ข้อคิดจากคริสตจักรทั้งเจ็ด The Seven Churches

ปริศนา ตอนคริสตจักรทั้งเจ็ด
ชีวิตคริสเตียนต้องเกี่ยวข้องกับคริสตจักร คริสตจักรที่ดีย่อมต้องมีผู้นำที่ดี ผู้นำที่ถ่อมใจ รักพระเจ้า เป็นผู้นำเหมือนผู้เลี้ยงแกะที่ดีเลิศ ผู้นำที่เป็นสาวกแท้ย่อมรู้วิธีที่จะสามารถสร้างผู้เชื่อให้กลายเป็นสาวกน้อยๆ ได้ มีความสามารถในการพัฒนาผู้เชื่อธรรมดาให้รู้จักสิทธิอำนาจของตนเองในพระเยซูเจ้า จนเขากลายเป็นผู้เชื่อที่สามารถสำแดงพระเดชานุภาพของพระเจ้าในพระนามพระเยซู และสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีชัยชนะเหนืออาณาจักรแห่งความมืด มีชีวิตที่เกิดผล นำคนมารอดและคืนดีกับองค์พระเยซูเจ้ามากมายอย่างน่าภาคภูมิใจ

เมื่อคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียนแต่ละคนหมดอายุขัย ล่วงหลับไป วิญญาณต้องออกจากร่างกาย ต้องจากโลกนี้ไปก็จะได้รับบำเหน็จรางวัลแตกต่างกัน ตามขนาดความเชื่อ การได้รับการชำระ  การอุทิศตน ตามการลงทุนของเขาในชีวิตปัจจุบัน เพราะอย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วคือว่า เมื่อมนุษย์ตายไป หลังจากตายแล้ว ดวงวิญญาณจะถูกเก็บไว้ ณ ที่แห่งหนึ่ง แต่เมื่อถึงกำหนดเวลา วิญญาณทุกดวงจะต้องมารวมกันที่บันลังค์พิพากษาของพระเยซูเจ้า เวลานั้นจะมีการพิพากษาลงโทษและให้รางวัล  แก่ดวงวิญญาณดวง ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใด  คนบางกลุ่มเชื่อพระเจ้าเพื่อหวังรอดจากนรกเท่านั้น บ้างรอดแบบเฉียดฉิวแถบโดนตำหนิว่า "เป็นไอ้ขี้ข้าชาติชั่ว" บ้างก็รอดแบบฉลุย


บางคนรู้แน่ว่ารอดแล้ว แต่เมื่อได้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น เพราะได้รับคำสอนที่ดีเป็นสัจจะ เมื่อได้รู้จักสัจจะก็เอาสัจจะนั้นมาถือปฏิบัติ ได้พบกับสันติสุขแท้ในชีวิตมนุษย์โลก เกิดมีความกตัญญูรู้คุณต่อพระเจ้าเพราะได้อาจารย์ดีคอยชี้แนะอบรมสั่งสอน จึงเติบโตสมวัย จึงมีโอกาสได้ปฎิบัติเพื่อนมนุษย์และปฏิบัติพระเจ้าด้วยความรัก ในการพิพากษาจึงได้ดีมีรางวัล ได้อยู่ในสวรรค์สถานในบริเวณเขตชั้นใน ได้เข้าไปนมัสการพระเจ้าในชั้นพิเศษ  บางคนได้นั่งเก้าอี้ ร่วมกับผู้อาวุโสทั้งหลาย

