เชื่อพระเยซูแล้วต้องเลิกนับถือศาสนาเดิมหรือเปล่า Do I need to leave my mother's religion?



นี่คือคำถามที่เราพบเสมอๆ เมื่อได้พบกับคนที่ดีใจที่ได้รู้จักฤทธิ์อำนาจการปลดปล่อยของพระเยซู ได้รับรู้ว่าพระเจ้าอาจมีจริง แต่หลายคนก็มีคำถามมากมาย คำถามหนึ่งที่คนถามกันมาก คือคำถามว่า "เชื่อพระเยซูแล้วต้องเปลี่ยนศาสนาหรือเปล่า"


มีผู้หญิงคนหนึ่งได้ตั้งกระทู้ถามในกูเกิ้ลกูรู ดังนี้

คือว่าดิฉันได้เชื่อในพระเจ้าน่ะค่ะ ...แต่นับถือศาสนาของแม่อยู่ ก็ทราบดีค่ะว่าศาสนาของแม่กับคริสต์เป็นศาสนาที่มีเป้าหมายคนละอย่างกันเลย  แต่ความเชื่อโดยส่วนตัวเราก็เชื่อในพระเจ้าด้วย แต่ไม่อยากเป็นคริสต์น่ะค่ะ ถ้าเรารับเชื่อแล้ว ไม่เปลี่ยนศาสนาจะเป็นไรมั้ย
......

คือเราผูกพันธ์กับศาสนาและความเชื่อที่ได้รับจากแม่และรักศาสนา นี้มากน่ะค่ะ คือเหตุผลที่รับเชื่อทางคริสต์ไปเพราะเราอยากพิสูจน์ และศึกษาทางคริสตฺ์

ขอรบกวนตอบเราด้วยนะคะ  ว่าถ้าเรารับเชื่อแล้วไม่เป็นคริสต์จะบาปหรือผิดอะไรมั้ย ...แล้วถ้าพระเจ้ามีจริงแล้ว พระองค์จะทิ้งเรามั้ย ถ้าเรารับเชื่อแล้วมาทำอย่างนี้ เรากังวลมากๆเลย เรารักศาสนาแม่ของเรามาก เลยไม่อยากเปลี่ยนแล้วนะค่ะ..ขอความเห็นด้วยนะคะ
  (คำถามจากกูเกิ้ลกูรู)

เป็นคำถามที่น่าสนใจทีเดียว

การรับเชื่อพระเยซูคริสต์ กับการเข้าสู่ศาสนาคริสต์เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกันมาก แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกันแน่นอน

จากประสบการณ์ของผม ผมได้พบว่าคนหลายคนได้รับการปลดปล่อย หายโรค หายป่วย เมื่อเขาได้พบกับผู้เชื่อพระเยซูที่มีสิทธิอำนาจ

ผมมักจะได้ยินคำถามนี้เสมอ ว่าจะเข้าสู่ศาสนาคริสต์ หรืออยู่ในศาสนาเดิม

คำตอบตามความเห็นของผมคือ

พระเยซูได้กล่าวถึงการที่วิญญาณร้ายได้ออกจากบ้านที่อยู่เก่าของมัน  เนื่องจากโดนผู้มีอำนาจที่สูงกว่ามันขับไล่ให้มันออกจากบ้าน  เมื่อมันออกไปได้สักพักหนึ่งมันมักจะกลับมาบ้านเดิมของมัน เพราะมันเคยอยู่ เคยกิน เคยมีความสุขอย่างนั้น  มันรักของมันอย่างนั้น และเจ้าของบ้านก็เคยคิดว่ามันคือส่วนหนึ่งของบ้านด้วยซ้ำ

