Conformation of Faiths -เราอยู่ร่วมกันแต่ไม่เหมือนกันได้ไหม?

การอธิษฐานเป็นพลังเพียงอย่างเดียวที่คริสเตียนและคริสตจักรใช้ในการต่อสู่ฝ่ายวิญญาณกับมารร้ายและสมุนของมัน คริสเตียนที่ได้รับการสอนและฝึกอบรมมาอย่างดีจะรู้ว่า ไม่มีพลังอำนาจอันใดอีกแล้วที่คริสตจักรของพระเจ้าจะสามารถเติบโต และมีพลังในการปลดปล่อยนอกจากพลังการอธิษฐานเท่านั้น

ในบทความของผมส่วนใหญ่จะไม่ค่อยสอน ความรู้ทางศาสนา หรือที่เรียกกันว่า "ศาสนศาสตร์" เกี่ยวกับการทำศาสนพิธี หรือสอนให้คนที่เชื่อพระเจ้าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อจะได้เป็นคริสเตียนที่ดีได้ไปสวรรค์เมื่อตายแล้ว หรือเป็นนักศาสนาที่มีความสุขล้น ผมเคยเขียนเคยบ่นในเว็บบล๊อคนี้หลายครั้งแล้วว่า การเป็นคริสเตียนไม่ใช่เป็นการมารับแต่ชีวิตที่มีความสุขล้นเกินธรรมชาิติเหนือคนทั่วไป เรื่องอย่้่างนี้มีอาจารย์สอนอยู่แล้วมากมาย

จริงอยู่ทางของพระเยซูเป็นทางแห่งความสุขที่แท้จริง มีสุขภาพดี มีความมั่นคงทุกด้านของชีวิต มีปัญหาอะไรก็มีพระเจ้าคอยช่วย คอยหนุน จึงเป็นชีวิตที่ไม่มีใครเทียบได้อยู่แล้ว แต่ลองมองไปรอบๆ ตัวท่านซิ คริสเตียนที่อยู่ในโบสถ์คริสต์ทั่วไป เขามีชีวิตอย่างที่น่าจะเป็นหรือเปล่า ไม่เลยเพราะพวกเขาจำนวนมาก เป็นเพียงศาสนิกหรือคนที่อยู่ในศาสนาเท่านั้น ยังติดเหล้า ติดบุหรี่ ภาพโป๊ ยังเล่นชู้ โกงเิงินกัน กราบไหว้นมัสการสิ่งต่างๆ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าพระเจ้า แต่ปากและคำพูดเท่านั้นที่บอกว่าเป็นคริสเตียน

จริงอยู่การเป็นคนที่ใจเมตตา มีความปราณี มีใจอ่อนสุภาพ การรู้จักแบ่งปัน มันอยู่ในใจของคนธรรมดาส่วนมากอยู่แล้ว แต่ที่มันทำไม่ได้เพราะมันมีตัวคอยขัดขวางไว้ต่างหาก ถ้าหากการมาเป็นคริสเตียนคือการมาเรียนรู้เรื่องการทำดี ผมคิดว่าเป็นการไม่คุ้มค่าเลย เหมือนกับใครสักคนมีรถยนต์สปอรต์ 200 แรงม้า แต่ไม่ได้ขับไปไหนไกลๆ เลย เขาขับไปซื้อกับข้าวที่ตลาดแล้วก็นำมาจอดไว้ นานๆ ก็ไปเติมลมยางที  เพราะยางมันแบนไม่ได้ขับบ่อย คนที่ซื้อรถยนต์มาใช้อย่างนี้อาจจะเป็นคนที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ และผมขอบอกว่าคริสเตียนจำนวนมากทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนี้แหละ คือรู้จักพระเยซูแค่ขอได้ไปสวรรค์ ขอเป็นแค่คนดีแต่ไม่ยอมออกไปประกาศความรอด ไม่ยอมออกไปปลดปล่อยผู้คนออกจากการนับถือผีสาง และนางไม้ ให้เขาเลิกกราบไว้สิ่งไร้สาระเพราะพวกเขาไม่รู้จักพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ แต่คริสเตียนไม่ยอมทำเพราะไม่มีจิตใจที่จะทำ ไม่มีคนนำไปทำ ไม่มีแผนงานที่จะทำ แต่ละแห่งเน้นสร้างกำแพงเยรีโคกันคนเข้าคนออก สร้างอาณาจักรจอมปลวกที่คิดว่าอาณาจักรของข้าใหญ่กว่าของใครๆ แล้ว

