How to make hand gestures in Worshipping Jesus.
การทำท่าทางในการนมัสการพระเยซูคริสต์
การวางมือแบบนี้ใช้สำหรับการอธิษฐานอวยพรซึ่งกันและกันในระยะไกล
ผู้เชื่อพระเยซูคนใหม่และคนเก่าหลายคนไม่แน่ใจว่าจะทำท่าทางหรือทำมืออย่างไรในการนมัสการพระเยซูเจ้า รูปภาพเหล่านี้อาจใช้เป็นแนวทางในการวางท่าทางในการนมัสการพระเจ้า แท้จริงท่าทาง ภาษากายยังไม่มีสำคัญเท่าการนมัสการด้วยจิตใจที่แท้จริง และด้วยวิญญาณของเรา แต่การแสดงออกภายนอกก็มีส่วนสำคัญในการรับพระพรแห่งการเจิมของพระเจ้า เรามาเรียนรู้ด้วยกันเพื่อสามารถนมัสการพระเจ้าอย่างเต็มใจ เต็มวิญญาณ และรับการสัมผัสพระพรแห่งการนมัสการพระเจ้าผู้เป็นอยู่เพียงผู้เดียว
พระธรรมเนหะมีห์ บทที่ 8 ข้อที่ 6
เอสราสรรเสริญพระเยโฮวาห์ พระเจ้าใหญ่ยิ่ง
และประชาชนทั้งปวงตอบว่า "เอเมน เอเมน"
พร้อมกับ "ยกมือขึ้น"
และเขาทั้งหลาย "โน้มตัวลงนมัสการพระเยโฮวาห์"
" ซบหน้าลงถึงดิน"
ชาวคริสต์ในประเทศไทยไม่ได้แสดงท่าทางมากนักในการนมัสการพระเจ้า โบสถ์คริสต์สายอนุรักษ์นิยมบางแห่งเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง ยอมรับรู้แนวคิดใหม่ๆ ในการนมัสการพระเจ้าด้วยการ นมัสการแบบเพลงสั้น การอธิษฐานแบบยืนรวมกลุ่มกัน การยกมือขึ้นสรรเสริญ และการอธิษฐานวางมือแบบถูกต้องตัวกัน การเป่าเขาสัตว์ การนมัสการแบบเต้นโลด ยอมรับการเจิมด้วยไฟของพระเจ้า แต่ยังมีคริสตจักรบางแห่งที่ชอบอนุรักษ์ของเดิมและต่อต้านการเรียนรู้ใหม่ๆ การเปิดเผยใหม่ๆ การที่คนจะเจริญรุ่งเรืองอยู่ที่การปรับตัวให้เข้ากับการเปิดเผยใหม่ๆ ของพระเจ้าด้วย
ข้าพเจ้าไม่ทราบ และไม่ค่อยแน่ใจว่ามีใครเคยสอนในการวางมือและท่าทางในการนมัสการพระเจ้าแล้วบ้างหรือมี เคยมีหลักฐานบันทึกไว้บ้างหรือไม่ เนื่องจากข้าพเจ้ามีประสบการณ์มาบ้างในการเป็นคริสเตียน แต่ได้พบว่าการไหว้พระเจ้า การวางท่ามือในการอธิษฐานของคริสเตียนไม่ได้แตกต่างไปจากของคนที่นับถือผี การไหว้รูปเคารพ การก้มกราบต่อรูปปั้นและวัตถุที่เป็นรูปเคารพของคนไม่รู้จักพระเยซูเลย และการไหว้แบบไทย ก็มีหลายประเทศที่ไม่ได้นับถือพระเยซูได้ทำมือในท่าไหว้เหมือนกัน แต่การนมัสการพระเยซูนั้นแตกต่างจากการไหว้รูปเคารพซึ่งพูดไม่ได้ และเป็นการอธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่จึงไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกับการไหว้รูปเคารพ หรือทำให้เหมือนการไหว้พระเจ้าในศาสนาอื่นๆ
ข้าพเจ้าจึงขอนำเสนอท่าทางในการนมัสการพระเจ้าผู้สูงสุดพอเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่มาเชื่อพระเยซูคริสต์และนับถือพระองค์เป็นพระเจ้าพอสังเขป เพราะการสอนคนที่มาเชื่อใหม่้ด้วยแนวทางใหม่นั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าคนใหม่ๆ และคนหนุ่มสาวสามารถยอมรับสิ่งใหม่ๆ ได้ดีกว่าคนเก่าที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาและความเชื่อเดิมๆ จึงไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้มากนัก