เมื่อวิญญาณร้อยท่องเที่ยวไปตามถิ่นกันดาร  มันไม่ค่อยได้กินอะไรมันจึงอยากกลับบ้านเก่า  เมื่อวิญญาณร้ายกลับมามันพบว่าบ้านว่างเปล่า  ไม่พบว่ามีนายบ้านอยู่  บ้านได้ถูกปัดกวาดตกแต่งไว้แล้วแต่ไม่มีนายบ้านอยู่  มันจึงไปพาผีอื่นที่ร้ายกว่ามันอีกเจ็ดผี มาอยู่ในบ้านหลังนั้น  ภายหลังได้พบว่าเจ้าของบ้านหลังนั้นได้รับความวิบัติมากกว่าเดิมเสียอีก  เพราะธรรมชาติของวิญญาณร้ายคือ พวกมันชอบทำสิ่งสกปรก  ทำสิ่งที่มนุษย์ไม่ต้องการเสมอ นั่นคือมันนำความโชคร้าย เจ็บป่วย อุบัติภัย ความอดอยากฝ่ายวิญญาณมาให้ เพราะนั่นคือธรรมชาติของมัน (มัทธิว 12.43)

พระเยซูคริสต์ได้มีคำกล่าวว่า


"ถ้าเราได้สมบัติสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตจะเป็นประโยชน์อะไรแก่เราเล่า"

แน่นอนทีเดียว  ศาสนาไหนก็สอนให้เป็นคนดีได้เหมือนกัน คนในศาสนาอื่นเมื่อนำหลักคำสอนของศาสนามาปฎิบัติก็สามารถมีอุปนิสัยที่ดีได้ แต่ผมขอยืนยันว่าศาสนาคริสต์ไม่ใช่เจ้าของพระเยซูเพียงผู้เดียวหรอกครับ พระองค์อยู่เหนือความเชื่อทางศาสนาด้วยซ้ำ  ผู้ที่ได้พบกับพระเยซูจริงๆ เขาจะยอมละทิ้งทุกอย่างเพราะเขารู้ว่าเขาเจอพระดี พระที่ให้เขาเป็นผู้รับมรดก และได้หลุดพ้นจากอำนาจบาป นิสัยบาป และอำนาจของวิญญาณอื่นทุกอย่าง

ในพระธรรมเอเฟซัสได้บอกอะไรบางอย่างที่น่าตระหนกมาก ดังนี้

"พระเจ้าได้ทรงโปรดให้เรารู้ความล้ำลึกในพระทัยของพระองค์   ตามพระเจตนารมณ์ของพระองค์   ซึ่งพระองค์ทรงดำริไว้ในพระคริสต์ ประสงค์ว่าเมื่อเวลากำหนดครบบริบูรณ์แล้ว   พระองค์จะทรงรวบรวมทุกสิ่ง   ทั้งที่อยู่ในสวรรค์และในแผ่นดินโลกไว้ในพระคริสต์"

"ขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้นเพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น   พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่ามรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร และรู้ว่าฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไร"

พระเจ้าได้ทรงกระทำให้แก่พระคริสต์  คือว่า เมื่อทรงชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว  พระเจ้าได้สถาปณาพระเยซูคริสต์ให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  (พระเจ้าได้สถาปณาให้พระเยซูคริสต์มีตำแหน่ง) สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง   เหนือศักดิเทพ   เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น
มิใช่ในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ 
(การขยายความ: ตามพระธรรมเอเฟซัส บทที่ 1)   


ความแตกต่างของศาสนาอยู่ที่เป้าหมาย และการปฎิบัติตนของผู้เชื่อมากกว่า การถือศาสนาแต่เปลือกนอก  เพราะศาสนาไม่ได้ให้อะไรมากไปกว่า การเป็นสมาชิกภาพ และการให้ความหวังเรื่องชีวิตหลังความตายหรอกหรือ  แต่มีศาสนาใดที่บอกเหมือนพระเยซูคริสต์ที่ว่า

ผู้ที่มาหาเราเราจะไม่ละทิ้งเขาเลย  และถ้าผู้ใดมาหาพระคริสต์ พระองค์จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า  ไม่ใช่ได้เป็นเพียงผู้เชื่อในศาสนาเท่านั้น  

พระเยซูประกาศชัดว่า พระองค์เป็นความสว่างของโลก


“เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืดแต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต,
เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะมิได้อยู่ในความมืด"
[พระธรรมยอห์น 8.12, 12:46 ]

พระเยซูตรัสว่า  

“เราเป็นอาหารแห่งชีวิตผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย"

[พระธรรมยอห์น 6.35]


พระเยซูประกาศว่า

“เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต   ผู้ที่วางใจในเรานั้น   ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก"

[ยอห์น11:25 ]


