A friend of mine, her name is Mary.
She is a Jewish Messianic Christian who recently has moved to Nepal. This is her message. I hope this message, at least can be a stunning warning for inactive churches and traditional Christians who deny the power of the Gospel.
เพื่อนของผมคนหนึ่ง เขาเป็นเชื้อสายยิวแท้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากได้รู้จักคุณแมรี เมื่อคราวที่ผมไป แปลคำเทศนาของท่าน เขาชื่อว่าคุณแมรี่ ผมได้รับอีเมล์อันน่าตระหนกนี้จากเธอ จึงขอแบ่งปันให้สำหรับผู้เชื่อพระเยซูที่มีความเชื่อเรื่องของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นการเห็นนิมิต (การเห็นนิมิตมีปรากฎ หลายครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ เ่ช่น อ.เปโตร อ.ยอห์น และคนอื่นๆ)
ผมคงไม่ยืนยันว่านิมิตนี้จริงหรือไม่จริงแต่คุณแมรีเป็นคริสเตียนที่เต็มล้นไปด้วยการเจิมของพระเจ้า ผมได้เห็นและได้รับทราบว่าเธอมีของประทานหลายอย่างแบบอัครทูต เพราะผมเคยเป็นล่ามสดในการเทศนาของเธอมาแล้ว สำหรับผม เธอเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่แท้จริงครับ อย่างไรก็ตามผมไม่อยากให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบ ขอให้อ่านอย่างมีวิจารณญาณก็แล้วกันนะครับ ขอพระเจ้าทรงนำในการเข้าใจนิมิตนี้
Subject: Hells flames เปลงเพลิงของนรก
Dear Friends, เพื่อนที่รัก (ภาษาไทยอยู่ด้านล่างของภาษาอังกฤษ)
This last week I have been kept awake by many visions that the LORD has poured into my spirit.These visions have been so real that I would kneel on my face crying out for GOD's mercy on the church and on the particular faces that He brought into my sight.
I saw people who know Jesus who have a form of godliness but deny the power there of, come to the judgment seat of Christ and fall into Hells Flames...
GOD showed me the church dressed in BLACK, the church still being in the wilderness. It was only supposed to take 7 day journey for the people of Isreal to cross over into the promised land instead it took them 40 years...
The church has come out of Egypt it has received salvation, as the Jewish people had in Egypt when they sacrificed the Lamb and they put the blood of the Lamb on the door posts , they went through the red sea ( Baptism) yet ended up wandering around in the wilderness for 40 years. And then only a few entered the promised land...
Church we need to get ready , the vision I saw was frightening, it kept me awake for hours on my face crying out for the church crying and wailing for the faces that I knew...
John the Baptist was a forerunner for Christ. He had a crying spirit as one crying in the wilderness prepare ye the way of the LORD make thy paths straight.
This week since I received these visions GOD has been sending out into the streets of Kathmundu to warn the people. To tell them that Judgment is coming if they do not turn from their wicked ways and worship the one and only true and living GOD they are heading for Hells flames...
To those who have ears let them hear...
In these last days we are going to SEE an outpouring of the miracles of the Exodus and the miracles of Acts , there will be breakthroughs of demonstrations of His power.. In order for us the church to witness we need to be connected to His spirit, let us be like the 5 wise virgins that had their lamps full of oil, staying connected. The other five were foolish virgins with no oil, these foolish virgins were compremising peace and going with the flow...Matt 25
We know from scriptures that all 10 were connected to the bridegroom but 5 lost their connection, they lost thier focus, lost their ground...They were all believers,(lamps represent Ministries ) They all go out to meet the bridgroom they teach they worship they are part of the church only they do not spend enough time with HIM, connecting with Him Watching and praying
The foolish took their lamps but not their oil. The wise took thier oil and continued in their ministry.So the foolish took their lamps ( their Ministries ) and contnued to build their ministry , that was more important to them than staying connected first . If you are connected you have peace for oil tenderises the heart.
We must go out to meet him. We must make time to meet him and conteract with him...
Leaders/ Pastors we need to speak the truth or the lamps will go out, for their spirits will not get fed. no more washed down sermons, the church is dressed in BLACK
We need to be connected so that we can receive a vision of increase plus an increase of connection.
Wse virgins told the foolish to go buy oil for yourselves .. You need to spend to buy costly oil that will flow down from the Kingdom . Invest yourself in a costly way...Get connected NOW..
For those that are connected participated in the wave of Glory .
The bridegrrom is in our midst .He is coming in waves. He wants us to receive so we can impart. He wants us to be a voice and not an echo.
