เรื่องราวของผู้แพ้ที่กลายเป็นวีรบุรุธ เป็นบุคคลตัวอย่างของโลก John Stephen Akhwari
จอร์น สตีเฟ่น แอควารี ( John Stephen Akhwari)
ในการแข่งขันโอลิมปิค ปี ค.ศ. 1968 ที่ประเทศเม็กซิโก จอร์น สตีเฟ่น แอควารี เป็นนักกีฬาวิ่งมาราธอน ขณะอายุ 30 ปี จากประเทศแทนซาเนีย เขาเข้าสู่เส้นชัยช้าไปกว่า 4 ชั่วโมง
เมื่อเขาเริ่มวิ่งจากจุดเริ่มต้นได้ไม่นานเขาเกิดหกล้ม และขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่เขายังพยายามวิ่งต่อไปในระยะทาง 42 กิโลเมตร จนเขาสามารถเข้าสู่สนามโอลิมปิค เพื่อเข้าเส้นชัยให้ได้
เรื่องราวของเขากลายเป็นฮีโร่ในตำนานจนถึงปัจจุบัน ผู้คนทั่วโลกยกย่องเขาเป็นวีรบุรุธ เช่นเดียวกันประเทศของเขา
แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บขณะวิ่งการแข่งขัน แต่จอร์นไม่ย่อท้อในการวิ่ง เขาพยายามวิ่งเข้าเส้นชัยให้ได้ แม้เวลาจะผ่านไปแล้วหลายชั่วโมง นักวิ่งจากชาติต่างๆ วิ่งเข้าสู่เส้นชัยไปหมดแล้ว การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในวันนั้น จอร์นวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นคนสุดท้าย
แทนที่ผู้คนในสนามจะเยาะเย้ย หรือหัวเราะใส่เขา แต่ทุกคนในสนามแห่งนั้นได้รับพลังใจ และชื่นชมในความพากเพียร ความพยายามของเขาอย่างมาก วันนั้นเขากลายเป็นฮีโร่ของสนามแข่งโอลิมปิคในปีนั้น เมื่อคนดูรอบสนามยืนขึ้นและตบมือให้เขาอย่างกึกก้อง
จอร์น สเตเฟ่น กล่าวว่า
"ประเทศของฉันไม่ได้ส่งให้ฉันมาไกลถึง 5000 ไมล์ เพื่อเพียงเข้าร่วมการวิ่ง แต่คนในประเทศส่งฉันมาเพื่อเข้าสู่เส้นชัย ในสนามโอลิมปิคให้ได้"
หลังจากจบการแข่งขัน เป็นเวลาหลายสิบปี จอร์น สเตเฟ่น ได้รับเชิญจากประเทศอื่นให้ไปเยี่ยม เขาไปที่ประเทศจีนได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ศิลปินได้แต่งเพลงฮีโร่ให้กับเขา เขาได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมโรงเรียนเพื่อกล่าวคำหนุนใจให้กับนักเรียน และผู้ที่กำลังก้าวไปกับการศึกษา หรือทำภารกิจแห่งชีวิตของแต่ละคน
จอร์น สเตเฟ่น เป็นบุคคลตัวอย่างของโลกไปแล้วในเรื่อง ความมุมานะพยายาม ความอดทน ไม่ย่อท้อต่อความลำบาก เพื่อนำตัวเองให้ไปถึงความสำเร็จ