ยิ่งไปกว่านี้ พระเยซูตรัสว่า

"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตนิรันดร์"
[พระธรรมยอห์น
6:47]

ประโยคสุดท้ายนี้ แปลความหมายได้ชัดเจนที่สุด คือ คนที่เชื่อวางใจในพระเยซูจะมีชีวิตที่เป็นอมตะ ไม่ต้องถูกพิพากษาว่าเป็นมนุษย์บาปหนาและต้องถูกลงโทษทางวิญญาณโดยการถูกทิ้งลงไปในบึงไฟนรก

พระธรรมวิวรณ์ ได้บันทึกไว้ดังนี้

"แต่คนขลาด คนไม่เชื่อ คนที่น่าเกลียดน่าชัง คนที่ฆ่ามนุษย์ คนล่วงประเวณี คนใช้เวทมนตร์ คนไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดมุสานั้น มรดกของเขาอยู่ที่ในบึงไฟและกำมะถันที่กำลังไหม้อยู่นั้น นั่นคือความตายครั้งที่สอง”
[
พระธรรมวิวรณ์ 21:8 ]

อย่างไรก็ตามการเลือกอยู่ในความเชื่อใด มันขึ้นอยู่กับการเลือก และการตัดสินใจของบุคคล ตามกฎหมายแล้ว  ใครก็บังคับให้ใครเข้าไปอยู่ศาสนาไหนไม่ได้ ถ้าเรามั่นคงในสิ่งที่เราได้รับรู้สิ่งที่เราเชื่อ 

แท้ที่จริงการที่จะเข้ามาเป็นผู้เชื่อของพระเยซูจริงๆ ได้นั่นต้องอาศัยความเด็ดเดี่ยว  ความอดทน และเสียสละมากๆ  เพราะศาสนาและความเชื่อ เป็นระบอบ เป็นวัฒนธรรม มีกลไก มีอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็นอยู่เบื้องหลัง  มีการป้องกันตัวของมันเอง มีกลยุทธ์ในการสร้างความมั่นคง มีการสร้างความผูกพันธ์  มีผูกมัดผูกลึกเข้าไปถึงจิตใจลึกๆ
หลายชั่วอายุคน

แท้จริงวัฒนธรรม และกรอบแห่งวิถีชีวิตบางอย่าง  ทำให้คนที่พบแสงสว่างแห่งไม้กางเขนจำนวนมาก จำใจออกไปจากพระคุณของพระเจ้าและดำเนินชีวิตแบบเดิม  คือการพึ่งพาวิญญาณ  หมอดู คนทรงเจ้า  การทำนายโชคชะตา  การตกอยู่ใต้อำนาจของดวงชะตาราศี     และเพื่อเห็นแก่ความเชื่อเรื่องการกราบไหว้บูชาวิญญาณบรรพบุรุธ   วัฒนธรรม และธรรมเนียมความเชื่อแห่งวิถีชีวิตของท้องถิ่น   

กำแพงสูงและเข้มแข็งเป็นประดุจป้อมปราการเหล็กนี้ทำให้ความเชื่อในพระเยซู ของคนที่ได้รับรู้ว่ามีพระเจ้าแท้ คือพระเยซูผู้สามารถยกโทษบาปด้วยการยอมตายไถ่บาปของพระบุตรพระเจ้าได้ต้อง เหี่ยวแห้งลงไปอย่างรวดเร็ว  

แม้ว่าเขาบางคนจะเคยเห็นการอัศจรรย์การหายโรคด้วยตา  หรือบางคนได้ประสบกับตนเองก็ตาม  คนหลายคนไม่คาดคิดว่า แค่การไม่ยอมรับเชื่อพระเยซูว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและละทิ้งความบาป กลับใจใหม่   จะมีผลร้ายถึงการที่วิญญาณของเขาถูกพิพากษา และในชีวิตนี้ต้องดำเนินอยู่นอกเหนือขอบเขตการปกป้องของพระเจ้า

