การเชื่อพระเจ้าเป็นความโง่? Is it stupid to believe in God?

ไปทางไหนดี พระเจ้ามี หรือไม่มี หรือไปไหว้ผีเหมือนเดิม




พี่น้องหลายท่านอาจเคยมีประสบการณ์มาแล้วตอนที่จะตัดสินใจเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ  คนที่คิดจะติดตามพระเยซู มาเชื่อพระเยซูคงเคยคิดว่า เชื่อพระเยซูแล้วต้องละืทิ้งศาสนาเดิมหรือเปล่า  เข้าร่วมพิธีกรรมกับศาสนาเดิมได้ไหม ถวายทานให้พระได้หรือเปล่า และบุญที่เราทำไว้จะไปไหน  เราจะได้หรือเปล่า  หลายคำถามเหล่านี้ มีคนเคยให้คำตอบอยู่แล้วมากมาย 

แต่มีขอสงสัยอันหนึ่งที่สร้างความหนักใจให้กับผู้ที่มารับเชื่อพระเยซูเจ้าใหม่ๆ อย่างมากคือ คำกล่าวหาที่ได้รับจากคนในครอบครัว และญาติผู้อาวุโสทั้งหลายที่ผูกพันยึดติดกับ ศาสนานับถือวิญญาณ หรือศาสนาท้องถิ่นไทยที่อยู่เบื้องหลังศาสนาพุทธ ที่ทำให้บางคนยอมละทิ้งความรอดพ้นบาป และนรก เพื่อเห็นแก่คนในครอบครัวไปแล้วไม่น้อย เพราะหลงเื่ชื่อคำกล่าวหาที่ว่า "การเชื่อพระเจ้าคือความโง่"


คนที่ยังอ่อนด้อยในความคิด และไม่เข้าใจสถานการณ์ของโลก อาจหลงเชื่อคำลวงของมารซาตานนี้ว่า การมาเชื่อพระเยซูเจ้าเป็นความโง่ 

เมื่อเราลองสืบค้นดูในอินเตอร์เนท หากไปค้นพบเว็บบอร์ด หรือ เว็บของลัทธิบางอย่างที่ต่อต้านพระเจ้าพวกเขาจะกล่าวหาความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว ว่าเป็นความโง่  เป็นเรื่องของคนโง่ที่เชื่อพระเจ้า

แท้จริงเป็นอย่างไรกันแน่  บทความสั้นๆ นี้อาจช่วยแสดงให้เห็นว่า การเชื่อพระเจ้าไม่ใช่ความโง่อย่างแน่นอน



การเชื่อพระเยซูเจ้า บางคนที่นับถือศาสนาที่ชอบไหว้ผี อาจไม่รู้สึกอะไรครับ เพราะว่า การนับถือผี กับการนับถือพระเจ้ามีบางอย่างที่คล้ายกัน แต่มีความแตกต่างกันหลายอย่าง  ผีต้องการควบคุม ต้องการสืบทอด ต้องการเครื่องสังเวย และการเซ่นไหว้  การส่งต่อวิญญาณ ต้องการเงิน ต้องมีรูปเคารพใหม่ๆ มาเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจ เพิ่มความเป็นสิริมงคลอะไรประมาณนั้นเรื่อยๆ

ฉากหน้าของศาสนาบางอย่าง ด้านหน้าคือความงดงาม ความปราณีตทางศิลป  ความสูงค่าของวัตถุรูปเคารพ เบื้องหลัง คือการไหว้วิญญาณ การค้ารูปเคารพ  ไสยศาสตร์ เวทมนต์  การหาผลประโยชน์จากความเชื่อ อย่างไร้การควบคุม  การมอมเมาให้สะสะเครื่องราง และไสยศาสตร์  เบื้่องหลังพิธีกรรมอะไรต่างๆ สุดท้ายคือการแสวงหาเงินทอง ทรัพย์จากคนที่ไร้ความหวัง หรือคนที่มีความกลัวในจิตใจ

