ข้อห้ามสิบประการและ ข้อห้ามสมัยใหม่ (2)


พระบัญญัติสิบประการไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อกดหัว หรือ บีบบังคับไม่ให้มนุษย์มีเสรีภาพ  แต่พระเจ้ามีจุดประสงค์เพื่อให้มนุษย์มีสันติสุขในครอบครัว ในชุมชน และในชีวิตส่วนตัวต่างหาก เพราะเมื่อคนในสังคมยึดหลักสิบประการนี้ได้อย่างสม่ำเสมอ  ก็จะก่อให้เกิดสันติสุข และสันติภาพขึ้นในชุมชนของมนุษย์  แต่มนุษย์ไม่รู้ว่าบัญญัตินี้มีประโยชน์ พวกเขาจึงหลงคิดไปว่า พระเจ้าต้องการบังคับให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้ มนุษย์หลายคนจึงไม่ยอมปฏิบัติตาม พวกเขาเลือกที่จะทำตามอำเภอใจมากกว่าการเชื่อฟังแนวทางของพระเจ้า มนุษย์ จึงตกอยู่ในความบาป  เมื่อมนุษย์มีบาป เขาก็สูญเสียอิสระภาพทางด้านร่างกาย อารมณ์และ จิตวิญญาณ  ให้แก่การจู่โจมของวิญญาณร้าย  


มนุษย์ทั่วไปไม่ได้รับรู้ว่า โลกนี้มีการปกครองที่อยู่เหนือโลกที่เรามองเห็นได้ หรือโลกแห่งกายภาพ หรือวัตถุ  นั่นคือโลกแห่งวิญญาณ หากใครไม่เชื่อว่าโลกนี้มีการปกครองระดับวิญญาณ  จงออกไปนอกบ้านและขับรถไปดูข้างๆ ถนนทุกสาย ว่ามีสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความเคารพและนับถือวิญญาณอยู่มากมาย เกือบทุกๆ บ้าน เกือบทุกๆ ตึกจะมีศาลต่าง ๆ อยู่มากมาย  ทุกๆ หัวเมืองที่มีสิ่งก่อสร้างต่างๆ เช่น สถูป เจดีย์ อนุเสาวรีย์  ศาลหลักเมือง และอื่นๆ ฯลฯ สิ่งเหล่าย่อมแสดงถึงเครื่องหมายแห่งการปกครองฝ่ายวิญญาณทั้งนั้น  และมนุษย์ที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่สุดของที่นั้นๆ จะต้องทำหน้าที่ถวายความเคารพ และถวายเครื่องบูชาต่างๆ ให้แก่วิญญาณที่ทำหน้าที่ปกครองอยู่เหนืออาณาบริเวณนั้นๆ และนี่คือโลกวิญญาณ  


ตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อมนุษย์ได้กบฎต่อพระเจ้า มนุษย์ได้รับธรรมชาติแบบใหม่ที่เสื่อมกว่าเดิม คือ การอยากมีความรู้ อยากยิ่งใหญ่  ความยะโส ถือดี  ความเลวร้ายทางอารมณ์ทุกชนิด คือสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด ธรรมชาติของคนที่สำคัญคือ การอยากมีเสรีภาพ  อยากจะอยู่ตามลำพัง  อยากทำอะไรตามใจ  อยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่  อยากดีกว่าคนอื่น มนุษย์บางคนเลือกที่จะไม่เชื่อฟังข้อห้ามต่างๆ ทางศาสนา  หรือข้อห้ามใดๆ  พวกเขาถือว่าศีลธรรมเป็นสิ่งที่เหลวไหล และเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการดำเนินชีวิต ดังนั้นเราจึงพบว่า ในประเทศต่างๆ คนที่ไม่เคารพนับถืออะไรเลย  มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  เพราะยิ่งมนุษย์ได้รับความรู้ต่างๆ มากยิ่งขึ้นเท่าใด เขาก็คิดว่าความรู้นี่แหละคือความสว่าง คือความยิ่งใหญ่  คือ สัจจะ เขาจึงเกิดความยะโส และถือตนว่า ตนนี่แหละคือพระเจ้า  ตนเองคือผู้ดลบันดาลทุกสิ่ง  แต่ผู้อ่านครับ คนที่มีสุขภาพดีทุกๆ คน อาจจะไม่มีใครคิดถึงหมอที่โรงพยาบาลหรอกครับ  ไม่มีใครไปเยี่ยมหมอที่โรงพยาบาลเพียงเพื่อจะบอกสวัสดี หรือทักทายกับหมอ  คนไม่แก่ไม่เข้าวัด