การรับว่าตนเองเป็นผู้เชื่อแท้ของพระเยซูมันไม่ง่ายเหมือนการเข้าสู่พิธีการเลี้ยงผี เพราะการอยู่กับผีไม่ต้องมีการศึกษาอะไรมาก  มีปัญหาก็ไปหาอาจารย์ทรงได้เลย แต่การเชื่อพระเยซูต้องใช้สติปัญญา  ต้องจดจำหลักการและเรียนรู้พระประสงค์ของพระเจ้าจากอาจารย์ผู้มีการเจิมของพระเจ้า อาจต้องใช้เวลาเป็นหลายเดือน เป็นปีกว่าจะรู้อะไรเป็นอะไรบ้าง  ต้องมีเวลาเข้ารับการศึกษาอบรมมากมายกว่าจะรู้ดีเรื่องพระเจ้า และสามารถออกไปประกาศข่าวประเสริฐนำคนมารอดบาปได้ 

ปัจจุบันเราพบว่ามีผู้เชื่อพระเยซูบางส่วนอยู่ในศาสนา   แต่เป็นเหมือนเพียงนักร้องบ้านนอกร้องเพลงตามทุ่งนา ทำตัวเหมือนจักจั่นหน้าร้อน ร้องเพลงยังไงก็ไม่มีใครสนใจ เหมือนมีบางอย่างควบคุมปิดกั้นอยู่ไม่สามารถหายใจได้สะดวก ขยับตัวไม่ได้ถนัด  ผู้ที่เป็นสมาชิกแม้จะเริ่มเก่าแล้ว หรือเก่าเก็บหลายคนไม่สามารถนำใครมารอดได้แม้เพียงคนเดียวในแต่ละปี  ผู้เชื่อประเภทนี้มีจำนวนมาก  เพราะระบบศาสนายังพัฒนาคนให้ไปไม่ถึงจุดแห่งการทำให้ผู้เชื่อเป็นสาวกของพระเยซู นั่นเอง  เรื่องนี้นับว่าเป็นปัญหาเรื้อรังของคริสเตียนเก่าเลยทีเดียว

การจะยอมสละหรือไม่ยอมสละ การปฏิบัติตามลัทธิความเชื่อการบูชาวิญญาณนั้น   มันก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ ความตระหนัก และการลงทุนด้วยชีวิต  ผลประโยชน์แห่งชีวิตทั้งโลกนี้และโลกหน้าครับ


ข้อพระธรรมจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

สาวกของพระเยซูได้สละทุกสิ่งผูกชีวิตไว้ กับการเป็นผู้ติดตามพระเยซู  ท่านเปโตรเป็นสาวกเอกคนหนึ่งของพระเยซู เขาได้ถามคำถามนี้เหมือนกันว่า พวกข้าพระองค์ทั้งหลายได้ติดตามพระเยซูแล้วพวกเราจะได้อะไร

"ฝ่ายเปโตรจึงเริ่มทูลพระองค์ว่า

“นี่แหละ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัด และได้ติดตามพระองค์มา”

พระเยซูตรัสตอบเขาว่า

“เราบอกความจริงแก่ท่านว่า  ถ้าผู้ใดได้สละบ้าน  หรือพี่น้องชายหญิง  หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา  เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐของเรา ในยุคนี้  ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่าคือ  บ้าน  พี่น้องชายหญิง  มารดา ลูกและไร่นา...


"ทั้งจะถูกการข่มเหงด้วยและในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์"

แต่มีหลายคนที่เป็นคนต้นจะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย   และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น”


[พระธรรมมาระโก 10.29-30]




ผู้เชื่อพระเยซูจริงๆ จะต้องถูกข่มเหงอย่างแน่นอน  การ ถูกข่มเหงนี้เกิดมีมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ผู้เชื่อบางคนถูกไล่ออกจากงาน  เข้ากับใครไม่ได้ในที่ทำงานที่มีการกินเหล้า  กินเบียร์ทุกๆ เย็น หรือสุดสัปดาห์  บางคนถูกไล่ออกจากวงค์ตระกูล  ตัดจากกองมรดก  บางคนถูกจับ ถูกตี เฆี่ยน  กักขัง  ถูกมัดล่ามไว้เหมือนสัตว์ 

