ยุทธภัณฑ์ของคริสเตียนในการต่อสู้ในสงครามฝ่ายวิญญาณ- Spiritual warfares

2 โครินธ์ 10.3-5

(3) "เพราะว่าถึงแม้ว่าเราอยู่ในโลกก็จริง แต่เราก็มิได้สู้รบตามโลกียวิสัย

(4) เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้าอาจทำลายป้อมได้
(5) คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์

ศาตราวุธของคริสเตียนมีอะไรบ้าง

1. ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดที่ อ.เปาโลกล่าวอ้างไว้ในพระธรรม เอเฟซัส บทที่ 6 ข้อที่ 11-18

"จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้

"พราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ

2. การอธิษฐาน (เอเฟซัส 6.18, ยากอบ 5.16)
คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล คริสตจักรที่ไม่มีการรวมพลังอธิษฐานก็คือคริสตจักรที่อยู่กับที่ ไม่เจริญทางจิตวิญาณ มีแต่ปริมาณไม่มีคุณภาพ การอธิษฐานคือพลังเพียงอย่างเดียวของคริสตจักรที่จะต่อสู้กับวิญญาณแห่งความมืดที่ปกคลุมอยู่เหนือบริเวณพื้่นที่เขตบริการของคริสตจักร

3. พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ (วิวรณ์ 12.11, โรม 5.9, อฟ 1.7)

4. พระนาม (ลูกา 10.17,19, กิจการ 4.30) การไล่ผีจะใช้พระนามเสมอ สำหรับคนที่รู้จักแต่พระนามแต่ไม่ทำตามคำสอนของพระเยซูจะไล่ผีไม่ออก เหมือนลูก 7 คนของปุโรหิตใหญ่เสวา ในกิจการ บทที่ 19:14-16 ที่ต้องขายหน้าเพราะเป็นแค่คนรู้จักเรื่องพระเยซูเท่านั้น แต่ไม่มีพระเยซูในวิญญาณ
พวกเขาพ่ายแพ้แก่ผีอย่างหมดรูป
"ฝ่ายผีร้ายจึงพูดกับเขาว่า “พระเยซูข้าก็คุ้นเคย และเปาโล ข้าก็รู้จัก แต่พวกเจ้าเป็นผู้ใดเล่า"

5. พระคำ (Rhema: Spoken word) (เป็นพระคำที่เราพูดออกมา) (เอเฟซัส 6.17) (จะนำเสนอต่อไป)

6. ขนมปังและน้ำองุ่นในพิธีศลีมหาสนิท
นักเทศน์นักประกาศผู้กล้าหาญและยิ่งใหญ่ของพระเจ้าทั่วโลกจะถือพิธีศลีมหาสนิทก่อนการออกไปต่อสู้ฝ่ายวิญญาณเสมอ -มาเฮช เชฝด้า (พลังแห่งการอธิษฐานอดอาหาร)

7. ฤทธิอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในผู้เชื่อ

คนที่กล่าวว่าตนเองไม่มีฤทธิอำนาจของพระเจ้า ทั้งๆที่ตัวเองมี หรือมีแต่ไม่รู้ แสดงออกถึงความพ่ายแพ้ฝ่ายจิตวิญญาณตั้งแต่ยังไม่ได้ออกรบ แท้ที่จริงแล้วพระเจ้าให้เรามีฤทธิอำนาจอย่างเหลือล้นอันเนื่องการทรงสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในผู้เชื่อ คือพูดง่ายๆ คือเราไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป แต่มีฤทธิอำนาจ แต่ว่าฤทธิอำนาจนี้จะมี จะเกิดได้ด้วยการเป็น "อันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า" เหมือนกิ่งที่ติดกับเถาองุ่น"(ยอห์น 15) ผุ้รับใช้ที่ติดสนิทกับพระเจ้าจะมีการเจิมอย่างแน่นอน

พระธรรมสุภาษิต 18.21 ได้กล่าวว่า
"ความเป็นและความตายอยู่ที่อำนาจของลิ้น"

คำพูดที่ออกจากปากของผู้ขาดความเชื่อย่อมไม่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่น่าคาดหวัง