เรื่องราวของเขาสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย โลกได้จารึกชีวประวัติ ของเขาไว้ว่าเป็นบุคคลตัวอย่าง แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วโลกจะจนจำและยกย่องคนที่เข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่ง หรือผู้ชนะเลิศเท่านั้น แต่สำหรับผู้ที่มีหัวใจแห่งการต่อสู้ ไม่ละทิ้งกลางทาง แม้จะพบปัญหาอุปสรรค์ และข้อจำกัดของร่างกาย และอายุ ความสำเร็จรออยู่ข้างหน้าแน่นอน
มีพระธรรมหลานตอนได้ให้กำลังใจแก่เราที่จะช่วยให้เรามีกำลังใจในการดำเนินชีวิตไว้หลายตอน เช่น
ท่านอัครทูตเปาโลได้เขียนไว้ว่า
" ส่วนข้าพเจ้าวิ่งแข่งโดยมีเป้าหมาย ข้าพเจ้ามิได้ต่อสู้อย่างนักมวยที่ชกลม"
[1คร.9:26]
แม้ว่าพระเจ้าจะสร้างมนุษย์มาให้มีอวัยวะเท่ากัน พระองค์ให้มีเวลา 24 ชั่วโมงต่อวัน และมีโอกาสพอๆ กัน บางคนแม้ไม่มีโอกาสมากนักแต่ถ้าเขาไม่ย่อท้อ ก็จะสามารถไปถึงจุดหมายแห่งชีวิตได้เหมือนกัน
การจะสำเร็จ หรือไปถึงเป้าหมายได้นั้น ขึ้นอยู่กับว่าคนๆ นั้นเขาเอาหัวใจแบบไหนมาสวมใส่ ถ้าเขาเอาหัวใจปลาซิวมาสวม เขาคงสู้และฝ่าฟันอะไรมากๆ หนักๆ ไม่ได้ เพราะพวกปลาซิว แค่มีเสียงดังๆ พวกปลาซิวก็จะตกใจและวิ่งหนีไป หรือบางตัวใจเซาะอาจหงายท้องหมดท่า ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เลย
ผมได้เห็นผู้เชื่อหลายคนที่อยากมีฤทธิมีเดช อยากรับใช้อย่างเกิดผล อยากให้อาจารย์ใหญ่วางมือเจิมให้ แต่พวกเขาไม่เอาจริงจัง ไม่สู้นาน พอเจอปัญหา หรือได้ยินเสียงกระซิบนินทา พวกเขาก็ถอย หัวหด หัวใจของเขาเดี๋ยวพอง เดี๋ยวแฟ๊บ ขึ้นอยู่กับการปลุกเร้า ถ้าใครไปฟื้นฟูมาก็จะพองโตเหมือนลูกโป่งสวรรค์ตอนซื้อมาใหม่ๆ แต่ไม่นานก็หล่นลงดิน
มีคนจำนวนไม่น้อยเป็นแบบกว่างกิ (แมงมีเขาสัญญลักษณ์ของ ทีมฟุตบอลเชียงราย ยูไนเต็ด) แมงประเภทนี้ถ้าเป็นตัวใหญ่ๆ เขายาวๆ จะสู่ไม่ถอย แต่ถ้าเป็นตัวเล็กหน่อย เขาไม่ยาวมาก ชาวเหนือเขาเรียกว่า กว่างกิ แมงกว่างกิ จะสู้เหมือนกันแต่พอมันโดนคู่ต่อสู้งัดมันด้วยเขา ถ้ามันเจ็บมันจะถอยและไม่สู้เลย พอหายเจ็บก็จะมาสู้อีก เป็นแบบนี้ เราจึงเรียกมันว่า กว่างกิ จอมวอก(ใจปลาซิว)
ผมได้พบกับผู้เชื่อจำนวนไม่น้อยทีเป็นแบบกว่างกิ ไม่สู้จริง ไม่ทนสังเวียน เป็นแบบ สู้ๆ ถอยๆ ไม่เอาจริงจัง ผมรู้สึกผิดหวังหลายครั้งกับการสร้างคน แต่ผมก็ยังไม่ย่อท้อแม้จะพบแต่พวกตะกั่ว พวกอลูมิเนียม พวกกว่างกิ ที่ไม่แข็งจริง ไม่ทนต่อคำสอน ไม่ฝึกตน แต่อย่างเก่งอยากดี อยากทำงานให้ใครๆ ยอมรับความสามารถ