For those that did not stay connected when the bridegrrom came the other 5 said .LORD LORD open to us and he said." I know you not"
Dear church, I cry out for those of you that may be in this place. Perhaps at some stage in your life you were connected and those were the best times of your life, now they are only a memory to you , you love him but you have gotten off focus... I urge you in the name of Jesus get connected NOW!!! Resolve your relationship with him..
Be not asleep when the bridegroom cometh...
Rise and pray at the midnight hour..Be watching, stay connected...
love and blessings to one and all
Writer:Mary(An Evangelist of the Gospel of Jesus Christ from Napal-Grace Era Church)
-ภาษาไทย-
เพื่อนผู้รับใช้อิสระคนหนึ่งของผมชื่อว่า คุณแมรี่ เธอเป็นคนเชื้อสายยิวแท้แต่กลับใจมาเป็นคริสเตียน เธอได้อยู่ในประเทศไทยได้หลายปีพอควรแต่ตอนนี้เธอได้ย้ายไปอยู่ประเทศเนปาลแล้ว ผมเคยสอบถามเธอว่าทำไปต้องไปอยู่เนปาลเธอบอกว่า ไปติดตามหาคนเชื้อสายยิวที่อาศัยอยู่ที่เนปาลให้กลับมาหาพระเยซูเจ้า เพราะชาวยิวแท้จะไม่นับถือศาสนาคริสต์แต่นับถือศาสนายูดาย ((Judaism) ซึ่งเป็นศาสนาที่มีอายุกว่า 3.300 ปีมาแล้ว
บทความที่เธอส่งมาทางอีเมล์ฉบับนี้เป็นประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณที่พระคัมภีร์เรียกว่า การเปิดเผยของพระเจ้าส่วนตัว หรือที่เราเรียกว่า “นิมิต” (Vision) ในประเทศไทยประสบการณ์แบบนี้ชาวคริสต์ยังไม่ค่อยมีแพร่หลายมากนัก เพราะนักการศาสนาของไทยส่วนใหญ่เป็นนักศาสนศาสตร์ที่เรียนรู้มากทางด้านประวัติศาสตร์ ทฤษฏีทางด้านเทวศาสตร์ ศาสนาเปรียบเทียบ และหลักข้อเชื่อ และเรียนรู้จักตามหลักตรรกะมากกว่าความเชื่อแบบคริสตจักรเริ่มแรก (Early Church)
แม่รี่กล่าวในบทความของเธอดังนี้
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันตื่นเต้นมากเมื่อพระเจ้าทรงเปิดเผยนิมิตเข้ามาในวิญญาณของฉัน ภาพนิมิตเหล่านี้มันดูเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ฉันได้แต่คุกเข่าอธิษฐาน ร้องไห้ขอพระเจ้าประทานความเมตตาต่อคริสตจักร และฉันขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงเปิดเผยสิ่งเหล่านี้แก่ฉัน
ในภาพนิมิตฉันได้เห็นผู้เชื่อที่ดูเหมือนเป็นคนที่อยู่ในศีลในธรรม คนเหล่านี้รู้จักพระเยซูคริสต์แต่พวกเขาปฎิเสธฤทธิ์อำนาจของพระองค์ คนพวกนี้ได้มายืนต่อหน้าบัลลังก์การพิพากษาของพระเจ้า และคนเหล่า นี้ได้ตกลงไปในเปลวเพลิงนรก พระเจ้าได้ให้ฉันเห็นภาพของคริสตจักรที่แต่ตัวด้วยชุดสีดำ ซึ่งหมายถึงคริสตจักรที่ยังอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
