การวิเคราะห์การบริหารงานตามโครงสร้างของคริสตจักรในประเทศไทย
บทนำ
คริสต์ศาสนาที่เผยแพร่ในไทยเป็นครั้งแรกตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา ประมาณ พ.ศ. 2127 (ค.ศ. 1584) โดยนิกายแรกที่เข้ามาเผยแพร่คือนิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งมีทั้งคณะโดมินิกัน (Dominican) คณะฟรังซิสกัน (Franciscan) และคณะเยซูอิต (Jesuit) บาทหลวงส่วนมากมาจากโปรตุเกส
สมัยพระเทพราชา มิชชั่นนารีชาวต่างประเทศ ถูกห้ามไม่ให้มีการเผยแพร่ศาสนา และถูกกีดกันต่างๆ นานา เมื่อสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว คริสต์ศาสนาไม่ได้รับความสะดวกในการเผยแพร่ศาสนาอีกเลยเนื่องจากถูกจำกัดขอบเขต ถูกคำสั่งของทางการห้ามประกาศเผยแพร่คำสอนของศาสนาคริสต์ มีการห้ามเขียนหนังสือศาสนาเป็นภาษาไทย และภาษาบาลี
เมื่อเข้าสู่ราชวงศ์จักรีแล้ว ชาวคริสต์เริ่มอพยพเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเปิดเสรีการนับถือศาสนา และทรงประกาศพระราชกฤษฎีกา ให้ทุกคนมีสิทธิในการนับถือศาสนาใดก็ได้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้ว่าสัมพันธภาพระหว่างไทยกับฝรั่งเศสไม่ดีนัก แต่พระองค์ก็ทรงรับรองมิสซังโรมันคาทอลิกเป็นนิติบุคคล ค.ศ.1868 มีศูนย์มิชชันของมิชชันนารีคณะเพรสไบ ทีเรียนอเมริกันสองแห่ง คือ "มิชชันสยาม" ที่กรุงเทพฯกับ "มิชชันลาว" ที่เชียงใหม่ ในปีค.ศ. 1885 มีการจัดตั้งเพรสไบเทอรี่ลาวเพื่อดำเนินพันธกิจของคริสตจักรใน ภาคเหนือ (ล้านนา) โดยตรงและทำพันธกิจคริสตจักรอย่างเป็นอิสระในเขตมิชชัน ของตน คริสตจักรในประเทศไทยมีรากฐานทางประวัติศาสตร์ย้อนไปถึงการเข้ามาเผย แพร่ คริสต์ศาสนาของ มิชชันนารีโปรเตสแตนท์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1828 โดยศาสนาจารย์จาคอบ ทอมลิน และนายแพทย์คาร์ล กุต สลาฟ สังกัดสมาคมมิชชันนารีแห่ง ลอนดอน คริสตจักรในประเทศไทย เป็นกลุ่มคริสตศาสนิกชนของคนไทย อยู่ในนิกายโปรเตสแต้นท์ ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นคริสตจักรในสยาม เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๗ (ค.ศ.๑๙๓๔) คริสตจักรในประเทศไทย ได้เข้ามาประกาศเผยแผ่คริสต์ศาสนาในประเทศไทย ตั้งแต่ปี ค.ศ.1840
ลักษณะงานของคริสตจักรไทย แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะดังต่อไปนี้
1.งานด้านการประกาศเผยแพร่พระกิตติคุณ
ดำเนินการประกาศเผยแพร่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ โดยการอบรม สั่งสอนตามหลักข้อเชื่อแห่งคริสต์ศาสนา ให้รับบัพติศมาเป็นคริสเตียน ต่อมาคณะต่างๆ ได้รวมตัวกันตั้งเป็นคริสตจักรเรียกชื่อต่างๆ กันไป
2.งานด้านการแพทย์ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลของมิชชั่นนารีที่มอบให้คริสตจักรไทยดำเนินการ
3. งานด้านการศึกษามิชชั่นนารีได้เปิดโรงเรียนแบบตะวันตก เพื่อให้การศึกษาแก่เยาวชนทั้งชายและหญิง ในจังหวัดต่างๆ ในประเทศไทย
การวิเคราะห์ด้านการบริหารคริสตจักร
คริสตจักรจะสามารถดำเนินงานอย่างเกิดผลและเจริญรุ่งเรือง เป็นสถานที่แห่งการได้พักใจ ได้ฟื้นฟูจิตวิญญาณย่อมต้องเกิดจากการสร้างสรรค์ของผู้เชื่อที่มีความตั้งใจจริง มีความรู้ความสามารถ การที่คริสตจักรไม่สามารถสร้างความเข้มแข็งในด้านการบริหารอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ คือ
ประการที่ 1 การขาดบุคลากรที่มีความสามารถในการนำคริสตจักรให้ก้าวไปตามจุดประสงค์
การทำงานปรนนิบัติในคริสตจักรมีหลากหลายหน้าที่แต่ผู้ที่ได้รับผลตอบแทนเป็นค่าตอบแทนอย่างชัดเจนคือ ศิษยาภิบาล คนอื่นๆ ไม่ได้รับ ทำให้หลายคนปฎิเสธการรับใช้ในงานต่างๆ อย่างเต็มใจ และยาวนาน เพราะความเหนื่อยล้า และไม่เห็นมีพระพรอะไรอันเนื่องมาจากการรับใช้ เมื่อทำงานไปสักระยะหนึ่งเกิดความไม่เต็มใจ เพราะเป็นกฎแห่งการถวายเครื่องบูชาที่ว่า การถวายที่จะได้รับพรนั้นต้องเป็นการถวายด้วยความเต็มใจ (1 โครินธ์ 9.7) ”ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี” การเกิดการสะสมภาระงานทำให้รู้สึกว่างานที่ทำอยู่นั้นเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเด็กนักเรียนที่สะพายเป้ลูกเสือเดินทางไกล หลังจากที่ครูได้สอนเกี่ยวกับการเตรียมตัวไปเดินทางไกลและแรมคืนเรียบร้อยแล้วเด็กบางคนเกรงว่าตัวเองจะมีอุปกรณ์และสัมภาระต่างๆ ไม่เพียงพอต่อความสะดวกสบายของตนจึงขนสิ่งของต่างๆ เท่าที่ตัวเองจะสามารถแบกขนไปได้ เมื่อลองยกดูก็คิดว่าพอจะแบกไปไหวเพราะไม่ค่อยหนักเท่าไหร่เพราะมีแต่ของเล็กๆ น้อย เช่น ซองบะหมี่ เครื่องปรุงรส เครื่องฟังเอ็มพีสาม หมอน บางคนยังเอาชุดนอนไปด้วย และอุปกรณ์อื่นๆ ต่อเมื่อลูกเสือคนนี้