ผู้เชื่อพระเยซูยุคเริ่มแรกถูกบังคับให้เปลี่ยนความเชื่อ  ให้พูดคำแช่งด่าพระเยซูแล้วจะได้รับการปล่อยตัว  ถ้าไม่ยอมปฎิเสธพระเยซูจะถูกบังคับให้ต่อสู้กับสัตว์ร้ายด้วยการแก้ผ้าเปลื่อยเปล่า ไร้อาวุธ ให้ต่อสู้กับหมี เสือ สิงโต  สุดท้ายถูกฆ่าตายอย่างทารุณ

ที่ประเทศลาวในบางพื้นที่เมื่อ 10 กว่าปีก่อน คนเชื่อพระเยซูอาจต้องถูกขับออกจากหมู่บ้าน  ผู้ปกครองนายบ้านจะไม่ให้ใช้น้ำบ่อของหมู่บ้าน ไม่ให้ลูกได้เข้าโรงเรียนของรัฐ  ถูกตัดน้ำตัดไฟ  ถูกไล่ทีทำกิน  บางคนถูกจับล่ามให้เดินประจานตามตลาด  แต่ยิ่งมีการข่มเหงมากเท่าใด  ผู้เชื่อพระเยซูในประเทศลาวยิ่งมีมากขึ้น  การข่มเหงในประเทศนี้ยังมีอยู่จนถึงปัจจุบันนี้  แต่ไม่รุนแรงมากเหมือนเมื่อสิบปีก่อน  เนื่องเพราะรัฐบาลถูกกดดันจากประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์  ที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจของโลก คือยุโรปและอเมริกา

ในปัจจุบันผู้เชื่อพระเยซูในประเทศลาวมีอัตรามากกว่าคนไทยเชื่อพระเยซู  คนลาวมีคนเชื่อพระเยซูมากกว่าสี่แสนคน  คนไทยมีคนที่อ้างตัวว่าเป็นศาสนาคริสต์ไม่ถึงล้านคน  ในจำนวนนี้ยังเป็นพวกถือศาสนาคริสต์ แต่ไม่กลับใจจากบาปอีกมากมาย

ในปัจจุบันคนในประเทศอิสลามหลายประเทศรังแกคนที่เข้ามาเชื่อถือพระเยซู  อย่างทารุณ ด้วยการเผาโบสถ์ เผาบ้าน  จับไปทรมาน  บางครั้งก็กำจัดคนเชื่อพระเยซูด้วยอำนาจป่าเถื่อน 

ผู้เชื่อพระเยซูบางคนไม่ได้ถูกข่มเหงจากศาสนาอื่น แต่ถูกขมเหงจากคนที่อ้างตัวว่าเป็นศาสนาคริสต์ด้วยกันเอง สมัยก่อน ผู้ปกครองที่นับถือศาสนาคาทอลิกได้เข่นฆ่าคนเชื่อพระเยซูด้วยกันอย่างโหดร้าย ด้วยการเอาไปทรมาน  ตัดคอ เอาไฟเผา ฝังทั้งเป็น และ ฯลฯ

ในประเทศไทยเองแม้เบื้องสูงจะเคยมีกระแสสั่งการให้คนไทยทุกคนสามารถเลือกเชื่อถือ ศาสนาใดก็ได้ ตามแต่ความศรัทธาของแต่ละคน  แต่ในทางปฏิบัตินั้น  การที่จะเชื่อพระเยซูไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในสังคมชนบท  ผู้นำหมู่บ้าน และวัดยังมีอิทธิพลสูงในการระดมคนให้มาทำงานสาธารณะ  คนเชื่อพระเยซูคริสต์จะถูกข่มขู่ว่า

"ตายแล้วจะเอาร่างกายตัวเองไปฝังที่ไหน"
เพราะป่าช้าของคริสเตียนไม่มีในหมู่บ้านชนบท

หากมีผู้เชื่อที่มารับเชื่อพระเยซูในเขตเมือง  ผู้เชื่อพระเยซูที่ไม่เข้าร่วมศาสนาคริสต์ ไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกของคริสตจักรที่มีองค์กรปกครองก็จะได้รับความลำบากใจอย่างมากเช่นกัน  เพราะป่าช้าของคริสเตียนเป็นเขตห่วงห้ามสำหรับศพของใครๆ ก็ตามที่ไม่ใช่คนนับถือศาสนาคริสต์   แม้ว่าจะมีชื่อว่าเชื่อพระเยซูแต่ถ้าไม่ได้เข้าสังกัดเป็นสมาชิกของโบสถ์แต่ละแห่ง  ก็เป็นการยากที่จะเอาร่างไปฝัง  สุสานของคริสเตียนต้องใช้เนื้อที่เยอะ  ไครไม่เป็นสมาชิกหากตายลงแม้ศพจะเน่าเหม็นอย่างไร  ก็คงยากที่จะได้ฝังในป่าช้าของโบสถ์คริสต์ทั่วไป  หลายแห่งเขาไม่ใจกว้างเปิดกว้างเหมือนป่าช้าทั่วๆ ไปนะครับ

