นี่คือคำถามที่เราพบเสมอๆ เมื่อได้พบกับคนที่ดีใจที่ได้รู้จักฤทธิ์อำนาจการปลดปล่อยของพระเยซู ได้รับรู้ว่าพระเจ้าอาจมีจริง แต่หลายคนก็มีคำถามมากมาย คำถามหนึ่งที่คนถามกันมาก คือคำถามว่า "เชื่อพระเยซูแล้วต้องเปลี่ยนศาสนาหรือเปล่า"
มีผู้หญิงคนหนึ่งได้ตั้งกระทู้ถามในกูเกิ้ลกูรู ดังนี้
คือว่าดิฉันได้เชื่อในพระเจ้าน่ะค่ะ ...แต่นับถือศาสนาของแม่อยู่ ก็ทราบดีค่ะว่าศาสนาของแม่กับคริสต์เป็นศาสนาที่มีเป้าหมายคนละอย่างกันเลย แต่ความเชื่อโดยส่วนตัวเราก็เชื่อในพระเจ้าด้วย แต่ไม่อยากเป็นคริสต์น่ะค่ะ ถ้าเรารับเชื่อแล้ว ไม่เปลี่ยนศาสนาจะเป็นไรมั้ย......
คือเราผูกพันธ์กับศาสนาและความเชื่อที่ได้รับจากแม่และรักศาสนา
นี้มากน่ะค่ะ คือเหตุผลที่รับเชื่อทางคริสต์ไปเพราะเราอยากพิสูจน์
และศึกษาทางคริสตฺ์
ขอรบกวนตอบเราด้วยนะคะ ว่าถ้าเรารับเชื่อแล้วไม่เป็นคริสต์จะบาปหรือผิดอะไรมั้ย ...แล้วถ้าพระเจ้ามีจริงแล้ว พระองค์จะทิ้งเรามั้ย ถ้าเรารับเชื่อแล้วมาทำอย่างนี้ เรากังวลมากๆเลย เรารักศาสนาแม่ของเรามาก เลยไม่อยากเปลี่ยนแล้วนะค่ะ..ขอความเห็นด้วยนะคะ
(คำถามจากกูเกิ้ลกูรู)
เป็นคำถามที่น่าสนใจทีเดียว
การรับเชื่อพระเยซูคริสต์ กับการเข้าสู่ศาสนาคริสต์เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกันมาก แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกันแน่นอน
จากประสบการณ์ของผม ผมได้พบว่าคนหลายคนได้รับการปลดปล่อย หายโรค หายป่วย เมื่อเขาได้พบกับผู้เชื่อพระเยซูที่มีสิทธิอำนาจ
ผมมักจะได้ยินคำถามนี้เสมอ ว่าจะเข้าสู่ศาสนาคริสต์ หรืออยู่ในศาสนาเดิม
คำตอบตามความเห็นของผมคือ
พระเยซูได้กล่าวถึงการที่วิญญาณร้ายได้ออกจากบ้านที่อยู่เก่าของมัน เนื่องจากโดนผู้มีอำนาจที่สูงกว่ามันขับไล่ให้มันออกจากบ้าน เมื่อมันออกไปได้สักพักหนึ่งมันมักจะกลับมาบ้านเดิมของมัน เพราะมันเคยอยู่ เคยกิน เคยมีความสุขอย่างนั้น มันรักของมันอย่างนั้น และเจ้าของบ้านก็เคยคิดว่ามันคือส่วนหนึ่งของบ้านด้วยซ้ำ
เมื่อวิญญาณร้อยท่องเที่ยวไปตามถิ่นกันดาร มันไม่ค่อยได้กินอะไรมันจึงอยากกลับบ้านเก่า เมื่อวิญญาณร้ายกลับมามันพบว่าบ้านว่างเปล่า ไม่พบว่ามีนายบ้านอยู่ บ้านได้ถูกปัดกวาดตกแต่งไว้แล้วแต่ไม่มีนายบ้านอยู่ มันจึงไปพาผีอื่นที่ร้ายกว่ามันอีกเจ็ดผี มาอยู่ในบ้านหลังนั้น ภายหลังได้พบว่าเจ้าของบ้านหลังนั้นได้รับความวิบัติมากกว่าเดิมเสียอีก เพราะธรรมชาติของวิญญาณร้ายคือ พวกมันชอบทำสิ่งสกปรก ทำสิ่งที่มนุษย์ไม่ต้องการเสมอ นั่นคือมันนำความโชคร้าย เจ็บป่วย อุบัติภัย ความอดอยากฝ่ายวิญญาณมาให้ เพราะนั่นคือธรรมชาติของมัน (มัทธิว 12.43)
พระเยซูคริสต์ได้มีคำกล่าวว่า
"ถ้าเราได้สมบัติสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตจะเป็นประโยชน์อะไรแก่เราเล่า"
แน่นอนทีเดียว ศาสนาไหนก็สอนให้เป็นคนดีได้เหมือนกัน คนในศาสนาอื่นเมื่อนำหลักคำสอนของศาสนามาปฎิบัติก็สามารถมีอุปนิสัยที่ดีได้ แต่ผมขอยืนยันว่าศาสนาคริสต์ไม่ใช่เจ้าของพระเยซูเพียงผู้เดียวหรอกครับ พระองค์อยู่เหนือความเชื่อทางศาสนาด้วยซ้ำ ผู้ที่ได้พบกับพระเยซูจริงๆ เขาจะยอมละทิ้งทุกอย่างเพราะเขารู้ว่าเขาเจอพระดี พระที่ให้เขาเป็นผู้รับมรดก และได้หลุดพ้นจากอำนาจบาป นิสัยบาป และอำนาจของวิญญาณอื่นทุกอย่าง
ในพระธรรมเอเฟซัสได้บอกอะไรบางอย่างที่น่าตระหนกมาก ดังนี้
"พระเจ้าได้ทรงโปรดให้เรารู้ความล้ำลึกในพระทัยของพระองค์ ตามพระเจตนารมณ์ของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงดำริไว้ในพระคริสต์ ประสงค์ว่าเมื่อเวลากำหนดครบบริบูรณ์แล้ว พระองค์จะทรงรวบรวมทุกสิ่ง ทั้งที่อยู่ในสวรรค์และในแผ่นดินโลกไว้ในพระคริสต์"
"ขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้นเพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่ามรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร และรู้ว่าฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไร"
พระเจ้าได้ทรงกระทำให้แก่พระคริสต์ คือว่า เมื่อทรงชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พระเจ้าได้สถาปณาพระเยซูคริสต์ให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรคสถาน (พระเจ้าได้สถาปณาให้พระเยซูคริสต์มีตำแหน่ง) สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น
มิใช่ในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์
(การขยายความ: ตามพระธรรมเอเฟซัส บทที่ 1)
ความแตกต่างของศาสนาอยู่ที่เป้าหมาย และการปฎิบัติตนของผู้เชื่อมากกว่า การถือศาสนาแต่เปลือกนอก เพราะศาสนาไม่ได้ให้อะไรมากไปกว่า การเป็นสมาชิกภาพ และการให้ความหวังเรื่องชีวิตหลังความตายหรอกหรือ แต่มีศาสนาใดที่บอกเหมือนพระเยซูคริสต์ที่ว่า
