ  การหายโรคยังมีอยู่ แล้วคริสเตียนอยากให้เกิดมีในคริสตจักรที่ท่านไปร่วมอยู่หรือไม่เท่านั้น

คริสตจักรที่ท่านเข้าร่วมมีคนหายโรคบ่อยๆ หรือเปล่า หรือว่าเป็นเรื่องเมื่อสิบปีก่อน สามปีก่อน  ตอนนี้ไม่มีแล้ว  นักการศาสนาไม่รู้จักของประทานบางคน พูดว่า
"ถ้างั้นไม่ต้องมีโรงพยาบาลไม่ต้องมีแพทย์"

แต่ผมชี้แจงว่า  อย่าลืมว่าโรงพยาบาลไม่ได้รักษาโรคให้หายทุกคน และไม่สามารถทำให้หายทุกโรค การรักษาโรคบางอย่างถ้าคนป่วยไม่มีเงินแสน เขาจะกล้าเข้าโรงพยาบาลเอกชนเพื่อรับการรักษาด้วยการผ่าตัดหรือเปล่า  ผมคิดว่าคนหลายคนยอมตายดีกว่าเข้าโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาโรคบางอย่าง   ถ้าคริสตจักรมีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า มีการอัศจรรย์ทุกๆ อาทิตย์อะไรจะเกิดขึ้นล่ะ ลองคิดดู

ขอพระเจ้าอวยพระพรผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ทุกคน

........................................................................
Disclaimer: บทความ ข้อเขียนในเว็บบล๊อกนี้ไม่มีเจตนา โจมตีสถาบันของคริสเตียน วิทยาลัย องค์กรพัฒนาคริสตจักร หรือตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ ผู้เขียนมีความรับผิดชอบต่อสังคม และความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองหากบทความใดที่เป็นการหมิ่นประมาท บุคคลหรือ สถาบันใดสถาบันหนึ่งอย่างชัดแจ้ง กรุณแจ้งให้ผู้รับผิดชอบบล๊อกทราบด้วยเพื่อจะพิจารณาแก้ไขให้เหมาะสม ถูกต้องต่อไป

วัตถุประสงค์สำคัญในการจัดทำเว็บบล๊อกนี้เพื่อส่งเสริม พัฒนาคริสตจักรให้พัฒนาสู่ความเป็นคริสตจักรที่เจริญฝ่ายจิตวิญญาณ ต้องการสท้อนให้เห็นปัญหา และความเป็นไปได้ในการพัฒนาคริสตจักรให้
เป็นคริสตจักรที่มีมั่นคงในความ เชื่อ มุ่งเสริมความเชื่อให้คริสเตียนดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง เป็นพลเมืองดีของชาติ รู้จักตัวตนและสิทธิอำนาจในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ เพื่อประกาศพระบารมีของพระเจ้าเที่ยงแท้ที่ยังทรงพระชนม์อยู่

ผู้เขียนเชื่อว่าประเทศไทย โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบันได้ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนทั้งที่มีการศึกษา มีความคิด หรือไม่มีการศึกษามากนัก ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นของตนในกรอบที่รัฐธรรมนุญได้อนุญาตไว้ โดยไม่ได้สร้างหรือก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยใดๆ แก่บ้านเมือง

Tag: วิธีการเทศนา, หลักการเทศนา, การเทศนาฟื้นฟู, ขั้นตอนการเตรียมคำเทศนา, การเทศนาที่เกิดผล, การสอนคริสเตียนศึกษา, การสอนรวีวารศึกษาผู้ใหญ่, หลักการเทศนา, แนวปฎิบัติในการเทศนา, พื้นฐานความเชื่อคริสตชน

12 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ12/06/2553

    อาจารย์อยู่โบสถ์ไหนเนี่ยเขียนได้โดนนใจอย่างแรง
    ช่วยส่งข้อความบอกได้ไหมว่าอยุ่โบสถ์ไหน
    จะไปเป็นสมาชิก เบื่อ ฟาริสีเหมือนกัน