เหมือนกับเรื่องที่พระเจ้าปล่อยให้พวกผู้อพยพที่ได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ พวกเขาได้รับอิทธิพลของอียิปต์เรียนรู้วิถีชีวิต และการธรรมเนียมคนต่างศาสนาเป็นเวลาถึง 400 ปี หรือ 4 ชั่วอายุคน จนกลายเป็นสันดาน เป็นทาสแรงงานคิดไม่เป็น ความจำสั้น ไม่กล้าเสี่ยงกับพระเจ้า การเปลี่ยนแปลงวิธีการคิดและความเชื่อ กลายเป็นสิ่งที่เกินความสามารถของพวกเขาที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากับ วิธีการใหม่ๆ ของพระเจ้า พระเจ้าจึงปล่อยให้พวกเขาเดินเร่ร่อนและวนเวียนอยู่ในทะเลทรายอันเวิ้งว้าง และร้อนจ้าจนพวกเขาตายไปเกือบหมดประมาณ 600,000 กว่าคน เหลือไว้แต่คนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี และผู้สอดแนมอีก 2 คนเท่านั้นที่มีชีวิตรอดได้เดินทางเข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญาในสมัยของผู้นำคนที่สอง คือท่านโยชูวา
ปัจจุบันโบสถ์คริสต์ทั่วไปหลายๆ แห่งกลายเป็นศาสนสถานที่ไร้ฤทธิ์เดช ไร้เรี่ยวแรง ไม่มีการสัมผัสกับพระเจ้า หรือมีเหตุการณ์ใดๆ ที่แสดงถึงการอยู่ด้วยของพระเจ้าที่มีฤทธิ์อำนาจ ไม่ค่อยมีการปลดปล่อยใดๆ อีกแล้ว คนป่วยมาร่วมนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์ ก็พบกับพิธีกรรมทางศาสนาที่จืดชืด รอให้อาจารย์อธิษฐานให้หายโรคก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้ การอธิษฐานก็เป็นเพียงการยกมืออวยพรสั้น เมื่อคนเดินออกไปจากโบสถ์ก็ยังไม่สบายตัวเหมือนเดิม การจะพบพระเยซูคริสต์ก็ต้องรอให้ตายไปเสียก่อน ซึ่งไม่แน่ว่าจะได้พบหรือไม่ เพราะเป็นแต่ความหวังลมๆ แล้ง นอกจากนี้ยังมีโบสถ์คริสต์ที่เป็นลัทธิเทียมเท็จ และโบสถ์ศาสนาที่มีแต่รูปปั้นพระเยซู มีการนมัสการไม้กางเขน กราบไว้รูปปั้น และมีการจุดธูปจุดเทียน เหมือนกับการบูชารูปเคารพทั่วๆ ไปอีกมากมายจนไม่แน่ใจว่า ใครเป็นของแท้ ของเทียม และเลียนแบบ นี่คือความสับสนโดยแท้
รูปภาพต่อไปนี้แสดงถึงวิธีการทำท่าทางด้วยมือในรูปแบบต่างๆ ตามจุดประสงค์
การยืนเพื่อรับการอวยพรจากพระเจ้าหรือรับการเจิม ด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า
ให้ยืนอธิษฐาน ยกมือหลับตา รอคอย หายใจลึกๆ ด้วยจิตใจที่จดจ่อที่พระเจ้า
เพื่อกล่าวสรรเสริญวิงวอนอย่างร้อนรน
ท่ามือแบบนี้แปลว่า ต้องการอย่างมาก และสูงสุด
การยกมือแบบนี้เป็นการแสดงออกถึงการเทิดทูนพระเจ้า
อาจารย์ผู้อธิษฐานอาจมีการจับที่หน้าผา หรือที่กกหู บริเวณขมับเพื่อเป็นการอวยพร
หรือเอามือวางที่เจ็บป่วยเพื่อเป็นการแตะต้องเพื่อให้พระเจ้ารักษาโรคภัย
เมื่อต้องการับการอธิษฐานเผื่อ ยกมือขึ้นเสมอหน้าอก หลับตา
พูดในใจด้วยความเชื่อ ว่าขอรับเอาพระพรจากพระเยซูผู้เป็นอยู่เดี๋ยวนี้
การก้มกราบถือเป็นการนมัสการที่สูงสุดอย่างหนึ่งที่มีในพระคัมภีร์
แต่คริสเตียนไทยยังไม่ค่อยปฎิบัติหรือสามารถแสดงความเคารพพระเจ้าได้สูงขนาดนี้
ชาวยิวจะไปยืนอธิษฐานที่กำแพงเมืองเยรูซาเล็มฝั่งตะวันตก
เมื่ออ่านพระคัมภีร์แล้วก็อธิษฐานและเอาคำอธิษฐานเขียนใส่กระดาษยัดไว้ตามรอยแตกของกำแพง
ยิวคริสเตียนนมัสการพระเจ้าด้วยการ เต้นรำ การยืนขึ้น ยกมือสรรเสริญ