คนที่มีสุขภาพดีเขาจะไม่คิดถึงชีวิตว่าเขาต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่น  แต่เมื่อใดที่เขาเจ็บป่วย  เขาต้องการใครบางคนที่จะดูแลเอาใจใส่ ช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้น เพื่อจะกินข้าวเพื่อจะทำกิจวัตรส่วนตัว   ดังนั้นจึงน่าสังเกตว่า  คนเราแท้จริงอยู่คนเดียวได้หรือ  เราพึ่งตนเองได้หรือ  คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นเมื่อเขาเดินทางไปทางน้ำ   เมื่อเรืออับปาง เขาจะช่วยตนเองได้หรือ  

พระบัญญัติสิบประการคือยารักษาชีวิตของมนุษย์ที่แท้จริง ถ้าหากมนุษย์ยึดมั่นในข้อบัญญัตินี้ รับรองว่าชีวิตของเขาสุขสบาย  ไร้โรคา และมีสันติสุขอย่างแท้จริง


น่า เสียใจที่ชาวคริสต์จำนวนมากไม่ได้รับรู้ว่า เมื่อใดที่เขายอมตกเป็นทาสของความบาป นิสัยบาป พฤติกรรมบาปซ่อนเร้น  บางคนปิดประตูห้อง เปิดคอมพิวเตอร์โน๊คบุ๊ค หรือมือถือรุ่นใหม่  เขาเฝ้าจ้องมอง และค้นหารูปโป๊ และภาพเปลือยอย่างอเร็ดอร่อย  บางคนเพลิดกับคลิปวีดีโอลามก ทางเพศที่พิศดารและวิปริต  เขาคิดว่าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น แต่น่าเสียใจ   เขาได้กลายเป็นเหยื่อของซาตานเรียบร้อยแล้ว ซาตานก็กำลังนั่งจ้องมองดูเขาเพลิดเพลินกับความบาปอย่างยิ้มย่องเช่นเดียวกัน 


 วิธีการของซาตานอย่างหนึ่งที่ซาตานใช้ในการทำร้ายมนุษย์ก็คือ มันจะไม่ทำลายชีวิตของมนุษย์ให้ตายทีเดียว แต่มันจะค่อยๆ ทำลายไปทีละน้อยๆ  วิญญาณร้ายจะค่อยชักใยให้เกิดความผิดปกติทางความคิด ความเชื่อ  การตัดสินใจ การปฎิบัติตน และทำให้เกิดอารมณ์ที่แปรปรวน  ในเวลาไม่นานวิญญาณชนิดต่างๆ จะทยอยกันเข้ามาสิงสู่ในร่างกายของคนที่หลงกินเหยื่อของมัน เมื่อเขาหลงเพลิดเพลินกับความสุขจอมปลอมที่มันปรนเปรอ เหมือนกับหนูบ้านที่หลงกินเหยื่อพิษที่เจ้าของบ้านวางล่อไว้  ไม่นานท้องใส้จะเริ่มปั่นป่วนบ่อยๆ  สุขภาพจะเริ่มเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ   (เรื่องวิญญาณสิงสู่ในคนนี้มีบันทึกไว้มากมายในพระคัมภีร์ แต่คนทั่วไปคิดว่าไม่มีแล้วในปัจจุบัน) เกิดความกลัว  เกิดภาพหลอน นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ปวดหัว ปวดท้องบ่อยๆ เป็นหวัดบ่อยๆ เป็นนาน กินยาก็ไม่หาย เกิดความป่วยใข้อย่างไร้เหตุผล ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ออกไปตากอากาศเย็นอะไร

นอกจากซาตานจะไม่ทำร้ายคนจนถึงตายในทีเดียวแล้ว  ซาตานจะชักนำเอาวิญญาณชั่วชนิดต่างๆ เป็นกลุ่มๆ เข้ามาทำงานในความคิด ในร่างกาย  ในวิญญาณของคนที่ตกเป็นเหยื่อของมัน  คนที่ตกเป็นเหยื่อเหล่านี้จะถูกมารชักจูงความคิดให้สร้างความเสียหายต่อสังคม คริสเตียน โดยการปล่อยข่าวลือ นินทา  ต่อต้านการทำงานของผู้ทำการที่แท้จริงของพระเจ้าในคริสตจักร  สร้างความสงสัยแคลงใจ สร้างความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน  สร้างความแตกแยก  การทะเลาะวิวาท  การสาดโคลน การแก่งแย่งชิงดี  การมุ่งสร้างผลงานเพื่อให้คนยอมรับมากกว่าการทำให้พระเจ้าพอใจ


