คริสตจักรไทยกับการจัดการเงินถวาย - Church's financial management
เกร็ดประวัติศาสตร์คริสเตียนในประเทศไทย-
คริสตจักรที่เป็นอยู่ในประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ เจนเนอร์เรชั่นที่สี่ รุ่นที่มาเป็นคริสเตียนรุ่นที่หนึ่งเมื่อสี่ร้อยปีก่อน สมัยพระเจ้าธรรมราชา ซึ่งเป็นตอนปลายของยุคอยุธยา คนที่มาเข้ารีตส่วนมากเป็นคนยากคนจน ที่ขาดโอกาสทางสังคมได้รับการช่วยเหลือจากมิชชั่นนารีจึงอาจเข้ามาเข้ารีตด้วยความเกรงอกเกรงใจที่มีฝรั่งมาช่วยเหลือในด้านต่างๆ ของชีวิตในขณะนั้น แต่ผู้เชื่อในรุ่นนั้นมีเพียงไม่กี่สิบคน แต่ก็สูญพันธ์หรือเกือบสูญพันธ์ไปเพราะถูกปราบปรามและทำร้าย ถูกห้ามไม่ให้มีการนับถือ จึงหยุดไปร้อยกว่าปี
พอสมัยพระเจ้าตากการประกาศความเชื่อเรื่องพระเยซูก็กลับรื้อฟื้นกันใหม่ถือว่าเป็นรุ่นที่สอง ในรุ่นที่สามความเชื่อนี้กลับมาได้รับการเปิดกว้างอีกครั้งสมัย กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นเริ่มตั้งแต่ ร.3
ผู้เชื่อพระเยซูรุ่นที่สามแม้ว่าได้รับความสะดวกในการนับถือพระเยซูมากขึ้น แต่ก็เป็นเฉพาะในเขตเมืองใหญ่เท่านั้น เพราะในความเป็นจริงตามชนบทคริสเตียนยังไม่ได้รับความสะดวกในการนับถือ เนื่องจากถูกกฎเกณฑ์ของชุมชนและระบบครอบครัวเป็นตัวกีดกัน คือหากใครเป็นคริสเตียนจะถูกตราหน้าว่าทรยศต่อบรรพบุรุธ เพราะคนไทยในชนบทโดยเฉพาะในภาคอิสานและภาคเหนือคนยังนับถือผีบรรพบุรุธ คือผีปู่ผีย่า คนที่เปลี่ยนมาเป็นศาสนาคริสต์อาจถูกตัดสิทธิในการรับผลประโยชน์จากสิทธิ ความเป็นลูก ในแต่ละปีคนชนบทจะมีวันไหว้ผีบรรพบุรุธ ในระดับจังหวัดมีการไหว้เทพหรือวิญญาณนักรบสมัยโบราณ ที่เป็นผู้มีคุณความดีต่อจังหวัด ในด้านสังคมชนบทในระยะแรกๆ ผู้เชื่อพระเยซูจะถูกกีดกันไม่ให้เข้าถึงระบบสาธารณูปโภค เรื่องบ่อน้ำ เรื่องการฝังศพในสุสาน สวัสดิการหมูบ้าน การระดมแรงงาน บางแห่งมีการเรียกเก็บเงินบำรุงศาสนสถานของหมู่บ้านด้วย ถ้าหากผู้เชื่อพระเยซูไม่ปฎิบัติตามก็จะมีถูกตอบโต้หลายๆ อย่าง
สำหรับศาสนาดั่งเดิมของไทยนั้นแท้จริงไม่เป็นปัญหามากนัก เพราะศาสนาดั่งเดิมของไทยยอมรับการมีพระเจ้าหลายองค์ ในความเป็นจริงของวิถีชีิวิตคนไทย คนไทยสามารถไหว้และกราบนมัสการสิ่งใดได้หลายอย่าง สามารถนับถือสิ่งใดๆ ที่แปลกใหม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นจอมปลวก ต้นกล้วย เห็ด ต้นไม้ ภูเขาแม่น้ำ ถ้าจะรับเอาพระเยซูอีกองค์หนึ่งก็ไม่น่าจะแปลกอะไร แต่ที่น่าตกใจสำหรับคนไทยก็คือ ถ้าเชื่อพระเยซูจริงๆ เขาต้องละทิ้งของเดิมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณปู่ย่า