ผู้ที่มาหาเราเราจะไม่ละทิ้งเขาเลย และถ้าผู้ใดมาหาพระคริสต์ พระองค์จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่ได้เป็นเพียงผู้เชื่อในศาสนาเท่านั้น
พระเยซูประกาศชัดว่า พระองค์เป็นความสว่างของโลก
“เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืดแต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต, เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะมิได้อยู่ในความมืด"
[พระธรรมยอห์น 8.12, 12:46 ]
พระเยซูตรัสว่า
“เราเป็นอาหารแห่งชีวิตผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย"
[พระธรรมยอห์น 6.35]
พระเยซูประกาศว่า
“เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก"
[ยอห์น11:25 ]
ยิ่งไปกว่านี้ พระเยซูตรัสว่า
"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตนิรันดร์"
[พระธรรมยอห์น 6:47]
ประโยคสุดท้ายนี้ แปลความหมายได้ชัดเจนที่สุด คือ คนที่เชื่อวางใจในพระเยซูจะมีชีวิตที่เป็นอมตะ ไม่ต้องถูกพิพากษาว่าเป็นมนุษย์บาปหนาและต้องถูกลงโทษทางวิญญาณโดยการถูกทิ้งลงไปในบึงไฟนรก
พระธรรมวิวรณ์ ได้บันทึกไว้ดังนี้
"แต่คนขลาด คนไม่เชื่อ คนที่น่าเกลียดน่าชัง คนที่ฆ่ามนุษย์ คนล่วงประเวณี คนใช้เวทมนตร์ คนไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดมุสานั้น มรดกของเขาอยู่ที่ในบึงไฟและกำมะถันที่กำลังไหม้อยู่นั้น นั่นคือความตายครั้งที่สอง”
[พระธรรมวิวรณ์ 21:8 ]
อย่างไรก็ตามการเลือกอยู่ในความเชื่อใด มันขึ้นอยู่กับการเลือก และการตัดสินใจของบุคคล ตามกฎหมายแล้ว ใครก็บังคับให้ใครเข้าไปอยู่ศาสนาไหนไม่ได้ ถ้าเรามั่นคงในสิ่งที่เราได้รับรู้สิ่งที่เราเชื่อ
แท้ที่จริงการที่จะเข้ามาเป็นผู้เชื่อของพระเยซูจริงๆ ได้นั่นต้องอาศัยความเด็ดเดี่ยว ความอดทน และเสียสละมากๆ เพราะศาสนาและความเชื่อ เป็นระบอบ เป็นวัฒนธรรม มีกลไก มีอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็นอยู่เบื้องหลัง มีการป้องกันตัวของมันเอง มีกลยุทธ์ในการสร้างความมั่นคง มีการสร้างความผูกพันธ์ มีผูกมัดผูกลึกเข้าไปถึงจิตใจลึกๆ หลายชั่วอายุคน
แท้จริงวัฒนธรรม และกรอบแห่งวิถีชีวิตบางอย่าง ทำให้คนที่พบแสงสว่างแห่งไม้กางเขนจำนวนมาก จำใจออกไปจากพระคุณของพระเจ้าและดำเนินชีวิตแบบเดิม คือการพึ่งพาวิญญาณ หมอดู คนทรงเจ้า การทำนายโชคชะตา การตกอยู่ใต้อำนาจของดวงชะตาราศี และเพื่อเห็นแก่ความเชื่อเรื่องการกราบไหว้บูชาวิญญาณบรรพบุรุธ วัฒนธรรม และธรรมเนียมความเชื่อแห่งวิถีชีวิตของท้องถิ่น
กำแพงสูงและเข้มแข็งเป็นประดุจป้อมปราการเหล็กนี้ทำให้ความเชื่อในพระเยซู ของคนที่ได้รับรู้ว่ามีพระเจ้าแท้ คือพระเยซูผู้สามารถยกโทษบาปด้วยการยอมตายไถ่บาปของพระบุตรพระเจ้าได้ต้อง เหี่ยวแห้งลงไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าเขาบางคนจะเคยเห็นการอัศจรรย์การหายโรคด้วยตา หรือบางคนได้ประสบกับตนเองก็ตาม คนหลายคนไม่คาดคิดว่า แค่การไม่ยอมรับเชื่อพระเยซูว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและละทิ้งความบาป กลับใจใหม่ จะมีผลร้ายถึงการที่วิญญาณของเขาถูกพิพากษา และในชีวิตนี้ต้องดำเนินอยู่นอกเหนือขอบเขตการปกป้องของพระเจ้า
การรับว่าตนเองเป็นผู้เชื่อแท้ของพระเยซูมันไม่ง่ายเหมือนการเข้าสู่พิธีการเลี้ยงผี เพราะการอยู่กับผีไม่ต้องมีการศึกษาอะไรมาก มีปัญหาก็ไปหาอาจารย์ทรงได้เลย แต่การเชื่อพระเยซูต้องใช้สติปัญญา ต้องจดจำหลักการและเรียนรู้พระประสงค์ของพระเจ้าจากอาจารย์ผู้มีการเจิมของพระเจ้า อาจต้องใช้เวลาเป็นหลายเดือน เป็นปีกว่าจะรู้อะไรเป็นอะไรบ้าง ต้องมีเวลาเข้ารับการศึกษาอบรมมากมายกว่าจะรู้ดีเรื่องพระเจ้า และสามารถออกไปประกาศข่าวประเสริฐนำคนมารอดบาปได้
ปัจจุบันเราพบว่ามีผู้เชื่อพระเยซูบางส่วนอยู่ในศาสนา แต่เป็นเหมือนเพียงนักร้องบ้านนอกร้องเพลงตามทุ่งนา ทำตัวเหมือนจักจั่นหน้าร้อน ร้องเพลงยังไงก็ไม่มีใครสนใจ เหมือนมีบางอย่างควบคุมปิดกั้นอยู่ไม่สามารถหายใจได้สะดวก ขยับตัวไม่ได้ถนัด ผู้ที่เป็นสมาชิกแม้จะเริ่มเก่าแล้ว หรือเก่าเก็บหลายคนไม่สามารถนำใครมารอดได้แม้เพียงคนเดียวในแต่ละปี ผู้เชื่อประเภทนี้มีจำนวนมาก เพราะระบบศาสนายังพัฒนาคนให้ไปไม่ถึงจุดแห่งการทำให้ผู้เชื่อเป็นสาวกของพระเยซู นั่นเอง เรื่องนี้นับว่าเป็นปัญหาเรื้อรังของคริสเตียนเก่าเลยทีเดียว
การจะยอมสละหรือไม่ยอมสละ การปฏิบัติตามลัทธิความเชื่อการบูชาวิญญาณนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ ความตระหนัก และการลงทุนด้วยชีวิต ผลประโยชน์แห่งชีวิตทั้งโลกนี้และโลกหน้าครับ