การนมัสการพระเจ้าด้วยการเต้นไม่ใช่สิ่งใหม่ เป็นสิ่งที่มีในพระคัมภีร์มาตั้งแต่สามพันปีแล้ว
การยกมือแบบนี้เป็นการแสดงออกถึงการเทิดทูนพระเจ้า
อาจารย์ผู้อธิษฐานอาจมีการจับที่หน้าผา หรือที่กกหู บริเวณขมับเพื่อเป็นการอวยพร
หรือเอามือวางที่เจ็บป่วยเพื่อเป็นการแตะต้องเพื่อให้พระเจ้ารักษาโรคภัย
เมื่อต้องการับการอธิษฐานเผื่อ ยกมือขึ้นเสมอหน้าอก หลับตา
พูดในใจด้วยความเชื่อ ว่าขอรับเอาพระพรจากพระเยซูผู้เป็นอยู่เดี๋ยวนี้
การก้มกราบถือเป็นการนมัสการที่สูงสุดอย่างหนึ่งที่มีในพระคัมภีร์
แต่คริสเตียนไทยยังไม่ค่อยปฎิบัติหรือสามารถแสดงความเคารพพระเจ้าได้สูงขนาดนี้
ชาวยิวจะไปยืนอธิษฐานที่กำแพงเมืองเยรูซาเล็มฝั่งตะวันตก
เมื่ออ่านพระคัมภีร์แล้วก็อธิษฐานและเอาคำอธิษฐานเขียนใส่กระดาษยัดไว้ตามรอยแตกของกำแพง
การนมัสการพระเจ้าด้วยการเต้นไม่ใช่สิ่งใหม่ เป็นสิ่งที่มีในพระคัมภีร์มาตั้งแต่สามพันปีแล้ว
ไม่ถือว่าผิดต่อพระบัญญัติของพระเจ้า ไม่ถือว่าเป็นบาป
แต่คริสเตียนยังไม่สามารถไหว้พระเจ้าได้ขนาดนี้
การกราบพ่อแม่ไม่ถือว่าผิดต่อพระบัญญัติของพระเจ้า
แต่คริสเตียนยังไม่สามารถไหว้พระเจ้าได้ขนาดนี้
การกราบพ่อแม่ไม่ถือว่าผิดต่อพระบัญญัติของพระเจ้า
ที่ไม่ใช่คนจริงๆ ถือเป็นการแสดงความเคารพต่อรูปเคารพ
เป็นสิ่งที่ห้ามไว้อย่างชัดเจน และหลายครั้งในพระคัมภีร์ ถือเป็นบาปร้ายแรง
แม้ว่าจะเป็นรูปบุคคล หรือนักบุญ เทวดา หรือนักบวชในศาสนาคริสต์ก็ตามถือว่าบาป
การนำเอาอาหารที่ไปเซ่นไหว้มากิน ถือว่าไม่เหมาะสมด้วย
การนำเอาอาหารที่ไปเซ่นไหว้มากิน ถือว่าไม่เหมาะสมด้วย
ถือว่าเป็นการไหว้รูปเคารพ เป็นบาปหนัก ลูกพระเยซูจงอย่าทำ
ถือเป็นการแสดงการนมัสการอย่างหนึ่ง
การยกมือขึ้นในการนมัสการพระเจ้าไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหม่ เป็นสิ่งที่มีมานานหลายพันปี แต่เนื่องจากความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ได้มีการพัฒนาจากกลุ่มเคลื่อนไหว กลุ่มคนเล็กๆไปสู่การเป็นศาสนา มีการปกครองเป็นลำดับชั้นเหมือนการเมือง นักบวชและผู้นำศาสนาเป็นผู้ชี้นำ ควบคุม จนเข้าสู่ยุคมืดของศาสนาคริสต์ ทำให้ผู้เชื่อจำนวนเป็นล้านๆ คนไม่เข้าใจในการนมัสการ เพราะใน การติดต่อกับพระเจ้าต้องทำผ่านคนกลางคือพวกที่เข้าถือบวชในศาสนาคริสต์ ผู้นำทางศาสนาที่รับการแต่งตั้งจากระบบการปกครองขององค์การศาสนา
เมื่อคนรู้สึกว่าตนเองมีความผิดบาปอยากกลับใจเขาต้องไปสารภาพบาปกับนักบวช ทำให้เกิดเป็นผลประโยชน์แก่นักบวชและศาสนจักร เมื่อคริสเตียนนิกายต่อต้านศาสนาคาทอลิกได้แยกตัวออกมาพวกเขายังไม่ละทิ้งวัฒนธรรมเก่าๆ เครื่องดนตรีเก่าๆ วัฒนธรรมและระเบียบปฏิบัติเก่าๆ ยังติดตัวคริสตชนมาอีกเป็นเวลากว่าหลายร้อยปี หรืออาจเรียกว่ากว่าหนึ่งพันปีก็ว่าได้ การร้องเพลง การนมัสการพระเจ้ายังยึดติดพิธีการ พิธีกรรม เป็นการยกหน้าที่การนมัสการให้เป็นของอาจารย์หรือ นักบวช การทำขั้นตอนต่างๆ ตามที่เขียนไว้เหมือนกับว่ากลัวว่าจะขาดตกบกพร่อง ผู้นำระเบียบพิธีหลายคนเป็นเพียงลูกหลานคริสเตียนที่ยังไม่ได้กลับใจใหม่อย่างแท้จริง เป็นเพียงผู้ถูกผลัก ถูกดัน ถูกบังคับให้ทำหน้าที่เป็นพิธีกรการนมัสการ