วิธีการแก้ปัญหานี้ก็คือ  เราไม่จำเป็นต้องไปง้อฝังศพในสุสานคริสเตียน  ผู้เชื่อพระเยซูคริสต์จริงๆ เขาจะรู้ว่า ร่างกายของเขาไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป  เพราะการเข้ามาเชื่อพระเยซูจริงๆ ก็เป็นเหมือนได้ละทางโลกเรียบร้อยแล้ว ตามความเชื่อและคำสอน  การตายและการทำพิธีศพไม่มีผลอะไรต่อการตัดสินว่าวิญญาณของผู้เชื่อจะได้ไปสวรรค์ หรือลงนรกเพราะการทำพิธีศพ 

ดังนั้นผู้เชื่อพระเยซู สามารถควรละเว้นที่จะนึกถึงวิธีการฝังศพแบบคริสเตียนไปเลยก็ได้  เพราะการฝังศพเป็นเพียงพิธีอย่างหนึ่งที่เลียนแบบคนในพระคัมภีร์เท่านั้น ไม่ได้เป็นคำสั่งของพระเจ้าให้ทำศพอย่างนั้นอย่างนี้   ทางออกที่ดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ  การนำศพไปเผาในเตาเผาศพของสุสานของเทศบาลนั่นเอง  แล้วเก็บกระดูกใส่หม้อไปโรยแม่น้ำ หรือเอาไปฝังดินก็นับว่าเป็นการจบสิ้นแล้ว

สำหรับแก่นแท้ชีวิตมนุษย์ มนุษย์แท้ไม่ได้อยู่ในร่างกายที่ตายแล้ว  แต่ตัวตนของมนุษย์แท้เป็นวิญญาณ  วิญญาณนี้จะกลับไปหาพระผู้สร้าง คือพระเจ้านั่นเอง   ส่วนวิญญาณที่ไม่มีพระเจ้าเป็นผู้ดูแล ปกครอง  เนื่องจากอยู่นอกอาณาจักรของพระเจ้า  ก็จะต้องล่องลอยไปไหนก็ไม่รู้ บางกลายเป็นสัมภเวสี  บางเป็นวิญญาณเร่ร่อน  เที่ยวหลอกหนอนชาวบ้าน  บางไปอยู่ตามที่รกร้างกันดาร  บางวิญญาณอาจไม่ได้ไปไหน เพราะต้องไปทำหน้าที่เป็นผีบรรพบุรุธให้รุ่นลูกรุ่นหลานกราบไว้ต่อไป  ตามคติความเชื่อของคนไทยเรื่องการกราบไหว้และเลี้ยงผีบรรพบุรุธนั่นเอง

วิญญาณเหล่านี้วันหนึ่งก็ต้องถูกรวบรวมเข้าไปสู่บัลลังค์แห่งการพิพากษาโทษ ของพระเจ้าอย่างแน่นอนตามที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์

ในปัจจุบันแม้แต่คนที่อยู่ในศาสนาคริสต์ก็ขมเหงกันเอง  โดยเข้าใจว่าเป็นการรับใช้พระเจ้า  เป็นการปกป้องพระศาสนา และการสร้างอาณาจักรของกลุ่มคณะให้เข้มแข็ง  การข่มเหงมีหลายรูปแบบเช่น  การไม่รับเข้าร่วมกลุ่ม  การไม่รับรองสถานะเป็นคริสตจักร  การไม่รับจดทะเบียนเป็นสมาชิกภายใต้สังกัด  การส่งจดหมายลับเวียนไปบอกว่าเป็นลัทธิเทียมเท็จ การลงข่าวโจมตี กล่าวหาว่าสอนเท็จ  การห้ามไม่ให้คบหาสมาคมด้วย  การสั่งการจากผู้นำไม่ให้สมาชิกเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ กับกลุ่มผู้เชื่อที่ไม่ใส่คริสตจักรที่เข้าสังกัดในกลุ่มของตน  เป็นต้น