ข้อพระธรรมจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
เพราะป่าช้าของคริสเตียนไม่มีในหมู่บ้านชนบท
หากมีผู้เชื่อที่มารับเชื่อพระเยซูในเขตเมือง ผู้เชื่อพระเยซูที่ไม่เข้าร่วมศาสนาคริสต์ ไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกของคริสตจักรที่มีองค์กรปกครองก็จะได้รับความลำบากใจอย่างมากเช่นกัน เพราะป่าช้าของคริสเตียนเป็นเขตห่วงห้ามสำหรับศพของใครๆ ก็ตามที่ไม่ใช่คนนับถือศาสนาคริสต์ แม้ว่าจะมีชื่อว่าเชื่อพระเยซูแต่ถ้าไม่ได้เข้าสังกัดเป็นสมาชิกของโบสถ์แต่ละแห่ง ก็เป็นการยากที่จะเอาร่างไปฝัง สุสานของคริสเตียนต้องใช้เนื้อที่เยอะ ไครไม่เป็นสมาชิกหากตายลงแม้ศพจะเน่าเหม็นอย่างไร ก็คงยากที่จะได้ฝังในป่าช้าของโบสถ์คริสต์ทั่วไป หลายแห่งเขาไม่ใจกว้างเปิดกว้างเหมือนป่าช้าทั่วๆ ไปนะครับ
วิธีการแก้ปัญหานี้ก็คือ เราไม่จำเป็นต้องไปง้อฝังศพในสุสานคริสเตียน ผู้เชื่อพระเยซูคริสต์จริงๆ เขาจะรู้ว่า ร่างกายของเขาไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป เพราะการเข้ามาเชื่อพระเยซูจริงๆ ก็เป็นเหมือนได้ละทางโลกเรียบร้อยแล้ว ตามความเชื่อและคำสอน การตายและการทำพิธีศพไม่มีผลอะไรต่อการตัดสินว่าวิญญาณของผู้เชื่อจะได้ไปสวรรค์ หรือลงนรกเพราะการทำพิธีศพ
ดังนั้นผู้เชื่อพระเยซู สามารถควรละเว้นที่จะนึกถึงวิธีการฝังศพแบบคริสเตียนไปเลยก็ได้ เพราะการฝังศพเป็นเพียงพิธีอย่างหนึ่งที่เลียนแบบคนในพระคัมภีร์เท่านั้น ไม่ได้เป็นคำสั่งของพระเจ้าให้ทำศพอย่างนั้นอย่างนี้ ทางออกที่ดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ การนำศพไปเผาในเตาเผาศพของสุสานของเทศบาลนั่นเอง แล้วเก็บกระดูกใส่หม้อไปโรยแม่น้ำ หรือเอาไปฝังดินก็นับว่าเป็นการจบสิ้นแล้ว
สำหรับแก่นแท้ชีวิตมนุษย์ มนุษย์แท้ไม่ได้อยู่ในร่างกายที่ตายแล้ว แต่ตัวตนของมนุษย์แท้เป็นวิญญาณ วิญญาณนี้จะกลับไปหาพระผู้สร้าง คือพระเจ้านั่นเอง ส่วนวิญญาณที่ไม่มีพระเจ้าเป็นผู้ดูแล ปกครอง เนื่องจากอยู่นอกอาณาจักรของพระเจ้า ก็จะต้องล่องลอยไปไหนก็ไม่รู้ บางกลายเป็นสัมภเวสี บางเป็นวิญญาณเร่ร่อน เที่ยวหลอกหนอนชาวบ้าน บางไปอยู่ตามที่รกร้างกันดาร บางวิญญาณอาจไม่ได้ไปไหน เพราะต้องไปทำหน้าที่เป็นผีบรรพบุรุธให้รุ่นลูกรุ่นหลานกราบไว้ต่อไป ตามคติความเชื่อของคนไทยเรื่องการกราบไหว้และเลี้ยงผีบรรพบุรุธนั่นเอง
วิญญาณเหล่านี้วันหนึ่งก็ต้องถูกรวบรวมเข้าไปสู่บัลลังค์แห่งการพิพากษาโทษ ของพระเจ้าอย่างแน่นอนตามที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
ในปัจจุบันแม้แต่คนที่อยู่ในศาสนาคริสต์ก็ขมเหงกันเอง โดยเข้าใจว่าเป็นการรับใช้พระเจ้า เป็นการปกป้องพระศาสนา และการสร้างอาณาจักรของกลุ่มคณะให้เข้มแข็ง การข่มเหงมีหลายรูปแบบเช่น การไม่รับเข้าร่วมกลุ่ม การไม่รับรองสถานะเป็นคริสตจักร การไม่รับจดทะเบียนเป็นสมาชิกภายใต้สังกัด การส่งจดหมายลับเวียนไปบอกว่าเป็นลัทธิเทียมเท็จ การลงข่าวโจมตี กล่าวหาว่าสอนเท็จ การห้ามไม่ให้คบหาสมาคมด้วย การสั่งการจากผู้นำไม่ให้สมาชิกเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ กับกลุ่มผู้เชื่อที่ไม่ใส่คริสตจักรที่เข้าสังกัดในกลุ่มของตน เป็นต้น
ดังนั้นผู้เชื่อแท้ของพระเยซูจึงต้องรับการขมเหงนานาประการกว่าจะได้รับความรอดพ้น และเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า
นับได้ว่าการ เปลี่ยนจากความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ การกราบไหว้วิญญาณหันมานับถือพระเยซูคริสต์ เป็นความขัดแย้งทางความเชื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้เชื่อใหม่ต้องต่อสู้กับความคิดและ "ประเพณีของคนส่วนใหญ่ของสังคม ต้องขัดแย้งกับแนวปฎิบัติตัวของวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับ การทำบุญ การทำทานเพื่อชาติหน้า การถวายของแก่วิญญาณรูปเคารพ การกราบไหว้วัตถุธาตุ ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ การเข้าทรงในพิธีกราบไหว้ครูบาอาจารย์ การไหว้วิญญาณบรรพบุรุธ การกราบไหว้พญานาค ต้นไม้ประหลาด การกราบไหว้ขอหวยจากสิ่งแปลกๆ สิ่งเหล่านี้มีรากแก้วที่หยั่งลึกเข้าไปในจิตใจคนจำนวนไม่น้อย มีคำไม่มากนักที่จะกล้าแลก
น่าจะบอกได้ว่าการมาเชื่อพระเยซูเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตเลยก็ว่าได้ คือพูดง่ายๆ ว่าเป็นการเอาความอยู่ดีกินดี ความสบายมาแลกกับความลำบากเหมือนการเอาครกตำข้าวหินสมัยโบราณ เอามาเข็นขึ้นภูเขา ไม่เข็นแค่วันสองวันนะ แต่ต้องใช้เวลานานเหมือนกัน จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อ โตจนกระทั้งยกทั่งเหมือนยกเข็มนั่นแหละ ผู้ที่เชื่อพระเยซูจริงๆ จะทรหดเหมือนแรดก็ว่าได้
ในรูปนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้เชื่อพระเยซูต้องเอาไม้กางเขนใหญ่ของพระเยซูมาแบกใสบ่าแล้วเดินขึ้นเขา เพื่อมุ่งหวังให้ไปถึงเป้าหมายที่อยู่บนดอยสูง ชีวิตผู้เชื่อพระเยซูแท้ที่แสดงตนเป็นสาวกของพระเยซูเป็นเช่นนี้จริงๆ เลยก็ว่าได้ แต่มีคนที่ยอมติดตามพระเยซูแบบนี้ไม่มากนัก ส่วนหนึ่งเพราะขาดความรู้เรื่องพระเจ้า ถ้าไม่ได้ศึกษาลึกซึ้ง ไม่เข้าถึงพระคริสต์ ก็จะเป็นแค่การนับถือศาสนาเท่านั้น ผมกล่าวหลายครั้งว่า ศาสนาไหนก็สอนให้เป็นคนดีเหมือนกัน
แต่เชื่อใหม่ครับ แม้ว่าการเป็นผู้เชื่อแท้ของพระเยซูจะลำบากเหมือนแบกของหนักขึ้นเขา แต่ยังมีผู้คนเป็นล้านๆ คนที่ได้ทำสำเร็จมาแล้ว คนเป็นล้านๆ คนได้ถูกฆ่าตายไปก่อนวัยอันควรเพราะเขารู้จักพระเยซู และได้ยอมรับเอาพระองค์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
พระเยซูเองได้บอกไว้ด้วยพระองค์เองว่า การจะเป็นผู้เชื่อระดับสาวกของพระองค์นั้นต้องลงทุนสูงเพียงใด
พระเยซูจึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า
“ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเองและรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา
[พระธรรมลูกา 9:23]
ท่านละครั้งท่านจะกล้าเป็นคนหนึ่งที่อยากจะประกาศตัวว่าเป็นผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ พระเจ้าองค์เที่ยงแท้ที่ไม่ได้ถูกสร้างจากจินตนาการ ด้วยมือมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้าที่เป็นเพียงวัตถุธาตุที่ตามมนุษย์มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า การเปิดใจรับเชื่อพระเยซูเป็นเรื่องง่าย แต่การที่จะติดตามพระเจ้าองค์นี้มันไม่ง่าย บางครั้งต้องลงทุนสูงมาก แต่ผลแห่งการลงทุนผมบอกไปแล้ว ไม่ใช่ผมเอง แต่มีคำเขียนไว้ เป็นพระสัญญาขององค์พระเยซูคริสต์เอง ท่านว่าคุ้มหรือไม่กับการลงทุนนี้ ท่านต้องเลือกเอง
ขอพระเยซูเจ้าอวยพระพร
>>> คลิก อ่านข่าวการข่มเหงคริสเตียนในเกาหลีเหนือ<<<
การข่มเหงคริสเตียนที่เป็นทหารในสงคราม
เผาคริสตจักรผาด่าน อ.แม่ทา จ.ลำพูน วอด
คริสตจักรผาด่าน สังกัดอยู่ในองค์กรคริสตจักรกลุ่มสยามแบ๊บติสต์ ในสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม มีผู้นำชื่อ อ.วรพงษ์ ทาพอ มีสมาชิกประมาณ 40 คน
ขอรบกวนตอบเราด้วยนะคะ ว่าถ้าเรารับเชื่อแล้วไม่เป็นคริสต์จะบาปหรือผิดอะไรมั้ย ...แล้วถ้าพระเจ้ามีจริงแล้ว พระองค์จะทิ้งเรามั้ย ถ้าเรารับเชื่อแล้วมาทำอย่างนี้ เรากังวลมากๆเลย เรารักศาสนาแม่ของเรามาก เลยไม่อยากเปลี่ยนแล้วนะค่ะ..ขอความเห็นด้วยนะคะ
(คำถามจากกูเกิ้ลกูรู)
เป็นคำถามที่น่าสนใจทีเดียว
การรับเชื่อพระเยซูคริสต์ กับการเข้าสู่ศาสนาคริสต์เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกันมาก แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกันแน่นอน
จากประสบการณ์ของผม ผมได้พบว่าคนหลายคนได้รับการปลดปล่อย หายโรค หายป่วย เมื่อเขาได้พบกับผู้เชื่อพระเยซูที่มีสิทธิอำนาจ
ผมมักจะได้ยินคำถามนี้เสมอ ว่าจะเข้าสู่ศาสนาคริสต์ หรืออยู่ในศาสนาเดิม
คำตอบตามความเห็นของผมคือ
พระเยซูได้กล่าวถึงการที่วิญญาณร้ายได้ออกจากบ้านที่อยู่เก่าของมัน เนื่องจากโดนผู้มีอำนาจที่สูงกว่ามันขับไล่ให้มันออกจากบ้าน เมื่อมันออกไปได้สักพักหนึ่งมันมักจะกลับมาบ้านเดิมของมัน เพราะมันเคยอยู่ เคยกิน เคยมีความสุขอย่างนั้น มันรักของมันอย่างนั้น และเจ้าของบ้านก็เคยคิดว่ามันคือส่วนหนึ่งของบ้านด้วยซ้ำ
เมื่อวิญญาณร้อยท่องเที่ยวไปตามถิ่นกันดาร มันไม่ค่อยได้กินอะไรมันจึงอยากกลับบ้านเก่า เมื่อวิญญาณร้ายกลับมามันพบว่าบ้านว่างเปล่า ไม่พบว่ามีนายบ้านอยู่ บ้านได้ถูกปัดกวาดตกแต่งไว้แล้วแต่ไม่มีนายบ้านอยู่ มันจึงไปพาผีอื่นที่ร้ายกว่ามันอีกเจ็ดผี มาอยู่ในบ้านหลังนั้น ภายหลังได้พบว่าเจ้าของบ้านหลังนั้นได้รับความวิบัติมากกว่าเดิมเสียอีก เพราะธรรมชาติของวิญญาณร้ายคือ พวกมันชอบทำสิ่งสกปรก ทำสิ่งที่มนุษย์ไม่ต้องการเสมอ นั่นคือมันนำความโชคร้าย เจ็บป่วย อุบัติภัย ความอดอยากฝ่ายวิญญาณมาให้ เพราะนั่นคือธรรมชาติของมัน (มัทธิว 12.43)
พระเยซูคริสต์ได้มีคำกล่าวว่า
"ถ้าเราได้สมบัติสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตจะเป็นประโยชน์อะไรแก่เราเล่า"