เมื่อโบสถ์ใดมีเหยื่อมารมากๆ โบสถ์นั้นก็เปรียบเหมือนกับกองทัพที่มีทหารป่วย ทหารบาดเจ็บ กองทัพแบบนี้ ไม่เพียงไม่ไปข้างหน้า แต่จะเป็นตัวถ่วง  ให้ระบบการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณ  การประกาศความรอดบาปทั้งหมดไร้สมรรถภาพ  สิ่งเหล่านี้แหละคือ เป้าหมายที่แท้จริงของซาตาน คือทำลายคริสเตียนไม่ให้มันเคลื่อนตัวออกไปประกาศนอกอาคารโบสถ์  ให้ป่วยใข้ ให้หวาดระแวงกันและกัน  ส่งเสริมให้คริสเตียนแย่งกันเป็นใหญ่  ส่งเสริมให้ทำลายกันให้ย่อยยับ ทำลายคริสตจักรให้เป็นอัมพาต  ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ประสิทธิผล ไร้สง่าราศี  เป็นเพียงศาสนสถานที่ไร้ฤทธิ์เดช ไร้การอัศจรรย์ใดๆ เพื่อสนับสนุนคำว่า ศาสนาไหนก็ดีเหมือนกัน


ในพระบัญญัติสิบประการนี้ มีข้อหนึ่งที่บอกว่า อย่าออกพระนามของพระเจ้าอย่างไม่สมควร  มีหลายครั้ง คนพูดไม่ได้ทันระวังปาก ผมเคยสังเกตเห็นแม้ว่าจะเป็นอาจารย์ระดับใหญ่  นักการศาสนา หรือมิชชั่นนารี หลายๆ คน มักจะเพลอปากพูดถ้อยคำพล่อยๆ ออกมา ถ้อยคำหลายคำเหล่านี้  สื่อความหมายว่า   เขาพูดพระนามของพระเจ้าอย่างไม่สมควร เป็นการหลู่เกียรติพระเจ้า  นำเอาพระนามอันศักดิ์สิทธิมาพูดเล่น หรือเพื่อล้อเล่นกันให้สนุกปาก

การใช้พระนามพระเป็นเจ้าในทางที่ผิด หรือไม่สมควรได้แก่

1. พูดเอ่ยอ้างพระนามของพระเจ้าอย่างไม่สมควร  อ้างพระนามพระเจ้าเล่นๆ หรือประชดประชัน
เช่นบอกว่า
“พระเจ้าดลใจให้มากินหมูปิ้งกับพวกคุณ สนุกมากเลย”
  
“สงสัยพระเจ้าล่อเล่น” 
“พระเจ้าลืมแล้ว” 
" พระเจ้ายังพักผ่อน เราก็พักผ่อนให้หายเหนื่อย จะทำงานไปทำไมมากมาย"
“พระเจ้ากำลังพักผ่อน เลยไม่ได้ช่วยพวกเรา”

"ไหนว่าพระเจ้าบอกว่าจะให้เราจะเป็นหัว ไม่เป็นหาง ดูซิ เราแพ้เขาทั้งปี"
" พระเจ้าไม่สนใจฉันเลยนะ เห็นไหม เรียนก็ไม่ทันเพื่อน รูปร่างก็ไม่ดี แย่จริง"
" พระเจ้าทำไมให้ฉันเกิดมาเป็นลูกคนจน"
"พระเจ้าทำไมให้ฉันต้องเป็นคนไม่ฉลาดอย่างนี้ ทำอะไรก็ไม่ได้"
"พระเจ้าไม่เห็นทำอะไรเลย อธิษฐานก็ไม่เคยตอบ"
" พระเจ้าไม่ช่วยหนูเลย ดูซิพวกนั้นไม่มีพระเจ้าได้ดีกว่าเราเสียอีก"
"พระเจ้าให้ฉันเกิดมาทำไม เกิดมามีความลำบาก ไม่มีความสบายเลย"
"พระเจ้าอยู่ไหน"

