My pastor does not know "Anointing" น่าเสียดาย อาจารย์ยังไม่รู้จักการเจิม


วันนี้ได้นั่งคุยกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งผมของเรียกเขาว่า น้องชาลี น้องเขามาคุยกับผมเรื่องปัญหาที่เขาพบในโบสถ์ของเขา เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากนะผมคิดว่า เพราะน้องเขาคุยกับผมเรื่อง อาจารย์ที่โบสถ์ของผมไม่รู้จักการเจิม...สำหรับใครที่ยังใหม่ยังไม่ค่อยรู้จักการเจิมก็อย่าน้อยใจ คราวต่อไปจะเล่าให้ละเอียดเลยครับ

ผมมักจะถามซอกแซกเกี่ยวกับพฤติกรรมของคริสเตียน และอาจารย์ทางศาสนาคริสต์ที่ชอบทำตัวเหนือโลก พูดสอนคนทั้งโบสถ์และบางคนก็ไปถึงระดับภาค ระดับจังหวัด บางคนไปโกอินเตอร์ แต่คริสตจักรของตนเองไม่ค่อยเท่าไหร่ สมาชิกหย่อนยานและลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากแก่ตายบ้างก็ย้ายหนีไป เพราะเซ้งกับความจืดชืดและน่าเบื่อหน่ายหลายๆ อย่าง

ผมถามชาลีว่า "เป็นไงบ้างชาลี ได้ทราบว่า คริสตจักรที่ตัวเองเป็นสมาชิกตั้งแต่เกิดมานี่ ไม่เห็นมาร่วมกิจกรรมอะไรเลยกับระดับเขตพื้นที่เลยนะ "

ชาลีตอบว่า " ไม่หรอกครับ"
" อาจารย์ของผมไม่ค่อยว่างครับ" " เพราะอาจารย์ทำหน้าที่หลายๆ อย่างคนเดียวหมดเลยครับ"
"อาจารย์ไม่ได้ตั้งกลุ่มเยาวชนคริสเตียนในโบสถ์ของเราเลย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร"
"ไม่มีการรวมกลุ่มไม่มีการสอนเยาวชน ปล่อยปละ ทิ้งๆ ขว้างๆ พวกเราแล้วครับ"

" อ้าว แล้วคริสตจักรจะพัฒนาไปอย่างไรถ้าเยาวชนชาวคริสต์ไม่เข้มแข็ง?" ผมถามต่อ

ชาลีตอบว่า " ผมเคยถามอาจารย์ครั้งหนึ่ง อาจารย์เขาตอบว่า ไม่อยากให้ไปร่วมกับที่ไหนเพราะกลัวว่าเด็กจะไปรู้จักกันและมีแฟน เดี๋ยวจะมีเรื่องชู้สาว บางคนอาจจะได้ผัวไว"

" อึม..." ผมตลึงกับคำตอบนี้ นี่มันจริงหรือนี่ อ้อ.. อาจารย์ของผมเขาเป็นสาวโสดครับ แต่ทำไมถึงกีดกันผู้ชายก็ไม่รู้"

ผมคิดในใจว่า " อึม ... เราคิดว่าอาจารย์ท่านนี้คงจะเป็นคนที่เคยมีบาดแผลทางใจกับผู้ชายมาก่อนนะ อาจจะเคยผิดหวังกับผู้ชายไม่ดีบางคน แล้วคิดว่าผู้ชายในโลกนี้ นอกจากพ่อตัวเอง ผู้ชายคงจะเลวไปหมดทั้งโลก จึงไม่อยากให้เด็กที่เริ่มโตเป็นสาวได้รู้จักผู้ชาย เดี๋ยวกลัวว่าเด็กจะมีแฟน จึงไม่ให้ไปไหน ไม่ให้มีความสัมพันธ์อะไรกับใคร เออ...แต่มันแปลกดีนะ"

ในคริสตจักรที่ชาลีอยู่นี้มีเด็กเยาวชนอายุตั้งแต่ 4-5 ขวบ ไปจนถึง 17-18 ปี ตั้งเกือบยี่สิบคน และอาจารย์ยังมีเด็กอยู่ด้วยใกล้ๆ อีกหลายคน แล้วทำไมอาจารย์เขาถึงไม่ตั้งกลุ่มเยาวชนให้มันเป็นรูปเป็นร่าง แล้วพาพวกเขาไปหาประสบการณ์ ไปรู้จักกับพี่น้องในพื้นที่ใกล้ๆ กัน และจัดตั้งคณะเยาวชนอย่างเป็นทางการเหมือนกับโบสถ์อื่นๆ เขาทำกันล่ะ น่าแปลกจริงๆ" แล้วคริสตจักรแบบนี้มันจะไปไหนกันแน่เนี้ยะ"

..................................................................................