เดินไปได้สักระยะหนึ่งภาระต่างๆ ที่อยู่ในถุงเป้ที่แบกไว้บนหลังมันเริ่มส่งอาการคล้ายๆ กับว่าสิ่งต่างๆ นั้นมันมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น ยิ่งเดินไปยิ่งไกลเท่าใด ภาระต่างๆ ในเป้ลูกเสือก็ยิ่งมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้นจนลูกเสือตัวเล็กๆ ที่ด้อยประสบการณ์ไม่สามารถแบกเดินต่อไปไหว
เขามีทางเลือกอยู่ไม่มากนัก คือ 1 เอาฝากเพื่อนคนอื่นให้ช่วยแบกไป อย่างที่ 2 เอาของบางอย่างทิ้งไว้ข้างทางหรือเอาแจกให้ชาวบ้าน หรือทางเลือกที่ 3 เอาของมอบให้คุณครูใจดีสักคนหนึ่งช่วยขนไปให้แทน แต่การเอาของมอบให้คนอื่นย่อมหมายถึง คะแนนในการทำกิจกรรมก็ต้องถูกตัดไปด้วย อุทาหรณ์เรื่องนี้คงเป็นสิ่งที่จะสามารถอธิบายได้ดีว่างานง่ายๆ บางอย่างถ้าปล่อยให้คนที่ขาดประสบการณ์และทักษะในสิ่งที่เขากำลังปฏิบัติหรือเรียนรู้ อาจทำให้เขาต้องเอาภาระบางอย่างทิ้งไป ผิดกันเพียงอย่างเดียวคือภาระที่คนงานของพระเจ้าเอาทิ้งไว้ข้างทาง หรือโยนให้ผู้อื่นนั้นมันไม่เป็นเหมือนภาระที่คริสตจักรแบ่งให้
คริสเตียนที่เริ่มจะเติบโตบางคนในคริสตจักรทำ
คริสตจักรท้องถิ่นห่างไกลหลายแห่งมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าผู้บริหารระดับสูง ของคริสตจักรไทย ไม่ว่าจะเป็นภาคหรือองค์กรบริหารสูงสุด เมื่อรับทราบปัญหาหรือสภาพอันเหนื่อยล้า ท้อถอยของคริสตจักรแล้ว ไม่สามารถเข้ามาดูแลสารทุกข์ สุกดิบของคริสตจักรท้องถิ่นได้อย่างทันท่วงทีเท่าที่ควร การทำงานต่างๆ สมาชิกต้องดิ้นรนเองเป็นส่วนใหญ่
ทั้งการนมัสการ การเยี่ยมเยียน การสร้างกลุ่มสัมพันธ์ต่างๆ การอบรมสั่งสอน การบริการสังคม และที่ไม่ได้ทำเลยหรือทำกันปีละครั้งในเทศกาลคริสต์มาส คือการประกาศข่าวดี
การทำพันธกิจของคริสตจักรหลายแห่งเป็นไปแบบการลองผิดลองถูก ผู้ปกครองที่มีความรู้ทางโลกดีและมีฐานะทางเศรษฐกิจดีได้รับเชิญให้มาเป็นคณะกรรมการในรูปของคณะธรรมกิจ แต่ไม่สามารถใช้ความสามารถทางโลกจัดการหรือสนับสนุน “ฝ่ายจิตวิญญาณ”
ได้ดีนัก งานหลายๆอย่างที่ศิษยาภิบาลพยายามจะริเริ่มถูกยับยั้งหรือ ไม่ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณเนื่องจากผู้ปกครองที่มีอำนาจในการตัดสินใจไม่ให้ความร่วมมือ อ้างว่าสิ้นเปลื้องงบประมาณ และบางครั้งก็วัดผลการดำเนินกิจกรรมต่างๆ แบบกำไรขาดทุน
ประการที่ 2 คริสตจักรอยู่ภายใต้อิทธิพล
คริสตจักรท้องถิ่นขาดทักษะในการบริหารงาน ขาดการสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคลากรที่รับใช้ประจำคริสตจักร การบำรุงรักษาบุคลากร การพัฒนาศักยภาพของผู้รับใช้ หรือผู้ปกครองประจำการให้สามารถรับใช้ได้อย่างเต็มศักยภาพ ทำให้คริสตจักรกลายเป็นกองทัพที่มีแต่ทหารพิการ มีแม่ทัพที่มุ่งแสวงหาการค้ากำไรและสร้างอิทธิพลเพื่อครอบครองคริสตจักรให้อยู่ในอาณัติ ผู้ปกครองรุ่นพ่อส่งต่อการอำนาจการปกครองคริสตจักรให้แก่คนในตระกูลจากรุ่นสู่รุ่น
คริสตจักรของพระเยซูคริสต์ต้องตกไปเป็นของตระกูลบางตระกูลที่เป็นเวลาปีแล้วปีเล่า ผู้ปกครองเหล่านี้ต่อมากลายเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจที่สำคัญของคริสตจักรโดยที่พวกเขาก็ไม่รู้ตัวเอง
คริสตจักรหลายๆ แห่งเกิดขึ้นจากการที่ชาวบ้านธรรมดาบางคนกลับใจเข้ามาเชื่อ
พระเจ้าทั้งครอบครัว เมื่อผู้เชื่อเกิดมีลูกมีหลานมากขึ้นจนพวกเขากลายเป็นตระกูลใหญ่
กลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ในคริสตจักร คนอื่นๆ ที่กลับใจมาเชื่อและเข้ามาเป็นสมาชิกของคริสตจักรภายหลังหรือเข้ามานมัสการกับคริสตจักรกลายเป็นเพียงปัจเจกบุคคล หรือเป็น “ไม้ประดับ” หรือ “ผู้เข้าร่วม” หรือ “ผู้สังเกตการณ์” เมื่อคริสตจักรมีอายุเพิ่มมากขึ้นกลุ่มผู้ปกครองจากรุ่นหนึ่งส่งต่อพันธกิจของคริสตจักรสู่รุ่นที่สอง ความเชื่อในพระเจ้าเริ่มเสื่อมถอยเพราะ “เนื้อหนัง” และ “การหลงกลอุบาย” ของซาตาน การตัดสินใจต่างๆ ของคริสตจักร เป็นไปตาม “อำเภอใจ” ของกลุ่มผู้ปกครองที่ “ไม่บังเกิดใหม่” แต่มีตำแหน่ง
มีหน้าที่ มีอำนาจ มีอิทธิพล ทำให้พันธกิจของพระเจ้าเป็นเพียง การทำงานเอาหน้า
มักมีคำกล่าวที่ได้ยินบ่อย ๆ ได้แก่ “เดี๋ยวคริสตจักรอื่นเขามาเห็นอายเขา” หรือกลายเป็นเพื่อผลประโยชน์ของพี่น้องในตระกูล เช่น เมื่อมีการจัดซื้อจัดจ้าง หรือการก่อสร้างอะไรก็ให้ญาติๆ เข้ามาประมูล เข้ามาจัดการ การก่อสร้างต่างๆ อาจมีผลประโยชน์ของตระกูลเข้ามาทับซ้อน จนทำให้พี่น้องหลายๆ คน หลายครอบครัวเกิดความเหนื่อยใจ และท้อถอย และหลายๆ ครอบครัวก็ท้อถอยออกไปจากความเชื่อด้วยเหตุผลว่า “นี่หรือคริสเตียน” ………
การแก้ปัญหานี้คงต้องอาศัยผู้มีประสบการณ์ และผู้คงความรู้ในเรื่องการบริหารงานคริสตจักรที่พยายามแก้ปัญหาเหล่านี้มาเป็นเวลานานหลายสิบปี แต่ปัญหาก็ยังปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป และนับวันยังไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาเบาบางลงไปได้เลย
ประการที่ 3 การปกป้องคำสอนของคณะเป็นการป้องกันหรือการกีดกันทางความเชื่อ
คริสตจักรในประเทศไทยหลายแห่งปกป้องคำสอนของตนเองมากเกินไป จนกลายเป็นการปิดประตูรับความคิดหรือได้รับเปิดเผยใหม่ๆ
คริสตจักรได้รับข่าวประเสริฐจากผู้ประกาศที่มาจากหลายๆ แหล่ง บางคณะก็สอนไปอย่างหนึ่งที่แตกต่างไปจากแนวปฏิบัติของคริสตจักร โดยอ้างเอาพระธรรมบางตอนมาเป็นพื้นฐานอ้างอิงในการสอน (Faith and practice advocacy) บางคณะสอนให้มีพิธีกรรม และวิธีปฏิบัติต่างๆ ที่ศาสนาจารย์หลายๆ ท่านผู้ซึ่งผ่านโรงเรียนพระคริสต์ธรรมและได้เรียนรู้ศาสนศาสตร์อย่างลึกซึ้งรับไม่ได้ บางครั้งคริสตจักรได้รับคำสอนผิด และต้องเผชิญกับผลแห่งคำสอนผิดที่ส่งผลกระทบรุนแรงมากจนทำให้คริสตจักรเกิดการแตกแยกเนื่องจากมีทั้งผู้รับคำสอนและผู้ไม่รับสอนใหม่ พี่น้องคริสเตียนหลายคนเดินหลงทางออกไปจากคณะคริสตจักรไทย บางคนยิ่งแย่ไปกว่านี้อีกคือถึงกับเดินหลงทางออกไปจากทางของพระเจ้า หรือออกจากการเป็นคริสเตียน และไม่นับถือศาสนาใดๆ พวกเขาไม่อยากจะสุงสิงกับใคร ไม่อยากถวายทรัพย์เพราะ ไม่อยากจะส่งเสริมคริสตจักรที่ไม่มีศิษยาภิบาล พวกเขาคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินมากนักเนื่องจากไม่มีความจำเป็นในการใช้จ่ายค่าเลี้ยงดูศิษยาภิบาล คริสเตียนประเภทนี้ไม่ไปโบสถ์ ไม่ไปวัด แต่อยู่กับตัวเอง ตีไก่ ดูหนัง กินเหล้า เพลินเพลิดไป ปีหนึ่งไปโบสถ์ สองวัน คือ วันคริสต์มาส
และวันอิสเตอร์ ถ้าไปมากกว่านี้ก็จะเป็นวันที่ไปร่วมพิธีศพของผู้ปกครองบางคนที่โบสถ์
การรับคำสอนใหม่ไม่ใช่มีเพียงผลกระทบในทางลบต่อคริสตจักรเท่านั้น แต่บางกรณีกลับเป็นสิ่งดีกับคริสตจักรเนื่องจากเป็นการช่วยให้คริสตจักรเกิดการฟื้นฟูจิตใจ ได้รับการเปลี่ยนแปลงแนวคิด วิธีปฏิบัติใหม่ และคริสตจักรมีการปรับตัว ปรับพิธีกรรม ปรับวิธีการประกาศ วิธีการเทศนา พิธีการนมัสการ ทำให้ผู้ที่เข้าร่วมนมัสการได้รับประสบการณ์ใหม่ เกิดของประทานในคริสตจักร บางคนได้สัมผัสกับฤทธิอำนาจของพระเจ้าในรูปแบบต่างๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น คณะผู้ปกครองของคริสตจักรไทยจึงมาปรึกษากัน และได้ลงความเห็นด้วยความเป็นห่วงคริสตจักรที่อ่อนแอจำนวนมากเหล่านี้ จึงได้ให้คำแนะนำที่รู้กันโดยให้คริสตจักรปกป้องคำสอนต่างๆ ที่เข้ามากับคณะผู้เยี่ยมเยือนต่างๆ โดยการปกป้องที่ได้ผลดีจนเกินความพอดีคือ “ปิดโอกาสไม่ให้ได้รับรู้” ไม่เปิดโอกาสให้ผู้อยู่นอกค่าย มาทำการฟื้นฟู หรือ หนุนใจใดๆ เพื่อปิดโอกาสในการได้รับสัมผัสกับประสบการณ์ หรือปรากฏการณ์ทางวิญญาณ หรือ ของประทานแห่งหนังสือ