2. ผิดต่อการบนบาน สาบานแล้วลืม ไม่ทำตามที่สาบานไว้

  เช่นหากมีใครสบาย รักษาไม่หายก็จะไปบนกับพระเจ้า ว่าหายแล้วจะไปเป็นพยาน จะไปประกาศข่าวประเสริฐ พอหายดีแล้วก็ไม่ทำตามที่ได้พูดบนไว้ 
พระธรรม อพยพ 23.23 กล่าวว่า
"ท่าน​จง​ระวัง​ที่​จะ​ทำ​ตาม​ถ้อยคำ​ที่​ออก​จาก​ริม​ฝีปาก​ของ​ท่าน ตาม​ที่​ท่าน​ได้​สมัคร​ใจ​บน​ต่อ​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​ของ​ท่าน ซึ่ง​ท่าน​สัญญา​ด้วย​ปาก​ของ​ท่าน​แล้ว "

3. กล่าวร้ายต่อพระนามหรือ พูดส่อเสียดพระเจ้า  เช่นพูดว่า พระเจ้าอยู่ไหน ไม่เห็นช่วยเลย  ไหนว่าพระเจ้ารักมนุษย์   แต่ดูชิ ฉันแย่ทุกอย่าง  ขออะไรก็ไม่ได้  พระเจ้าไม่รักฉันแล้ว หรือบอกว่า ฉันเกิดมาหน้าตาไม่สวยเลย พระเจ้าสร้างมาไม่ดี  พระเจ้าลำเอียง พระเจ้าไม่ยุติธรรม  คนอื่นฉลาด รวย สวย เด่น แต่ตัวฉันผิวดำ จมูก หรืออวัยวะในร่างกายไม่สมประกอบ หรือไม่สวยเหมือนคนอื่น ไม่สูง ไม่หล่อ ไม่ฉลาด
 

4. การกล่าวร้ายถึงงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการพูดจาดูหมิ่นว่าไม่ได้มาจากพระเจ้า  ผู้อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนบางคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์กับพระวิญญาณตั้งแต่เกิดจนถึงแก่  โบสถ์บางแห่งไม่เคยมีปรากฎการณ์ใดๆ เกี่ยวกับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตามหนังสือพระธรรมกิจกการเลยในรอบ ๑๐๐ ปี  แต่เมื่อมีปรากฎการณ์การบัพติสมาด้วยพระวิญญาณ  การเจิม การล้มในพระวิญญาณ เนื่องจากผู้รับใช้พระเจ้าที่มีการเจิมของพระเจ้ามาอธิษฐานวางมือ ทำให้คนจำนวนมากล้มลงไป หรือหมดสติไปชั่วครู่   คริสเตียนหลายคนเมื่อเห็นแล้วไม่ยอมรับ ไม่สามารถเชื่อได้ว่าเป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า หาว่าเป็นการกลั่นแกล้ง  หาว่าใช้เวทมนต์  บางคนกล่าวหาว่าปรากฎการณ์พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นการสำแดงของผี  และวิญญาณอื่น การล้มลงเป็นการพลักคนให้ล้ม  คริสเตียนบางคนไม่ยอมรับการเผยพระวจนะ ไม่ยอมรับเปิดเผยสำแดงของพระวิญญาณในลักษณะต่างๆ หรือพูดในเชิงดูถูกไม่ยอมรับผู้มีของประทาน ไม่ยอมรับของประทานฝ่ายวิญญาณจิตทั้งๆ ที่มีเขียนไว้มากมายในพระคัมภีร์  นักการศาสนาสายฟาริสี สายธรรมาจารย์ตั้งแต่เกิดจนแก่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น  ไม่สามารถยอมรับ แถบยังพูดชักนำผู้เชื่อคนอื่นให้ต่อต้านปรากฎการณ์นี้ด้วย  การดูหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมน่าจะถือเป็นบาปที่ให้อภัยไม่ได้เลย

ในปัจจุบันคริสเตียนมีหลายกลุ่มความเชื่อ หลายลัทธิ หลายพรรคมาก บางกลุ่มไม่ยอมรับการเปิดเผยสำแดงของพระวิญญาณบริสุทธิ์  บางกลุ่มเน้นการรวบรวมเงิน เน้นพิธีกรรม เน้นการนมัสการ บางครั้งมีบางคนกล่าวโจมตีคนที่ทำงานด้วยของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ว่ามาจากวิญญาณอื่น เป็นผี หรือเป็นลัทธิเทียมเท็จ โดยไม่ได้ศึกษาวิเคราะห์ให้รอบคอบ ไม่มีหลักฐานชัดเจนใดๆ ก็ใช้ปากพูดส่งเดชไป ก็เข้าข่ายดูหมิ่นพระเจ้าได้เช่นกัน