คนที่อยากมีอาจารย์ อยากเก่ง แต่ไม่ทนต่อคำสอนหนักๆ ไม่มีวินัยในชีวิต ไม่อดทน ไม่รับฟังคำจริง ไม่ทนคำตักเตือของผู้สอนตน ถ้าเจอใครแบบนี้ผมก็ไม่อยากสอนอะไรหนักๆ ให้เขาเช่นกัน พี่น้องที่เป็นพี่เลี้ยงคงระอาใจกับ กว่างกิ หลายตัวที่ท่านดูแลอยู่เช่นกัน ตอนนี้ผมจึงรู้สึกระวังตัวไม่ค่อยอธิษฐานวางมือส่งต่อของประทานให้ใครง่ายๆ ผมไม่เหมือนอาจารย์ฝรั่งที่มาเมืองไทยบ่อยๆ ที่ชอบเจิมใครๆ ง่ายๆ เพราะผมเริ่มระมัดระวังและเลือกคนมากขึ้น
ในโลกวิญญาณ คนที่จะเข้าสู่พันธกิจการปลดปล่อยจำเป็นต้องมีวินัยทางวิญญาณ เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับศาสนาและความเชื่อทางวัฒนธรรมที่ผิดพลาดเท่านั้น แต่ยังต้องต่อสู้กับผี และวิญญาณชั่ว หากทำตัวสับสน เดี๋ยวสู้ เดี๋ยวไม่สู้คงไปถึงที่หมายช้า และบางคนก็คงจะไม่ไปถึง เพราะขาดความเพียรพยายาม จึงเลิกไปเสียก่อนเวลาอันควร
ถ้าใครเอาหัวใจราชสีห์มาสวมใส่ เชื่อว่า เขาจะมีความกล้าหาญ ไม่ท้อถอยหรือยอมแพ้ต่อการต่อสู้ง่ายๆ เพราะอุปนิสัยของราชสีห์นั้น เป็นราชา มีกำลังมาก และไม่หันหลังกับสัตว์อื่นง่ายๆ เลย
ถ้าใครเอาหัวใจของพระคริสต์มาสวมใส่ เชื่อว่า เขาคนนั้นจะเรียนรู้การดำเนินชีวิตด้วยความรัก เพราะพระคริสต์มีพระพรมากมายสำหรับผู้ที่ติดตามพระองค์ สิ่งแรกสุดเลย คือสุขภาพดี คนที่มีความรัก ไม่หงุดหงิดง่าย ใครด่า ใครพูดขัดหู ก็ไม่เอามาเป็นอารมณ์ ไม่เครียด เขาจึงมีสุขภาพจิตดี การค้นพบทางการแพทย์ หรืองานวิจัยได้ค้นพบมาแล้วว่า บุคคลที่มีจิตใจดี จะมีสุขภาพดี และมีอายุยืนยาว ไม่เจ็บป่วยง่าย
สิ่งที่สองที่ได้รับเมื่อเอาหัวใจของพระคริสต์มาสวมคือ ความพากเพียร พระคริสต์ได้มาบังเกิดในโลกนี้ พระองค์ได้สละยศถา บรรดาศักดิ์ และความสุขสบายในสวรรค์ เพื่อมาเกิดในท้องของหญิงยากจน และต้องเกิดในโรงพักวัว หรือห้างสำหรับให้สัตว์พักผ่อน พระองค์ต้องเรียนรู้งานอาชีพ และอยู่กับครอบครัวของพ่อแม่จนกระทั้งอายุได้สามสิบปี พระองค์จึงออกไปทำพันธกิจที่พระบิดาได้มอบหมาย สั่งการให้พระองค์ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ นั่นคือ "การดำเนินชีวิตตามจุดประสงค์ของพระบิดา" เป้าหมายสำคัญที่พระองค์ต้องทำ การดำเนินชีวิตด้วยความเพียร ความอดทน ด้วยความรัก จนบรรลุเป้าหมายการไถ่บาปของมนุษย์ชาติ
พระคริสต์ต้องเดินทางหลายร้อยไมล์ด้วยการเดินเท้า เพื่อออกไปประกาศเรื่องราวของพระเจ้าให้คนทั้งหลายกลับใจจากบาป หันกลับมาหาพระเจ้า พระคริสต์ได้แสดงความรักเมตตา ต่อประชาชนด้วยการรักษาโรคของพวกเขา ด้วยสิทธิอำนาจของแผ่นดินของพระเจ้า พระองค์ปลดปล่อยคนถูกวิญญาณรบกวน มีผีสิงให้หาย