ผู้เชื่อพระเจ้าจำนวนมากไม่ตระหนักถึงคุณค่าแห่งมรดกแห่งไม้กางเขนที่พวกเขาได้รับความเชื่อนี้มา
มิชชั่นนารีที่เข้ามาประกาศเผยแพร่ความเชื่อเรื่องพระเยซู ยอมลงทุนทั้งชีวิต บางคนเสียสละไม่เฉพาะแต่ชีวิตตนเอง ยอมพาลูกพาเมียมาเมืองไทย ฝรั่งในสมัยนั้นไม่ได้ฉีดยาวัคซีนที่ดีในการป้องกันโรคเขตร้อน เพราะวิทยาการด้านการแพทย์ยังไม่พัฒนามากนัก ลูกเมียของมิชชั่นนารีตายไปหลายคนเพราะความป่วยใข้จากการติดเชื้อโรคเมืองร้อน กว่าจะนำคนมาเชื่อพระเจ้าได้แต่ละคนต้องลงทุนเลี้ยงข้าวไปหลายกระสอบ

พี่น้องอาจไม่ทราบว่าเขาเรียกคริสเตียนสมัยก่อนว่าอย่างไร เขาเรียกว่า "พวกคริสเตียนข้าวสาร" เพราะมาเชื่อพระเจ้าเพราะได้รับการแจกของ แจกข้าว ดังนั้นจึงมีแต่คนจนๆ เป็นส่วนใหญ่ที่มาเข้ารีตลัทธินี้ การประกาศเรื่องความเชื่อใหม่คือการรอดพ้นจากบาปด้วยความเชื่อในพระนามพระเยซูเป็นสิ่งที่คนไทยรับได้ยากมาก โดยเฉพาะการประกาศกับคนรวยเพราะคนรวยมันมีทุกอย่างที่ต้องการ พวกเขาไม่ต้องการพระเจ้า เพราะคนมีเงินอะไรๆ ก็หาได้ง่าย คนรวยจึงไม่ง้อพระเจ้ามากเท่ากับคนจนๆ สังคมไทยในสมัยก่อนเป็นสังคมศักดินา มีระบบนายเงิน ชาวบ้านต้องอยู่เขตการปกครองของระบบศักดินา

อีกประการหนึ่งที่ทำให้คนไทยมาเป็นคริสเตียนได้ยากมากในสมัยเริ่มแรกก็เพราะระบบความเชื่อของไทย มันเป็นแบบมือถือสาก ปากถือศีล คือปากว่าเป็นคนมีธรรมะธรรมโม แต่ไม่มีการปฎิบัติให้สอดคล้องกับคำสอนทางลัทธิที่ตนเองเชื่อถือ เป็นเพียงถือศาสนาเปลือกนอกเท่านั้น ไม่มีใครสามารถปฏิบัติตามศีลธรรมทางศาสนาได้ครบถ้วนทุกข้อ ที่สำคัญศาสนาดั่งเดิมของไทยนั่นไม่ใช่ศาสนาของเนปาล แต่เป็นการถือผี การกราบไหว้รูปเคารพ และวิญญาณบรรพบุรุธ ปัจจุบันนี้การนับถือวิญญาณบรรพบุรุธยังฝังแน่นอยู่ในวิถีชีวิต  ความเชื่อ และการดำเนินชีวิต ของคนทุกชนชั้นในสังคมก็ว่าได้