ดังนั้นพิธีกรจำเป็นจึงก้มหน้าก้มตาอ่านตามระเบียบพิธีให้มันเสร็จๆ ไปตามขั้นตอนพิธีกรรม บางครั้งผู้นำระเบียบพิธีไม่มีการทักทายผู้คนที่มาร่วมนมัสการด้วยความจริงใจ ไม่กล้าสบตาผู้คนที่มานมัสการด้วยซ้ำเพราะตัวเองอาจยังไม่หายอาการเมาค้างจากการดื่มแอลกอฮอล์ในคืนที่ผ่านไป พิธีการนำนมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ จึงเป็นเพียงการสวมหน้ากากแสดงบทละครในพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น ไม่ได้คาดหวังให้คนไ้ด้รับการสัมผัส ได้รับการปลดปล่อย หรือเข้าถึงพระเจ้าที่เป็นพระวิญญาณแต่อย่างใด
การนมัสการพระเจ้าในโบสถ์ศาสนาทั่วไปจึงเป็นการแสดงออกเหมือนกับนมัสการพระเจ้าที่น่ากลัว ดุร้าย และทุกคนต้องอยู่ในอาการสำรวม ด้วยเกรงว่าพระเจ้าจะไม่พอใจ ต้องมีขั้นตอนเหมือนกับการเข้าเฝ้าพระราชา หรือผู้บรรดาศักดิ์ จึงเป็นเหตุให้การนมัสการพระเจ้ากลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ ในการนมัสการจะต้องมีการสอนศีลธรรมที่เขาเรียกว่าการเทศนา ผู้เทศนากลายเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของพิธีกรรมเท่านั้น เป็นเพียงการพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนทำหน้าที่เวร เพื่อแบ่งปันความรู้ทางศาสนา แนวคิดของผู้เทศนาต่อการบริหารงานของคริสตจักร เป็นการพูดอวดในสิ่งที่คริสตจักรกำลังทำ หรือเป็นการรายงานข่าว เรื่องสัพเพเหระเพื่อประเืิทืองปัญญา หรือการวิพากษ์วิจารณ์ข่าวการเมืองที่กำลังร้อนแรงในขณะนั้น
การเทศนาในโบสถ์แบบทั่วไปจะเน้นการสอนที่แนะนำให้เป็นคนดีในสังคม มีแนวทางในการปฏิบัติตนให้ประสบความสำเร็จในชีวิต การบริหารครอบครัว เคล็ดลับการมีสุขภาพดี การมีสัมพันธภาพของสมาชิกที่ดี การเชื่อฟังผู้นำ การเสียสละอุทิศตนเพื่อสังคม การเข้าร่วมกิจกรรมที่คริสตจักรจัดขึ้น การถวายทรัพย์ตามหน้าที่ ปัจจุบันนักเทศน์จำนวนมากไม่กล้าเทศนาเพื่อตักเตือนว่ากล่าว หรือแก้ไขความบกพร่องด้านพฤติกรรมด้่านศีลธรรมและจรรยามารยาทของคริสเตียนมากนัก เพราะการเทศนาเช่นนี้อาจเป็นการสร้างความเจ็บปวดแก่ตนเอง และผู้ฟังที่ทำบาปจนเป็นนิสัยถาวร ผู้นำที่เย่อหยิ่งแต่มีความรู้พระคัมภีร์มากจะไม่พอใจ อาจทำให้ผู้เทศนาตกงานได้ และการเทศนาก็มีการกำหนดเวลาว่าไม่เกิน 15-30 นาทีเท่านั้น
การเทศนาในโบสถ์ศาสนาคริสต์ทั่วไปหลายๆ แห่งจึงไม่ได้มีความมุ่งหมายที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดการสำนึกบาป รับการเปลี่ยนแปลงชีวิต รับการปลดปล่อยเยียวยา เพื่อการสร้างสรรค์ผู้เชื่อให้รู้จักสิทธิอำนาจแห่งการเป็นผู้เชื่อ เพื่อได้รับการเสริมสร้างต่อไปจนกลายเป็นสาวกที่พร้อมจะออกปฎิบัติการปลดปล่อยผู้คนให้พ้นจากอำนาจของมารร้าย ออกไปประกาศพระคริสต์ วางมือรักษาคนเจ็บป่วยให้หายป่วยและพ้นทุกข์ได้
