ความเป็นมาของคำว่า ไสยศาสตร์

ตอนที่ หนึ่ง พฤติกรรมและความเชื่อดั่งเดิมของคนในแถบตะวันออกที่ไม่ได้รู้จักพระเยซูเจ้า

นี่คือความเข้าใจของคนไทยเกี่ยวกับไสยศาสตร์

การล่วงรู้ความลับของจักรวาล และความเป็นไปในโลกอย่างถ่องแท้ว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกล้วนแต่ถูกปรุงแต่งแปลงสภาพมาจาก ระบบธาตุในโลก กับ คลื่นพลังแสงดาวในจักรวาลคลุกเคล้าเข้ากับอากาศธาตุ ด้วยเหตุนี้มวลชีวิตและวัตถุทั้งหลายในโลก จึงถูกบังคับให้ดำเนินไปตามอำนาจของดวงดาวในจักรวาล อันเป็นรากฐานของวิชา “โลกธาตุ” หรือ “โลกศาสตร์” ซึ่งแต่เดิมเรียกกันว่า “ศิวศาสตร์” หรือ “ไศวศาสตร์” แปลว่าวิทยาการแห่งโลกแต่คำอินเดียอาจไม่ถูกปากถูกใจคนไทย จึงแปลงถ้อยคำให้สอดคล้องกับรสนิยมของตนเองว่า “ไสยศาสตร์”


คนส่วนใหญ่ไม่ทราบความหมายที่แท้จริงว่า ไสยศาสตร์ แปลว่าอย่างไร จนก่อให้เกิดการเข้าใจผิดว่าเป็นความเชื่อในเรื่องผีสางคาถาอาคมที่งมงายไร้เหตุผล แท้จริงแล้วเป็นความรอบรู้เกี่ยวกับจักรวาล และวิถีชีวิตตลอดจนการต่อสู้เพื่อการอยู่รอด รวมทั้งความเข้าใจในเรื่อง จิตวิญญาณ อย่างน่ามหัศจรรย์ ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์และปาฏิหาริย์ สิ่งที่เหลือเชื่อทั้งหลาย ส่วนใหญ่มีรากฐานมาจากความรู้ในด้านไสยศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแตกฉานเกี่ยวกับ วิชาโหราศาสตร์ เป็นพื้น การทำพิธีปลุกเสกเป็นแต่เพียงพิธีการเพื่อเสริมความเชื่อของสังคมเท่านั้น
ในประเทศไทยเอง ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ยังมีเช่นกัน เห็นได้จากความยิ่งใหญ่ของเณรแอที่ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองยังเข้าไปกราบคารวะ แถมยังมีการนำเอาเรื่องราวมาสร้าเป็นภาพยนตร์อีกด้วย นี่ย่อมเป็นเครื่องยืนยันการดำรงอยู่ของไสยศาสตร์ในประเทศไทยเช่นกัน

อาจารย์กังวล คัชชิมา แห่งคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอผลงานวิจัยนี้

ไสยศาสตร์แท้จริงแล้วคืออะไร มีจริงหรือไม่!คำถามเหล่านี้มักผุดพึ้นในใจของผู้คนเสมอ ถ้ามองปัญหานี้อย่างนักวิชาการแล้ว

อาจารย์กังวลเล่าให้ฟังว่า ไสยศาสตร์นับเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่มีบทบาทใกล้ชิดกับคนไทย มาเป็นเวลานาน เมื่อพูดถึงไสยศาสตร์ คนไทยส่วนหนึ่งก็มักกล่าวถึงไสยศาสตร์เขมรเห็นได้จากในวรรณคดี หรือ นวนิยายของไทยที่มีเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ มักจะมีการกล่าวถึงไสยศาสตร์เขมรเสมอ

ในการนำเสนอนี้อาจารย์ได้ให้รายละเอียดอีกว่า แม้แต่การเขียนยันต์ของเกจิอาจารย์ต่างๆ ก็ใช้อักษรขอมเป็นส่วนมาก เพราะถือว่าเป็นอักขระที่ศักดิสิทธิ์ ซึ่งคำว่า ขอม ในความหมายของไทยก็คือเขมรนั่นเอง

สำหรับพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ที่นิยมกันมากนั้น ตามที่อาจารย์ศึกษาและพบมา คือ การสะเดาะเคราะห์ จุดประสงค์ของพิธีกรรมนี้ ก็คือ เพื่อปัดเป่าในสิ่งที่ไม่ดีออกไป ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วย