คนบางกลุ่มบางลัทธิความเชื่อได้อยู่สวรรค์ก็จริง แต่อยู่อย่างผู้อพยพหนีภัยสงคราม ต้องอยู่ศูนย์อพยพตามชายขอบของสวรรค์ บางคนได้อยู่สวรรค์เพียงแค่ได้อยู่ แต่อยู่ไม่สบาย เป็นเหมือนคนเร่รอนที่ไปอยู่ กทม ดินแดนแห่งชาวสวรรค์บนดิน แต่ไม่ได้อยู่ที่ดีๆ ไม่ได้มีความสุข เพราะเป็นเหมือนคนยากจน การศึกษาต่ำ ขาดโอกาสทำงานดีๆ  มีเงินแต่ไม่พอกิน  จึงไม่ค่อยได้เสพสุข  อัตคัดขัดสนไปเสียทุกอย่าง เหมือนเศรษฐีกับลาซาลัสอย่างใดอย่างนั้น
เพราะตอนมีชีวิตอยู่ในร่างกายเป็นมนุษย์ แม้จะกลับใจมาเชื่อพระเยซู แต่ด้านวิญญาณถูกเนื้อหนังดูดดึงให้ลงต่ำ  เขาอยากเลิกบาปแต่ทำไม่ได้ บางคนไม่ยอมเลิกบาปเอาดื้อๆ เพราะตาบอดฝ่ายวิญญาณหลงลาภ หลงตำแหน่ง หลงเซ็ก หลงความเพลิดเพลิน เพราะได้รับคำสอนบิดเบือนของพวกนิโคเลาส์นิยม ที่มีความเชื่อว่าชาวคริสต์สามารถรอดด้วยพระคุณเพราะความเชื่อเท่านั้น ไม่ต้องทำตัวให้บริสุทธิ์ไม่ต้องทำตามบัญญัติอะไรๆ ให้ปล่อยตัวตามวิสัยของโลก เขาสลัดนิสัยบาปเดิมไม่หลุด เขายังติดสันดานบาปดั่งเดิม ชอบเห็นแก่ตัว สามารถอุทิศตัวแก่พี่น้องและงานของพระเจ้าเพียงเล็กน้อย ทำงานตามหน้าที่ให้ดูดีว่า ข้าก็ทำนะเท่านั้น ชอบเอาแต่สบายไม่ยอมรับใช้เต็มที ไม่ถวายตัวสุดๆ  ดำเนินชีวิตด้วยการเห็นแก่หน้ามนุษย์มากกว่าความยำเกรงพระเจ้า 

หากเป็นผู้นำก็จะสอนความจริงเพียงครึ่งๆ กลางๆ สอนแต่วิธีทำดีเหมือนลัทธิทั่วไป  สู้ผีก็ไม่ได้ ตาก็มืดบอดฝ่ายวิญญาณ อยากกลับใจแต่พ่ายแพ้ตัณหาของตน แม้แต่ตัวเองก็เอาตัวเองไม่รอด อยากดีแต่เอาดีไม่ได้ ยอมเสียสละอย่างแท้จริงไม่ได้ เมื่อตายไปจึงเหมือนได้ที่นอนใต้สะพานทอลเวย์ใน กทม ต้องหาที่ซุกหัวนอนตามมุมมืดใกล้ถังขยะเหม็นๆ เสื้อผ้าก็สกปรก ไร้สง่าราศี  คนเหล่านี้คงจะต้องรู้สึกท้อแท้รันทดไปชั่วกาลนานเพราะมันหมดเวลากลับไปแก้ตัวใหม่เสียแล้ว  หากเปรียบชีวิตในโลกมนุษย์ปัจจุบันก็เป็นเพียงผีสัมปเวสี ที่เที่ยวเร่ร่อนหลอกหลอนชาวบ้าน ขอส่วนบุญหากินไปวันๆ

ดังนั้นในวันพิพากษาโลกคือ วันการแห่งการตัดสินวิญญาณมนุษย์ มนุษย์แต่ละคนจะได้ผลการตัดสินไม่เหมือนกัน บ้างก็ได้รางวัลเป็น ของขวัญ และมงกุฏประเภทต่างๆ เช่นมงกฎแห่งชีวิต มงกฎที่ร่วงโรยไม่ได้ มงกฏแห่งความชอบธรรม ฯลฯ บ้างก็หน้าแห้งเพราะไม่ได้อะไรเลย แถบยังโดนตำหนิ ว่าเป็น "ไอ้ข้าชั่วช้า"  เป็นเหมือนคนรอดจากไฟ เสื้อผ้าก็ไม่มีใส่ ไม่มีสง่าราศี 