เทพ กุมารทอง นางกวัก ลัก-ยม ผีหมอดู ผีและวิญญาณนานาชนิด จึงทำให้คนที่ได้รู้จักพระเยซูจำนวนมากที่คุ้นเคยกับมีสิ่งศักดิ์สิทธิต่างๆ มากมายหลายองค์ที่คอยช่วยกันอวยพรผู้นับถือ หลายคนจึงใจไม่ได้ บางคนหันกลับไปทางเดิม จึงมีคนตัดสินใจเชื่อพระเยซูไม่มากนักในประเทศไทย เพราะการติดตามพระเยซู ถ้าจะเป็นผู้ติดตามที่เกิดผลตามความคาดหวังจากพระธรรม มัทธิวบทที่ 28 นั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะวิถีชีวิตการเป็นคริสตชนร้อยละ 99 ไปไม่ถึงจุดนั้น นั่นคือการเป็นสาวก คริสตจักรส่วนใหญ่สร้างคนได้แค่เพียงผู้เชื่อที่ต้องคอยประคบประหงบไปจนแก่ตายไปข้าง
ในยุคที่คณะเพรสไบรีเรีี่ยนได้ตั้งรากฐานมั่นคงในประเทศไทย การปกครองและบริหารคริสตจักรอยู่ในมือของฝรั่ง ภายหลังองค์กรมิชชั่นนารีถูกกดทางด้านการเมือง จนต้องทยอยถอนตัวจากการเป็นผู้บริหาร มาเป็นผู้ให้การสนับสนุนเท่านั้น แต่คริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้ายังขาดประสบการณ์ในการบริหารคริสตจักรไม่เข้าใจวิธีการปกครองคริสตจักรเพราะขาดองค์ความรู้ในด้านการบริหารงาน ไม่มีการเตรียมความพร้อม เมื่อมิชชั่นนารีออกไป หลายคริสตจักรจึงเป็นสาระวันเตี้ยลงๆ บ้างก็อยู่เพื่อรักษาหน้าตา แต่ภายใตกลวงโบ๋ ถ้ามีงานทีก็จะระดมกันมาช่วยนั่งให้โบสถ์มันหนาตา จะได้ไม่อายแขกที่แวะมาเยี่ยม
ผู้เชื่อหลายๆ คนที่เป็นเพียงผู้เชื่อระดับต้นแต่มีหัวหงอกที่บนศรีษะมากจึงไ้ด้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองคริสตจักร บางคนก็มียศ มีตำแหน่ง มีการงานที่ได้รับเงินเดือนสูงแต่ความเชื่อและชีวิตฝ่ายวิญญาณขึ้นๆ ลงๆ แต่ได้รับโอกาสเข้ามาบริหารคริสตจักร เนื่องจากปัญหาขาดบุคลกากร และหาคนมีคุณภาพไม่ค่อยได้ ในช่วงแรก คริสตชนมีความเข้มแข็งดี คริสตจักรก็พอจะไปได้ดี จึงทำให้คริสเตียนเกิดลูกเกิดหลานมากขึ้น เกิดการขยายตัวของคริสตจักรภายใน คริสตจักรมีความเข้มแข็งขึ้นบ้าง พอจะสามารถยืนได้
เนื่องจากบรรพบุรุธชาวคริสต์ได้รับการอวยพระพรจึงทำให้คริสตชนรุ่นลูกมีฐานะดี มีการศึกษาดีขึ้นมาก ทำให้เกิดคริสเตียนรุ่นที่สี่คือยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นคริสเตียนที่สุขสบายไม่เคยรับรู้ถึงความลำบากในการเป็นคริสเตียนมากนัก ไม่่เคยรับรู้ถึงความลำบากในการดำเนินชีวิตคริสเตียน เมื่อคริสเตียนออมชอบกับวัฒนธรรมของชาวโลก คริสตจักรก็เริ่มหยุดนิ่งอยู่กับที่ เพราะการมีสมาชิกที่มานมัสการประจำทุกวันอาทิตย์ในระดับ 50-300 คน หลายคริสตจักรจัดการประกาศปีละเพียง 