แน่นอนทีเดียว ศาสนาไหนก็สอนให้เป็นคนดีได้เหมือนกัน คนในศาสนาอื่นเมื่อนำหลักคำสอนของศาสนามาปฎิบัติก็สามารถมีอุปนิสัยที่ดีได้ แต่ผมขอยืนยันว่าศาสนาคริสต์ไม่ใช่เจ้าของพระเยซูเพียงผู้เดียวหรอกครับ พระองค์อยู่เหนือความเชื่อทางศาสนาด้วยซ้ำ ผู้ที่ได้พบกับพระเยซูจริงๆ เขาจะยอมละทิ้งทุกอย่างเพราะเขารู้ว่าเขาเจอพระดี พระที่ให้เขาเป็นผู้รับมรดก และได้หลุดพ้นจากอำนาจบาป นิสัยบาป และอำนาจของวิญญาณอื่นทุกอย่าง
ในพระธรรมเอเฟซัสได้บอกอะไรบางอย่างที่น่าตระหนกมาก ดังนี้
"พระเจ้าได้ทรงโปรดให้เรารู้ความล้ำลึกในพระทัยของพระองค์ ตามพระเจตนารมณ์ของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงดำริไว้ในพระคริสต์ ประสงค์ว่าเมื่อเวลากำหนดครบบริบูรณ์แล้ว พระองค์จะทรงรวบรวมทุกสิ่ง ทั้งที่อยู่ในสวรรค์และในแผ่นดินโลกไว้ในพระคริสต์"
"ขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้นเพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่ามรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร และรู้ว่าฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไร"
พระเจ้าได้ทรงกระทำให้แก่พระคริสต์ คือว่า เมื่อทรงชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พระเจ้าได้สถาปณาพระเยซูคริสต์ให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรคสถาน (พระเจ้าได้สถาปณาให้พระเยซูคริสต์มีตำแหน่ง) สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น
มิใช่ในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์
(การขยายความ: ตามพระธรรมเอเฟซัส บทที่ 1)
ความแตกต่างของศาสนาอยู่ที่เป้าหมาย และการปฎิบัติตนของผู้เชื่อมากกว่า การถือศาสนาแต่เปลือกนอก เพราะศาสนาไม่ได้ให้อะไรมากไปกว่า การเป็นสมาชิกภาพ และการให้ความหวังเรื่องชีวิตหลังความตายหรอกหรือ แต่มีศาสนาใดที่บอกเหมือนพระเยซูคริสต์ที่ว่า
ผู้ที่มาหาเราเราจะไม่ละทิ้งเขาเลย และถ้าผู้ใดมาหาพระคริสต์ พระองค์จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่ได้เป็นเพียงผู้เชื่อในศาสนาเท่านั้น
พระเยซูประกาศชัดว่า พระองค์เป็นความสว่างของโลก
“เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืดแต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต, เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะมิได้อยู่ในความมืด"
[พระธรรมยอห์น 8.12, 12:46 ]
พระเยซูตรัสว่า
“เราเป็นอาหารแห่งชีวิตผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย"
[พระธรรมยอห์น 6.35]
พระเยซูประกาศว่า
“เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก"
[ยอห์น11:25 ]
ยิ่งไปกว่านี้ พระเยซูตรัสว่า
"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตนิรันดร์"
[พระธรรมยอห์น 6:47]
ประโยคสุดท้ายนี้ แปลความหมายได้ชัดเจนที่สุด คือ คนที่เชื่อวางใจในพระเยซูจะมีชีวิตที่เป็นอมตะ ไม่ต้องถูกพิพากษาว่าเป็นมนุษย์บาปหนาและต้องถูกลงโทษทางวิญญาณโดยการถูกทิ้งลงไปในบึงไฟนรก
พระธรรมวิวรณ์ ได้บันทึกไว้ดังนี้
"แต่คนขลาด คนไม่เชื่อ คนที่น่าเกลียดน่าชัง คนที่ฆ่ามนุษย์ คนล่วงประเวณี คนใช้เวทมนตร์ คนไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดมุสานั้น มรดกของเขาอยู่ที่ในบึงไฟและกำมะถันที่กำลังไหม้อยู่นั้น นั่นคือความตายครั้งที่สอง”
[พระธรรมวิวรณ์ 21:8 ]
อย่างไรก็ตามการเลือกอยู่ในความเชื่อใด มันขึ้นอยู่กับการเลือก และการตัดสินใจของบุคคล ตามกฎหมายแล้ว ใครก็บังคับให้ใครเข้าไปอยู่ศาสนาไหนไม่ได้ ถ้าเรามั่นคงในสิ่งที่เราได้รับรู้สิ่งที่เราเชื่อ
แท้ที่จริงการที่จะเข้ามาเป็นผู้เชื่อของพระเยซูจริงๆ ได้นั่นต้องอาศัยความเด็ดเดี่ยว ความอดทน และเสียสละมากๆ เพราะศาสนาและความเชื่อ เป็นระบอบ เป็นวัฒนธรรม มีกลไก มีอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็นอยู่เบื้องหลัง มีการป้องกันตัวของมันเอง มีกลยุทธ์ในการสร้างความมั่นคง มีการสร้างความผูกพันธ์ มีผูกมัดผูกลึกเข้าไปถึงจิตใจลึกๆ หลายชั่วอายุคน
แท้จริงวัฒนธรรม และกรอบแห่งวิถีชีวิตบางอย่าง ทำให้คนที่พบแสงสว่างแห่งไม้กางเขนจำนวนมาก จำใจออกไปจากพระคุณของพระเจ้าและดำเนินชีวิตแบบเดิม คือการพึ่งพาวิญญาณ หมอดู คนทรงเจ้า การทำนายโชคชะตา การตกอยู่ใต้อำนาจของดวงชะตาราศี และเพื่อเห็นแก่ความเชื่อเรื่องการกราบไหว้บูชาวิญญาณบรรพบุรุธ วัฒนธรรม และธรรมเนียมความเชื่อแห่งวิถีชีวิตของท้องถิ่น