พระองค์พยายามสั่งสอนศิษย์ให้ดำเนินชีวิตเพื่อทำพันธกิจเช่นเดียวกับที่พระองค์ทำ เป็นเวลาถึงสามปี แต่ในวาระสุดท้ายของชีวิตขณะที่พระองค์ถูกสอบสวน และถูกฆ่าพวกศิษย์ทั้งหมดได้พากินหนีไปซ่อนตัว บางคนก็กล่าวปฏิเสธพระองค์ แม้จะอยู่ต่อหน้าพระองค์
ประการสุดท้าย พระคริสต์ดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมายเพื่อ ถวายร่างกาย และเลือดของพระองค์เป็นเครื่องบูชา ไถ่ความผิดบาปของมนุษย์ เรื่องแบบนี้ฟังดูอาจเป็นเหมือนเรื่องง่าย แต่การที่ใครสักคนจะยอมทนเจ็บ ทนทรมาน และถูกเขาจับตรึงกางเขน และตายเพื่อคนอื่นไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ จะทำได้ง่าย
คงมีบ้างที่บางคนอาจเสียสละตัวเองเพื่อคนดี คนที่เป็นที่รัก หรือทาสสามารถสละชีวิตเพื่อเจ้านายที่ดีต่อเขา แต่พระคริสต์ได้สละชีวิตของพระองค์เพื่อคนบาป คนเลว คนนิสัยไม่ดี คนโกง คนล่วงประเวณี คนขี้เมา คนที่ทำบาปลับๆ ที่บอกใครไม่ได้ คนที่ตกเป็นทาสของสิ่งชั่วร้าย
ขอให้กำลังใจพี่น้องด้วยข้อพระธรรม ดังนี้
ข้าพเจ้าได้เห็นภายใต้ดวงอาทิตย์อีกว่า คนเร็วไม่ชนะในการวิ่งแข่งเสมอไป หรือฝ่ายมีกำลังไม่ชนะสงครามเสมอไป หรือคนฉลาดไม่รับประทานเสมอไป หรือคนมีความเข้าใจไม่ร่ำรวยเสมอไป หรือผู้ที่เชี่ยวชาญไม่ได้รับความโปรดปรานเสมอไป แต่วารและโอกาสมีมาถึงเขาทุกคน
[ปัญญาจารย์ 9:11]
"ถ้าเจ้าวิ่งแข่งกับมนุษย์ และเขาทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อย เจ้าจะแข่งกับม้าได้อย่างไร และถ้าเจ้ายังล้มลงในแผ่นดินที่ปลอดภัย เจ้าจะทำอย่างไรในดงลุ่มแม่น้ำจอร์แดน
[ยรม.12:5]
ท่านไม่รู้หรือว่าคนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกันก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รับรางวัลมีคนเดียว เหตุฉะนั้นจงวิ่งเพื่อชิงรางวัลให้ได้
[1คร.9:24]
ท่านกำลังวิ่งแข่งดีอยู่แล้ว ใครเล่าขัดขวางท่านไม่ให้เชื่อฟังความจริง
[กท.5:7]
เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีพยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา
[ฮบ.12:1]
ขอพระเจ้าอวยพระพรให้มีกำลังใจในการสู้ต่อไปนะครับ
ชาโลม
Rice Mu: March 16, 2013
HOME
อ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/John_Stephen_Akhwari
http://english.cri.cn/4406/2008/01/14/1181@314103.htm : จอร์น เยือนประเทศจีน
สุดยอด มีความมุ่งมั่น พยายามไปให้ถึงเป้าหมายให้ได้ ขอยกย่อง เอาไปเป็นแบบอย่าง
ตอบลบ