ในสังคมชนบทของไทย ครอบครัวใดที่กลายเป็นตระกูลใหญ่ ลูกหลานญาติมิตรจะรวมตัวกันในรอบปีเพื่อจัดพิธีสำคัญอย่างหนึ่งที่เขาเรียกชื่อว่า "พิธีไหว้วิญญาณผีปู่ย่า หรือวิญญาณบรรพบุรุธ" พิธีกรรมนี้เป็นการสำแดงเดชของวิญญาณอย่างแท้จริง ในพิธีกรรมนี้จะมีการเข้าทรง มีการอนุญาตหรือเชิญให้วิญญาณที่ชาวบ้านนับถือว่าเป็นผีที่คอยปกปักรักษาพวกเขาให้มาเข้าทรงในร่างกายมนุษย์ และวิญญาณจะพูดคุยกับผู้ที่เข้าร่วมพิธีเหมือนกับพ่อคุยกับลูกๆ หลานๆ เมื่อลูกหลานนำเครื่องเซ่นสังเวยมาถวายให้  พิธีนี้สำหรับชาวเหนือจะปฏิบัติกันในช่วงงานสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นการเริ่มปีใหม่ ของคนไทยบางส่วน  การเริ่มปีใหม่ต้องมีการเซ่นไหว้ การถวายเครื่องสังเวยแก่วิญญาณบรรพบุรุธด้วย

เมื่อความเชื่อเรื่องการกราบไหว้ผีบรรพบุรุธนี้  ฝังลึกในความรับรู้ของคนไทยชนบทมาเป็นเวลาหลายร้อยปี การที่จะให้คนออกจากเรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในโลกนี้มีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าความเชื่อเรื่องวิญญาณอีกล่ะ ศาสนาที่คนไทยนับถือก็ใจดีไม่ได้ต่อต้านให้ผู้นับถือศาสนาไปกราบไหว้อื่นใด คนไทยสามารถไหว้ได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาต ภูผา แม่น้ำ จอมปลวก รากไม้ ต้นกล้วย ซากสิ่งของโบราณ แม้กระทั้งปลีกล้วยหรือ เห็นยักษ์ ขอเพียงให้คนอยู่ในศาสนาก็ใช่ได้แล้ว นอกจากนี้คนไทยยังชอบการสักยัณห์และการถือโชคลาง ถือวัน เดือน และฤกษ์ยามต่างๆ การใส่เสื้อผ้า สีรถยนต์ต้องถูกโฉลกดวงกับวันเกิดของเจ้าของด้วย นี่คือความเชื่อของไทยที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อการดำเนินชีวิตของคนไทยทั่วไป

แต่เมื่อคนไทยได้รับรู้เรื่องพระเยซู แล้วมาอยู่ในศาสนาคริสต์ เขาต้องสละสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ทำให้เกิดความขัดแย้งในวิถีแห่งความเชื่อและการปฎิบัติตนอย่างรุนแรง การไปโรงเรียนก็ต้องยืนเป็นคนใบ้ ไม่กราบไม่ไหว้เวลาเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ สวดมนตร์เช้า การไปเข้าค่ายอะไรๆ หรือไปที่ทำงานแห่งใหม่ คนไทยต้องเข้าไปกราบคารวะเจ้าที่เจ้าทาง แต่เป็นคริสเตียนทำไม่ได้ เพราะศีลข้อแรกของคริสเตียนคือ อย่ากราบไหว้สิ่งใดเป็นพระเจ้านอกจากพระเจ้าองค์เดียวคือ พระเยซูคริสต์ บางคนที่ฝืนทำก็มีบาง แต่คนพวกนี้มักจะเป็นแค่ คนถือศาสนาตามบัตรประจำตัวประชาชนเท่านั้น ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องว่าการแสดงความเคารพต่อรูปเคารพนั้นเขาต้องได้รับผลอะไรบ้าง 