มีอยู่ครั้งหนึ่งที่คริสตจักรแห่งหนึ่งมีคณะเยาวชนจากคริสตจักรอื่นๆ มาเยี่ยมและมานมัสการพระเจ้าร่วมกัน หลังจากการเทศนาของอาจารย์ผู้ทำหน้าที่เทศนาสั่งสอน อาจารย์ได้เชิญชวนให้เยาวชนที่ต้องการรับการอธิษฐานอวยพรจากผู้รับใช้ของพระเจ้า ให้ออกมายืนเข้าแถวเพื่อรับการอธิษฐานวางมือ ต่อมามีเด็กหลายคนออกมารับการอธิษฐานวางมือ มีอาจารย์สตรีท่านหนึ่งได้ออกมาวางมือให้กับเยาวชนที่ต้องการรับการ
อธิษฐาน ปรากฎว่ามีเยาวชนและเด็กๆ หลายคนเมื่อรับการอธิษฐาน พวกเขาล้มลงไปกับพื้นนอนแน่นิ่งเหมือนหมดสติ

อาจารย์ผู้ทำหน้าที่ศิษยาภิบาลท่านหนึ่งได้ถามว่า...
"เอะ นี่เด็กเป็นอะไรไป เป็นลมหรือเปล่า เราเอารถไปส่งโรงพยาบาลดีไหม" "เด็กไม่สบาย ผีเข้าหรือเปล่า" ....

สิ่งที่ชาลีเล่าให้ผมฟังเป็นเรื่องที่น่าขบขันมากสำหรับ นักการศาสนาของคริสตจักรประเภทนี้ คือเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการเจิมของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้เรียนรู้อะไรมากเกี่ยวกับการเจิม จากคำสอนในวิทยาลัยศาสนศาสตร์ชื่อดังระดับประเทศ ระดับโลก พวกเขารู้แต่เพียงคำว่า "เจิมๆๆ" แต่ไม่รู้ว่า "การเจิมคืออะไร?"
"การเจิมมีประโยชน์อะไร "
"หลังจากการเจิมแล้วชีวิตจะเป็นอย่างไร?" และ "ทำไมต้องเจิม?

ผมคิดว่าพวกที่ไม่สอนเรื่องการเจิม หลีกเลี่ยงการเจิม ห้ามคนมาเจิม ไม่ไปร่วมการเจิม และต่อต้านการเจิมเป็นผู้เชื่อพระเจ้าที่ไม่รู้ว่าจะเอาไปไว้ยุคไหน เพราะตั้งแต่สมัยโบราณก็มีมานานแล้ว สมัยใหม่นี้ก็มี แต่พวกเขาเป็นประเภทไหนกันแน่ ผมสงสัยจริงๆ ผมยังไม่สามารถจัดหมวดหมู่ที่เหมาะสมกับสภาพการเรียนรู้และประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณของพวกเขาได้ จริงๆ แล้วพวกเขาอาจจะยังเป็นเบบี้เกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าอยู่ก็ได้นะผมคิดว่าอย่างนั้น

เรื่องการเิจิมนี้บางคนอาจจะคิดว่ามันไม่มีในศาสนาคริสต์แล้ว มันหมดไปแล้ว แต่มันมีพระคัมภีร์ เนื่องจากศาสนาได้รับการถ่ายทอดมาหลายพันปี ผู้รับคำสอนตีความหมายพระคัมภีร์ฉบับคิงเจมส์ไปคนละแนว เนื่องจากพระคัมภีร์ฉบับนี้ใช้ภาษาที่สูงมาก เนื่องจากกษัตริย์เป็นผู้สั่งให้ทำการรวบรวม และถือว่าเป็นฉบับที่น่าเชื่อถือมากที่สุดฉบับหนึ่งของโลก แต่คริสเตียนไปอ่านแล้วอาจแปลความหมายไปคนละทางทำให้คริสเตียนแตกก๊กกันไปเยอะมาก เท่าที่ผมทราบต้นฉบับจริงๆ คนเขียนต้นฉบับพระคัมภีร์เขาใช้สำนวนภาษาง่ายๆ แบบที่ชาวบ้านหรือชาวประมงที่มีการศึกษาทางด้านภาษาศาสตร์ไม่สูงนักในสมัยนั้นในการเขียน แต่คนรวบรวบปรับปรุงเป็นภาษาอื่นดันใช้ศัพท์ที่อยู่ในระดับการใช้ภาษาและไวยากรณ์ที่สูงเหมาะสำหรับ คนระดับการศึกษาสูงๆ อ่าน จึงทำให้เกิดความสับสนขึ้นบ้างในการแปลความหมาย อันนี้เป็นอีกแง่คิดที่ผมคิดว่าเป็นไปได้