การสอนของคริสตจักรส่วนใหญ่ยังไม่ไปไม่ถึงตรงจุดนี้ จึงเป็นเพียงสอนให้เป็นคนดี เป็นคริสเตียนที่ดี เป็นผู้เข้าร่วมกิจกรรม เป็นผู้ฟังที่ดี เป็นนักทำความดีเหมือนๆ กับศาสนาทั่วไปที่สอนให้เป็นคนดีเท่านั้น
ผู้สอนส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดในแต่ละโบสถ์ไม่กล้าที่จะทำการอธิษฐานวางมือปลดปล่อยผู้คนอย่างจริงจังและหวังผล แต่บางครั้งต้องอธิษฐานวางมือเนื่องจากมันเป็นหน้าที่ มีผู้ขอร้องให้ทำ นักเทศน์หลายคนจำเป็นต้องทำไปอย่างงั้น เพราะรู้อยู่ในใจแล้วว่ายังไงมันก็ไม่หาย คิดว่าตนเองไม่มีของประทาน จิตสำนึกมันบอกอย่างนั้น นักเทศน์และผู้นำคริสตจักรจึงไม่มีการวางมือรักษาเยียวยาความเจ็บป่วยฝ่ายร่างกาย ทางอารมณ์และจิตวิญญาณแต่อย่างใดเลย
นักเทศก์บางคนยังกลัวที่จะได้รับการถ่ายทอดของวิญญาณร้ายจากตัวคนป่วยด้วย ตัวนักเทศน์เองก็ถูกกดดันเพราะต้องทำรายงานบันทึกการเทศนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน จนทำให้การเทศนากลายเป็นเหมือนรายงานสรุปย่อส่งครูของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาเท่านั้น อาจเนื่องมาจากคริสตจักรต้องการเอาใจคริสเตียนที่ขี้เกียจจดบันทึกคำสอน จึงต้องบันทึกคำสอนให้เอาไปทบทวนที่บ้านซึ่งถ้ามองในแง่นี้ก็ยังอาจจะมีข้อดีอยู่บ้าง นี่คือสภาพของคริสตจักรหลายแห่งในประเทศไทยในปัจจุบัน คือย่ำอยู่กับที่ ไม่สามารถบุกไปข้างหน้า บางแห่งเริ่มถอยหลัง และสูญเสียสมาชิกให้กับกระแสของโลก ลูกหลานคริสเตียนประพฤติตนไม่ต่างไปจาก ศาสนิกของศาสนาทั่วไปคือทำตัวให้เป็นคนดีเท่านั้น
การยกมือขึ้นสูงเพื่อจะนมัสการพระเจ้า ผู้เชื่อที่มานมัสการพระเจ้าหลายๆ คนอาจรู้สึกไม่คุ้นเคย บางครั้งอาจเกิดความรู้สึกว่ามือของฉันนี้ไม่สอาด มีเสียงฟ้องในใจว่า "แกไม่สมควรจะยกขึ้นเพื่อสรรเสริญพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ได้เพราะแกมันบาป มือชอบทำบาป" ความคิดเช่นนี้ไม่ได้มาจากเบื้องสูงแน่นอนแต่เป็นความเชื่อที่เกิดจากการรับการเข้าดลใจของวิญญาณล่อลวง ที่มักจะพูดกับผู้มานมัสการพระเจ้าว่า "มือของเจ้าสกปรก และเจ้าเป็นคนบาป เจ้าไม่มีความเหมาะสมที่จะยกมือขึ้นสรรเสริญพระเจ้า จงอย่าทำดีกว่า"
หลายครั้งเราสังเกตว่าผู้มานมัสการพระเจ้าที่ยังลุ่มๆ ดอนๆ กับพระเจ้าจะเอามือกอดอก หรือยืนเฉยๆ ในขณะที่คนอื่นๆ ยกมือขึ้นสรรเสริญด้วยการร้องเพลงเสียงดัง และโห่ร้องแต่พวกนี้แสดงภาษากายในเชิงว่า ข้าไม่สน ข้าไม่ทำ ข้าไม่เคยทำ ธรรมเนียมของกลุ่มของข้าไม่มีอย่างนี้ ใจปิดสนิทเลยก็ว่าได้
แต่สำหรับลูกของพระเยซูหลายๆ คนที่ได้กลับใจอย่างแท้จริงและได้สัมผัสกับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ ได้รับการสอนและฝึกการนมัสการ พวกเขาจะอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นทำท่าทางต่างๆ ทั้งการเต้น การทำเสียงร่าเริงยินดีในการนมัสการที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณและความจริงอย่างมีชีวิตชีวา บางครั้งเป็นการเต้นรำ ทำท่าทางต่างๆ ทำเสียงชื่นบานถวายพระเจ้า