ท่านลองนึกดูการมาเป็นคริสเตียนมันต้องสละมากแค่ไหน ผมเกริ่นมาแล้ว ในโลกนี้มีอะไรยิ่งใหญ่กว่าความเชื่อล่ะ ไม่ว่าจะเป็นระบบการปกครองต่างๆ ของโลก เกิดจากความเชื่อทั้งนั้น ในประเทศตะวันตกก็ใช้ระบบประชาธิปไตย ประเทศในแถบอาหรับก็ใช้กฎหมายศาสนาก็คือความเชื่อนั่นเอง ในประเทศคอมมิวนิสก็เอาความเชื่อ ความคิดแบบลัทธิคอมมิวนิสมาปกครองประเทศ การที่คนจะเปลี่ยนความเชื่อมันไม่ง่ายเลย 

การที่คริสตจักรจะสามารถมีชัยเหนือความเชื่อความคิดดั่งเดิมได้อย่างเด็ดขาดเบ็ดเสร็จ คือการประกาศด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า คริสตจักรจำเป็นต้องหันกลับมาหาฤทธานุภาพของพระเจ้าที่มอบให้แล้วแก่ผู้เชื่อทุกคน แต่ในปัจจุบันคริสตจักรหลายแห่งไม่ได้อาศัยฤทธิเดชแห่งพระกิตติคุณ ( 1 คร. 2.4-5) แต่อาศัยเงินนอก อาศัยสปอนเซอร์ อาศัยเงินเกาหลี ฝรั่ง จีน และอื่นๆ สำหรับนักการศาสนาที่ยากไร้ส่วนใหญ่ของไทย เราคงไม่ปฎิเสธการช่วยเหลือเหล่านี้  เพราะมันเป็นการช่วยกันมาแต่ไม่ได้ช่วยกันไป  คริสเตียนเมืองนอกรวยมาก จึงต้องเอาเงินส่งเข้ามาช่วยคริสเตียนไทยที่ส่วนใหญ่ยากจน และเลี้ยงตัวเองไม่ได้  เพราะคนเข้าใจว่า เงินคือสายธารแห่งชีวิตเลยที่เดียวสำหรับคนหลายคนที่ยังอ่อนแอกับความเชื่อ แต่ต้องทำหน้าที่ใหญ่คือ การรับใช้พระเจ้า

แต่เราไม่น่าจะเอาสิ่งนี้มาเป็นปัจจัยหลักในการประกาศข่าวประเสริฐ เราควรจะเปลี่ยนวิธีการเผยแพร่เสียใหม่ เปลี่ยนจากปีละ 1 วันคือวันคริสตมาส หันมาใช้วันอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น วันอีสเตอร์แทนที่เราจะไปที่สุสานไปร้องเพลงรุ่งอรุณ หาไข่ กินข้าวต้ม เราก็ออกไปเดินขบวนที่ตลาดและท้องถนน อาจรวมกันหลายๆ โบสถ์ประกาศชัยชนะแห่งการฟื้นคืนชีพของพระเยซูองค์นี้ เพราะไม่มีศาสนาองค์ใดอีกแล้วที่ตายแล้วฟื้นและยังมีพยานหลักฐานมากมายเท่าการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซู ถ้าคริสตจักรบอกให้คนไทยรู้ว่ามีฤทธิอำนาจของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าวิญญาณต่างๆ ที่คนไทยนับถือ มีการหายโรค มีการอัศจรรย์สิ่งเหล่านี้จะนำคนเข้ามารับความรอดเหมือนกับการประกาศของอัครทูตสมัยคริสตจักรเริ่มแรกได้อย่างแน่นอน

ปี พ.ศ. 2054 ฝรั่งชาติโปตุเกตุเป็นชาติแรกที่เข้ามาเผยศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิค เป็นรัชสมัยของพระราชาธิบดีที่ 2 ของกรุงศรีอยุธยา (ประวัติศาสตร์ชาติไทย ส.พลายน้อย. 2523) การประกาศศาสนาได้ผลดีพอสมควรเพราะผู้ที่เป็นฝรั่งได้รับการยอมรับมากขนาดที่ว่าได้รับแต่งตั้งให้เป็น พระยา พระยาคนหนึ่งที่เป็นฝรั่งชื่อว่า พระยาวิชาเยนทร์ คือฝรั่งผู้ประกาศที่ชื่อว่า คอนสแตนติน ฟอลคอล ได้รับความเชื่อใจจากรัฐ ในสมัยนั้นให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในระดับสูง คือเทียบเท่าขุนนางคนหนึ่งก็ว่าได้