8 ชั่วโมง คือ ตอนค่ำของคืนวันที่ 24 ธันวาคม และตอนเช้าของวันคริสต์มาส 25 ธันวาคมของทุกปีเท่านั้น การประกาศก็ไม่ได้คนเพิ่ม แต่เป็นการตีึฆ้องร้องปล่าว ว่าวันนี้วันคริสต์มาสนะ พระเยซูเกิดวันนี้นะเท่านั้น เป็นการเทกระจาด ให้งบมันหมดไปบ้างเท่านั้น แต่ไม่ได้ผลเท่าที่คาดหวังมากนัก ได้คนเมื่อรับเชื่อก็จะมาต่อเนื่องอีก 2-3 อาทิตย์ ไม่นานก็หายหน้าไป
จากความเดิมก็คือ คริสเตียนในยุคที่ 1 ถูกปราบจนหมด ยุคที่สองเป็นยุคพระเจ้าตาก บ้านเมืองไทยมีการศึกสงครามเพิ่งกอบกู้เอกราชจากการรุกรานของพม่าใหม่ๆ จึงไม่ค่อยมีการแพร่พันธ์ความเชื่อได้มากนัก พอถึงรัชกาลที่ 3 เริ่มมีคณะเป็นมิชชันนารีนิกายโปรเตสแตนต์ชุดแรกที่เข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนาที่กรุงเทพฯใน ค.ศ.1828 ในรัชกาลที่สี่ ได้มีราชโองการให้เปิดเสรีในการนับถือศาสนามากขึ้น ถือเป็นรุ่นที่สาม สำหรับรุ่นปัจจุบันอาจถือว่าเป็นรุ่นชั่วอายุคนที่สี่ก็ว่าได้
คริสเตียนรุ่นที่สี่ ไม่ได้รับการสัมผัสกับการข่มเหงทางศาสนาอีกแล้ว เพราะเมืองไทยไฉไลและเปิดกว้างสำหรับทุกๆ ศาสนา แต่น่าเสียดายเนื่องจากศาสนาคริสต์เป็นศาสนาอันดับหนึ่งของโลก มีผู้เชื่อนับถือประมาณ สองพันล้านคน เมื่อมีคนนับถือมาก ผลประโยชน์ทางศาสนาก็มีมาก เมื่อผลประโยชน์มีมาก ความขัดแย้งก็มีมาก นักบวชก็คือมนุษย์ขี้เหม็นเหมือนกัน เมื่อเป็นมนุษย์ก็ย่อมมีความโลภ ความอยากก็ยังมีเหมือนเดิม จึงเกิดการโกง การแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว จึงเป็นสาเหตุสำคัญของการแตกแยกขององค์กรหลายแห่ง คริสตจักรจึงต้องมีลัทธิ คณะ และกลุ่ม พวก เกิดองค์กรอิสระมากมายจนนับได้หลายสิบอย่างในปัจจุบัน
วัตถุประสงค์สำคัญของคริสตจักร นอกจากจะดำรงไว้ซึ่งความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรตัวเองแล้ว ยังต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้จากผู้เชื่อด้วย ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะรักษาผลประโยชน์ไว้ คือการสร้างมุ้งครอบอาณาจักรของตนเอง ดังนั้นเราจึงได้รับข่าวสารอยู่เนื่องๆ ว่าบางกลุ่มคริสตจักร หรือบางคณะจะมีประกาศิตว่า หากคริสตจักรใดจะจัดการฟื้นฟู การประชุมพิเิศษอะไร คริสตจักรควรจะเชิญนักบวชหรือนักเทศนาที่อยู่ในสังกัดของเราก่อน (ก็หมายความว่าถ้าของเราไม่มีค่อยเชิญคนอื่น แล้วคนของเราก็มีอยู่เยอะนะ- เอาของเรานี้แหละห่วยช่างมัน)