เพราะพวกเขาชื่นชมยินดีที่ได้เข้ามาพบกับพระเจ้าที่มีชีวิตและเคลื่อนไหวท่ามกลางพวกเขา เมื่อพวกเขานมัสการพระเจ้าเสร็จแล้ว คริสตจักรที่เจริญแล้วส่วนใหญ่จะมีการเลี้ยงอาหารผู้มานมัสการ เพราะอาหารที่เขากินก็คือผลจากสิ่งที่พวกเขานำมาถวายพระเจ้านั่นเอง คริสตจักรไม่ได้หวงสิ่งดีหรือเก็บสะสมไว้เพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างที่เป็นวัตถุให้มีมากขึ้น หรือเพื่อสร้างอาณาจักรของตนแต่ยินดีที่จะร่วมกับพี่น้องและคริสตจักรอื่น ร่วมกันสร้ิางอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ในพื้นที่ประกาศของตน คริสตจักรจึงเพิ่มพูนและเติบโต พี่น้องที่มานมัสการพระเจ้าจะออกจากคริสตจักรกลับไปบ้านด้วยความชื่นชมยินดี
กลับไปหน้าแรก คลิก
เมื่อคนรู้สึกว่าตนเองมีความผิดบาปอยากกลับใจเขาต้องไปสารภาพบาปกับนักบวช ทำให้เกิดเป็นผลประโยชน์แก่นักบวชและศาสนจักร เมื่อคริสเตียนนิกายต่อต้านศาสนาคาทอลิกได้แยกตัวออกมาพวกเขายังไม่ละทิ้งวัฒนธรรมเก่าๆ เครื่องดนตรีเก่าๆ วัฒนธรรมและระเบียบปฏิบัติเก่าๆ ยังติดตัวคริสตชนมาอีกเป็นเวลากว่าหลายร้อยปี หรืออาจเรียกว่ากว่าหนึ่งพันปีก็ว่าได้ การร้องเพลง การนมัสการพระเจ้ายังยึดติดพิธีการ พิธีกรรม เป็นการยกหน้าที่การนมัสการให้เป็นของอาจารย์หรือ นักบวช การทำขั้นตอนต่างๆ ตามที่เขียนไว้เหมือนกับว่ากลัวว่าจะขาดตกบกพร่อง ผู้นำระเบียบพิธีหลายคนเป็นเพียงลูกหลานคริสเตียนที่ยังไม่ได้กลับใจใหม่อย่างแท้จริง เป็นเพียงผู้ถูกผลัก ถูกดัน ถูกบังคับให้ทำหน้าที่เป็นพิธีกรการนมัสการ
ดังนั้นพิธีกรจำเป็นจึงก้มหน้าก้มตาอ่านตามระเบียบพิธีให้มันเสร็จๆ ไปตามขั้นตอนพิธีกรรม บางครั้งผู้นำระเบียบพิธีไม่มีการทักทายผู้คนที่มาร่วมนมัสการด้วยความจริงใจ ไม่กล้าสบตาผู้คนที่มานมัสการด้วยซ้ำเพราะตัวเองอาจยังไม่หายอาการเมาค้างจากการดื่มแอลกอฮอล์ในคืนที่ผ่านไป พิธีการนำนมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ จึงเป็นเพียงการสวมหน้ากากแสดงบทละครในพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น ไม่ได้คาดหวังให้คนไ้ด้รับการสัมผัส ได้รับการปลดปล่อย หรือเข้าถึงพระเจ้าที่เป็นพระวิญญาณแต่อย่างใด
การนมัสการพระเจ้าในโบสถ์ศาสนาทั่วไปจึงเป็นการแสดงออกเหมือนกับนมัสการพระเจ้าที่น่ากลัว ดุร้าย และทุกคนต้องอยู่ในอาการสำรวม ด้วยเกรงว่าพระเจ้าจะไม่พอใจ ต้องมีขั้นตอนเหมือนกับการเข้าเฝ้าพระราชา หรือผู้บรรดาศักดิ์ จึงเป็นเหตุให้การนมัสการพระเจ้ากลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ ในการนมัสการจะต้องมีการสอนศีลธรรมที่เขาเรียกว่าการเทศนา ผู้เทศนากลายเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของพิธีกรรมเท่านั้น เป็นเพียงการพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนทำหน้าที่เวร เพื่อแบ่งปันความรู้ทางศาสนา แนวคิดของผู้เทศนาต่อการบริหารงานของคริสตจักร เป็นการพูดอวดในสิ่งที่คริสตจักรกำลังทำ หรือเป็นการรายงานข่าว เรื่องสัพเพเหระเพื่อประเืิทืองปัญญา หรือการวิพากษ์วิจารณ์ข่าวการเมืองที่กำลังร้อนแรงในขณะนั้น