กิจการ หรือแนวคิดถุงหนังน้ำองุ่นใหม่ หรือการปฏิบัติใหม่ๆ ใดๆ เพราะเกรงว่าของเก่าจะเสีย เกรงว่าน้ำในอ่างจะกลายเป็นน้ำขุ่น ด้วยความเป็นห่วงอาณาจักรของตนจะเกิดความเสี่ยง เกิดเหตุการณ์คำสอนผิดหรือเหตุการณ์ความแตกแยกเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนอาจกลับหวนคืนมา ดังนั้นผู้ปกครองโดยความเห็นชอบของ “คณะกรรมการ” ที่อาจเรียกชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละระดับ จึงได้ประกาศการปกป้องคริสตจักรอย่างเข้มงวด หลายคริสตจักรจึงไม่กล้าพอที่จะรับกระแสใดๆ ไม่ยอมรับการเปิดเผยใหม่ๆ ศิษยาภิบาลหนุ่มๆ รุ่นใหม่หลายคนได้รับเชื้อไฟแห่งการเปลี่ยนแปลง มีใจร้อนรนอย่างมาก ต้องการเห็นการฟื้นฟูที่แท้จริงเหมือนในหนังสือกิจการ (Acts 28:23) ที่คนมากมายวิ่งมาหาอัครสาวกด้วยความสงสัย และแสวงหาพระเจ้า ศิษยาภิบาลรุ่นใหม่ไฟแรงอยากเห็นคริสตจักรที่ถูกปกครองด้วยผู้ปกครองที่เข้มแข็งในการบริหารงานแต่อ่อนแอด้านจิตวิญญาณได้รับการกระทบ(Impact) ด้วยคำสอนที่เขาเชื่อว่าทรงอานุภาพ ที่สามารถนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่คริสตจักรที่เย็นชา จืดชืด และมีนิมิตที่พล่ามัว ให้กลับมีความหวังขึ้นมาบ้าง แต่ศิษยาภิบาลหลายคน หลังจากที่ได้นอนคิดทบทวนหลายตลบ สุดท้ายไม่กล้าพอที่จะทำเพราะกลัวคำว่า
“ตกงาน”
ประการที่ 4 การขาดการวิเคราะห์ตนเอง ไม่ปรับยุทธวิธีการในบริหารงาน
คริสตจักรจำนวนมากกำลังค่อยๆ ตายลงอย่างช้าๆ สมาชิกเก่าๆ เริ่มแก่ตัวลงเพราะมีอายุมากขึ้นๆ จนไม่สามารถเป็นคนเดินนำหน้าในการพัฒนาด้านวัตถุของคริสตจักรได้อีกต่อไป พวกเขากำลังเห็นว่าคริสตจักรของตนเองกำลังเหงา และสงสัยว่าเด็กที่กำลังโตเป็นวัยรุ่นที่เกิดในคริสตจักรหายไปไหน ทั้งที่ตอนเป็นอนุบาลก็ยังมาเรียนรวีวารศึกษาทุกอาทิตย์ เมื่อผู้ชราทั้งหลายนั่งคุยกันจะพูดปลอบประโลมใจกันด้วยถ้อยคำที่ฟังแล้วน่าสลดใจ...
“ เด็กๆ ไม่มาโบสถ์เพราะพวกเขาต้องเรียนพิเศษวันอาทิตย์”
“พ่อแม่คาดหวังกับลูกๆ ของพวกเขามาก เพราะสังคมปัจจุบันการแข่งขันด้านการศึกษามันสูงมากจนหลายครอบครัวไม่กล้าที่เสี่ยงพาลูกมาโบสถ์วันอาทิตย์” พ่อแม่หลายคนต้องไปนั่งเฝ้าลูกด้วยตัวเองเพื่อเป็นกำลังใจแก่ลูก และดูแลไม่ให้ลูกหลบหนีไปเที่ยวกับเพื่อนเมื่อไปเรียนพิเศษวันอาทิตย์
“อนุชนไม่อยากมาโบสถ์อาจเป็นเพราะว่าพวกเขาเบื่อเพลงตามระเบียบประชุมสมัยเก่าที่เขาร้องกันมาหลายสิบปีจนจำได้เกือบครบทุกเพลง”
“อนุชนไม่มีคนสอน เพราะเราขาดบุคลากร ครูรวีก็ลาออกไปแล้ว เมียอาจารย์ก็ต้องสอนอนุบาลด้วย ไม่มีเวลาแล้ว ผู้ปกครองก็ไม่มีความรู้ที่จะสอนได้ หน่วยงานที่ดูแลฯ ก็สนใจอยู่บ้างแต่ไม่สามารถจะทำอะไรเป็นรูปธรรมในการช่วยเหลือให้สถานการณ์ที่ตกต่ำดีขึ้น”
“อนุชนของเราไปอยู่ร้านเกมวันอาทิตย์ ไม่ได้มาโบสถ์ พ่อแม่ก็บังคับไม่ได้ เพราะว่า มันเป็นยุคคอมพิวเตอร์” “มันเป็นยุคของเขา” “ช่างมันเถอะ”
เมื่อเป็นเช่นนี้สมควรหรือยังที่จะมีการวิเคราะห์จุดอ่อน และจุดแข็ง ของการบริหารงานคริสตจักร แล้วนำมาปรับปรุงให้ทันกาลก่อนที่คริสตจักรหลายๆ แห่งจะกลายเป็นเพียงที่สำหรับประกอบพิธีกรรมจากศาสนาคริสต์ สวนทางกับนิมิตของคริสตจักรที่มีความคาดหวังว่าเป็นที่แห่งการทรงสถิตของผู้เป็นเจ้า เป็นที่แห่งการเลี้ยงดูฟูกฟัก เป็นที่มาแล้วกลับออกไปด้วยความโล่งใจ ได้รับพระพรแห่งความสุขใจ อย่างไรก็ตามคริสตจักรบางแห่ง เมื่อสังเกตดูพบว่าไม่มีการสำแดงใดๆ จากเบื้องบนเลยปีแล้วปีเล่า คริสตจักรเป็นเพียงกลุ่มผลประโยชน์ มีการเอื้อประโยชน์แก่ตัวเอง ลูกหลานและวงศาคณาญาติของบุคคลบางกลุ่มที่ได้ชื่อว่า คริสเตียน เมื่อมีผู้เชื่อใหม่หลงเข้ามาในคริสตจักร คริสตจักรก็ไม่สามารถติดตามดูแลเลี้ยงดู หรือฟูกฟักให้เติบโตเป็นไปตามธรรมชาติของคริสเตียนที่ดีได้ คริสเตียนหลายคนไม่มีคำพยานใดๆ ที่จะขอบพระคุณพระเจ้า
ประการที่ 5 คณะธรรมกิจเทศนาไม่มีความมั่นใจในการเทศนาสั่งสอน หรือประเมินการเทศนาเป็นเรื่องที่ด้อยความสำคัญ