ดังนั้นผู้เชื่อแท้ของพระเยซูจึงต้องรับการขมเหงนานาประการกว่าจะได้รับความรอดพ้น และเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า

นับได้ว่าการ เปลี่ยนจากความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ การกราบไหว้วิญญาณหันมานับถือพระเยซูคริสต์  เป็นความขัดแย้งทางความเชื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ผู้เชื่อใหม่ต้องต่อสู้กับความคิดและ "ประเพณีของคนส่วนใหญ่ของสังคม  ต้องขัดแย้งกับแนวปฎิบัติตัวของวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับ การทำบุญ การทำทานเพื่อชาติหน้า  การถวายของแก่วิญญาณรูปเคารพ การกราบไหว้วัตถุธาตุ  ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ  การเข้าทรงในพิธีกราบไหว้ครูบาอาจารย์  การไหว้วิญญาณบรรพบุรุธ  การกราบไหว้พญานาค  ต้นไม้ประหลาด  การกราบไหว้ขอหวยจากสิ่งแปลกๆ  สิ่งเหล่านี้มีรากแก้วที่หยั่งลึกเข้าไปในจิตใจคนจำนวนไม่น้อย มีคำไม่มากนักที่จะกล้าแลก 

น่าจะบอกได้ว่าการมาเชื่อพระเยซูเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตเลยก็ว่าได้ คือพูดง่ายๆ ว่าเป็นการเอาความอยู่ดีกินดี  ความสบายมาแลกกับความลำบากเหมือนการเอาครกตำข้าวหินสมัยโบราณ เอามาเข็นขึ้นภูเขา ไม่เข็นแค่วันสองวันนะ แต่ต้องใช้เวลานานเหมือนกัน  จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อ  โตจนกระทั้งยกทั่งเหมือนยกเข็มนั่นแหละ  ผู้ที่เชื่อพระเยซูจริงๆ จะทรหดเหมือนแรดก็ว่าได้ 

ในรูปนี้แสดงให้เห็นว่า  ผู้เชื่อพระเยซูต้องเอาไม้กางเขนใหญ่ของพระเยซูมาแบกใสบ่าแล้วเดินขึ้นเขา   เพื่อมุ่งหวังให้ไปถึงเป้าหมายที่อยู่บนดอยสูง  ชีวิตผู้เชื่อพระเยซูแท้ที่แสดงตนเป็นสาวกของพระเยซูเป็นเช่นนี้จริงๆ เลยก็ว่าได้  แต่มีคนที่ยอมติดตามพระเยซูแบบนี้ไม่มากนัก ส่วนหนึ่งเพราะขาดความรู้เรื่องพระเจ้า  ถ้าไม่ได้ศึกษาลึกซึ้ง ไม่เข้าถึงพระคริสต์ ก็จะเป็นแค่การนับถือศาสนาเท่านั้น  ผมกล่าวหลายครั้งว่า ศาสนาไหนก็สอนให้เป็นคนดีเหมือนกัน

แต่เชื่อใหม่ครับ  แม้ว่าการเป็นผู้เชื่อแท้ของพระเยซูจะลำบากเหมือนแบกของหนักขึ้นเขา  แต่ยังมีผู้คนเป็นล้านๆ คนที่ได้ทำสำเร็จมาแล้ว   คนเป็นล้านๆ คนได้ถูกฆ่าตายไปก่อนวัยอันควรเพราะเขารู้จักพระเยซู และได้ยอมรับเอาพระองค์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด 

พระเยซูเองได้บอกไว้ด้วยพระองค์เองว่า การจะเป็นผู้เชื่อระดับสาวกของพระองค์นั้นต้องลงทุนสูงเพียงใด

พระเยซูจึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า

“ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเองและรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา

[พระธรรมลูกา 9:23]