การเทศนาในโบสถ์แบบทั่วไปจะเน้นการสอนที่แนะนำให้เป็นคนดีในสังคม มีแนวทางในการปฏิบัติตนให้ประสบความสำเร็จในชีวิต การบริหารครอบครัว เคล็ดลับการมีสุขภาพดี การมีสัมพันธภาพของสมาชิกที่ดี การเชื่อฟังผู้นำ การเสียสละอุทิศตนเพื่อสังคม การเข้าร่วมกิจกรรมที่คริสตจักรจัดขึ้น การถวายทรัพย์ตามหน้าที่ ปัจจุบันนักเทศน์จำนวนมากไม่กล้าเทศนาเพื่อตักเตือนว่ากล่าว หรือแก้ไขความบกพร่องด้านพฤติกรรมด้่านศีลธรรมและจรรยามารยาทของคริสเตียนมากนัก เพราะการเทศนาเช่นนี้อาจเป็นการสร้างความเจ็บปวดแก่ตนเอง และผู้ฟังที่ทำบาปจนเป็นนิสัยถาวร ผู้นำที่เย่อหยิ่งแต่มีความรู้พระคัมภีร์มากจะไม่พอใจ อาจทำให้ผู้เทศนาตกงานได้ และการเทศนาก็มีการกำหนดเวลาว่าไม่เกิน 15-30 นาทีเท่านั้น
การเทศนาในโบสถ์ศาสนาคริสต์ทั่วไปหลายๆ แห่งจึงไม่ได้มีความมุ่งหมายที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดการสำนึกบาป รับการเปลี่ยนแปลงชีวิต รับการปลดปล่อยเยียวยา เพื่อการสร้างสรรค์ผู้เชื่อให้รู้จักสิทธิอำนาจแห่งการเป็นผู้เชื่อ เพื่อได้รับการเสริมสร้างต่อไปจนกลายเป็นสาวกที่พร้อมจะออกปฎิบัติการปลดปล่อยผู้คนให้พ้นจากอำนาจของมารร้าย ออกไปประกาศพระคริสต์ วางมือรักษาคนเจ็บป่วยให้หายป่วยและพ้นทุกข์ได้
การสอนของคริสตจักรส่วนใหญ่ยังไม่ไปไม่ถึงตรงจุดนี้ จึงเป็นเพียงสอนให้เป็นคนดี เป็นคริสเตียนที่ดี เป็นผู้เข้าร่วมกิจกรรม เป็นผู้ฟังที่ดี เป็นนักทำความดีเหมือนๆ กับศาสนาทั่วไปที่สอนให้เป็นคนดีเท่านั้น
ผู้สอนส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดในแต่ละโบสถ์ไม่กล้าที่จะทำการอธิษฐานวางมือปลดปล่อยผู้คนอย่างจริงจังและหวังผล แต่บางครั้งต้องอธิษฐานวางมือเนื่องจากมันเป็นหน้าที่ มีผู้ขอร้องให้ทำ นักเทศน์หลายคนจำเป็นต้องทำไปอย่างงั้น เพราะรู้อยู่ในใจแล้วว่ายังไงมันก็ไม่หาย คิดว่าตนเองไม่มีของประทาน จิตสำนึกมันบอกอย่างนั้น นักเทศน์และผู้นำคริสตจักรจึงไม่มีการวางมือรักษาเยียวยาความเจ็บป่วยฝ่ายร่างกาย ทางอารมณ์และจิตวิญญาณแต่อย่างใดเลย
นักเทศก์บางคนยังกลัวที่จะได้รับการถ่ายทอดของวิญญาณร้ายจากตัวคนป่วยด้วย ตัวนักเทศน์เองก็ถูกกดดันเพราะต้องทำรายงานบันทึกการเทศนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน จนทำให้การเทศนากลายเป็นเหมือนรายงานสรุปย่อส่งครูของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาเท่านั้น อาจเนื่องมาจากคริสตจักรต้องการเอาใจคริสเตียนที่ขี้เกียจจดบันทึกคำสอน จึงต้องบันทึกคำสอนให้เอาไปทบทวนที่บ้านซึ่งถ้ามองในแง่นี้ก็ยังอาจจะมีข้อดีอยู่บ้าง นี่คือสภาพของคริสตจักรหลายแห่งในประเทศไทยในปัจจุบัน คือย่ำอยู่กับที่ ไม่สามารถบุกไปข้างหน้า บางแห่งเริ่มถอยหลัง และสูญเสียสมาชิกให้กับกระแสของโลก ลูกหลานคริสเตียนประพฤติตนไม่ต่างไปจาก ศาสนิกของศาสนาทั่วไปคือทำตัวให้เป็นคนดีเท่านั้น