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น  หากท่านเป็นนักสังเกต ท่านจะพบว่า สถาบันการศึกษาระดับสูง ระดับสูง มหาวิทยาลัยต่างมีการบวงสรวง และกราบไหว้วิญญาณกันทั้งนั้น พิธีกรรมการกราบไหว้ผี ได้สร้างวัฒนธรรมที่เรียกว่ากันว่า ประเพณีอะไรต่างๆ  ในประเพณีเหล่านั้นจะแฝงกิจกรรมการยอมจำนนต่อวิญญาณผ่านการกราบไหว้รูป เคารพ  การไหว้ครู  การไหว้ศาลเจ้าประจำสถาบันทั้งนั้นไม่ใช่หรือ 

ตัวอย่างประเพณีการรับน้อง ต้องมีการเข้าไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำถิ่นของมหาวิทยาลัย  เพื่ออะไร เขาบอกว่า เพื่อความเป็นศิริมงคล และความเจริญของคนที่จะเข้าไปเรียน เพื่อจะได้ความรู้ จะได้เรียนจบตามหลักสูตร ด้วยความช่วยเหลือเกื้อกูลทุกๆ ด้าน ด้านหนึ่งจากการดลบันดาลของวิญญาณเจ้าที่เจ้าทาง

ทุกจังหวัดมีศาลเจ้าที่  ศาลเจ้าเมืองประจำจังหวัด ศาลหลักเมืองที่มีมาแต่หลายร้อยปี  สิ่งเหล่านี้คนที่ไม่เชื่อพระเยซูต้องมีการทำพิธีกราบไหว้สักการะ ตามวาระที่กำหนด ไม่งั้น เจ้าเมือง หรือใครที่ไปอยู่จะไม่แฮปปี้

การเชื่อพระเจ้าไม่ใช่เรื่่องของคนโง่  เพราะอะไร มีข้อสังเกตมากมายที่บอกว่า การเชื่อพระเจ้าไม่ใช่ความโง่  แท้จริงความฉลาดหรือโง่ เขาวัดกันที่ไอคิว และระบบการศึกษา มากกว่าจะวัดกันด้วยเรื่องความเชื่อ  แต่คนที่กล่าวหาคริสเตียนที่เชื่อพระเจ้า หรือใครๆ ที่อยากมาเชื่อพระเจ้าว่าเป็นความโง่ ไม่ทราบว่าเขาเอาอะไรมาวัดว่า คนจะโง่หรือฉลาด เขาเอาอะไรมาวัดกันแน่


การโง่หรือฉลาดก็ไม่ได้วัดกันที่จำนวนคนที่นับถือศาสนา หรือพระเจ้านั้นๆ แต่ถ้าเอาสิ่งนี้มาวัด การเชื่อพระเยซูก็ไม่ใช่ความโง่อยู่ดี เพราะในโลกใบนี้ ประชากรในประเทศต่างๆ ทั่วโลกนับถือพระเยซูสองพันกว่าล้านคน เป็นอันดับหนึ่งของโลกด้วย

ประเทศที่มีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ดีและดังกว่าที่อยุ่ในเมืองไทยก็ว่าได้ จะไปอยู่ในประเทศที่นับถือพระเจ้าองค์เดียว อเมริกา อังกฤษ สวิส เนเธอรแลด์  สเปน  ฝรั่งเศส เยอรมัน ต่างมีนับถือพระเจ้าองค์เดียว คือพระเยซูทั้งนั้น แล้วจะว่าคนนับถือพระเจ้าเป็นคนโง่ได้อย่างไร

อาจารย์ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยดังๆ ในเมืองนอกทำงานในมหาลัยของประเทศที่นับถือพระเจ้ากันเป็นส่วนใหญ่  แล้วถ้าใครบอกว่าการเชื่อพระเจ้าองค์เดียวเป็นเรื่องของคนโง่  ผมคิดว่าคนที่กล่าวเช่นนี้ เป็นพวกที่ไม่เข้าใจอะไรง่าย สายตาสั้น และโง่งมงายกว่าคนที่นับถือพระเจ้าเสียอีก เพราะคนที่นับถือพระเจ้าไม่ต้องเสียค่าโง่ให้กับผี  ไม่ต้องไปบนบาน ไม่ต้องไปแก้บนด้วยการฆ่าหมูเป็นสิบๆ ตัวเพื่อจะหัวมาให้ผีกิน  ไม่ต้องทำพิธีเสดาะห์เคราะห์ ไม่ต้องมีพิธีกรรมบวงสราง หรือถวายเครื่องสังเวยแกผี ไม่ต้องทำพิธีสืบชะตาหลวง พิธีสวดภารยักษ์  พิธีทรงเจ้าอะไรสักอย่าง  เพราะเป็นการสิ้นเปลื้อง และต้องทำไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ทำ ก็จะเจ็บปว่ย ถูกผีรบกวนอยู่ร่ำไป สุดท้ายก็จำยอมต้องทำไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นประเพณี