ผู้รับการสืบทอดศาสนาบางคณะได้พยายามเสกสรรค์ปั้นแต่งให้พิธีการนมัสการพระเจ้าเป็นเหมือนกับการเข้าเฝ้าพระราชาในสมัยโบราณ คือผู้เข้าร่วมพิธี ตั้งแต่พิธีกร และคนสอนต้องแต่งตัวย้อนยุค เรียบร้อย มากๆ บ้างก็ใสชุมคลุม ลายเหมือนตอนรับปริญญา คนร่วมพิธีต้องพิน้อมพิเทา ต้องสำรวม จะโดด จะเต้น จะร้องเพลงเสียงดังก็ไม่ได้ ทำแบบนี้เป็นเวลานานๆ เป็นเวลาเป็นร้อยๆ ปี มันจึงกลายเป็นประเพณีอย่างหนึ่งที่สืบทอดกันมา อาจเป็นสาเหตุทำให้คนที่มาโบสถ์จำนวนหนึ่งหรือคนหนุ่มๆ ที่สมาธิสั้น ไม่สามารถเข้าใจพิธีกรรมนี้ ยิ่งนานวันยิ่งห่างไกลจากคำสอนที่เป็นต้นฉบับของคริสเตียนยุคเริ่มแรกไปมาก แต่ใครจะว่าอย่างไรมันก็เป็นสิทธิของใครของมันตามระบอบประชาธิปไตย
............................................................

อีกครั้งหนึ่งมีคนล้มหงายลงไปเมื่อมีมิชชั่นนารีฝรั่งคนหนึ่งไปเทศนาที่โบสถ์คริสต์แห่งหนึ่ง อาจารย์ท่านนี้คงเข้าใจว่าตัวเองไม่มีการเจิม แต่วันนั้นปรากฎว่า มีพี่น้องที่ออกมารับการอธิฐานอวยพรเกิดล้มหงายลงไปหลับแน่นิ่งบนพื้นห้องนมัสการ อาจารย์ที่เป็นผู้เทศนารับเชิญ และได้อธิษฐานวางมือพูดถามผู้ปกครองและพี่น้องที่โบสถ์ว่า

"สงสัยพี่น้องล้มเพราะเขาเป็นลมใช่ไหม แถวนี้มีอนามัยหรือโรงพยาบาลหรือเปล่า ให้คนพาเขาไปหาหมอก่อนดีไหม" "ผมคิดว่าเขาอาจจะมีอันตรายนะ"

-มิชชั่นนารีคนนี้พูดเสริมต่อ
" ผมไม่แน่ใจว่าเขาเป็นอะไรแน่นะ เพราะขณะที่ผมอธิษฐานให้เขาผมก็ไม่ได้เอามือพลักหรือดันเขาเลย"

ผู้ปกครองคนนั้นก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะตลึงกับความซื่อใส ของมิชชั่นนารีที่เป็นอาจารย์ทางศาสนาคริสต์มานานแสนนานแต่ไม่รู้ว่าตัวเองมีการเจิม"

ผู้ปกครองเลยบอกไปว่า

"อาจารย์....ที่เขาล้มลงไป...เพราะฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่มีอยู่ในตัวอาจารย์นั่นแหละสัมผัสเขา ทำให้พี่น้องล้มลงไป ตอนนี้เขากำลังนอนหลับ พักผ่อนในฝ่ายวิญญาณกับพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าของเราเป็นพระวิญญาณ ไม่ได้เป็นตัวพระเยซูที่เป็นเนื้อหนังเหมือนในภาพยนต์เรื่องพระเยซูคริสต์ที่อาจารย์เคยเห็นนั่นหรอกครับ อาจารย์ " "อาจารย์ไม่ต้องตกใจนะครับ" ผู้ปกครองกล่าวเสริมต่อ

ผมได้ยินเรื่องจริงที่เพื่อนเล่าให้ผมฟังเมื่อไม่นานมานี้ ผมรู้สึกขบขันและสงสารอาจารย์ใหญ่คนนี้จริงๆ แก่เป็นคนที่รักพระเจ้ามาก สัตย์ซื่อ รับใช้มานานตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กๆ และตอนนั้นผมยังไม่กลับใจ ยังหมกหมุ่นอยู่กับเหยื่อล่อของซาตานอยู่ก็ว่าได้