นักศาสนศาสตร์จำนวนมากยอมรับตามทฤษฏีว่ามีสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในผู้เชื่อ แต่พวกเขาไม่สามารถสัมผัสกับฤทธิอำนาจและใช้ฤทธิอำนาจของพระเจ้าได้ เพราะพวกเขาไม่มีประสบการณ์ เนื่องจากเขาพึ่งพิงความรู้ทางศาสนศาสตร์ของเขามากเกินไป คนพวกนี้ดีแต่สอนทฤษฏี และอ่านจากตำราทางศาสนาเท่านั้น ปีแล้วปีเล่าพวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับฤทธิอำนาจพระเจ้าที่สถิตอยู่ในพวกเขา พวกเขาไม่คาดคิดว่า พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ที่สถิตกับเขาต้องการสื่อสารกับเขา

แต่พวกเขาคิดว่าพระองค์เป็นใบ้และไม่สื่อสารใดๆ เลยกับผู้เชื่อ และผู้เชื่้อไม่สามารถใช้ฤทธิอำนาจของพระองค์แล้ว บางคนยิ่งเพี้ยนหนักไปใหญ่บอกว่าการอัศจรรย์ในหนังสือกิจการหมดไปแล้ว และการบัพติสมาด้วยพระวิญญาณ และของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็หมดไปแล้วจากคริสตจักร หากมีก็คงเป็นสำหรับคนอื่นไม่ใช่พวกเขา บางคนยังถือว่าการรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นอาการของจิตอ่อนเท่านั้นไม่มีอีกแล้ว บางคนบอกว่าต้องมีความรักซิเพราะความรักเป็นใหญ่ที่สุด พระิวิญญาณไม่จำเป็น เอาแต่พระเยซูที่ยังเป็นคนเป็นรูปร่างๆ อยู่ก็พอ การที่พระเยซูเป็นมนุษย์พระองค์ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่

พระเยซูคริสต์คงเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งหากพระองค์ไม่มีการเิจิมของพระวิญญาณบริสุทธิ์
หลังจากที่พระเยซูได้รับบัพติสมาจากยอห์น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ลงมาสถิตกับพระองค์ในรูปร่างของนกพิราบ (นกพิราพ คือสัญญลักษณ์ที่คริสเตียนใช้แทนพระวิญญาณบริสุทธิ์)
มัีทธิว 3.16

ในยอห์นบทที่ 4 พระเยซูรู้ได้อย่างไรว่า หญิงที่มีสามีถึง 5 คน มีภูมิหลังอย่างไร หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่แจ้งให้พระองค์ทราบในมิติฝ่ายวิญญาณของพระองค์

ในกิจการ 21.10 อากาบัสมีของประทานในการเผยพระวจนะได้กล่าวกับเปาโลถึงการที่ท่านจะถูกจับกุมในกรุงเยรูซาเล็ม

ตัวอย่างนี้คือตัวอย่างของการเผยพระวจนะที่ชัดเจนตัวอย่างหนึ่งจาก หลายสิบตัวอย่างในพระคัมภีร์

ของประทานอย่างนี้ปัจจุบันเราเรียกว่า ของประทานแห่งการเผยพระวจนะ (Prophecy)
ซึ่งเป็นหนึ่งในของประทานสำหรับคริสตจักรทุกยุคทุกสมัย (เอเฟซัส 4.11, 1 คร 14.1)
ในภาษาเดิมใช้คำได้ค่อนข้างเข้าใจง่ายคือคำว่า ทำนาย หรือพยากรณ์ แต่นักศาสนศาสตร์ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นคำว่าเผยพระวจนะ และเอาไปสวมแทนคำว่า เทศนา

ในปัจจุบันมีการใช้คำนี้อย่างผิดๆ ว่าการเทศนาเป็นการเผยพระวจนะ
ผุ้เทศนาหลายๆ คนไม่มีของประทานในการเผยพระวจนะแม้แต่น้อย บางคนพูดไปตามที่ได้ศึกษามาเป็นส่วนใหญ่ บ้างก็ศึกษาจากหนังสือคู่มือ บางคนก็สุกเอาเผากิน บางคนก็ลอกของคนอื่นมาแต่ไม่ศึกษาให้เข้าใจ เอามาเทศนาใช้พระคำของพระเจ้าเพียง 10 เปอร์เซนต์นอกนั้นเป็นเรื่องที่ตนเองสนใจ เช่น การเมือง กีฬาฟุตบอล, เรื่องที่กำลังร้อนแรง เรื่องจากหนังสือพิมพ์ บางคนเก่งคอมพิวเตอร์ก็เอามาจากอินเตอร์เน็ต เอามาสอนมาเล่าให้คนฟังเพลิดเพลิน บางคนเล่าเรื่องโกหกเช่นกบพูดได้ ไก่พูดกับงู ฯลฯ
บางคนเน้นปัญหาของสังคม บางคนก็เทศนาด่าคนในโบสถ์ เสียดสีศิษยาภิบาล หรือสมาชิกด้วยกันเท่านั้น บางคนก็เทศน์แบบโชว์ผลงาน ไม่เน้นพระคัมภีร์ แต่จะอ่านเพียงตอนต้นแต่พูดไปเรื่องอื่นจนหมดเวลาเทศนา