การนับถือพระเจ้าจึงไม่ใช่เรื่องของความโง่ หรือความฉลาด  ผมคิดว่าคนที่นับถือพระเจ้าต้องฉลาดเพราะเขาไม่ต้องไปเสียค่าใช้จ่ายในการ เลี้ยงผี ไหว้เจ้าที่มีเป็นร้อยเป็นพันองค์ และยังจะมีพระใหม่ๆ เจ้าใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อให้คนที่ชอบสิ่งนี้สะสมไหว้ และต้องกราบไหว้กันต่อไปเรื่อยๆ  เพราะความเชื่อในเรื่อง โชคลาง ดวงดี ดวงเด่น เสริมดวง เสริมสิริมงคล แก้กรรม  เพื่อชาติหน้าที่จะดีกว่า จึงต้องเสียเงินเพิ่ม

ทำไมเราไม่คิดย้อนกลับว่า ถ้าพระเจ้ามีจริง ทำไมเราต้องเสียเงินไปซื้อพระเจ้าที่จับต้องได้ที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือของ มนุษย์ล่ะ  และถ้าพระเจ้าถูกสร้างได้ พระเจ้ายังจะเป็นพระเจ้าได้อยู่หรือ เพราะว่า พระเจ้าที่มนุษย์สร้างขึ้นมาได้แสดงว่า พระเจ้าองค์นั้นเป็นเพียงฝีมือของมนุษย์ไม่ใช่หรือ

พระเจ้าที่แท้จริง พระองค์ต้องคอยดูแลเรา ต้องสร้างเรา ไม่ใช่ให้เราพกพาไป ถ้าเราไม่เอาไปด้วยพระเจ้าก็ไม่ดูแลเราอย่างนั้นหรือ 

คนที่เชื่อพระเจ้าก็ไม่ใช่คนโง่ด้วย  ตำราต่างๆ ที่คนไทยเรียนส่วนใหญ่ ถ้าเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ วิชาเคมี ชีว หรือวิชาการแพทย์  เป็นตำราที่มาจากมหาวิทยาลัยจากเมืองนอกทั้งนั้น คนไทยเอามาแปล คนไทยไปเรียนจากเขามาแล้วเอามาถ่ายทอดให้คนไทยได้เรียน คนไทยสมัย ร.4 ยังผ่าตัดไม่เป็นด้วยซ้ำ คนที่มาทำการผ่าตัดให้คนไทยดูคนแรก คือหมอบลัดเล่ย์  และคนไทยก็ได้เรียนรู้วิทยาการต่างๆ จากมิชชั่นนารีผู้ประกาศศาสนาความเชื่อในพระเจ้า  การเีรียนจากตำราเหล่านี้จึงทำให้คนไทยฉลาดขึ้น หลายคนจึงเลิกเชื่อผีสางนางไม้ หันมานับถือพระเยซูตามที่อาจารย์ฝรั่งสอนด้วย

ในปัจจุบันนี้หากใครมีเวลาลองไปสืบค้นดูว่า ในแต่ละปี นักวิทยาศาสตร์สาขาเคมี ฟิสิกส์ และชีวภาพ หรือวิทยาศาสตร์สาขาที่ยากๆ ในโลกนี้  ประเทศไหนบ้างที่ได้รางวัลโนเบลในแต่ละปี และอัตราสัดส่วน คนทั้งโลก กับคนยิวที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวเป็นอย่างไร  ในแต่ละปีคนยิวได้รางวัลไม่น้อย อย่างปี 2011 ก็ได้ถึง 5 คน คนยิวที่อัตราส่วนคนได้รับรางวัลนี้สูงกว่าคนที่นับถือผี นับถือพระเจ้าหลายองค์  แล้วคนที่กล่าวหาว่าคนเชื่อพระเจ้าเป็นความโง่ นี่ ไงครับข้อพิสูจน์ว่า การเชื่อพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของคนโง่ ท่านลองพิจารณาดูเอาเถอะ ครับ