เหตุผลที่พวกเขาใช้ในการอ้างในการปกป้องผลประโยชน์ของคณะก็คือ เกรงว่าจะมีการสอนผิด เกรงว่าจะมีพระคริสต์ปลอม ทำให้พี่น้องสับสนและเกิดความแตกแยกในคริสตจักร แท้ที่จริงเบื้องหลังของข้ออ้างนี้ คือการปกป้องอาณาจักรคณะของตนเองเท่านั้น อาณาจักรเล็กๆ ที่คล้ายๆ กับแอ่งในทุ่งนาที่มีกบอยู่หลายตัว แต่ที่กบที่อยู่อาศัยในแอ่งน้ำนี้นึกว่าใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว จึงไม่คิดการณ์ที่ไกลกว่านี้อีก การทำเช่นเป็นการผดุงไว้ซึ่งผลประโยชน์ซึ่งนักบวชในระดับราบและระดับบนจะได้รับจากการนี้ประการหนึ่งคือ เงินนั้นเอง
เป็นการปกป้องที่ได้ผลชงัดแต่ผลกระทบก็คือองค์ความรู้ทางศาสนศาสตร์ถูกจำกัดไว้เฉพาะกลุ่ม ไม่มีการเปิดเผยใหม่ ไม่มีวิธีการใหม่ๆ การเคลื่อนไหวแนวปฏิรูปใดๆ ไม่สามารถเจาะทลวงกำแพงแห่งองค์กรที่เราเรียกกันว่า คณะ (Denominationism) ได้เลย สมาชิกรุ่นที่สี่เริ่มเข้าสู่วัยชรา บ้างก็ไปพบพระเจ้าแล้ว แต่รุ่นลูกๆ กลับเหินห่างไปจากแนวทางของคริสตชน ถูกเหยื่อล่อของมารจนการดำเนินชีวิตของคริสตชนรุ่นใหม่ไม่ผิดเพี้ยนไปจากคนที่ไม่รู้จักพระเยซูเลย ทั้งการกิน การดื่ม การบริโภค การเสพสิ่งบันเทิง ชีวิตครอบครัว ไลฝสไตล์ และพวกที่กลายเป็นทาสของสุรา สื่อลามก วิญญาณอื่นๆ ก็มีอีกมาก
ผลของการเป็นทาสของวิญญาณอื่นนี้เห็นได้ชัดในชุมนุมชาวคริสต์ปัจจุบัน สังเกตได้ชัดว่ามีคนป่วยคนใข้ คนพิการ มีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยในชุมชนของชาวคริสต์ ถ้าหากประเมินวิเคราะห์ให้ดี มันคือผลแห่ง ความบาปและคำแช่งสาปนั่นเอง เพราะสิ่งที่คริสต์ชนไม่รู้คือ การที่เขาไปถือศิลมหาสนิททุกๆ ต้นเดือน แต่พวกเขาไม่ได้สารภาพบาปอย่างแท้จริง เขาเพียงสารภาพบาปเป็นเพียงสร้างความชอบธรรมในการเข้าร่วมพิธีศีลเท่านั้น หารู้ไม่ว่าการสารภาพแล้วไม่ละทิ้งความบาป ไม่กลับใจ แต่บังอาจดื่มน้ำองุ่น และขนมปังที่เล็งถึงพระกายของพระเยซู จึงทำให้หลายๆ คนเกิดโรคภัย ( 1โครินธ์ 11: 27-30)
(27) เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดกินขนมปัง หรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่สมควร ผู้นั้นก็ทำผิดต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า
(28) ขอให้ทุกคนพิจารณาตนเอง แล้วจึงกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้
(29) เพราะว่าคนที่กินและดื่มโดยมิได้เล็งเห็นพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็กินและดื่มเป็นเหตุให้ตนเองถูกพิพากษาโทษ
(30) ด้วยเหตุนี้พวกท่านหลายคนจึงอ่อนกำลังและป่วยไข้ และบ้างก็ล่วงหลับไป
(31) แต่ถ้าเราพิจารณาตัวเราเอง เราคงไม่ต้องถูกทำโทษ