การที่จะบริหารงานให้องค์กรเติบโต และมีสมาชิกที่เพิ่มพูนอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยผู้บริหารงานที่มีความเข้าใจพันธกิจทุกด้าน โดยเฉพาะพันธกิจทางด้านจิตวิญญาณ คริสตจักรที่อ่อนแอเห็นว่า การจ่ายค่าจ้างศิษยาภิบาลนั้นเป็นสิ่งจำเป็นเพียงเพื่อจัดให้มีใครสักคนมาเติมเต็มในเรื่องการเทศนาใน “ช่องว่าง” ของขั้นตอนการนมัสการพระเจ้าเท่านั้น พิธีการนมัสการของคริสเตียนที่มีธรรมเนียมและวาระแห่งการนมัสการพระเจ้ามาตลอดคือ ต้องมีใครสักคนหนึ่งที่จะมาเปลี่ยนผู้ปกครองที่รับหน้าที่ “เวร” ในการเทศนาทุกวันอาทิตย์ เมื่อการเทศนากลายเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งในพิธีกรรมการนมัสการพระเจ้า มันจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ที่จะต้องมีใครสักคนมาทำหน้าที่ขั้นเวลาให้เวลาแห่งการเทศนาไม่มีช่องโหว่ ผู้ปกครองบางคนทำการเทศนาโดยไม่มีการเตรียมตัว ผู้เทศนาพูดเรื่อยเปื่อยไปตามความคิดของตนเอง บางทีก็พูดปัญหาต่างๆ หรือบางครั้งการเทศนากลายเป็นเวทีสำหรับประชาสัมพันธ์ และการโฆษณากิจกรรมต่างๆ ที่คริสตจักรกำลังดำเนินการอยู่ คริสเตียนจำนวนมากที่มานั่งในสถานนมัสการ มีคนหลายสิบคนที่กำลังนั่งฟังเทศน์ พวกเขาอุตส่าห์ปิดทีวีที่บ้านเพื่อมาร่วมการนมัสการ แต่กลับต้องนั่งฟังคนที่ไม่มีการเตรียมตัวดีพอ พูดไม่มีสาระ และไม่ตรงประเด็นสาธยายอะไรอะไรให้ฟัง จนหมดเวลาเทศนาคือไม่เกิน 30 นาที หรืออย่างมากก็ไม่ควรเกิน 45 นาที
เมื่อคริสตจักรแห่งใดแห่งหนึ่งที่ศิษยาภิบาลคนเก่าถูกโหวตให้พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกมีความเห็นไม่ครบจำนวนโหวตเพียงพอที่จะช่วยต่ออายุการเป็นศิษยาภิบาล ทำให้ศิษยาภิบาลผู้น่าสงสารไม่สามารถได้อยู่ต่อ เนื่องจากผลการลงประชามติของสัปปุรุษ ศิษยาภิบาลจึงจำต้องขนย้ายข้าวของออกไปหาที่อยู่ใหม่ หรืออีกกรณีหนึ่งคือ ศิษยาภิบาลบางคนเบื่อหน่ายสมาชิกที่เป็นพวก หัวดื้อ ถือตัวเป็นใหญ่ ผู้จัดการคริสตจักรที่มีการครอบครองของเนื้อหนังมากจนเกินไป ศิษยาภิบาลจึงจำเป็นต้องย้ายตัวเองออกไป
เมื่อไม่มีศิษยาภิบาลทำงานรับใช้ในคริสตจักรพวกสมาชิกผู้อาวุโสจะปรึกษากันและแบ่งเวรทำหน้าที่ผู้เทศนา โดยมอบหมายหน้าที่ผู้นำระเบียบการนมัสการให้ใครก็ได้สักคนหนึ่งที่พอจะอ่านบทระเบียบการนมัสการได้ คุณลักษณะฝ่ายวิญญาณของผู้นำ ไม่จำเป็นต้องพิถี่พิถันมากนัก เมื่อมีผู้เทศนา ผู้นำประชุม และมีคนนั่งฟัง คริสตจักรแห่งนี้ก็จะสามารถดำเนินพิธีกรรมนมัสการพระเจ้าได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาศิษยาภิบาลประจำ เมื่อเหตุการณ์ผันแปรไปเช่นนี้ บรรดาผู้ปกครองของคริสตจักรที่อ่อนแอเหล่านี้จะพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นธรรมมาสเพื่อเทศนาตามเวลาที่กำหนดไว้ โดยผู้ปกครองบางคนยืนอ่านกระดาษที่จดมา หรือบางคนก็อ่านจากแผ่นถ่ายเอกสารที่บนธรรมมาสขณะทำหน้าที่ผู้เทศนา ด้วยเหตุเหล่านี้หากพิจารณาดูให้ดีแล้ว เราอาจจะเห็นภาพอะไรบางอย่าง บางครั้งผู้เทศนาไม่ได้เทศนาแต่ว่าเป็นการอ่านจากหนังสือคำเทศนาที่มีคนทำขายเป็นเล่มๆ บางคนก็เอาเรื่องราวจากหนังสือพิมพ์บ้าง เรื่องที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในความสนใจของคนในประเทศมาแสดงความเห็นให้สอดคล้องกับคำเทศนาของตน บางคนเอาเรื่องนิยาย หรือเนื้อหาบางตอนจากละครทีวีมาประกอบการเทศนา บางคนก็เอามุขตลกจากหนังสือฮาสนั่น หรือหนังสือการ์ตูนที่เต็มไปด้วยสีสันและคารมมาอ่านให้ที่ประชุมนมัสการฟัง ผู้ฟังหลายๆ คนก็ได้รับความบันเทิงจากการเทศนาและเป็นความรู้ที่แปลกใหม่แต่น่าเสียดายที่การเทศนาไม่สามารถทำให้ผู้มานมัสการได้รับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใดๆ ในด้านความเชื่อ ด้านจิตวิญญาณ บางคนยิ่งหนักไปกว่านี้เขาใช้ธรรมมาสอันเป็นที่สำหรับใช้คำเทศนาสั่งสอน และหนุนใจในความเชื่อมั่นในพระเจ้า เป็นเวทีในการกล่าวเสียดสี พาดพิงติเตียนคนบางคนที่ตนเองไม่ชอบหน้า หรือที่กำลังเป็นปัญหาของคริสตจักร หรือคนที่พยายามที่ทำบางอย่างที่ผู้ทำหน้าที่เทศนาเห็นว่าเป็นการแหกกฎระเบียบของคริสตจักร