ผมขอหนุนใจว่า การเชื่อพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของคนโง่ที่ไม่มีอะไรทำครับ แต่เป็นความเชื่อที่มีเหตุผล มีหลักการ ไม่ได้เชื่อตามคนบอกเล่า ตามตำนาน  หรือตามที่คนเล่าต่อๆ กันมา เหมือนที่คนที่สอนเรื่อง กาลามสูตร ที่บอกว่าอย่าเชื่ออะไรๆ สักอย่าง ตามคนเล่า  เพราะเรื่องพระเยซูไม่ใช่เรื่องเท็จมีหลักฐานมากมายว่าพระองค์เป็นอยู่ และมาทำการอัศจรรย์รักษาโรค รักษาคนป่วย ขับผี

ในปัจจุบันนี้ลูกศิษย์สาวก ผู้เชื่อพระเยซูยังทำการอธิษฐานรักษาคนป่วยที่หมอรักษาไม่หาย ไสยศาสตร์รักษาไม่ได้  พวกเขาขับผีออกจากคนที่ผีรบกวนได้  อยู่ตลอดทุกๆ วัน นั่นคือประจักษ์พยานว่า พระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ ไม่ใช่พระเจ้าที่ตายแล้ว หรือหายสาปสูญไปไหนก็ไม่รู้


พระเยซูจึงไม่ใช่พระเจ้าที่เป็นเพียงตำนาน หรือพระเจ้าที่ต้องคอยให้ใครมาพยุงสืบทอดความเชื่อ  โดยกลัวว่าจะสูญไปภายในเวลาเท่านั้นเท่านี้  แท้จริงพระเยซูเจ้าไม่ใช่ศาสนาคริสต์  แต่พวกนักการศาสนาชาวคริสต์เขานับถือคำสอนของพระเยซูเท่านั้น บางคนอยู่ในศาสนาคริสต์แต่ไม่มีฤทธิ์ของพระเยซูในตัว พวกเขาจึงเป็นแค่นักการศาสนาผู้สอนศาสนาเท่านั้น ไม่ใช่สาวกของพระเยซูแต่อย่างใด

สรุปว่า คนที่เชื่อพระเจ้าไม่ใช่คนโง่  และพระเจ้าองค์ที่ชื่อพระเยซู ไม่ใช่พระเจ้าที่สร้างจากตำนานที่หาหลักฐานไม่ได้  หรือสร้างมาจากเรื่องเล่า หรือเรื่องจากอะไรๆ ที่เป็นหลักฐานเชื่อถือไม่ได้

พระเยซูเป็นพระเจ้าที่เชื่อถือได้ มีพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เป็นคู่มือในการสืบค้น ต้นต่อว่า พระองค์เป็นมาอย่างไร  พระองค์ทำอะไรที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร  พระองค์จะกลับมาพิพากษาลงโทษ มนุษย์โลกในวันสิ้นโลกอย่างไร มีบันทึกไว้หมดในหนังสือคัมภีร์ไบเบิ้ล  มนุษย์โลกจะมีหายนะอย่างไร  ก่อนที่โลกจะสิ้นยุคก็มีบันทึกทำนายไว้หมด และคำทำนายเป็นร้อยคำทำนายที่เป็นจริงแล้ว  จากการทำนายของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล 

ใครที่คิดว่า คนที่มาเชื่อพระเยซูเป็นความโง่ ต้องคิดสะท้อนดูตัวเองด้วยว่า ว่าให้เขาอิเหนาเป็นเองหรือเปล่า  ที่จริงพระเยซูไม่ใช่พระเจ้าของชนชาติใดเพียงชาติเดียว แต่พระเยซูคือพระเจ้าแห่งสากลโลก ใครที่เชื่อพระเยซูและกลับใจจากบาปจริงๆ ไม่ต้องรอพบพระเจ้าในชาติหน้า แต่จะได้พบพระเจ้าในชีวิตนี้ ตอนที่เรายังเป็นคนอยู่

จาก คนเชื่อพระเจ้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)