กำแพงสูงและเข้มแข็งเป็นประดุจป้อมปราการเหล็กนี้ทำให้ความเชื่อในพระเยซู ของคนที่ได้รับรู้ว่ามีพระเจ้าแท้ คือพระเยซูผู้สามารถยกโทษบาปด้วยการยอมตายไถ่บาปของพระบุตรพระเจ้าได้ต้อง เหี่ยวแห้งลงไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าเขาบางคนจะเคยเห็นการอัศจรรย์การหายโรคด้วยตา หรือบางคนได้ประสบกับตนเองก็ตาม คนหลายคนไม่คาดคิดว่า แค่การไม่ยอมรับเชื่อพระเยซูว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและละทิ้งความบาป กลับใจใหม่ จะมีผลร้ายถึงการที่วิญญาณของเขาถูกพิพากษา และในชีวิตนี้ต้องดำเนินอยู่นอกเหนือขอบเขตการปกป้องของพระเจ้า
การรับว่าตนเองเป็นผู้เชื่อแท้ของพระเยซูมันไม่ง่ายเหมือนการเข้าสู่พิธีการเลี้ยงผี เพราะการอยู่กับผีไม่ต้องมีการศึกษาอะไรมาก มีปัญหาก็ไปหาอาจารย์ทรงได้เลย แต่การเชื่อพระเยซูต้องใช้สติปัญญา ต้องจดจำหลักการและเรียนรู้พระประสงค์ของพระเจ้าจากอาจารย์ผู้มีการเจิมของพระเจ้า อาจต้องใช้เวลาเป็นหลายเดือน เป็นปีกว่าจะรู้อะไรเป็นอะไรบ้าง ต้องมีเวลาเข้ารับการศึกษาอบรมมากมายกว่าจะรู้ดีเรื่องพระเจ้า และสามารถออกไปประกาศข่าวประเสริฐนำคนมารอดบาปได้
ปัจจุบันเราพบว่ามีผู้เชื่อพระเยซูบางส่วนอยู่ในศาสนา แต่เป็นเหมือนเพียงนักร้องบ้านนอกร้องเพลงตามทุ่งนา ทำตัวเหมือนจักจั่นหน้าร้อน ร้องเพลงยังไงก็ไม่มีใครสนใจ เหมือนมีบางอย่างควบคุมปิดกั้นอยู่ไม่สามารถหายใจได้สะดวก ขยับตัวไม่ได้ถนัด ผู้ที่เป็นสมาชิกแม้จะเริ่มเก่าแล้ว หรือเก่าเก็บหลายคนไม่สามารถนำใครมารอดได้แม้เพียงคนเดียวในแต่ละปี ผู้เชื่อประเภทนี้มีจำนวนมาก เพราะระบบศาสนายังพัฒนาคนให้ไปไม่ถึงจุดแห่งการทำให้ผู้เชื่อเป็นสาวกของพระเยซู นั่นเอง เรื่องนี้นับว่าเป็นปัญหาเรื้อรังของคริสเตียนเก่าเลยทีเดียว
การจะยอมสละหรือไม่ยอมสละ การปฏิบัติตามลัทธิความเชื่อการบูชาวิญญาณนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ ความตระหนัก และการลงทุนด้วยชีวิต ผลประโยชน์แห่งชีวิตทั้งโลกนี้และโลกหน้าครับ
ข้อพระธรรมจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
สาวกของพระเยซูได้สละทุกสิ่งผูกชีวิตไว้
กับการเป็นผู้ติดตามพระเยซู ท่านเปโตรเป็นสาวกเอกคนหนึ่งของพระเยซู
เขาได้ถามคำถามนี้เหมือนกันว่า
พวกข้าพระองค์ทั้งหลายได้ติดตามพระเยซูแล้วพวกเราจะได้อะไร
"ฝ่ายเปโตรจึงเริ่มทูลพระองค์ว่า
“นี่แหละ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัด และได้ติดตามพระองค์มา”
พระเยซูตรัสตอบเขาว่า
“เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐของเรา ในยุคนี้ ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่าคือ บ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูกและไร่นา...
"ทั้งจะถูกการข่มเหงด้วยและในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์"
แต่มีหลายคนที่เป็นคนต้นจะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น”
[พระธรรมมาระโก 10.29-30]
“นี่แหละ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัด และได้ติดตามพระองค์มา”
พระเยซูตรัสตอบเขาว่า
“เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐของเรา ในยุคนี้ ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่าคือ บ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูกและไร่นา...
"ทั้งจะถูกการข่มเหงด้วยและในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์"
แต่มีหลายคนที่เป็นคนต้นจะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น”
[พระธรรมมาระโก 10.29-30]
ผู้เชื่อพระเยซูจริงๆ จะต้องถูกข่มเหงอย่างแน่นอน การ
ถูกข่มเหงนี้เกิดมีมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ผู้เชื่อบางคนถูกไล่ออกจากงาน
เข้ากับใครไม่ได้ในที่ทำงานที่มีการกินเหล้า กินเบียร์ทุกๆ เย็น
หรือสุดสัปดาห์ บางคนถูกไล่ออกจากวงค์ตระกูล ตัดจากกองมรดก บางคนถูกจับ
ถูกตี เฆี่ยน กักขัง ถูกมัดล่ามไว้เหมือนสัตว์
ผู้เชื่อพระเยซูยุคเริ่มแรกถูกบังคับให้เปลี่ยนความเชื่อ ให้พูดคำแช่งด่าพระเยซูแล้วจะได้รับการปล่อยตัว ถ้าไม่ยอมปฎิเสธพระเยซูจะถูกบังคับให้ต่อสู้กับสัตว์ร้ายด้วยการแก้ผ้าเปลื่อยเปล่า ไร้อาวุธ ให้ต่อสู้กับหมี เสือ สิงโต สุดท้ายถูกฆ่าตายอย่างทารุณ
ที่ประเทศลาวในบางพื้นที่เมื่อ 10 กว่าปีก่อน คนเชื่อพระเยซูอาจต้องถูกขับออกจากหมู่บ้าน ผู้ปกครองนายบ้านจะไม่ให้ใช้น้ำบ่อของหมู่บ้าน ไม่ให้ลูกได้เข้าโรงเรียนของรัฐ ถูกตัดน้ำตัดไฟ ถูกไล่ทีทำกิน บางคนถูกจับล่ามให้เดินประจานตามตลาด แต่ยิ่งมีการข่มเหงมากเท่าใด ผู้เชื่อพระเยซูในประเทศลาวยิ่งมีมากขึ้น การข่มเหงในประเทศนี้ยังมีอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ แต่ไม่รุนแรงมากเหมือนเมื่อสิบปีก่อน เนื่องเพราะรัฐบาลถูกกดดันจากประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์ ที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจของโลก คือยุโรปและอเมริกา