ปี พ.ศ. 2228 ฝรั่งเศษได้ริเิริ่มทำสัญญากับรัฐบาลไทยในสมัยนั้น เป็นสัญญาเกี่ยวกับการให้สิทธิการประกาศศาสนาคริสต์ มีสาระสำคัญ 3 ประการ คือ
1. ไทยอนุญาตให้มิชชันนารีประกาศศาสนาได้
2. ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่บ้านเมือง หรือผู้ปกครองเมือง นายเงินกีดกันขัดขวางผู้เข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์
3. ให้คนที่นับถือศาสนาคริสต์สามารถหยุดงานวันอาิทิตย์ได้

ประกาศเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2231

แต่ต่อมาไม่นานเมื่อสิ้นราชสมัยของผู้ที่ออกกฏหมายทำสัญญานี้ ผู้เชื่อชาวคริสต์และมิชชันนารีก็ต้องถูกปรามปราบอย่างหนักจนแทบจะสูญพันธ์ เพราะการนับถือพระเยซูคริสต์คือการเลิกนับถือผีปู่ ผีญ่า ผีบรรพบุรุธ ซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อของคนไทยมาก เพราะคนไทยสามารถกราบไหว้ได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ต้นไม้ พืชผัก เห็ด ภูเขา แม่น้ำ และสิ่งใดๆ ที่ดูแปลกและพิศดาร คนไทยจำนวนมากไม่สามารถยอมรับประเพณีการนับถือพระเจ้าเดียวได้เลย แต่สำหรับคริสเตียนพระเจ้าแท้มีเพียงองค์เดียวคือพระเยซูผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง ทุกสิ่งเป็นมาจากพระองค์ (ยอห์น บทที่ 1)การเป็นคริสเตียนแท้จะต้องเผชิญกับการข่มเหง การเบียดเบียน การถูกพวกเดียวกันหักหลังและกล่าวหาว่าเป็นพวกอื่น เป็นผู้เชื่อปลอม เป็นฝ่ายอธรรม ข้อกล่าวหาที่ผู้เชื่อพระเจ้าองค์นี้ถูกกล่าวหามากที่สุด คือข้อกล่าวหาที่ว่า เป็นลัทธิเทียมเท็จ ตั้งแต่สมัยพระเยซูเป็นต้นมา คนที่เชื่อถือในพระเยซูคริสต์ที่เป็นผู้เชื่อแท้จะถูกข่มเหง ถูกกีดกัน ถูกลิดรอนสิทธิอันพึงมีพึงได้ แต่สำหรับพวกที่ถือพระเยซูแต่ปากจะไม่ได้รับการข่มเหงอะไรเลย เพราะการถือพระเยซูคริสต์แต่ปากคือการยอมออมชอบกับสังคม วัฒนธรรม ประเพณี จารีตและทำอะไรๆ ที่ "เข้ากันได้กับศาสนาและความเชื่อดั่งเดิมของไทย"

ยอตัวอย่างเช่น การทำบุญร้อยวัน คริสต์ก็มี รำลึกถึงคนตาย การไปสวดมนต์ที่ป่าช้า ชาวพุทธเขาไปหยาดน้ำอุทิศส่วนกุศล ไปถวายทานให้คนตาย คนจีนเขามีเช่งเม้ง คริสต์ก็มีวันอิสเตอร์ไปหาไข่ และสวดอธิษฐาน คนไทยมีพิธี การวางศิลาฤกษ์ หรือพิธีตั้งเสาเอก คริสต์ก็พิธีมีศิลาราก ชาวไทยเขามีขึ้นบ้านใหม่ กินเหล้าสนุกเฮฮา พี่คริสต์ก็มีหมด การจัดงานวันเกิดต่างๆ ของไทย ชาวคริสต์เราก็มีวันคริสต์มาส ซึ่งประเพณีการจัดวันเกิดนี้จะเป็นไฮไลท์ที่สุดของชาวโลกเพราะเป็นเทศกาลที่สนุกที่สุดในรอบปีก็ว่าได้