เหตุการณ์ผ่านไปซ้ำๆ ไปสักระยะหนึ่งผู้ปกครองหลายๆ คนก็มาพูดคุยปรับทุกข์กันว่า คริสตจักรเราน่าจะมีการเชิญนักเทศน์ต่างถิ่นมาเทศนาที่คริสตจักรของเราบ้าง เพื่อเปลี่ยนรสชาติในการฟังเทศน์ที่คริสตจักร เนื่องจากพวกผู้ปกครองหลายคนก็อ่อนล้า และไม่อยากจะเทศนาแล้วเพราะการเทศนากลายเป็นหน้าที่เวรที่เริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เป็นภาระที่พวกผู้ปกครองหลายๆ คนต้องรับทั้งที่พวกเขาขาดคุณสมบัติฝ่ายวิญญาณ และผู้ปกครองบางคนไม่มีความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัวใดๆ กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย นานๆ จะอธิษฐานอย่างจริงจังสักครั้งและคณะผู้ปกครองรู้สึกว่าพี่น้องก็เริ่มหายหน้าไปทีละคนสองคน บางคนก็มาบ้างไม่มาบ้าง เพราะมาแล้วไม่ได้อะไร การนมัสการพระเจ้ากลายเป็นเพียงพิธีกรรมทางศาสนาคริสต์เท่านั้น
พี่น้องคริสเตียนบางคนมาโบสถ์เฉพาะวันที่มีงานพิเศษที่มีคนมีได้งานใหม่ หรือมีความดีใจเนื่องในโอกาสพิเศษ หรือเป็นการจัดเลี้ยงอาหารเที่ยงวันเกิด ด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้คริสตจักรจึงเห็นสมควรตกลงจ้างนักเทศน์ที่มีฝีปากดีที่พอจะทำให้การฟังเทศน์ของคริสตจักรมีบรรยากาศที่ดีขึ้นบ้างและอาจสร้างเสียงหัวเราะขึ้นมาบ้าง และที่สำคัญคริสตจักรสามารถประหยัดเงินค่าเลี้ยงดูศิษยาภิบาลที่อยู่ประจำได้เป็นจำนวนหลายพันบาทต่อเดือน
เหตุการณ์ผ่านไปเนิ่นนานพอสมควรเป็นแบบวัฎจักร คริสตจักรเริ่มอ่อนแรง และไร้ฤทธา ไม่มีการหายโรคในคริสตจักร สมาชิกอายุน้อยๆ เริ่มหายหน้าไปไม่มีการสอน
รวีวารศึกษาเพราะเด็กมาแล้วก็ไม่มีใครดูแล สมาชิกหลายคนเริ่มบ่นว่าผู้นำ การนมัสการตอนเช้ามีเพียงสมาชิกที่สูงอายุที่มาเตรียมตัวข้ามพ้นเขตขันต์แห่งกาลเวลาไปอยู่กับพระเจ้าเพียงไม่กี่คนที่มีอยู่เท่านั้น การนมัสการเป็นไปด้วยความน่าเบื่อหน่าย ผู้ปกครองบางคนที่ยังพอมีไฟอยู่ก็ต้องนั่งรอบรรดาหมู่มวลสมาชิกที่ทยอยกันมาโบสถ์ตั้งแต่เวลาสิบโมงครึ่งจนถึงเกือบๆ สิบเอ็ดโมง คริสตจักรจึงสามารถดำเนินการประชุมนมัสการได้ สมาชิกและผู้ปกครองบางคนก็มาสายมาก บางคนมาถึงโบสถ์เมื่อการเทศนาเกือบจะเสร็จแล้ว การนมัสการพระเจ้าใช้เวลาไม่มากนักเวลาสิบเอ็ดโมงแก่ๆ ก็เลิก หากวันไหนมีนักเทศน์ที่พูดแบบลงไม่เป็น ใช้เวลาเทศน์เนิ่นนานเลยเวลาสิบสองนาฬิกา นักนมัสการเทียมเท็จหลายๆ คนจะยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาบ่อยๆ เพื่อเป็นนัย ส่งสัญญาณให้นักเทศน์เหมือนจะตัดพ้อว่า ท่านนักเทศน์เอ๋ย หยุดการเพ้อเจ้อได้แล้ว สมาชิกที่อ่อนแรงในความเชื่อบางส่วนจะลุกจากมานั่งยาว (PEWS)เดินออกจากโบสถ์ไปเลยก็มีเพราะเป็นเวลาที่กระเพาะอาหารของเขาเริ่มทำงานอีกครั้งแล้ว นี่คือสภาพความเป็นไปของคริสตจักรที่อ่อนแรง ถอยหลังเนื่องจากเหตุปัจจัยนานัปการอันเนื่องจากขาดทักษะ ขาดวิสัยทัศน์ ขาดการนำที่ดี
ทางหน่วยงานที่ปกครองดูแลเริ่มสังเกตว่า คริสตจักรต่างๆ หลายๆ แห่งที่ขาดผู้เลี้ยง คริสเตียนมีพฤติกรรมส่อความถดถอยคล้ายๆ กัน ยิ่งได้ยินข่าวคราวไม่ดีไม่เหมาะสมเกี่ยวกับคริสเตียนในคริสตจักรแว่วมาเป็นระยะ จึงได้เวลาแห่งความพยายามจัดโครงการส่งเสริมให้มีการอบรม สัมมนา พัฒนาผู้นำคริสตจักรด้วยวิธีการต่างๆ หลากหลายวิธีแต่ต้องประสบกับปัญหา คือไม่ค่อยมีคริสตจักรเป้าหมายที่ต้องการให้พัฒนา สนใจเข้ารับการอบรมเท่าที่ควร มีแต่คริสตจักรที่เขาพอจะไปได้และร้อนรนรีบสมัครเข้ารับการอบรม คริสตจักรที่อ่อนแเออ้างเหตุผลเนื่องจากการทำมาหากิน ความไม่พร้อมต่างๆ ด้วยเหตุแห่งความอ่อนแอทางด้านพฤติกรรมคริสเตียน ผู้ปกครองหลายๆ คนไม่สามารถปกครองดูแลครอบครัวของตนเองได้ บางคนไม่สามารถปกครองตัวเองได้ ติดสุรา ติดผู้หญิง มีเมียน้อย โกงที่ทำงาน ลูกหลานติดสุรา ติดยาเสพติด คนในคริสตจักรมีปัญหาพฤติกรรมไม่แตกต่างไปจากชาวโลก คริสเตียนมีความรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องมารับการอบรมเพิ่มเติม บางคนไม่เห็นคุณค่าของการเรียนพระคัมภีร์เพิ่มเติมอีกแล้วเพราะนึกว่าตัวเองเป็นคริสเตียนมานาน รู้หมดแล้ว ไม่ต้องรับการอบรมอีกแล้ว พอแล้ว แก่แล้ว จำอะไรไม่ได้แล้ว อายเขา ให้คนอื่นไปเถอะ หรือปีนี้ขอก่อนเอาไว้โอกาสหน้าค่อยคิดใหม่อีกครั้ง คริสตจักรของเราก็มีคนมากพอสมควรแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้วุ่นวายมากไปกว่านี้ เสียเวลาทำมาหากิน ช่วงนี้ก็เป็นฤดูกาลทำเงิน ทำกำไรในงานธุรกิจ และอาชีพส่วนตัวน่าจะดีกว่า