ผู้ที่ดูหมิ่นเหยียดหยามพระนามของพระเยซู แม้ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามถือว่าเป็นบาปหนัก เป็นความบาปที่นำไปสู่ความตาย คือบาปหนา  ใครที่เคยทำอย่างนี้  หากไม่สำนึกกลับใจ ถ่อมตัวลงสำนึกบาป ยอมสารภาพผิด  เขาจะไม่มีสันติสุขในชีวิตเลย  เมื่อใดที่เขาบอกว่า สบายแล้ว เงินก็มีมากแล้ว บ้านก็ทำแล้ว ทุกอย่างสำเร็จแล้ว อีกไม่กี่วันจะสบายแล้ว ความวิบัติและความป่วยใข้ โรคภัย อุบัติภัย จะมาถึงเขาและครอบครัวทันที  ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ยังใช้ได้ดีสำหรับคนที่ดูถูกดูหมิ่นพระนามของพระเยซู  แน่นอนที่เดียวคนที่ทำชั่วการลงโทษมาถึงช้าแต่มาถึงแน่นอน
 

พระธรรมปัญญาจารย์บทที่ 8.11 ได้กล่าวว่า
"เพราะการตัดสินการกระทำชั่วนั้น  เขาไม่ได้ลงโทษโดยเร็ว  เหตุฉะนั้นใจบรรดาบุตรของมนุษย์จึงเจตนามุ่งที่จะ กระทำความอธรรม "

สิ่งทีเป็นความจริงอีกอย่างหนึ่งสำหรับคนที่ไม่ระวังปากในการกล่าวพระนามของพระเยซู ชอบเอ่ยอ้างพระนามแบบส่งเดช  พูดพล่อยๆ  เอามาพูดล้อเล่นโดยไม่ทันระวัง  ผลก็คือว่า หากเขาเป็นผู้รับใช้พระเจ้า เมื่อใดที่เขาใช้พระนามในการอธิษฐาน ในการปลดปล่อย พระนามที่ออกมาจากริมฝีปากของเขาจะไร้ความหมาย ไร้ฤทธิ์เดช  ไม่มีการอัศจรรย์ใดๆ เกิดขึ้นจากการอธิษฐานของเขาเลย  มันจะเป็นเหมือนกับคำพูดเล่นๆ ของเด็กเท่านั้น  เพราะเหมือนกับว่าเขาได้เอาของศักดิ์สิทธิมาทำเล่น  เวลาทำจริงพระเจ้าจึงไม่รับรองคำพูดของเขาอีกเลย น่าสงสารคนพวกนี้จริงๆ  


บางคนอธิษฐานเพื่อคนป่วยใข้ เป็นชั่วโมงก็ไม่เกิดผล เพราะเขาไม่นับถือพระนาม  บางคนไม่นับถือยังไม่พอ  แสร้งทำตัวเป็นนักการศาสนาแต่อาศัยหากินกับพระนามเท่านั้น  เวลาไปขับไล่ผีที่ไหนแทนที่ผีจะกลัว  กลับโดนด่าว่า โดนพูดดูหมิ่น  แต่เขายังไม่สำนึกผิด กลับอ้างว่าตัวเองไม่มีของประทาน   การอ้างว่าไม่มีของประทานในการขับผี คือคำสอนที่ผิดพระคัมภีร์ล้านเปอร์เซนต์ เพราะพระเยซูบอกว่า ผู้เชื่อมีสิทธิอำนาจในการขับผี และวางมือ  เราผู้เชื่อมีสิทธิอำนาจในการขับมันออก