(ประวัติเชงเม้ง : เริ่มมาจากการที่พระเจ้าฮั่นเกาจู ปราบดาภิเษกและสถาปนาราชวงศ์ฮั่นขึ้น แล้ว เกิดระลึกถึงบุญคุณบิดา มารดาที่เสียชีวิตไปแล้วที่บ้านเกิด จึงเร่งรัดกลับบ้านเกิด แต่ทว่าป้ายชื่อของฮวงซุ้ยแต่ละที่เลือนลางเต็มทน จากสงคราม พระเจ้าฮั่นเกาจูจึงอธิฐานต่อสวรรค์ด้วย การโปรยกระดาษสีขึ้นบนฟ้าแล้วให้ลมพัดปลิวไป ถ้ากระดาษตกที่ฮวงซุ้ยไหน ถือว่าเป็นฮวงซุ้ยของบิดา มารดาพระองค์ และเมื่อดูป้ายชื่อชัด ๆ แล้วก็พบว่าเป็นฮวงซุ้ยของบิดา มารดาพระองค์จริง ประเพณีการทำความสะอาดฮวงซุ้ยและโปรยกระดาษสีบนหลุ่มศพก็เริ่มมาจากตรงนี้เอง -http://th.wikipedia.org/" เชงเม้ง")"

เดี๋ยวนี้มีองค์กรอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น เพื่อรวบรวมคำสอนที่ดีๆ ทั้งหลายของศาสดาและปราชญ์ต่างๆ ของโลกมารวมกันแล้วเขียนเป็นตำราทางศาสนาเล่มใหม่เรียกว่า อินเตอร์เผด สาระสำคัญขององค์กรความเชื่อคือว่าว่า "เราอยู่ร่วมกันได้" เราอยู่ในโลกนี้อย่างมีสันติสุขนะ เราไม่ด่ากันนะ เราไม่ต่อสู้กันนะ ของใครๆ ก็ดีเหมือนกันนะ ตายไปไม่ต้องสนใจนะ เราอยู่ในสนุกในโลกนี้ให้มีความสุข สนุกสนานก็พอ ซึ่งฟังดูแล้วเป็นแนวคิดที่ดูดีมาก แต่เชื่อไหม สิ่งนี้คือสิ่งที่พระัคัมภีร์ได้ทำนายไว้แล้วว่าก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเดินทางกลับมารับผู้เชื่อแท้นั้น สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องเกิดขึ้น

"We can live together in peace" this sounds very nice
"เราอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ฟังดูแล้วเข้าท่ามาก แต่นี่คือ ของปลอมครับ"

พระธรรม 1 ทิโมธี 4.1-5
(1) พระวิญญาณได้ตรัสไว้อย่างชัดแจ้งว่า ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อโดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวงและฟังคำสอนของพวกผีปีศาจ (ไปดูหมอ สักยัณห์ ทำเท่ ว่าเป็นบอดี้อาร์ท)
(2) ซึ่งมาจากการหน้าซื่อใจคดของคนที่โกหก คือคนที่จิตสำนึกเป็นทาสของมาร
(3) เขาห้ามไม่ให้ทำการสมรส ห้ามบริโภคอาหารบางชนิดซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ให้ผู้ที่เชื่อและรู้จักความจริงบริโภคด้วยขอบพระคุณ (พวกชอบกินแต่ผักระวังให้ดีอาจเข้าข่าย)
(4) ด้วยว่าสิ่งสารพัดซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างไว้นั้นเป็นของดี ถ้าแม้บริโภคด้วยขอบพระคุณ ก็ไม่ห้ามเลยสักสิ่งเดียว (สอนให้กินบางอย่างไม่กินบางอย่าง อ้างว่าทำให้บาป ต้องไปเกิดใหม่ใช้กรรม, หรืออ้างว่างดกินเืพื่อ ช่วยอนุรักษ์โลก)
(5) เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของที่ชำระไว้แล้ว โดยพระวจนะของพระเจ้าและคำอธิษฐาน