ด้วยเหตุเพราะการยกโทษจะเกิดขึ้นเมื่อมีการสารภาพบาปที่ไม่เจตนา และตั้งใจที่จะละทิ้งบาปเท่านั้นจึงจะมีการอภัยโทษทางวิญญาณอย่างแท้จริง แต่ในทางตรงข้ามผลเสียมีค่าเท่ากับชีวิต (ฮีบรู 10: 26)
ความเห็นที่แตกต่าง มุมมองที่อาจไม่มีใครคาดคิด
สิ่งที่โบสถ์คริสต์ไม่เน้นในการสอนคือ พิธีและวันสำคัญทางศาสนายิว ธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ที่คริสเตียนยิวปฎิบัต สิ่งที่โบสถ์คริสต์ใช้อ้างในการเรียกร้องให้ผู้เชื่อถวายทรัพย์ให้แก่คริสตจักรคือ "การถวายสิบลด"
ได้แก่การถวายรายได้สิบเปอร์เซนต์ของรายได้สุทธิให้แก่คริสตจักร แต่ทั้งนี้ต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจของผู้เชื่อเอง โดยการสอนให้รับรู้ถึงความจำเป็น พระพรและผลประโยชน์และการตอบแทนที่จะได้รับจากพระเจ้า และเป็นการแสดงความขอบคุณสำหรับการคุ้มครองและจัดสรรทุกสิ่งที่จำเป็นของพระเจ้าต่อชีวิตผู้เชื่อ
อย่างไรก็ตามคริสตจักรทั่วไปไม่ได้จัดสรรรายได้ที่เกิดจากการถวายเงินสิบเปอร์เซนต์ให้แก่บุคลากรที่ทำงานรับใช้คริสตจักรอย่างทั่วถึง คนที่ได้รับผลประโยชน์เป็นเพียงคนไม่กี่คนซึ่งไม่ได้เป็นการจัดสรรตามที่พระคัมภีร์ได้สอนไว้อย่างแท้จริง มองไปคล้ายๆ กับเป็นการดัดแปลงเอาแต่เฉพาะผลประโยชน์เท่านั้น
ในการถวายสิบลดในคำสอนของหนังสือเพนเตตุส (พระคัมภีร์ห้าเล่มแรกของคริสเตียน)
จากหนังสือ เฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ 26 ข้อที่ 11-14 สิ่งถวายสามารถนำมากินเลี้ยงได้
"(11) ท่านจงปีติร่าเริงด้วยของดีทุกสิ่งซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน แก่ครอบครัวของท่าน แก่ตัวท่านเองและคนเลวี (ความหมายในปัจจุบันคนที่ทำหน้าที่รับใช้ในหน้าทีต่างๆ ของคริสตจักร) และคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในหมู่พวกท่าน (คนที่ไร้ที่อยู่อาศัย และกำลังตกทุกข์)
(12) “เมื่อท่านถวายทศางค์จากผลไม้ของท่านเสร็จแล้ว ในปีที่สามอันเป็นปีทศางค์ คือให้ทศางค์นั้นแก่คนเลวีและคนต่างด้าว ลูกกำพร้าและแม่ม่าย เพื่อเขาจะได้รับประทานให้อิ่มหนำ ภายในเมืองของท่าน
(13) แล้วท่านจงทูลพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านว่า 'ข้าพระองค์ยกส่วนศักดิ์สิทธิ์ออกจากบ้านของข้าพระองค์แล้ว และยิ่งกว่านั้น ข้าพระองค์ได้ให้แก่คนเลวีและคนต่างด้าว ลูกกำพร้าและแม่ม่าย ตามพระบัญญัติซึ่งพระองค์ทรงบัญชาไว้แก่ข้าพระองค์ทุก ประการ ข้าพระองค์มิได้ละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ในข้อใดเลย และข้าพระองค์มิได้ลืมเลย