ดังนั้นเราในฐานะผู้เชื่อ เราน่าจะมีสิทธิที่จะเลือกว่า เราจะทำตัวอย่างไรในชีวิตที่มีอยู่แค่นี้  มีสิทธิที่จะเลือกกลับใจเสียใหม่  รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตจริงๆ โดยคำสอนของพระเยซูเจ้า ด้วยการช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้เราอุทิศสังขารร่างกายที่มีอายุไม่เกิน 120 ปีนี้  เพื่อปรนนิบัติรับใช้เพื่อนมนุษย์  พระเจ้า  ด้วยการเอาชนะตัณหาของตน ยอมสละการแสวงหาการครอบครองวัตถุ ที่เป็นทรัพย์สมบัติที่ไม่จีรังยังยืน  เพื่อสร้างอนาคตฝ่ายวิญญาณในโลกหน้าที่ดีกว่า เรามีสิทธิเลือกที่จะทำหรือไม่ทำ  เรามีสิทธิที่จะเลือกติดตามผู้นำฝ่ายวิญญาณแบบใดที่เป็นผู้รับผิดชอบเรา  ผู้นำที่สามารถนำผู้เชื่อให้ก้าวไปในความเชื่อ จนถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์  หรือผู้นำที่มุ่งสร้างอาณาจักรของอาตมา

เรามาดูว่าคริสตจักรตัวอย่างทั้งเจ็ด มีพฤติกรรมอย่างไร และคริสตจักรที่ท่านพบเห็นเป็นแบบไหน ท่านอยากให้คริสตจักรของท่านเป็นคริสตจักรแบบใด เพราะเหตุใด


1. คริสตจักรเอเฟซัส คือคริสตจักรที่ อดทนต่อคำสอนเท็จ วางรากฐานคริสตจักรด้วยความจริงแห่งพระวจนะ สามารถแยกแยะความจริง และความเท็จ มีความอดทนต่อความเหนื่อยยากลำบาก พวกเขาประพฤติตัวอยู่ในความจริงของพระเจ้า รักษาตัวให้สอาด บริสุทธิ์ แต่กลับหลงลืมความรักครั้งแรกกับพระคริสต์เสียแล้ว พวกเขาเย็นชาต่อพระเจ้า โดยการสนใจในคำสอนของพระเยซู มากกว่าการสัมพันธ์สนิทกับพระองค์เป็นการส่วนตัว

2. คริสตจักร สเมอนาคือ คริสตจักรที่ทนทุกข์ กับความยากจน การถูกข่มเหง เป็นคริสตจักรที่รู้เท่าทันกลอุบายของมาร เป็นคริสตจักรที่ผู้เชื่อต้องถูกทดลอง และถูกลองใจอย่างหนัก ต้องเผชิญกับการข่มเหงนานาประการ ต้องต่อสู้เพื่อความเชื่อเพราะเห็นแก่พระนามของพระเยซู  ผู้เชื่อในคริสตจักรแบบนี้ยอมรับการข่มเหง  ยอมทนต่อคำดูหมิ่นเหยียดหยาม การกีดกัน พวกเขาต้องทนต่อการต่อต้านของคนในครอบครัวที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าคือพระเจ้า บ้างคนยอมถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศต่อวงค์ตระกูล

3. คริสตจักร เปอร์กามัม คริสตจักรที่เอาคำสอนของโลกมาผสมกับคำสอนของพระเจ้าอย่างกลมกลืน  ผู้นำฝ่ายบริหารชักนำพาผู้เชื่อให้ออมชอบกับ ความคิดของโลก เป็นคริสตจักรที่ผู้นำที่อ้างว่าอยู่ฝ่ายวิญญาณทำงานเพื่อหวังสิ่งตอบแทน เห็นแก่อามิสสินจ้าง เห็นแก่ผลประโยชน์ เห็นแก่กิน เห็นแก่ความสนุกสนาน ไม่รักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ มีความเชื่อว่า “เรารอดเพราะความเชื่อ ไม่ใช่การประพฤติ” จนสุดโต้ง จึงไม่เน้นการรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ จึงดัดแปลงคำสอนให้ออมชอบกับการประพฤติอันน่าละอายของชาวโลก 