เหตุการณ์ร้ายที่ไม่คาดฝัน ตลอดจนความไม่สบายใจต่างๆ ที่เกิดขึ้น การสะเดาะเคราะห์จะเกิดขึ้นได้ต้องมีผู้สะเดาะเคราะห์ หมายถึงผู้เข้าพิธีสะเดาะเคราะห์ เพื่อต้องการให้ชีวิตตนเองดีขึ้น แคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆ และ อาจารย์ อันหมายถึง ผู้จัดแจงและดำเนินการประกอบ

พิธีสะเดาะเคราะห์ ให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนที่สืบเนื่องกันมาประเพณีสะเดาะเคราะห์ เชื่อว่าคนที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป ทั้งหญิงหรือชายถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว จึงเริ่มมีเคราะห์ ถ้าอายุต่ำกว่า 21 ปี ถือว่ายังเป็นเด็กและยังไม่มีเคราะห์ การสะเดาะเคราะห์สามารถทำได้ทุกเวลา แต่มีบางคนที่จะไม่ทำในวันที่ถือว่าเป็นวันไม่ดี เช่น วันขึ้นสองค่ำและแรมเจ็ดค่ำซึ่งเขมรเรียกว่า วันผีกินคน

ไสยศาสตร์ แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 3 กลุ่ม คือ ได้แก่ ไสยศาสตร์เพื่อการรักษา เป็นไสยขาว ได้ชื่อเช่นนี้เพราะเป็นประโยชน์ต่อผู้คน เช่น การสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตารักษาโรค กลุ่มต่อมาคือไสยศาสตร์เพื่อการป้องกัน ได้แก่ คาถาคงกระพันชาตรี ผ้ายันต์ เสื้อยันต์ สักยันต์เป็นรูปต่างๆ และกลุ่มสุดท้ายคือไสยศาสตร์เพื่อการทำลาย ประเภทนี้เรียกอีกอย่างว่าไสยศาสตร์ดำหรือมนต์ดำ

เนื่องจากมีความชั่วร้ายประกอบอยู่ ลักษณะการใช้ ทำให้ผู้อื่นทุกข์ทรมานหรืออาจถึงเสียชีวิตได้ ไสยศาสตร์ เพื่อการทำลายที่รู้จักกันมาก เช่น เสกหนังวัวหนังควายเข้าท้อง ใช้เสี้ยน เข็ม หรือ เข็มหมุดทำอันตราย ที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มนี้ก็คือ วัวธนู ควายธนู

คำว่า วัวธนู ควายธนู นี้ คนไทยเรียกจนติดปากว่าวัวธนู หรือ ควายธนู เพราะเข้าใจว่าธนู เป็นคำแสดงความสามารถพิเศษของวัวหรือควายอาคม แต่ความจริงแล้ว คำว่าธนูมีความหมายถึง วิธีการทางไสยศาสตร์สองประเภท และมีการทำพิธีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน นั่นคือ แบบหนึ่งใช้ วัวอาคม อีกแบบหนึ่งใช้ธนูอาคมในการทำลายคนในเป้าหมาย เขมรเรียกว่า 'โกบา สนาเตะ' หมายถึงวัวตัวผู้หรือวัวพ่อพันธุ์กับหน้าไม้

การใช้วัวอาคมทำร้ายอันตรายคนเป้าหมายนั้น หมออาคมจะใช้ดินเหนียวปั้นรูปวัวตามกรรมวิธี เฉพาะที่ร่ำเรียนมาตามขั้นตอน หมออาคมจะสั่งให้วัวอาคมนั้นไปขวิดเป้าหมาย ถ้าไม่มีอาจารย์ผู้ทรงเวทมนตร์อาคมแก่กล้ากว่ามาช่วยไว้ทัน เชื่อกันว่าคนในเป้าหมายก็จะเสียชีวิตได้

ส่วนในการใช้ธนูอาคมนั้น อาจใช้หน้าไม้แทนกันได้ การประกอบพิธีและเครื่องประกอบพิธี จะมีแบบฉบับของแต่ละสำนัก ส่วนที่มีลักษณะคล้ายกันคือ มักจะปั้นหุ่นคนเป้าหมายด้วยแป้งหรือวัสดุอื่นๆ ที่อ่อนๆ หมออาคมจะร่ายเวทมนต์เป็นเวลานาน เพื่อจะให้บังเกิดผลที่ตัวเองต้องการ มากที่สุด พร้อมกันนั้น ก็มีการอัญเชิญครูบาอาจารย์ให้มาช่วยเหลือในการประกอบพิธีด้วย