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ1/06/2554

    ผมเคยเข้าร่วมมาแล้ว อย่างน้อยก็สามคณะ แต่ผมยังไม่ได้พบคริสต์จักรใด ที่มีความมุ่งมั่นในการประกาศข่าวประเสริฐอย่างจริงจัง คริสต์จักรที่ผมเคยไปร่วม เ็ก็บผลประโยชน์สิบลดไปทุกๆ เดือน ใช้จ่ายไปกับสิ่งต่างๆ มากมายปล่อยเวลาเป็นปีๆ โดยไม่ได้เก็บเกี่ยวดวงวิญญาณเข้ามาถึงพระเจ้าอย่างที่น่าจะเป็น คนกลุ่มทำงานของพระเจ้าเหมือนกับเป็นพวกกลุ่มผลประโยชน์ โดยเอาคำว่าพระเจ้ามาบังหน้า พวกเขาทำงานเป็นเวลาหลายปี โดยไม่ได้สร้างผู้เชื่อให้เป็นสาวกแม้แต่คนเดียว อย่างไรก็ตามผลเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาไม่อยากจะทำอย่างนั้น ผมเข้าใจว่า คนๆ หนึ่งเขาจะไม่สามารถสร้างนักกีฬาระดับแชมป์ขึ้นมาได้ ถ้าเขายังไม่เคยเป็นแชมป์

    นี่คือสัจจะอย่างหนึ่งก็เป็น คนที่ยังไม่ถึงพระเจ้า ยังไม่เคยเข้าถึงฤทธิ์เอช จะสอนคนอื่นๆ ให้มีฤทธิ์เดชของพระเจ้าได้อย่างไร น่าเจ็บใจสำนักตักศิลาผู้ถ่ายทอดวิชาศาสนศาสตร์จริงๆ สอนคนออกมาแค่เป็นนกแก้ว นกขุนทองเท่านั้นหรือ จงกลับใจเสียใหม่ได้แล้ว สำนักสอนพระคริสต์ธรรมทั้งหลาย

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ3/18/2554

    (ต่อจากข้างบน)
    จริงๆ ก่อนหน้านี้ เรามีกลุ่มเล็กๆ ที่แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในเรื่อง ฤทธิ์เดช เราช่วยกันศึกษา จนได้มีโอกาสรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
    จนเราสามารถอธิษฐานกันด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์กันได้ ในกลุ่มก็ กระตือรือร้นที่จะอธิษฐานมีการขับผี มีการวางมือรักษาโรค มีการขับไล่ความขมขื่นฯลฯ กลุ่มเรามีความเชื่อกันมากขึ้น แต่อยู่มาวันนึง ผู้นำคริสตจักรก็มาสั่งห้ามพวกเราจับกลุ่มกัน อธิษฐานด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ หลังจากนั้น สมาชิกในกลุ่มก็แตกกระจาย ไม่มีใครกล้าจับกลุ่มกันอธิษฐานอีกเลย บางคนก็อ้างว่าไม่อยากอธิษฐานขับไล่ความชั่วร้ายเพราะกลัวกระโดดใส่กัน ฯลฯ หนูรู้สึกท้อมากเลยค่ะ แต่พระเจ้าพระองค์ทรงเปิดเผยให้หนูอยู่ที่เดิม เพื่อช่วยเหลือคริสตจักรต่อไป หนูก็คิดว่าคงต้องทำตามน้ำพระทัย
    แต่มันก็รู้สึกโดดเดี่่ยวจริงๆ

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณที่เข้ามาอ่านพบความจริงนะครับ
    เรื่องที่ผมเขียนนี่เป็นประสบการณ์ เป็นความจริงที่ถูกปิดบัง และบิดเบือนมานานครับ สำหรับพวกผู้นำที่ต่อต้านฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า คือคริสเตียนที่มีความเชื่อตามศาสนาเท่านั้น เขารอพบพระเจ้าเมื่อตายไปแล้วเท่านั้น เขาอาจจะไม่ใช่ลูกพระเยซูผู้ทรงฤทธิ์ แต่เป็นลูกของใครยังไม่แน่ใจ วัตถุประสงค์ของผุ้นำที่ต่อต้านพระเจ้า ไม่แน่ชัดว่าเขาจะไปทางไหนแน่ พวกเขาอาจเพียงแต่ต้องการสร้างอาณาจักรของกู อาจจะไม่ใช่ของพระเยซู

    คริสตจักรที่ต่อต้านฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า อีกสิบปีก็ไม่ไปถึงไหนหรอกครับ การไปเข้าร่วมกับชุมชนแบบนี้อาจทำให้เสียเวลาไปเปล่าๆ นักการศาสนาที่มีความรู้ แต่ไร้ฤทธิ์เดช เพราะเขาได้รับวัีฒนธรรมที่ไม่ถูกต้อง คนในโบสถ์ยังชอบทำบาป มีแต่คนปากว่าตาขยิบปนเปอยู่มากสักหน่อย ให้ห้องประชุมนมัสการมีคนเจ็บคนป่วยอยู่ทั่วไป คิสตามยังป่วยเหมือนชาวโลก กินยาเป็นกำๆ เพราะอาจารย์ใหญ่ปฏิเสธอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อธิษฐานวางมือไม่เป็น ยังไม่พอ ยังกีดกันคนอื่นๆ ที่จะก้าวไปข้างหน้า