ผมคิดว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องจริงอีกอันหนึ่งที่ นักการศาสนาที่ไร้การเจิมทั้งหลายกำลังประสบ เพราะแท้ที่จริงคนที่ได้รับการสถาปณาเป็นอาจารย์ทางศาสนา เมื่อมนุษย์แต่งตั้งเขา พระเจ้าก็แต่งตั้งเขาเพื่อเห็นแก่ผู้รับใช้ของพระองค์เช่นเดียวกัน แต่นักการศาสนาหลายๆ คนปฏิเสธที่จะใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้าที่มีอยู่ในตัวเขาเอง ด้วยการพูดว่า
"ผมไม่มีการเจิม "
"ผมไม่เคยเรียนเรื่องการเจิม"
"คณะของเราไม่มีการเจิม"
"พวกเราไม่เอาการเจิม"
"โบสถ์ของเราไม่เคยมี ไม่เคยเจอ ไม่มี เป็นไปไม่ได้"
เมื่อการพูดของผู้รับใช้พระเจ้าคือสิทธิอำนาจ แต่เมื่อเขาพูดปฏิเสธการมีอยู่ของสิทธิอำนาจ และการใช้สิทธิอำนาจนี้ หลายๆ คนจึงเป็นแค่หุ่นไล่กาเท่านั้น

ผมอยากจะเรียกร้องและวิงวอนนักการศาสนาหลายๆ คน บางคนอาจจะอยู่มานานเกือบห้าสิบปี และคนที่ยังใหม่ๆ หรือคนที่กำลังจะเป็นอาจารย์ทางศาสนาว่า ถ้าหากนักการศาสนา คนทำงานไม่รับการเจิม เขาต่อต้านการเจิม ผมคิดว่าคงไม่มีใครอยากจะเป็นเหมือนสุนัขแก่ๆ ที่ฟันมันหลุด ฟันมันสึกไม่คม ไม่สามารถจะทำอะไรได้ เป็นเพียงหมาแก่ๆ ที่เหากองฟางหรือเงามืดๆ ไม่สามารถจะกัดหรือป้องกันตัวเองได้เลยเมื่อเจอกับศัตรู

ตัวชี้ิวัดที่จะบอกว่านักการศาสนามีการเจิมหรือไม่คือ ขอยกตัวอย่างง่ายๆ และธรรมดาที่สุดคือ การที่นักเทศน์วางมือรักษาพี่้น้องที่เขามีอาการปวดหัวแล้วเข้ามานั่งในโบสถ์ เมื่อเขาอธิษฐานวางมือคนที่ปวดหัวแล้วเขาหาย ขณะที่เดินออกไปจากโบสถ์พี่้น้องที่รับการอธิษฐานวางมือหายจากอาการปวดหัว เขารู้สึกสบาย โล่งและขอบพระคุณพระเจ้า นี่แหละพลังและฤทธิ์อำนาจของพระนามของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ที่เป็นการเจิมที่อยู่กับนักการศาสนาคนนั้นๆ ที่ทำการอธิษฐานวางมือ แต่ถ้าไม่เคยเลย ผมก็ไม่ทราบนะว่านักการศาสนาคนนั้นจะมีหรือไม่มี ต้องไปถามเขาเอง คือถ้าของมันมีมันก็ต้องสำแดงออกมาได้ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งล่ะ ไม่ใช่ทั้งชาติไม่เห็นอะไรเลย ดีแต่สอนความรู้เรื่องพระเจ้าเพียงอย่างเดียว

น่าเสียใจตรงที่คนที่ต่อต้านการเจิมจะไม่มีการเจิม เขาจะทำอะไรไม่ได้เลย นั่นคือข้อเท็จจริงไม่ใช่ความเห็น เขาวางมือคนก็ไม่เป็น ไม่กล้าทำ กล้ว ไม่รู้วิธี อธิษฐานขับผีก็ไม่เป็น ต่อสู้ฝ่ายวิญญาณไม่เป็น ตั้งกลุ่มอธิษฐานไม่เป็น เป็นแต่เล่าข่าว วิเคราะห์ละครทีวีให้พี่น้องฟัง หรือคุยเรื่องความรู้ทางศาสนา ทำพิธีการ พิธีกรรม ระเบียบพิธีต่างๆ เท่านั้น นักการศาสนาแบบนี้ ยังอยู่ในระดับขึ้นๆ ลงๆ บางคนไม่รู้ตัวเองว่าในตัวเองอาจมีวิญญาณศาสนาสิงสู่อยู่ด้วยซ้ำ คนรับใช้ประเภทนี้ถ้าเจอพี่น้องปวดหัว ไม่สบายเขาจะแนะนำยาแก้ปวดหัวให้กับสมาชิก หรือแค่บอกว่า ให้ไปซื้อยาแก้ปวดหัวไปกิน หรือไปหาหมอนะเท่านั้นเอง- :-(

กลับใจเสียเถอะนักการศาสนาที่ขาดการเจิมขาดน้ำมัน คงไม่มีใครอยากเป็นหุ่นไล่กาหรอกนะ มันถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว ทำไมยังทำเหมือนเดิมอยู่อีกเล่า คนที่ให้ท่านมีการเจิมคือพระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่อาจารย์ใหญ่ทางศาสนา หรือลัทธิ หรือนิกาย หรือคณะทางศาสนาคริสต์

กลับไปหน้าแรกของเว็บบล็อค .......................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)