ในสมัยที่ชาวยิวได้อพยพออกจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์เพื่อเดินทางไปสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา ระยะทางในการเดินทางที่แท้จริงอาจใช้เวลาเพียงแค่ 7 วันก็สามารถเดินทางไปถึงเป้าหมายได้ แต่ผู้อพยพชาวยิวเหล่านั้นต้องเดินทางวนเวียนอยู่ในทะเลทรายถึง 40 ปี ในภาพนิมิตนี้เปรียบเหมือนคริสตจักรได้เดินทางออกจากดินแดนแห่งความเป็นทาสและได้รับความรอดแล้ว เหมือนกับชาวยิวที่ได้ถูกปลดปล่อยออกจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ หลังจากที่พวกเขาได้ถวายลูกแกะเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และได้เอาเลือดลูกแกะนั้นไปทาที่วงกบประตูบ้าน (เพื่อให้ปลอดภัยจากเพชฆาตที่มาสั่งหารบุตรหัวปีของชาวอียิปต์ –ผู้แปล)
ในสมัยของโมเสส ชาวยิวได้เดินทางผ่านทะเลแดง (การบัพติสมา) แต่พวกเขาจำนวนเป็นแสนๆ คนจบชีวิตลงในทะเลทราย พวกเขาไปไม่ถึงเส้นชัย พวกเขาหลงเดินวนเวียนในทะเลทรายถึง 40 ปี คนเป็นแสนๆ ตายไปเกือบหมดเหลือรอดเข้าไปสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญาคือดินแดนคานาอันเพียงสองสามคนเท่านั้น
คริสตจักรของพระเยซูคริสต์เอ๋ย จงเตรียมพร้อมเถิด นิมิตที่ฉันเห็นนี้เป็นสิ่งที่น่าตื่นตระหนกมาก นิมิตนี้ทำให้ฉันนอนไม่หลับเลยเป็นเวลาหลายชั่วโมง ฉันก้มหน้าคุกเข่าร้องไห้กับพระเจ้า ฉันได้รับรู้เรื่องท่านยอหน์ ผู้ให้บัพติสมาเป็นผู้เตรียมทางสำหรับการเดินทางเข้ามาในโลกของพระเยซูเจ้า ท่านยอห์นมีวิญญาณแห่งการร้องป่าวประกาศในถิ่นกันดาร ท่านได้เตรียมการเพื่อรับเสด็จ โดยการเตรียมหนทางให้ตรงและราบเรียบ
หลังจากที่ฉันได้รับนิมิตนี้แล้ว ฉันได้ออกไปที่ถนนของเมืองกาบมัธดู เพื่อกล่าวเตือนประชาชน ฉันเป็นพยานถึงการพิพากษาที่กำลังจะมาถึงถ้าพวกเขาไม่กลับใจเลิกจากบาปชั่วแล้วหันกลับมานมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ หากไม่กลับใจพวกเขาก็กำลังเดินทางเข้าสู่ขุมนรกอย่างแน่นอน
ใครมีหูจงฟังเถิด ในยุคสุดท้ายเราจะได้เห็นการเทลงมาของการอัศจรรย์ และการสำแดงฤทธิ์เดชของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เหมือนในหนังสืออพยพและพระธรรมกิจการของอัครทูต การอัศจรรย์เหล่าจะบังเกิดขึ้นเพื่อยืนยันการเป็นพยานของคริสตจักร เราจำเป็นต้องเข้าสนิทกับพระวิญญาณ
ขอให้เราเป็นเหมือนหญิงพรหมจารีที่มีปัญญาห้าคนที่มีตะเกียงที่มีน้ำมันอยู่เต็ม ตะเกียงที่มีน้ำมันนี้หมายถึงการที่พวกเขาเฝ้าระวังอยู่ด้วยการติดสนิทกับพระเจ้า แต่สำหรับหญิงโง่ห้าคนผู้มีแต่ตะเกียงแต่ไม่มีน้ำมันเพียงพอในตะเกียง หญิงที่ขลาดเขลาห้าคนได้แก่ผู้เชื่อที่ขลาดเขลา ผู้เชื่อที่ปรองดองและทำตัวกลมกลืนไปกับกระแสความล่อลวงของโลก (มัทธิว บทที่ 25)
เราได้เรียนรู้จากข้อพระคัมภีร์ว่าหญิงพรหมจารีทั้ง 10 คนผู้มีความสัมพันธ์กับเจ้าบ่าวที่กำลังจะกลับมาแต่งงานกับพวกเธอทั้งสิบ แต่หญิงเขลาห้าคนได้สูญเสียความสัมพันธ์ไป หญิงโง่ห้าคนสูญเสียเป้าหมายของชีวิต สูญเสียพื้นฐานความเชื่อ...