อีกตอนหนึ่งจากพระธรรม เลวีนิติบทที่ 12 ข้อที่ 17
(17) ส่วนทศางค์ของพืชหรือเหล้าองุ่น หรือน้ำมันหรือลูกคอกรุ่นแรกจากฝูงวัวหรือฝูงแพะแกะ หรือของถวายแก้บนตามที่ท่านบนไว้ หรือของถวายตามใจสมัคร หรือของที่ท่านนำมายื่นถวาย ท่านทั้งหลายอย่ารับประทานในเมืองของท่าน
(18) แต่ว่าท่านจงรับประทานของเหล่านี้ ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ในสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้ ทั้งตัวท่านและบุตรชายบุตรหญิงของท่าน ทาสชายหญิงของท่านและคนเลวีผู้อยู่ในเมืองของท่าน และท่านจงปีติร่าเริงต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ในบรรดากิจการซึ่งท่านได้กระทำนั้น
จะเห็นว่าการถวานสิบลดนั้นมีข้อพระคัมภีร์อ้างถึงมากมาย แต่คริสตจักรมักจะอ้างแต่มาลาคี บทที่ 3 ข้อ 8-10 เท่านั้น คือเอาไปเก็บไว้ในคริสตจักร แต่ไม่ได้เอามาใช้อย่างถูกต้อง
(8) จะฉ้อพระเจ้าหรือแต่เจ้าทั้งหลายได้ฉ้อเรา แต่เจ้ากล่าวว่า 'เราทั้งหลายฉ้อพระเจ้าอย่างไร' ก็ฉ้อในเรื่องทศางค์ (สิบเปอร์เซนต์ของรายได้) และเครื่องบูชานั่นซี
(9) เจ้าทั้งหลายต้องถูกสาปแช่งด้วยคำสาปแช่ง เพราะเจ้าทั้งหลายทั้งชาติฉ้อเรา
(10) พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า จงนำทศางค์ เต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่
ข้อสังเกต และคำถาม
- หากสมาชิกอยากมีเงินเพียงพอหรือ จงถวายสิบลดซิ ผู้นำจำนวนมากไม่สนใจสอนหรือส่งเสริมเกี่ยวกับด้านเศรษฐศาสตร์ แต่เน้นให้สมาชิกปฎิบัติ
- การถวายสิบลดทำไมไม่มีการหยุดบ้าง เพราะถ้ายึดตาม พระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเดิม ยังมีการหยุดบ้าง (หยุดส่งไปส่วนกลาง หรือให้คริสตจักร) เพื่อเอาไปให้คนยากคนจน เด็กกำพร้าและหญิงหม้าย หรืออาจเป็นเพราะผมมีประสบการณ์น้อย ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้ยินอาจารย์ท่านไหนสอนให้เอาไปให้คนพวกด้วยโอกาสเหล่้านี้เลย ใครตอบได้บ้าง
- การจัดสรรเงินรายได้ของคริสตจักรยุติธรรมหรือเปล่า ค่าตอบแทนให้เฉพาะผู้ทำการเพียงคนเดียวเท่านั้นหรือ ความฉลาดในการจัดสรรงบประมาณก็แตกต่างกันไปตามกึ๋นและ วิสัยทัศน์ของผู้นำ ตัวอย่างเช่น คริสตจักร แห่งหนึ่งมีสมาชิกในคริสตจักรประมาณ 80 คนจ้างครูสอนรวีวารศึกษาเดือนละ 250 บาท แต่อีกแห่งหนึ่งมีสมาชิกประมาณ 50 คน เป็นชาวบ้านธรรมดาไม่มีรายได้สูง แต่จ้างครูสอนรวีคนละ 500 ต่อหนึ่งอาทิตย์ ตกเดือนละ 2000 บาท ทั้งสองคริสตจักรมีจำนวนเด็กๆ พอๆ กัน ทำไมคริสตจักรแห่งที่สองถึงทำได้ดีกว่ามาก การให้ความสำคัญกับการปลูกฝังความเชื่อ และวางพื้นฐานชีวิตคริสเตียนตั้งแต่ปฐมวัย มันน่าจะส่อให้เห็นถึงหัวคิดในการวางแผนพัฒนาคนของคริสตจักรใดๆ ด้วย