พฤติกรรมแบบนี้ในคริสตจักรทำให้ฤทธิอำนาจของพระคำหายไปจากคริสตจักรจนเกือบหมดแล้ว กลายเป็นเพียงที่จัดกิจกรรมส่งเสริมทางศาสนา เป็นเหมือนสภากาแฟ กลุ่มสนใจ หรือสโมสร คนมาฟังเพื่อให้เกิดให้ความเพลินหู เพลินตา หลับบ้างฟังบ้างแล้วก็กลับบ้าน ความเชื่อก็หย่อนยานไปทั้งคนพูดคนฟัง พิธีนมัสการเป็นเวทีสำหรับแสดงความสามารถของลูกท่านหลานเธอที่เป็นคริสเตียน แต่ัยังไม่ค่อยรู้จักพระเจ้าก็มีเยอะ

การเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ หรือถ้อยคำที่มาจากการเผยพระวจนะจะไม่ยืดยาวเป็น 20-30 นาทีอย่างที่นักเทศน์หลายคนปัจจุบันเข้าใจ การเทศนาเป็นการทรงนำของพระเจ้าก็จริง แต่อย่างไรก็ตามการเทศนาไม่ใช่การเผยพระวจนะทั้งหมด การเทศนาก็คือการเทศนา

การเผยพระวจนะคือการที่ผู้มีของประทานในการเผยพระวจนะได้รับถ้อยคำนั้นจากการเปิดเผยของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยตรงเพื่อสื่อสารกับผู้ฟัง ให้รับรู้ รับทราบ ได้รับคำหนุนใจ ส่วนมากเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่คำเทศนาส่วนมากเป็นเรื่องที่ข้อเท็จจริงที่เกิดแล้วในอดีตแต่ผู้เทศน์นำมาสอน มานำเสนอ---

ถ้อยคำที่เป็นการเผยพระวจนะไม่ใช่การการเทศน์ที่ยาวเป็น 20-50 นาทีหรือกว่านี้ แน่นอน

คำว่าเผยพระวจนะ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Prophesy แปลว่า ทำนาย หรือ เปิดเผยจากการดลใจหรือการแจ้งให้ทราบโดยอำนาจของพระเจ้า
ผู้เผยเรียกว่า prophet

คำว่า เทศนา ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Preach แปลว่า พูด, พูดแทน, ส่ง, เถียงแทน
ผู้เทศนาเรียกว่า preacher


ยุทธภัณฑ์ก็คือเครื่องใช้สำหรับการรบ หรือเข้าสู่การต่อสู้ ในที่นี้เราไม่ได้ออกไปรบด้วยอาวุธที่มองเห็นอยู่ แต่สู้รบกับสิ่งที่มองไม่เห็น เราจึงจำเป็นต้องใช้อาวุธที่เรามองไม่เห็นเช่นเดียวกัน เราเรียกว่าอาวุธฝ่ายวิญญาณ

นักรบรู้จักอาวุธก็จริงแต่ถ้านักรบไม่ได้ฝึกฝนการใช้อาวุธ หรือไม่สามารถใช้อาวุธอย่างถูกวิธีและชำนาญ
อาวุธก็ไม่สามารถเปล่งพลังแห่งศาสตราที่ทรงพลังได้ เหมือนกับกระบี่วิเศษอยู่ในมือเด็กน้อยทารก

มีคริสเตียนจำนวนมากในปัจจุบัน ที่ยังไม่รู้จักวิธีใช้ยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า และไม่รู้เลยว่า
แท้ที่จริงแล้วคริสเตียนไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อและเลือด และตัวเองเพียงอย่างเดียวแต่ต้องต่อสู้กับยุทธอุบายของมารซาตาน และเหล่าลูกสมุนของมันในทุกพื้นที่ของชีวิต ทุกอาทิตย์คริสตจักรยังสอนเรื่องเดิมๆ ปีแล้วปีเล่าในเรื่อง ความเชื่อ การถวาย พิธีระลึกวันต่างๆ วิธีการสู่ความสำเร็จ ความสุข ฯลฯ