คำอุปมานี้เปรียบเหมือนผู้เชื่อทุกคน (ตะเกียงหมายถึงพันธกิจ) หญิงสาวทั้งสิบคนออกไปเพื่อจะได้พบกับเจ้าบ่าวเปรียบเหมือนคริสตจักรของพระเจ้าที่ทำการสั่งสอนเรื่องราวของพระเยซูคริสต์และมีการนมัสการพระเจ้าในคริสตจักร แต่สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพิธีกรรมสามัญของคริสตจักรเท่านั้น ผู้เชื่อหลายคนไม่ได้ติดสนิทกับพระเจ้าอย่างเพียงพอ หลายคนไม่มีเวลาในการเฝ้าอธิษฐาน การวิงวอนและการมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับพระเจ้าเลย
หญิงเขลาห้าคนที่นำตะเกียงของตนออกไปแต่ไม่มีน้ำมันในตะเกียง หญิงมีปัญญาห้าคนนำน้ำมันสำรองเพื่อใส่ตะเกียงไปด้วย นั่นคือคริสตจักรที่ยังคงทำพันธกิจของพระเจ้าต่อไป ส่วนหญิงเขลาอีกห้าคน เอาตะเกียงไป (หมายถึงการทำพันธกิจ) พวกเขาพยายามสร้างสรรค์พันธกิจมากกว่าการมีความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าก่อน ถ้าหากคุณมีความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าคุณก็จะมีน้ำมันแห่งสันติสุขที่ทำให้จิตใจอ่อนโยนด้วย
พวกเราเป็นเหมือนหญิงพรหมจารีเหล่านั้นที่ต้องออกไปพบเจ้าบ่าว เราต้องมีเวลาที่จะได้พบและมีความสัมพันธ์สนิทสนมส่วนตัวกับเจ้าบ่าวหคือองค์พระเยซูคริสต์ ผู้นำคริสตจักร และผู้รับใช้พระเจ้าทั้งหลายเอ๋ย เราต้องพูดความจริง มิเช่นนั้นตะเกียงน้ำมันเราก็จะดับ ถ้าเราไม่พูดความจริงสมาชิกก็จะไม่ได้รับอาหารแห่งจิตวิญญาณที่ทำให้อิ่มได้ ขออย่าให้การเทศนาของเราเป็นเพียงพิธีการเท่านั้น การทำอย่างนั้นเปรียบเหมือนทำให้เจ้าสาวของพระเยซูคริสต์คือคริสตจักรต้องสวมชุดแต่งงานสีดำ ถ้าเรามีความสัมพันธ์สนิทสนมกับพระองค์ เราจะได้รับนิมิตที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเรามั่นคงเข้มแข็งยิ่งขึ้น
เมื่อหญิงเขลาห้าคนเอ่ยปากขอน้ำมันเติมตะเกียงจากพวกมีปัญญา พวกหญิงมีปัญญาห้าคนบอกให้พวกคนเขลาไปซื้อน้ำมันใส่ตะเกียงเอง... หมายความว่าเราจำเป็นต้องเสียสละสิ่งมีค่าสูงในชีวิตเพื่อที่จะได้รับน้ำมันที่ไหลมาจากเบื้องบน คือแผ่นดินของพระเจ้า ขอให้เรากล้าลงทุนที่สูงค่านี้ด้วยการมีความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าเดี๋ยวนี้
สำหรับทุกท่านที่มีความสัมพันธ์สนิทกับพระเยซูและได้เข้าร่วมกระแสแห่งพระศิริของพระเจ้า เจ้าบ่าวคือองค์พระเยซูเจ้าผู้อยู่ท่ามกลางเรา การมาของพระองค์เปรียบเหมือนคลื่นที่ถาโถมเข้ามาเป็นระลอก พระองค์ต้องการให้เรารับแล้วเราจะได้รับการถ่ายทอด พระองค์ต้องการให้เราเป็นผู้ที่ใช้เสียงร้องป่าวประกาศความรอด ไม่ใช่เป็นแค่เสียงสะท้อนเท่านั้น เมื่อเจ้าบ่าวได้เสด็จมาถึงห้องหอและประตูห้องหอได้ปิดไปแล้ว หญิงโง่ห้าคนได้มาที่ข้างนอกประตูร้องว่า “นายเจ้าข้า ขอช่วยเปิดประตูให้พวกเราเข้าไปด้วย” แต่มีเสียงจากภายในหอจากเจ้าบ่าวว่า “เราไม่รู้จักเจ้า”
คริสตจักรที่รัก, ฉันขอร้องเชิญชวนท่านที่อาจจะมีชีวิตอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านอาจเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีเลิศกับพระเจ้า เป็นเวลาแห่งสันติสุข เป็นเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของท่าน แต่เวลาเหล่านั้นได้กลายเป็นเพียงรอยอดีตเท่านั้น เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่, ท่านยังรักพระเยซูแต่ท่านได้สูญเสียเป้าหมายในการติดตามพระองค์ หากเป็นเช่นนี้ ดิฉันขอเรียกร้องและหนุนใจให้ท่านหันกลับมาหาพระเยซู เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ใหม่อีกครั้ง
อย่าให้เราเป็นเหมือนคนที่กำลังหลับใหลเมื่อเจ้าบ่าวเสด็จมา
จงลุกขึ้นอธิษฐานในเวลากลางคืน คอยฝ้าระวัง ให้เรารักษาความสัมพันธ์สนิทกับพระองค์อยู่เสมอ ด้วยความรักและขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่าน
ผู้เขียน: แมรี (Mary) ผู้แปล – RW อ่านเรื่องราวความเคลื่อนไหวของ คุณแมรีจาก บล๊อคส่วนตัวของเธอคลิกที่นี้
http://graceeranepal.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)