ท่านละครั้งท่านจะกล้าเป็นคนหนึ่งที่อยากจะประกาศตัวว่าเป็นผู้เชื่อพระเยซูคริสต์  พระเจ้าองค์เที่ยงแท้ที่ไม่ได้ถูกสร้างจากจินตนาการ ด้วยมือมนุษย์  ไม่ใช่พระเจ้าที่เป็นเพียงวัตถุธาตุที่ตามมนุษย์มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า  การเปิดใจรับเชื่อพระเยซูเป็นเรื่องง่าย  แต่การที่จะติดตามพระเจ้าองค์นี้มันไม่ง่าย  บางครั้งต้องลงทุนสูงมาก  แต่ผลแห่งการลงทุนผมบอกไปแล้ว ไม่ใช่ผมเอง  แต่มีคำเขียนไว้ เป็นพระสัญญาขององค์พระเยซูคริสต์เอง  ท่านว่าคุ้มหรือไม่กับการลงทุนนี้  ท่านต้องเลือกเอง

ขอพระเยซูเจ้าอวยพระพร
>>> คลิก อ่านข่าวการข่มเหงคริสเตียนในเกาหลีเหนือ<<<

การข่มเหงคริสเตียนที่เป็นทหารในสงคราม

เผาคริสตจักรผาด่าน อ.แม่ทา จ.ลำพูน วอด 
ฝากข่าว วอนขอพี่น้องคริสเตียนออกมาอธิษฐานเผื่อ และออกมาเคลื่อนไหวเพื่อพี่น้องคริสเตียนที่ คริสตจักรผาด่าน  จ.ลำพูนถึงเวลาแล้วครับพี่น้อง  คืนวันที่ 27 มกราคม 2008  เวลา 19.00 น. เป็นวันที่ครบ 2 เดือนเต็มที่ชาวบ้านออกมาข่มขู่ว่าจะมีเรื่องใหญ่หากคริสเตียน 15 ครัวเรือนไม่ยอมย้ายออกจาหมู่บ้านไป   วันนี้ได้รับนรายงานจาก อ.กิตติคุณ มีแตง  ผู้ประสานงานกลุ่มสยาม ประจำเชียงใหม่    กรณีเกิดเหตุที่ลำพูนว่า  คริสจักรผาด่านถูกเผาวอดแล้ว  อาคารสอนเด็กรวีฯ  และอาคารคริสตจักรบางส่วนได้ไหม้ไป 40%  หลังคาถูกก้อนหินปาไส่เสียหายทั้งหลังประมาณความเสียหาย 60000-100000 บาท   ผู้ไม่ประสงค์ดีประมาณ 10 คนได้พากันปาก้อนหิน และไม้ใส่หลังคาคริสตจักร และบ้านของสมาชิกอีก2 หลังได้รับความเสียหาย  พร้อมกับยิงปืนขู่
สงสาร พี่น้องคริสเตียนกลุ่มนี้ที่ถูกกระทำ  น่าเห็นใจที่พวกเขาต่อสู่โดยปราศจากคนที่อยู่เคียงข้าง  วันนี้ผู้นำคริสตจักรได้เข้าไปแจ้งความที่สถานีตำรวจแล้ว  จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ที่ว่าก็คือว่าพี่น้องเหล่านี้จะอยู่อย่างไร

คริสตจักรผาด่าน   สังกัดอยู่ในองค์กรคริสตจักรกลุ่มสยามแบ๊บติสต์  ในสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย  กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม    มีผู้นำชื่อ  อ.วรพงษ์ ทาพอ   มีสมาชิกประมาณ 40 คน   

แหล่งข่าว : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=211270

Tag: เชื่อพระเจ้า, เปลี่ยนศาสนา, ศาสนาเปรียบเทียบ, เป็นคริสเตียนดีอย่างไร, ทำไมต้องเชื่อพระเจ้า, พระเจ้ามีจริงหรือ, การสร้างพระ, การเสกของ, การทำไสยศาสตร์,  การเลี้ยงกุมารทอง, เทคนิคการเลี้ยงลูกรอก,  การข่มเหงคริสเตียน,  ศาสนาพุทธสอนอะไร, ศาสนาคริสต์สอนอะไร, คำสอนเปรียบเทียบ, ศาสนาพุทธกับการไหว้รูปเคารพ, พระเจ้าอยู่ไหน, พระเจ้ามีจริงหรือ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)