มีคำถามว่าหน้าที่ของผู้ปกครองคืออะไร ต้องทำอะไรบ้าง ผู้ปกครองหลายคนตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้จักบทบาทหน้าที่ของตน ไม่อยากเป็นภาระเพราะว่าการมาโบสถ์ให้เห็นหน้าตากัน มาอยู่เป็นเพื่อนกันก็น่าจะเพียงพอแล้ว ดังนั้นเมื่อคนในหน้าที่ไม่รู้จักหน้าที่ของตนย่อมทำให้เกิดความสับสนต่อตนเองและคริสตจักรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การวิเคราะห์ข้อดีของการบริหารงานของคริสตจักรทั่วไปในประเทศไทย
หลังจากได้นำเสนอแนวคิดจากการวิเคราะห์งานด้านการบริหารของคริสตจักร
แล้ว ได้พบว่าในความอ่อนแอหรือความไม่ทันสมัยของการบริหารงานนั้น ได้พบว่าคริสตจักรมีความเข้มแข็งหรือด้านที่ดีอยู่มากหลายประการ กล่าวคือ
ประการที่ 1 การเป็นองค์กรที่มีการบริหารที่ชัดเจน โปร่งใส และมีโครงสร้างที่ชัดเจน
ความเข้มแข็งของคริสตจักรคือการเป็นองค์ที่มีการปกครองตามโครงสร้าง มีสายการบริหารที่ชัดเจน ทำให้คนที่จะเข้ามาอยู่ร่วมกับคริสตจักรไทยต้องถือปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ที่มีความชัดเจน บุคลากรแต่ละฝ่ายมีความเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตน นับตั้งแต่ศิษยาภิบาล คณะกรรมการภาค คณะกรรมการบริหารคริสตจักรไทยฯ การปกครองแบบโครงสร้างใหญ่ครอบคลุมโครงสร้างเป็นระดับขั้นลงไป ทำให้เกิดความมั่นคงอย่างมาก องค์กรมีกฏกติกา สิ่งที่ทำได้ ทำไม่ได้ชัดเจน ทำให้การบริหารงานมีความชัดเจนในภาระหน้าที่ และแต่ละหน่วยย่อยรู้จักบทบาทภาระงานของตน ทำให้การดำเนินงานกิจกรรมต่างๆ มีกรอบงานที่ไม่ซ้ำซ้อนกัน แต่เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีระบบที่คอยอุปภัมถ์ค้ำชูให้หน่วยงานแต่ละเนื้อได้พึ่งพาอาศัยกัน ทำให้องค์กรมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างมั่นคง และเจริญก้าวหน้า
ประการที่ 2 มีการบริหารจัดการทรัพยากรด้านทุนทรัพย์ และสินทรัพย์ที่ดี
คริสตจักรไทยนับเป็นองค์กรที่มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านจำนวน และคุณภาพ เนื่องจากการเป็นองค์กรขนาดใหญ่ และมีสินทรัพย์จำนวนมาก กล่าวได้ว่า มหาศาล ทำให้ผู้บริหารของคริสตจักรไทยสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านวัตถุสิ่งก่อสร้างทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ การที่คริสตจักรไทยบริหารจัดการสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพทำให้เกิดรายได้ จากการบริหารงาน การจัดตั้งกองทุนต่างๆ ทำให้เกิดรายได้มาจุนเจืนงานอื่นๆที่ไม่ค่อยก่อให้เกิดรายได้ อาทิ การสงเคราะห์ สวัสดิการการบริการสาธารณสุขแก่บุคลากรในระดับต่างๆ คริสตจักรไทยหลายแห่งมีการวางแผน มองการณ์ไกล มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางแผนงานด้านที่ดินและสิ่งก่อสร้าง มีโรงเรียน โรงพยาบาล สถานบริการที่ก่อให้เกิดรายได้ มีบริหารเช่าสถานที่ ห้องประชุม สถานที่จัดประชุมขนาดต่างๆ โบสถ์ของคริสตจักรไทย จำนวนมากที่เป็นอาคารจุคนได้มากเป็นร้อยๆ คน คริสตจักรมีความเข้มแข็งด้านการเงิน เมื่อเปรียบเทียบกับคริสตจักรในคณะอื่นๆ พบว่าคริสตจักรของคริสตจักรไทยมีขนาดใหญ่ สวยงาม และถือเป็นเกียรติและศักดิ์ศรีชาวคริสต์อย่างแท้จริง
ประการที่ 3 ความเข้มแข็งทางด้านความมั่นคงของผู้รับใช้พระเจ้าในตำแหน่งต่างๆในคริสตจักร