ในปัจจุบันผู้เชื่อพระเยซูในประเทศลาวมีอัตรามากกว่าคนไทยเชื่อพระเยซู คนลาวมีคนเชื่อพระเยซูมากกว่าสี่แสนคน คนไทยมีคนที่อ้างตัวว่าเป็นศาสนาคริสต์ไม่ถึงล้านคน ในจำนวนนี้ยังเป็นพวกถือศาสนาคริสต์ แต่ไม่กลับใจจากบาปอีกมากมาย
ในปัจจุบันคนในประเทศอิสลามหลายประเทศรังแกคนที่เข้ามาเชื่อถือพระเยซู อย่างทารุณ ด้วยการเผาโบสถ์ เผาบ้าน จับไปทรมาน บางครั้งก็กำจัดคนเชื่อพระเยซูด้วยอำนาจป่าเถื่อน
ผู้เชื่อพระเยซูบางคนไม่ได้ถูกข่มเหงจากศาสนาอื่น แต่ถูกขมเหงจากคนที่อ้างตัวว่าเป็นศาสนาคริสต์ด้วยกันเอง สมัยก่อน ผู้ปกครองที่นับถือศาสนาคาทอลิกได้เข่นฆ่าคนเชื่อพระเยซูด้วยกันอย่างโหดร้าย ด้วยการเอาไปทรมาน ตัดคอ เอาไฟเผา ฝังทั้งเป็น และ ฯลฯ
ในประเทศไทยเองแม้เบื้องสูงจะเคยมีกระแสสั่งการให้คนไทยทุกคนสามารถเลือกเชื่อถือ ศาสนาใดก็ได้ ตามแต่ความศรัทธาของแต่ละคน แต่ในทางปฏิบัตินั้น การที่จะเชื่อพระเยซูไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในสังคมชนบท ผู้นำหมู่บ้าน และวัดยังมีอิทธิพลสูงในการระดมคนให้มาทำงานสาธารณะ คนเชื่อพระเยซูคริสต์จะถูกข่มขู่ว่า
"ตายแล้วจะเอาร่างกายตัวเองไปฝังที่ไหน" ผู้เชื่อพระเยซูยุคเริ่มแรกถูกบังคับให้เปลี่ยนความเชื่อ ให้พูดคำแช่งด่าพระเยซูแล้วจะได้รับการปล่อยตัว ถ้าไม่ยอมปฎิเสธพระเยซูจะถูกบังคับให้ต่อสู้กับสัตว์ร้ายด้วยการแก้ผ้าเปลื่อยเปล่า ไร้อาวุธ ให้ต่อสู้กับหมี เสือ สิงโต สุดท้ายถูกฆ่าตายอย่างทารุณ
ที่ประเทศลาวในบางพื้นที่เมื่อ 10 กว่าปีก่อน คนเชื่อพระเยซูอาจต้องถูกขับออกจากหมู่บ้าน ผู้ปกครองนายบ้านจะไม่ให้ใช้น้ำบ่อของหมู่บ้าน ไม่ให้ลูกได้เข้าโรงเรียนของรัฐ ถูกตัดน้ำตัดไฟ ถูกไล่ทีทำกิน บางคนถูกจับล่ามให้เดินประจานตามตลาด แต่ยิ่งมีการข่มเหงมากเท่าใด ผู้เชื่อพระเยซูในประเทศลาวยิ่งมีมากขึ้น การข่มเหงในประเทศนี้ยังมีอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ แต่ไม่รุนแรงมากเหมือนเมื่อสิบปีก่อน เนื่องเพราะรัฐบาลถูกกดดันจากประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์ ที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจของโลก คือยุโรปและอเมริกา
ในปัจจุบันผู้เชื่อพระเยซูในประเทศลาวมีอัตรามากกว่าคนไทยเชื่อพระเยซู คนลาวมีคนเชื่อพระเยซูมากกว่าสี่แสนคน คนไทยมีคนที่อ้างตัวว่าเป็นศาสนาคริสต์ไม่ถึงล้านคน ในจำนวนนี้ยังเป็นพวกถือศาสนาคริสต์ แต่ไม่กลับใจจากบาปอีกมากมาย
ในปัจจุบันคนในประเทศอิสลามหลายประเทศรังแกคนที่เข้ามาเชื่อถือพระเยซู อย่างทารุณ ด้วยการเผาโบสถ์ เผาบ้าน จับไปทรมาน บางครั้งก็กำจัดคนเชื่อพระเยซูด้วยอำนาจป่าเถื่อน
ผู้เชื่อพระเยซูบางคนไม่ได้ถูกข่มเหงจากศาสนาอื่น แต่ถูกขมเหงจากคนที่อ้างตัวว่าเป็นศาสนาคริสต์ด้วยกันเอง สมัยก่อน ผู้ปกครองที่นับถือศาสนาคาทอลิกได้เข่นฆ่าคนเชื่อพระเยซูด้วยกันอย่างโหดร้าย ด้วยการเอาไปทรมาน ตัดคอ เอาไฟเผา ฝังทั้งเป็น และ ฯลฯ
ในประเทศไทยเองแม้เบื้องสูงจะเคยมีกระแสสั่งการให้คนไทยทุกคนสามารถเลือกเชื่อถือ ศาสนาใดก็ได้ ตามแต่ความศรัทธาของแต่ละคน แต่ในทางปฏิบัตินั้น การที่จะเชื่อพระเยซูไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในสังคมชนบท ผู้นำหมู่บ้าน และวัดยังมีอิทธิพลสูงในการระดมคนให้มาทำงานสาธารณะ คนเชื่อพระเยซูคริสต์จะถูกข่มขู่ว่า
เพราะป่าช้าของคริสเตียนไม่มีในหมู่บ้านชนบท
หากมีผู้เชื่อที่มารับเชื่อพระเยซูในเขตเมือง ผู้เชื่อพระเยซูที่ไม่เข้าร่วมศาสนาคริสต์ ไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกของคริสตจักรที่มีองค์กรปกครองก็จะได้รับความลำบากใจอย่างมากเช่นกัน เพราะป่าช้าของคริสเตียนเป็นเขตห่วงห้ามสำหรับศพของใครๆ ก็ตามที่ไม่ใช่คนนับถือศาสนาคริสต์ แม้ว่าจะมีชื่อว่าเชื่อพระเยซูแต่ถ้าไม่ได้เข้าสังกัดเป็นสมาชิกของโบสถ์แต่ละแห่ง ก็เป็นการยากที่จะเอาร่างไปฝัง สุสานของคริสเตียนต้องใช้เนื้อที่เยอะ ไครไม่เป็นสมาชิกหากตายลงแม้ศพจะเน่าเหม็นอย่างไร ก็คงยากที่จะได้ฝังในป่าช้าของโบสถ์คริสต์ทั่วไป หลายแห่งเขาไม่ใจกว้างเปิดกว้างเหมือนป่าช้าทั่วๆ ไปนะครับ
วิธีการแก้ปัญหานี้ก็คือ เราไม่จำเป็นต้องไปง้อฝังศพในสุสานคริสเตียน ผู้เชื่อพระเยซูคริสต์จริงๆ เขาจะรู้ว่า ร่างกายของเขาไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป เพราะการเข้ามาเชื่อพระเยซูจริงๆ ก็เป็นเหมือนได้ละทางโลกเรียบร้อยแล้ว ตามความเชื่อและคำสอน การตายและการทำพิธีศพไม่มีผลอะไรต่อการตัดสินว่าวิญญาณของผู้เชื่อจะได้ไปสวรรค์ หรือลงนรกเพราะการทำพิธีศพ