และอีกตอนหนึ่งคือ "เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก (4)เขาจะเลิกฟังความจริง และจะหันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ"
( 2 ทิโมธี 4.3-4)

อีกตอนหนึ่งคือ "แต่จงเข้าใจข้อนี้ คือว่าในสมัยจะสิ้นยุคนั้นจะเกิดเหตุการณ์กลียุค (2) เพราะมนุษย์จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน เย่อหยิ่ง ยโส ชอบด่าว่า ไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา อกตัญญู ไร้ศีลธรรม (3) ไร้มนุษยธรรม ไม่ให้อภัยกัน ใส่ร้ายกัน ไม่ยับยั้งชั่งใจ ดุร้าย เกลียดชังความดี (4) ทรยศ มุทะลุ หัวสูง รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า (5) ถือศาสนาแต่เปลือกนอก ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ

การที่จะเป็นคริสเตียนนั่นไม่ใช่ง่าย ผมบอกหลายครั้ง และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งเพราะการไปสวรรค์นั้นมันไม่ยากมากก็จริง เพราะการที่จะไปสวรรค์คือการเราต้องรับด้วยปากของตนเองว่า พระเยซูคริสต์คือพระเจ้า และเลิกจากการนับถือกราบไหว้สิ่งใดๆ ไม่ให้มีความสำคัญมากกว่าพระเจ้า และยอมรับการไถ่บาปของพระเยซูก็ถือว่าได้รับวีซ่าให้ไปสวรรค์ได้ แต่การจะรักษาความเชื่อจนถึงวันตายนี้แหละต้องอาศัยความเกี่ยวข้องสัมพันธ์หลายอย่าง ต้องรู้จักโบสถ์ที่ดีที่จะสอนเราให้เป็นคริสเตียนที่เิติบโต สามารถไปปลดปล่อยคนอื่นได้อีก

คริสเตียนทุกคนที่หน้าที่ส่งต่อความเชื่อเพื่อบอกให้คนที่เขายังไม่รู้จักพระเจ้าให้กลับใจใหม่ เพื่อรับการเปลี่ยนแปลง ความเชื่อ ความคิด จิตใจและวิญญาณ สวมตำแหน่งใหม่คือเป็นลูกของพระเจ้า แต่คริสตชนไม่สามารถนำคนให้มาถึงระดับนี้ได้มากนัก เพราะเราต้องยอมรับว่า ศาสนาคือคำสอนเท่านั้น ไม่ใช่บุคคล แต่พระเยซูคริสต์เป็นบุคคล การที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงจริงต้องรู้จักพระเยซูเป็นการส่วนตัวเท่านั้น

แล้วเราจะรู้จักพระเยซูได้อย่างไรล่ะ จะไปหาพระองค์พบได้ที่ไหน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เลือนลางของคริสตจักรจำนวนมากก็ว่าได้ เพราะศาสนาคือองค์กรการปกครอง  แต่พระเยซูคริสต์คือ บุคคล บอกจริงๆ เลยนักการศาสนาจำนวนมากรู้จักแต่คำสอนของพระเยซู รู้จักอะไรๆ เกี่ยวกับพระเยซูเพราะได้เรียนมา แต่จำนวนมากไม่รู้จักฤทธิ์เดชของพระเยซูเป็นการส่วนตัว และนี่แหละคือปัญหาสำคัญ นักการศาสนามุ่งปกป้องหลักข้อเชื่อ และการเก็บสมาชิกให้อยู่ในกรอบของหลักการแห่งข้อเชื่อของคณะนิกายเป็นหลัก

แล้วเราจะเข้ามาสู่ ระบบคริสตจักรแบบคริสตจักรเริ่มแรกได้อย่างไรล่ะ

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ5/28/2554

    *บรรพบุรุษ
    *โปรตุเกส

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณที่แก้ไขนะครับ
    อ่านไปแก้ไปนะครับ

    ตอบลบ

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)