สำหรับผมแล้ว ผมขอบอกว่า  ตั้งแต่ผมได้รับคำสอนและกลับใจใหม่  เริ่มศึกษาพระคัมภีร์จนเข้าใจแจ่มแจ้ง   ผมไม่เคยพูดเอ่ย  พระนามของพระเยซูอย่างไม่มีความหมาย และเมื่อใดที่ผมอ้างพระนามของพระเยซู ผมจะเห็นการปลดปล่อย การหายโรค การอัศจรรย์เกิดขึ้น ผมเห็นการอัศจรรย์มากมาย  ผมจึงขอยกพระนามของพระเยซูคริสต์ขึ้นสูงเหนือทุกสิ่งในชีวิตของผม  หากผู้เชื่อคนใดจะเคารพและนับถือพระนามของพระเยซูคริสต์อย่างสุดใจ เขาก็เป็นคนหนึ่งที่จะสามารถใช้พระนามอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ในการอธิษฐาน ในการสั่งการให้คนป่วยใข้หายโรค  คนถูกวิญญาณรบกวนได้รับการปลดปล่อย  การอธิษฐานอวยพรของเราจะก่อให้เกิดผลต่อความสมบูรณ์พูลสุขของผู้คนอีกมากมายที่ต้องการรับการปลดปล่อยและเยียวยา



หากท่านเป็นคนหนึ่งที่เคยกล่าวล่วงเกินพระนามของพระเจ้า พระนามพระเยซู เมื่ออ่านบทความนี้แล้วรู้สึกสำนึกเสียใจต่อคำพูดของตน อยากจะหลุดพ้นจากคำแช่งสาป และการจู่โจมทำร้ายของวิญญาณอื่นๆ ที่อาศัยช่องโหว่งในคำพูดของท่าน ให้อธิษฐานตามแบบคำอธิษฐาน ดังนี้

ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอสารภาพอพระองค์ที่ได้มีเจตนาทำบาป ไม่เชื่อฟังพระคำของพระเจ้า และคำสั่งสอนของผู้รับใช้พระเจ้า ขอพระองค์โปรดยกโทษให้พ้นผิด ข้าฯ ขอตัดสินใจใหม่ ขอเลิกการบาปนี้ คือ ข้าพระองค์ได้พูดพลั่งปาก กล่าวพระนามของพระเจ้าอย่างไม่สมควร ข้าได้กล่าวโทษพระเจ้า ได้ดูหมิ่นพระนามของพระองค์ ข้าได้บนบานในพระนามของพระองค์แต่ไม่ได้ทำตาม ไม่ได้รักษาคำพูดสัจจะต่อพระนามของพระองค์

ข้าฯ รู้สึกสำนึกเสียใจต่อการกระทำของข้าแล้ว ข้าขอกลับใจใหม่ ขอยอมรับผิด และเลิกจากสิ่งที่ได้ทำมาแล้วนี้  ข้าฯ ขอรับการยกโทษโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ อาเมน

หากท่านกล่าวคำอธิษฐานด้วยใจจริง พระเยซูเจ้าผู้ทรงสถิตย์อยู่ทุกหนทุกแห่งย่อมฟังคำอธิษฐานของท่านและได้โปรดเมตตาอภัยการบาปของท่านแล้วในเวลานี้ ขอให้ท่านรับเอาด้วยความเชื่อเถิด

ข้อพระธรรมหนุนใจ

อพยพ 23:13 
"สิ่งทั้งปวงที่เราสั่งเจ้าไว้นั้นจงระวังถือให้ดี และอย่าออกชื่อพระอื่นเลย อย่าให้ได้ยินชื่อของพระเหล่านั้นออกจากปากของเจ้า"

ปัญญาจารย์ 5:6:
"อย่าให้ปากของเจ้าเป็นเหตุนำตัวเจ้าให้กระทำผิดไป และอย่าพูดต่อหน้าผู้สื่อสารของพระเจ้าว่า นี่แหละเป็นความพลั้งเผลอ เหตุไฉนจะให้พระเจ้าทรงพิโรธเพราะเสียงพูดของเจ้า แล้วเลยทรงทำลายการงานแห่งน้ำมือของเจ้าเสียเล่า"

เยเรมีย์ 15:19:
เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงตรัสว่า
 “ถ้าเจ้ากลับมา เราจะให้เจ้ากลับสู่สภาพดี
 และเจ้าจะยืนอยู่ต่อหน้าเรา"

"ถ้าเจ้าออกปากพูดแต่สิ่งประเสริฐ
และไม่พูดสิ่งเลวทราม เจ้าจะเป็นเหมือนปากของเรา"


ขอพระเจ้าอวยพระพร
 

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ8/21/2554

    ขอพระเจ้าอวยพระพรท่านพี่น้องที่รักในองค์พระเยซูคริสต์ อาเมน

    ตอบลบ

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)