การยกมือขึ้นสูงเพื่อจะนมัสการพระเจ้า ผู้เชื่อที่มานมัสการพระเจ้าหลายๆ คนอาจรู้สึกไม่คุ้นเคย บางครั้งอาจเกิดความรู้สึกว่ามือของฉันนี้ไม่สอาด มีเสียงฟ้องในใจว่า "แกไม่สมควรจะยกขึ้นเพื่อสรรเสริญพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ได้เพราะแกมันบาป มือชอบทำบาป" ความคิดเช่นนี้ไม่ได้มาจากเบื้องสูงแน่นอนแต่เป็นความเชื่อที่เกิดจากการรับการเข้าดลใจของวิญญาณล่อลวง ที่มักจะพูดกับผู้มานมัสการพระเจ้าว่า "มือของเจ้าสกปรก และเจ้าเป็นคนบาป เจ้าไม่มีความเหมาะสมที่จะยกมือขึ้นสรรเสริญพระเจ้า จงอย่าทำดีกว่า"
หลายครั้งเราสังเกตว่าผู้มานมัสการพระเจ้าที่ยังลุ่มๆ ดอนๆ กับพระเจ้าจะเอามือกอดอก หรือยืนเฉยๆ ในขณะที่คนอื่นๆ ยกมือขึ้นสรรเสริญด้วยการร้องเพลงเสียงดัง และโห่ร้องแต่พวกนี้แสดงภาษากายในเชิงว่า ข้าไม่สน ข้าไม่ทำ ข้าไม่เคยทำ ธรรมเนียมของกลุ่มของข้าไม่มีอย่างนี้ ใจปิดสนิทเลยก็ว่าได้
แต่สำหรับลูกของพระเยซูหลายๆ คนที่ได้กลับใจอย่างแท้จริงและได้สัมผัสกับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ ได้รับการสอนและฝึกการนมัสการ พวกเขาจะอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นทำท่าทางต่างๆ ทั้งการเต้น การทำเสียงร่าเริงยินดีในการนมัสการที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณและความจริงอย่างมีชีวิตชีวา บางครั้งเป็นการเต้นรำ ทำท่าทางต่างๆ ทำเสียงชื่นบานถวายพระเจ้า
เพราะพวกเขาชื่นชมยินดีที่ได้เข้ามาพบกับพระเจ้าที่มีชีวิตและเคลื่อนไหวท่ามกลางพวกเขา เมื่อพวกเขานมัสการพระเจ้าเสร็จแล้ว คริสตจักรที่เจริญแล้วส่วนใหญ่จะมีการเลี้ยงอาหารผู้มานมัสการ เพราะอาหารที่เขากินก็คือผลจากสิ่งที่พวกเขานำมาถวายพระเจ้านั่นเอง คริสตจักรไม่ได้หวงสิ่งดีหรือเก็บสะสมไว้เพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างที่เป็นวัตถุให้มีมากขึ้น หรือเพื่อสร้างอาณาจักรของตนแต่ยินดีที่จะร่วมกับพี่น้องและคริสตจักรอื่น ร่วมกันสร้ิางอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ในพื้นที่ประกาศของตน คริสตจักรจึงเพิ่มพูนและเติบโต พี่น้องที่มานมัสการพระเจ้าจะออกจากคริสตจักรกลับไปบ้านด้วยความชื่นชมยินดี
แต่ยังไม่พบว่ามีคริสเตียนทำกัน เพราะมันไปสอดคล้องกับการไหว้สิ่งแปลกประหลาดเพื่อขอหวย
การกราบศพ และจุดธูปเทียนบูชาศพคริสเตียนไม่นิยมทำกัน
เพราะถือว่าเป็นการทำความเคารพสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้า
แต่อาจแสดงการคารวะศพ ด้วยการยืนตรงและไว้อาลัยหน้าโลงศพเท่านั้น
การกราบศพ และจุดธูปเทียนบูชาศพคริสเตียนไม่นิยมทำกัน
เพราะถือว่าเป็นการทำความเคารพสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้า
แต่อาจแสดงการคารวะศพ ด้วยการยืนตรงและไว้อาลัยหน้าโลงศพเท่านั้น
กลับไปหน้าแรก คลิก
ผมอยู่ อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร ผมอยากได้รับการปลดปล่อยครับตอนนี้ผมรับใช้พระเจ้าอยู่มีลูกเเกะที่ต้องการการเจิมในกลุ่มพวกผมกรุณาช่วยผมด้วยครับการเจิมอย่างนี้เป็นสิ่งที่น่ายินดีมากครับผมเชื่อในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้่าผมอยากเอานิสัยไม่ดีออกอยากเป็นคริสตเตียนเต็มด้วยการเจิมหมู่บ้านผมวิญญาณชั่วเยอะครับใครรู้จักอาจารย์ติดต่อผมด้วยครับLovegod2524@hotmail.com
ตอบลบ