ผมเคยถามในการสัมมนาผู้รับใช้ฯ ว่า นี่สมมุตินะ ถ้าหาก ผู้อภิบาลซึ่งทำหน้าที่อยู่คนเดียวในคริสตจักรนี้เกิดตายกระทันหัน ท่านได้สร้างผู้สืบทอดเจตนารมณ์ ความเชื่อ ของประทานฝ่ายวิญญาณ และวิญญาณแห่งการปรนนิบัติที่มีอยู่ในท่านไว้หรือยัง ที่ประชุมแห่งนั้นนิ่งเงียบและไม่สามารถตอบได้
- เงินจากผลถวายที่สมาชิกถวายเข้ามาคนละ 10 เปอร์เซนต์ของรายได้ของแต่ละคน คริสตจักรแบ่งผลประโยชน์หรือรายได้ ให้กับผู้ทำงานในโบสถ์อย่างทั่วถึงหรือไม่ หรือมอบเพียงบางส่วนให้กับ ผู้อภิบาลเพียงประเภทเดียวหรือคนเดียวเท่านั้นหรือ การที่จัดนมัสการพระเจ้าได้ ต้องอาศัยองค์ประกอบต่างๆ มากมาย การเิพิ่มพูนสมาชิก กระบวนการสรรหา และพัฒนามวลสมาชิกผู้เชื่อต้องอาศัยบุคคลากรหลายคนมาก ทำไมคริสตจักรจัดสรรงบประมาณสำหรับให้ผู้นำเพียงคนเดียว และให้เพียงน้อยนิดเท่านั้น เลี้่ยงดูผู้อภิบาลเพื่อไม่ให้ตาย และไม่ให้รวย น่าเห็นใจผู้อภิบาลที่มีลูกวัยเรียน ท่านต้องรับภาระการศึกษาของลูกเอง ทั้งๆ ที่คริสตจักรก็มีเงินเป็นถุงเป็นถัง แต่ไม่ดูแลปล่อยให้อดๆ อยากๆ ของใช้อะไรก็เอาของมือสองมาถวายให้ใช้ น่าเห็นใจจริงๆ บางครั้งการเสนอขึ้นเงินเดือนให้คนทำงานก็เป็นตอนที่ผู้รับใช้ได้ยื่นใบลาออกให้แก่คริสตจักรเรียบร้อยแล้ว
- - การทำงานในคริสตจักรมีเพียงนักเทศนาเท่านั้นหรือที่ทำงานรับใช้ที่สมควรได้รับค่าตอบแทน พันธกรในคริสตจักรมีเพียงตำแหน่งศิษยาภิบาลคนเดียวเท่านั้นหรือ ในวงดนตรีคณะหนึ่ง ถ้าหากแบ่งรายได้ให้กับนักร้องหรือหัวหน้าวงเท่านั้น ใครจะเป็นนักดนตรี ใครจะตั้งเครื่องเสียง ใครจะทำเวที ใครจะไปประชาสัมพันธ์ ใครจะเป็นฝ่ายต้อนรับ ใครจะขนเครื่องเสียง และหน้าที่อื่นๆ ที่สำคัญมีการขวัญกำลังใจอย่างไร
- มีสมาชิกครอบครัวหนึ่งถวายสิบลดเดือนละ 7000 บาททุกเดือนเป็นเวลาประมาณ 10 ปี แต่ต่อมาวันหนึ่งสมาชิกคนนี้เกิดเหตุไม่คาดฝัน สูญเสียรายได้และตกงาน ไม่สามารถช่วยตนเองได้ ถ้าไปขอความช่วยเหลือจากคริสตจักร ท่านคิดว่าจะได้รับกา่รช่วยเหลือหรือไม่ (เขาถวายทรัพย์อย่างสัตย์ซื่อเป็นไม่รวมถวายพิเศษอื่นๆ อีกคิดเป็นเงินประมาณ 840.000 บาท)