คริสเตียนจำนวนมากเป็นเพียงเด็กดีที่มาโบสถ์ ถวายทรัพย์ ร่วมกิจกรรมแล้วก็กลับบ้าน ปีแล้วปีเล่าไม่สามารถนำคนบาปมารับเชื่อได้อย่างที่น่าจะเป็น เพราะคริสตจักรไม่รู้จักการใช้ยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า อาจารย์ก็สอนแค่ให้รู้จักเท่านั้น แต่ไม่มีใครรู้จักวิธีเอาไปใช้เพื่อต่อสู้กับกองทัพอากาศแห่งความมืดเลย

คริสตจักรไทยจำนวนมากยังจมปลัำกอยู่ในหลักการที่สืบทอดมาจากศาสนาที่เน้นพิธีกรรม เน้นขั้นตอน จนแก่นแท้ของศาสนาหายไปหมด ศิษยาภิบาลกลายเป็นเพียงผู้ทำงานรับจ้างของคริสตจักร ไม่กล้าต่อสู้กับอำนาจของวิญญาณศาสนาที่ปกครองอยู่เหนือคริสตจักร แท้จริงเบื้องหลังความเย็นชาเหล่านี้ คือวิญญาณที่เป็นไอ้โม่ง คือเจ้าซาตานและสมุนของมัน คริสตจักรไร้เรี่ยวแรง ไม่มีการรักษาโรค ไม่มีการอัศจรรย์ใดๆ เกิดขึ้นอย่างชัดเจน จนอาจารย์ทางศาสนาหลายๆ คริสตจักรต่างเชื่อว่าฤทธิอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่หมดไปแล้ว..

ผ่านไปหลายปี...ผู้ปกครองคริสตจักรกล่าวโทษว่า อาจารย์ไม่ดี ทำงานไม่ได้ผล อาจารย์ก็ำจำเป็นต้องย้ายสถานที่เทศนาต่อไป ต่างคนต่างโทษกันและกัน เด็กของคริสตจักรกลายเป็นกระเทย กลายเป็นดี้ ทอม ตุ๊ด รักร่วมเพศ ติดคลิปโป๊ ติดเกม ลูกของผู้ปกครองติดเหล้า คริสตจักรหมดสง่าราศี ผู้ปกครองที่ปกครองลูกและครอบครัวไม่ได้ยังมีโอกาสขึ้นเวทีธรรมมาสสั่งสอนผู้คนได้อย่างไม่ละอายแก่ใจ

มีคริสตจักรแห่งหนึ่ง บิดาเป็นศิษยาภิบาลอาวุโส มีตำแหน่งใหญ่ แต่ดูแลพี่น้องมากเกินไปไม่มีเวลาดูแลลูก ลูกๆ จึงไม่ค่อยได้รู้จักพระเจ้า ไม่ได้รับคำสอนเพียงพอ กลายเป็นทาสของบาป ไม่นานลูกชายคนหนึ่งก็ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง อาจารย์ใหญ่มาไล่ผีเองก็ไล่ไม่ออก จึงมาหาผู้เชี่ยวชาญมาไล่ ก็ไล่ไม่ออกอีก ผีสิงอยู่ประมาณสิบวัน สุดท้ายมีการเผยพระวจนะว่า ต้องให้ครอบครัวของ อาจารย์ใหญ่มาชุมนุนกัน และอธิษฐานสารภาพบาปต่อกัน เมื่อทุกคนไ้ด้มาพบกัน ยกโทษให้กันและกัน ผีร้ายก็ออกไปจากการสิงสู่ลูกชายโดยไม่ยากเลย

ลองคิดดูซิว่า ถ้าพระเยซูและสาวกของพระองค์ไม่มีการทำการอัศจรรย์ คริสเตียนจะแพร่หลายไปทั่วโลกได้ไหม. ยอห์น 4.48 "ถ้าพวกท่านไม่เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ท่านก็จะไม่เชื่อ”

ตื่นเถิดคริสตจักรไทย กลับใจเสียใหม่ ชำระตัวเอง แสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริงเถอะ

Jan 20, 2010 RW

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)