คริสตจักรไทยมีธรรมนูญปกครองคริสตจักร มีกฎระเบียบ มีสวัสดิการ เงินค่าตอบแทนผู้ทำงานของพระเจ้าอย่างเป็นเอกภาพ ทำให้บุคลากรมีความอุ่นใจ เกิดความมั่นคงปลอดภัยในหน้าที่การงาน ทำให้ดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพมาร่วมงานในคริสตจักรมากกว่าคริสตจักรในคณะอื่นๆ นอกจากนี้คริสตจักรไทยมีระบบการตรวจสอบ ระบบการประเมินผลงานของศิษยาภิบาล ทำให้บุคลากรต้องขยันขันแข็งในการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากมีการประเมินตามวาระ สิ่งนี้นับเป็นข้อดีเด่นของคริสตจักรไทยแม้ว่าจะมีศิษยาภิบาลจำนวนมากไม่ค่อยเห็นด้วยเนื่องจากเกรงว่าจะต้องย้ายไปอยู่ที่คริสตจักรที่ด้อยกว่า หรือไม่มีงานทำเนื่องจากถูกโหวตให้ออก การประเมินแบบนี้มีข้อดีคือทำให้เกิดการกระตุ้นในการทำงาน มีการประเมินผลงานของตนเองตลอดเวลา ไม่อู้งาน หรือขาดความเอาใจใส่ในภาระงานในหน้าที่ เมื่อถึงวาระที่สมาชิกต้องประเมินผลการทำงาน ในช่วงหมดวาะการทำงาน ศิษยาภิบาลที่ดีมีคุณภาพก็จะได้รับการลงมติให้สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้อย่างแน่นอน ในข้อนี้สำหรับผู้เขียนเองมีความคิดเห็นว่าหากศิษยาภิบาลเป็นผู้ที่มีของประทานมีสิทธิอำนาจในการการสั่งสอน ย่อมไม่เกรงกลัวว่าจะตกงานหรือ ไม่ได้รับการต่ออายุการปฏิบัติงาน
ประการที่ 4 ระเบียบในการเลื่อนศานศักดิ์และการได้รับศาสนศักดิ์
คริสตจักรไทยเป็นหน่วยงานที่มีความเข้มแข็งทางด้านศาสนศาสตร์อย่างแท้จริง ในวงการศิษยาภิบาลหรือผู้รับใช้พระเจ้าเมื่อมีการพบปะหรือพูดคุยกัน หากมีการถามถึงคุณวุฒิด้านศาสนศาสตร์ และศาสนศักดิ์ คริสตจักรไทยจะได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างมาก เนื่องจากคำว่า “ศาสนาจารย์” หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าอาจารย์ของคริสตจักรไทยนั้นมีความขลังมาก เพราะการที่จะเป็นศาสนาจารย์ของคริสตจักรไทยต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถในหน้าที่อย่างแท้จริง เนื่องจากการที่จะได้เลื่อนศาสนศักดิ์ต้องผ่านการสอบความรู้ และต้องมีระยะเวลาสำหรับการฝึกงานสำหรับตำแหน่งต่างๆ พอสมควรจึงจะสามารถสมัครเข้าสอบได้ ผิดกับคริสตจักรคณะอื่นๆ ที่ตำแหน่งศิษยาภิบาลได้กันง่ายกว่า และไม่ต้องมีการสอบอะไรมาก บางคนความรู้ทางศาสนศาสตร์แทบไม่มี บางคนไม่เคยผ่านโรงเรียนพระคัมภีร์อะไรเลยก็ได้เป็นอาจารย์ การที่ไม่ได้รับการอบรม การเรียนรู้ มีแต่ความเชื่อ ความมุ่งมั่นอย่างเดียวหลายครั้งทำให้เกิดปัญหาในเรื่องคำสอน การปฏิบัติตน การดูแลฟูกฟักผู้เชื่อเป็นอย่างมาก บางคนขาดความถ่อมใจทำให้เกิดความเย่อหยิ่งมีปัญหากับหน่วยงาน บางคนก็ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอะไร เป็นเพียงผู้ตามอย่างเดียว ขาดทักษะในการบริหารงาน การวางแผน แต่สำหรับบุคลากรของคริสตจักรไทยนับว่าเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถมาก และถือว่าเป็นอันดับหนึ่งในเรื่องของศาสนกิจ การบริการสังคม การบริการชุมชน การประกาศเผยแพร่ และในด้านการบริหารจัดการบุคลากรอย่างแท้จริง
ข้อคิดเห็นส่งท้าย
การวิเคราะห์การบริหารงานของคริสตจักรไทยนับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับผู้เขียนเนื่องจาก ผู้เขียนเป็นผู้เกิดมาในคริสตจักรไทยแต่ไปเติบโตในความเชื่อกับคณะอื่น ทำให้สามารถมองเห็น ได้ยิน ได้รับรู้เรื่องต่างๆ ผิดบ้างถูกบ้าง จึงขอเสนอความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา บางข้ออาจไม่เป็นความจริง หรือเป็นความจริงที่ยอมรับยาก แต่ก็เป็นการนำเสนอด้วยความจริงใจ ด้วยความเคารพในเอกสิทธิการบริหารของคริสตจักรไทย เนื่องจากผู้เขียนยังไม่ได้เป็นศิษยาภิบาลในสังกัดของคริสตจักรไทยจึงวิเคราะห์ไปอย่างไม่ต้องกลัวว่าจะสอบไม่ผ่านเพราะเชื่อมั่นว่า หน่วยงานแต่ละหน่วยย่อมมีความเด่น และความด้อยไม่เหมือนกัน แต่องค์ก็ต้องมีการปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์และยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว หากเรามัวแต่คิดว่าของเดิมดีอยู่แล้วก็คงไม่มีคริสตจักรใดๆ ใช้เครื่องฉายจอภาพขนาดใหญ่ในโบสถ์ หรือการใช้พระคัมภีร์ฉบับคอมพิวเตอร์ในการเทศนาที่เกิดผลได้
ตามความเห็นของผู้เขียนเชื่อว่า หากเอาการบริหารงานของคริสตจักรไทย บางส่วนไปปรับใช้กับการเทศนา และพิธีกรรมตามแบบของคริสตจักรที่ผู้เขียนรับใช้อยู่เชื่อว่า งานของพระเจ้าจะต้องก้าวหน้า ก้าวไกล นำคนมาถึงความรอด สันติสุขในพระเยซูคริสต์ได้อย่างมากมายแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)