- ต่อมาหากสมาชิกคนนี้เริ่มเติบโตขึ้นในความเชื่อ และอยากจะไปตั้งคริสตจักรเพิ่มขึ้นเพราะเขาได้ไปเรียนพระคัมภีร์เพิ่มเติม อยากจะไปตั้งคริสตจักร และจะขอสมาชิกบางส่วนออกไปช่วยกันสร้างคริสตจักรแห่งใหม่ ท่านคิดว่าคริสตจักรแม่จะคิดอย่างไร ผมคิดว่าพวกผู้ดูแลหรือแก่วัดทั้งหลายจะกล่าวหาว่า สมาชิกคนนี้สร้างความแตกแยก นอกจากจะกล่าวหาว่าสร้างความแตกแยกแล้วยังจะไม่แบ่งอะไรให้ไปเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เงินถวายที่เขาถวายไปเป็นเงินหลายแสน เป็นล้านก็จะไม่สามารถจัดสรรเพื่อช่วยสร้างคริสตจักรใหม่แต่อย่างใด นี่คือความใจแคบของคริสเตียนบางพวก และสิ่งนี้เป็นความจริงที่เกิดขึ้นทั่วไป
- การที่คริสตจักรเก็บเงินถวายไว้ไม่นำมาจัดซื้ออาหาร ไม่นำมาจัดสรรให้ถูกต้องทำให้เกิดความเสื่อมต่อความศรัทธาของสมาชิกหรือไม่ เพราะเห็นว่าบางคริสตจักรจะเรี้ยไรทุกครั้งที่มีการประชุมนมัสการ แต่หากมีกิจกรรมใดๆ ของคริสตจักร ของกลุ่มต่างๆ ก็จะเรี้ยไรใหม่ทุกๆ ครั้ง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น การทำเช่นนี้เป็นการเก็บกินเศษเงิน และอาจเป็นการสร้างความรำคาญให้กับผู้เชื่อใหม่อย่างมาก และดูเหมือนว่าคริสต์กับศาสนาอื่น มันก็นักเรี้ยไรเหมือนกัน ไม่แตกต่าง คนที่ถวายก็ไม่เต็มใจด้วยจึงไม่ได้รับพรใดๆ
- คริสตจักรอ้างว่าเราอยู่ในยุคพระคุณไม่จำเป็นต้องทำตามบทบัญญัติของพระคัมภีร์เดิม แต่ทำไมจึงเน้นแต่เรื่องการถวายเงินสิบเปอร์เซนต์เท่านั้น ไม่น่าแปลกเพราะมันเป็นผลประโยชน์ใช่หรือไม่
- คริสตจักรมีเงินเป็นถุงเป็นถัง บางคริสตจักรมีรายได้อาทิตย์ละหลายหมื่นบาททำไมจึงจ้างเฉพาะคนทำงานไม่กี่คน จ้างอาจารย์เพียงไม่กี่พันบาท อย่างเก่งก็แค่หมื่นต้นๆ มันเพียงพอแล้วหรือ นักดนตรีมาซ้อมก็ไม่ได้ิกินข้าว เสื้อผ้าก็ต้องตัดเอง ครูสอนเด็กอนุบาลก็ไม่ได้รับการดูแลเท่าที่น่าจะเป็น และเหมาะสมกับความทุ่มเท ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น การประชุมเล็กประชุมน้อย การนมัสการในแต่ละช่วง มุ่งเก็บเรี้ยไรอยู่ตลอด จะทำกิจกรรมอะไรเรี้ยไรตลอดไม่ยอมนำเงินที่พี่น้องถวายมากินมาใช้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมเลย แบบนี้มันเข้าท่าดีอยู่หรือ
- คริสตจักรที่ร่ำรวย มีการประกาศความรอดแก่คนทั่วไปน้อยมากถึงไม่มีเลย ไม่มีการจ้างผู้ประกาศ ไม่มีนักการศาสนาเพียงพอในการดูแลผู้เชื่อ ไม่มีระบบการดูแลช่วยเหลือผู้ยากไร้ ผู้ตกงาน ผู้ทำงานด้านอื่นๆ ไม่ได้รับการดูแล
นี่คือสิ่งที่อาจจะมีคนเคยคิดแต่ไม่กล้าที่เขียนออกมา แต่สิ่งนี้เราเขียนและชี้ให้ตรงจุด อาจจะโดนแสกหน้าผู้นำหัวโบราณ หรือคนที่คิดไม่ถึงก็ขออภัยมา ณ ที่นี้
หากท่านพบกับความจริงเช่นนี้ ท่านยังอยากจะถวายเงินเข้าไปมากๆ ให้กับคริสตจักรทีุ่ม่งสร้างอาณาจักรของตนเองอีกหรือ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)