เมื่อหมออาคมร่ายมนต์เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว หมอจะเอาลูกศรใส่ที่ธนูหรือหน้าไม้เล็งไปยัง หุ่นเป้าหมายนั้น เชื่อกันว่าที่บ้านของคนเป้าหมายจะเกิดมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวคล้ายเสียงฟ้าผ่า บุคคลเป้าหมายจะรู้สึกเจ็บบริเวณต่างๆ ที่หุ่นนั้นยิง เหมือนถูกยิงด้วยศรจริงๆ

เรื่องไสยศาสตร์ ใช่มีแต่เขมรหรือไทยเท่านั้น ซีกโลกตะวันตกอย่างประเทศ "โตโก" หนึ่งใน เจ้าของทีมฟุตบอลที่เข้ารอบฟุตบอลโลก ยังมีหมอผีนั่งบริกรรมคาถาอย่างขะมักเขม้น เพื่อให้ทีมของตนคว้าชัย เรื่องของความเชื่อ ความศรัทธา เป็นเรื่องของแต่ละคน สำหรับความเชื่อเรื่อง ไสยศาสตร์นี้ แม้ในปัจจุบันความเจริญด้านวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อ

 เรื่องไสยศาสตร์ยังดำรงอยู่ และจะดำรงอยู่ต่อไป ตราบเท่าที่คนยังมีด้านมืดและด้านสว่าง

ที่มา: http://www.watnongmuang.com/board/lofiversion/index.php?t333.html

ไสยศาสตร์อาจจะดูลึกลับ น่ากลัว หลายคนหลงเข้าไปในวังวนของไสยศาสตร์ เมื่อได้มอบตัวให้เป็นศิษย์กับอาจารย์ด้านไสยศาสตร์ หรือไปรับยัณห์ รับของ รับครู ครอบครู รับพระ เมื่อรับมาแล้วดีใจได้ไม่นานก็พบว่าตนเองเริ่มป่วย มีอาการแปลกๆ ตาเห็นสิ่งแปลก  สุขภาพร่างกายและจิตใจเปลี่ยนไป ขาดสันติสุข  ผมขอแนะนำว่าให้มาหาพระเยซูเจ้า  ให้เข้ามารับการปลดปล่อยเพราะผู้เชื่อแท้ที่นับถือพระเยซูเจ้า มีอำนาจของพระเยซูเจ้าที่มีชัยชนะเหนือฤทธิ์อำนาจมืดของไสยศาสตร์ 

แม้ว่าไสยศาสตร์จะมีอำนาจทำให้คนถึงความตาย หรือเจ็บป่วยได้ แต่ไสยศาสตร์ยังเป็นแค่สิ่งเล็กน้อยสำหรับผู้เชื่อในพระเยซูเจ้า

ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ที่ได้รับการศึกษา ได้รับการอบรมให้รู้จักสิทธิ์อำนาจของผู้เชื่อ รู้วิธีการในการปลดปล่อย มีความเชื่อเพียงพอจะ สามารถทำลายอานุภาพของวิญญาณร้าย สิ่งของเสก วิญญาณ หรือสิ่งใดๆ ที่ถูกพลักดันด้วยฤทธิ์อำนาจของคาถา อาคม วิญญาณรับใช้ วิญญาณแห่งมนต์ดำและสิ่งใดๆ ที่เกิดจากการบนบาน ศาลกล่าว หรือการไช้อำนาจทางไสยศาสตร์ได้

หากเป็นได้เรายังอยากจะท้าทายผู้ที่คิดว่าตนเองมีความชำนาญทางไสยศาสตร์ ขอให้ลองพิจารณาถึงผลร้ายที่เกิดจากไสยศาสตร์ ละทิ้งสิ่งเหล่านี้และหันกลับมาหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่  แทนการเอาตัวเองไปเป็นทาสวิญญาณที่อ้างตัวเป็นผู้วิเศษทั้งหลาย และทำพิธีไสยศาสตร์พร้อมกับรับเภทภัยที่มากับไสยศาสตร์และมนต์ทั้งหลายไม่ว่าสีอะไรก็ตาม
................................................................

พระเจ้าได้ทรงยกพระเยซูเจ้าขึ้นอย่างสูงและได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระเยซูเจ้า เพราะด้วยพระนามเยซูนี้เอง  ทุกเข่า  ในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก  ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะต้องคุกลงกราบ  พระเยซู และทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดาเจ้า

ฟิลิปปี ๒ ข้อ ๙-๑๐

ตอนที่สอง ความจริงจากพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อายุกว่า 4000 ปี เกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ เวทมนต์ และคนทรงเจ้า


HOME กลับไปหน้าแรกของเว็บบล็อค

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)