4. คริสตจักร ธิยาทิรา คริสตจักรที่มีความเชื่อ มีความรัก และปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความอดทน แต่กลับถูกวิญญาณ เยเซเบลควบคุม มีหุ่นเชิดวิญญาณศาสนาและพิธีกรรมแอบแฝงเข้ามา  หุ่นเชิดเหล่านี้ดูท่าทางคล้ายมีความเชื่อ  มีอุดมการณ์ แต่กับตกเป็นทาสของวิญญาณบางอย่าง  จนต้องทำตัวเป็นเหมือนทาส  วิญญาณเยเซเบลได้อำนาจปกครองอยู่เหนือสมาชิก บ้างมีการล่วงประเวณี และเพลอกินเหยื่อล่อของมารเข้าไปจนดิ้นไม่หลุด ประพฤติชั่วร้าย มวลสมาชิกเจ็บป่วย ออดๆ แอดๆ มีแต่คนเจ็บป่วยเกือบท้้งหมด  บ้างก็เจ็บป่วยตามฤดูกาลเหมือนชาวโลกธรรมดาที่กราบไหว้วิญญาณอื่นทั่วไป
5. คริสตจักร ซาดิส คือ คริสตจักรที่หลับๆ ตื่นๆ มีดีเหลือแต่ชื่อเสียงจอมปลอม ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพล่ง ไม่มีอะไรในก่อไผ่ เป็นคริสตจักรที่หลับไหล เหมือนคนเป็นอัมพาต เพราะอวัยวะหลายส่วนถูกไวรัสบาปกัดกินจนผุกร่อน  หมดสภาพ ไร้เรี่ยวแรง มีพันธกิจเขียนไว้บนแผ่นชาร์ทโก้ๆ ให้คนมาเยี่ยมชมให้รู้ว่า ฉันก็ทำนะเท่านั้น แต่สภาพแท้จริงพันธกิจหลายส่วนไม่มีฟังชั่น ไม่เวิร์ค อู้และหย่อนยาน เนื่องจากรู้จักความจริงแล้วไม่ประพฤติตาม เก่งแต่หลักข้อเชื่อแต่ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ความประพฤติเป็นสีเทาๆ ไม่ขาวสะอาดจริงแต่จะว่าดำก็ไม่เชิงจะว่าขาวก็มีลายจุด  ผู้เชื่อส่วนหนึ่งเชื่อว่าพระเยซูคงยังไม่กลับมาพิพากษาโลกเร็วๆ นี้ เลยปล่อยตัวตามสบาย มีคนที่พยายามรักษาความบริสุทธิ์ของตนเองอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น จึงไม่สามารถทำอะไรได้ ครั้นจะพากันหนีไปอยู่ที่อื่นก็ยังรักที่เดิม

6. คริสตจักรฟีลาเดลเฟีย คริสตจักรเล็กๆ ที่เป็นคริสตจักรแห่งการประพฤติตามพระสัญญา มีความอดทน จึงได้รับสิทธิอำนาจเหนือซาตาน มีการอัศจรรย์แห่งการหายโรคและขับผี เป็นคริสตจักรที่มีชัยชนะเหนืออำนาจของวิญญาณท้องถิ่น เป็นคริสตจักรที่พระเจ้ารัก เป็นคริสตจักรที่สามารถสอบผ่านการทดลองใจได้

7. คริสตจักรเลาดีเซีย เป็นคริสตจักรที่ไม่เย็น ไม่ร้อน เป็นคริสตจักรที่มีคนร่ำรวยมากกว่าคนจน พวกเขาคิดว่าตัวเองมีเพียงพอแล้วไม่เอาอะไรมากกว่านี้แล้ว เวลาผ่านไปเป็นเดือนเป็นปี  บรรยากาศในคริสตจักรเป็นเหมือนเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นอยู่นั่น  สลับไปมา เดี๋ยวพองเดี๋ยวแฟ๊บเหมือนลูกโป่งสวรรค์รุ่นเก่า  ผู้นำไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นานๆ จะมีงานเทกระจาดเสียที แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรมาก  ผู้นำคิดว่าตัวเองสบายแล้ว