    โบสถ์ที่ไม่รับฤทธิ์เดชของ พระเจ้า ถ้าเขาไม่รับของพระเจ้าเขาจะรับของใครล่ะ ข้อเสนอของผมคือ ลองไปถามเขาชัดๆ ว่าจะเอายังไงแน่ หากเป็นแบบนี้ ผมว่าย้ายไปอยู่ที่ใหม่ หรือไม่งั้นก็ชวนเพื่อนมานมัสการที่บ้านดีกว่าครับ การไปเป็นสมาชิกกับโบสถ์ที่ถูกครอบงำด้วยวิญญาณ "วัฒนธรรม" อาจทำให้เสียเวลาเพราะอีกสิบปีก็ยังเป็นผุ้เชื่อระดับแบบเด็กๆ อยุ่ครับ

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ3/26/2554

    ผมชื่อหนุ่ม อยู่อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร เป็นพี่เลี้ยง เเต่ตัวเองเริ่มหมดไฟในการประกาศ ผมต้องการให้อาจารย์ช่วยเยาวชนที่เชื่อพระเจ้าในหมู่บ้านผมด้วยช่วยสร้างกองทัพรุ่นใหม่ด้วยครับผมมีทั้งเด็กนักเรียน คนเเก่ เด็กประถมอยู่เกือบ20คนเเต่ยังเจ็บป่วย ดื่มเหล้า ติดเกมส์ ตัวผมเป็นพี่เลี้ยงเเต่นิสัยบางอย่างกลับมาผมยังสุดใจกับพระเจ้าอยู่ครับเเต่เนื้อหนังมันไม่ยอมช่วยมาปลดปล่อยกลุ่มผมด้วยถ้าเด็กวัยรุ่นเหล่านี้มีการเจิมอย่างกลุ่มของอาจรย์ผมว่าวิญาณชั่วในหมู่บ่านผมอยู่ไม่ได้เเน่นอนครับ ผมเคยวางมือผู้เชื่อที่เป็นคนเเก่ ทีเเรกกำลังหายโรคเเต่ซักพักกับป่วยมากกว่าเดิมจนเค้าจะเลิกเชื่อพระเจ้าเเล้วครับจนผมไม่กล้าไปหนุนใจเค้าเเล้ว ผมรับใช้พระเจ้าคนเดียวในหมู่บ้านนี้เลี้ยงลูกเเกะตามมีตามเกิดได้โปรดตอบกลับมาหนุนผู้รับใช้คนนี้ด้วยจะขอบพระคุณมากครับผมไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเเต่อยากเห็นเด็กในหมู่บ้านเติบโตกับพระเจ้าครับ ช่วยติดต่อมาที่ Lovegod2524@hotmail.com ถ้าพระเจ้าทรงนำหวังว่าอาจารย์จะติดต่อกลับมา

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ6/15/2556

    Hey there this is kinda of off topic but I was wondering if blogs
    use WYSIWYG editors or if you have to manually code with HTML.

    I'm starting a blog soon but have no coding know-how so I wanted to get advice from someone with experience. Any help would be greatly appreciated!

    Look at my web blog: rightsound

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ6/15/2556

    Hello, its pleasant piece of writing concerning media print, we all understand media is
    a fantastic source of facts.

    Look into my website - civilization

    ตอบลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ7/13/2556

    เห็นด้วยค่ะ มีอาจารย์น้อยคนนักที่จะเทศนาโดยการทรงนำ ส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างอะไรกับนักวิชาการ ไม่ต้องพึ่งพระเจ้าก็พูดได้

    ตอบลบ
  9. ขอบคุณพระเจ้ามากๆคับเพราะไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระเจ้ากระทำไม่ได้สักวันหนึ่งผมคงได้เจอกับ อ.จ จากเด็กปัตตานีคับ

    ตอบลบ
  10. ขอพระเจ้าเสริมกำลังอาจารย์ค่ะ

    ตอบลบ
  11. ขอพระเจ้าเสริมกำลังอาจารย์ค่ะ

    ตอบลบ
  12. ขอพระเจ้าเสริมกำลังอาจารย์ค่ะ อาจารย์เป็นพระพรนะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

    ตอบลบ

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)