แต่แท้จริงพวกเขาเป็นคนยากจนและตาบอดฝ่ายวิญญาณ และเป็นคริสตจักรที่ทำอะไรน่าอาย เป็น
คริสตจักรที่ต้องกลับใจเสียใหม่ เป็นคริสตจักรที่มีความจำเป็นต้องลงทุนฝ่ายวิญญาณอย่างมาก มีทุนหนาแต่ไม่กล้าลงทุนด้านการพัฒนาความเชื่ออย่างต่อเนื่อง เพราะอุณภูมิมันขึ้นๆ ลงๆ จึงทำอะไรตาม
อุณภูมิที่เปลี่ยนแปลงของโลก คือร้อนๆ เย็นๆ สลับไปเรื่อยๆ เหมือนฤดูกาลที่ผ่านผัน

ท่านกำลังอยู่ในคริสตจักรแบบไหน ท่านอยากร่วมกับคริสตจักรแห่งไหน เพราะอะไร

ขอพระเยซูเจ้าอวยพระพร

 
ซาโลม ซาโลม และ อาเมน
Home ไปหน้าแรกของเว็บ
Original Writing: Rice Mu. May, 2011

1 ความคิดเห็น:

  1. ตอบข้อสงสัยและข้อเสนอแนะ

    ข้อที่ ๑ การนำเสนอและทัศนะของผมตั้งอยู่บนพื้นฐานของพระวจนะแน่นอน
    ประการที่ ๑ ที่บอกว่าไม่มีพระคัมภีร์ตอนไหน บอกให้คริสเตียนไล่ หรือขับผีให้ออก และบอกว่าหน้าที่ของคริสเตียนคือการออกไปประกาศ

    ตอบ พื้นฐานพระคัมภีร์ในเรื่องการขับผี คือ มาระโก บทที่ ๑๖ ข้อ ๑๗ กล่าวว่า "มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ "

    ไม่เพียงคริสเตียนต้องขับผี แต่ยังจะมีความสามารถในการพูดภาษาแปลกๆ ด้วย แต่คริสเตียนบางกลุ่มปัจจุบันไม่เชื่อว่าการพูดภาษาแปลกมีในพระคัมภีร์ และยังมีคนสอนอีกว่า การพูดภาษาแปลก คือการพูดภาษาอื่นๆ และผู้นำบางคนยังห้ามการเจิม ห้ามพูดภาษาแปลกๆ อ้างว่าให้เอาความรัก และของประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น ซึ่งขัดกับพระคัมภีร์อย่างชัดเจนอยู่แล้ว

    ประการที่สอง ถ้าคริสเตียนออกไปประกาศไม่วางมือรักษาคนป่วย และขับผี เขาไปประกาศอย่างไร เขาเอาของไปแจก ให้ผลประโยชน์ ให้ทุนการศึกษา นำเด็กชาวเขามาเลี้ยงเพื่อให้โตมาเป็นคริสเตียนอย่างที่คนชอบทำกันมาก ตามจังหวัดชายแดน สิ่งนี้มีในพระวจนะหรือ แต่่ก็ยังดีที่มีคนช่วยเลี้ยงลูกให้ชาวบ้าน ชาวเขาหลายคนสบายใจเพราะมีคริสเตียนช่วยเลี้ยงให้ฟรีๆ ถ้าพระเยซูมาแบบนี้ ต้องเอาเงินมาเป็นตันๆ ถึงจะพอ พระเยซูรักษาโรค ขับผี และสอนให้สาวกทำด้วย (ลูกา บทที่ ๙-๑๐ มัทธิว บทที่ ๑๐

    ตอบข้อสอง เรื่องการดูหมิ่นการสอนพระวจนะ อาจจะอ่านแล้วดูเหมือนว่าผมไม่เห็นความสำคัญ ขอตอบว่าไม่ใช่เลย ที่ผมได้องค์ความรู้เรื่องการปลดปล่อยล้วนมาจากความเชื่อตามพระวจนะทั้งนั้น ผมพยายามบอกสังคมคริสเตียนว่า อย่ามุ่งแต่สอนอย่างเดียว ขอให้เอาให้ครบองค์พระกิตติคุณ อย่าเอาแต่พระกิตติคุณเล่มเดียว ต้องเอาทั้งสี่เล่ม และดูหนังสือกิจการด้วย

    ตอบลบ

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)