ดังนั้นผู้เชื่อพระเยซู สามารถควรละเว้นที่จะนึกถึงวิธีการฝังศพแบบคริสเตียนไปเลยก็ได้ เพราะการฝังศพเป็นเพียงพิธีอย่างหนึ่งที่เลียนแบบคนในพระคัมภีร์เท่านั้น ไม่ได้เป็นคำสั่งของพระเจ้าให้ทำศพอย่างนั้นอย่างนี้ ทางออกที่ดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ การนำศพไปเผาในเตาเผาศพของสุสานของเทศบาลนั่นเอง แล้วเก็บกระดูกใส่หม้อไปโรยแม่น้ำ หรือเอาไปฝังดินก็นับว่าเป็นการจบสิ้นแล้ว
สำหรับแก่นแท้ชีวิตมนุษย์ มนุษย์แท้ไม่ได้อยู่ในร่างกายที่ตายแล้ว แต่ตัวตนของมนุษย์แท้เป็นวิญญาณ วิญญาณนี้จะกลับไปหาพระผู้สร้าง คือพระเจ้านั่นเอง ส่วนวิญญาณที่ไม่มีพระเจ้าเป็นผู้ดูแล ปกครอง เนื่องจากอยู่นอกอาณาจักรของพระเจ้า ก็จะต้องล่องลอยไปไหนก็ไม่รู้ บางกลายเป็นสัมภเวสี บางเป็นวิญญาณเร่ร่อน เที่ยวหลอกหนอนชาวบ้าน บางไปอยู่ตามที่รกร้างกันดาร บางวิญญาณอาจไม่ได้ไปไหน เพราะต้องไปทำหน้าที่เป็นผีบรรพบุรุธให้รุ่นลูกรุ่นหลานกราบไว้ต่อไป ตามคติความเชื่อของคนไทยเรื่องการกราบไหว้และเลี้ยงผีบรรพบุรุธนั่นเอง
วิญญาณเหล่านี้วันหนึ่งก็ต้องถูกรวบรวมเข้าไปสู่บัลลังค์แห่งการพิพากษาโทษ ของพระเจ้าอย่างแน่นอนตามที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
ในปัจจุบันแม้แต่คนที่อยู่ในศาสนาคริสต์ก็ขมเหงกันเอง โดยเข้าใจว่าเป็นการรับใช้พระเจ้า เป็นการปกป้องพระศาสนา และการสร้างอาณาจักรของกลุ่มคณะให้เข้มแข็ง การข่มเหงมีหลายรูปแบบเช่น การไม่รับเข้าร่วมกลุ่ม การไม่รับรองสถานะเป็นคริสตจักร การไม่รับจดทะเบียนเป็นสมาชิกภายใต้สังกัด การส่งจดหมายลับเวียนไปบอกว่าเป็นลัทธิเทียมเท็จ การลงข่าวโจมตี กล่าวหาว่าสอนเท็จ การห้ามไม่ให้คบหาสมาคมด้วย การสั่งการจากผู้นำไม่ให้สมาชิกเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ กับกลุ่มผู้เชื่อที่ไม่ใส่คริสตจักรที่เข้าสังกัดในกลุ่มของตน เป็นต้น
ดังนั้นผู้เชื่อแท้ของพระเยซูจึงต้องรับการขมเหงนานาประการกว่าจะได้รับความรอดพ้น และเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า
นับได้ว่าการ เปลี่ยนจากความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ การกราบไหว้วิญญาณหันมานับถือพระเยซูคริสต์ เป็นความขัดแย้งทางความเชื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้เชื่อใหม่ต้องต่อสู้กับความคิดและ "ประเพณีของคนส่วนใหญ่ของสังคม ต้องขัดแย้งกับแนวปฎิบัติตัวของวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับ การทำบุญ การทำทานเพื่อชาติหน้า การถวายของแก่วิญญาณรูปเคารพ การกราบไหว้วัตถุธาตุ ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ การเข้าทรงในพิธีกราบไหว้ครูบาอาจารย์ การไหว้วิญญาณบรรพบุรุธ การกราบไหว้พญานาค ต้นไม้ประหลาด การกราบไหว้ขอหวยจากสิ่งแปลกๆ สิ่งเหล่านี้มีรากแก้วที่หยั่งลึกเข้าไปในจิตใจคนจำนวนไม่น้อย มีคำไม่มากนักที่จะกล้าแลก
น่าจะบอกได้ว่าการมาเชื่อพระเยซูเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตเลยก็ว่าได้ คือพูดง่ายๆ ว่าเป็นการเอาความอยู่ดีกินดี ความสบายมาแลกกับความลำบากเหมือนการเอาครกตำข้าวหินสมัยโบราณ เอามาเข็นขึ้นภูเขา ไม่เข็นแค่วันสองวันนะ แต่ต้องใช้เวลานานเหมือนกัน จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อ โตจนกระทั้งยกทั่งเหมือนยกเข็มนั่นแหละ ผู้ที่เชื่อพระเยซูจริงๆ จะทรหดเหมือนแรดก็ว่าได้
ในรูปนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้เชื่อพระเยซูต้องเอาไม้กางเขนใหญ่ของพระเยซูมาแบกใสบ่าแล้วเดินขึ้นเขา เพื่อมุ่งหวังให้ไปถึงเป้าหมายที่อยู่บนดอยสูง ชีวิตผู้เชื่อพระเยซูแท้ที่แสดงตนเป็นสาวกของพระเยซูเป็นเช่นนี้จริงๆ เลยก็ว่าได้ แต่มีคนที่ยอมติดตามพระเยซูแบบนี้ไม่มากนัก ส่วนหนึ่งเพราะขาดความรู้เรื่องพระเจ้า ถ้าไม่ได้ศึกษาลึกซึ้ง ไม่เข้าถึงพระคริสต์ ก็จะเป็นแค่การนับถือศาสนาเท่านั้น ผมกล่าวหลายครั้งว่า ศาสนาไหนก็สอนให้เป็นคนดีเหมือนกัน
แต่เชื่อใหม่ครับ แม้ว่าการเป็นผู้เชื่อแท้ของพระเยซูจะลำบากเหมือนแบกของหนักขึ้นเขา แต่ยังมีผู้คนเป็นล้านๆ คนที่ได้ทำสำเร็จมาแล้ว คนเป็นล้านๆ คนได้ถูกฆ่าตายไปก่อนวัยอันควรเพราะเขารู้จักพระเยซู และได้ยอมรับเอาพระองค์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
พระเยซูเองได้บอกไว้ด้วยพระองค์เองว่า การจะเป็นผู้เชื่อระดับสาวกของพระองค์นั้นต้องลงทุนสูงเพียงใด
พระเยซูจึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า
“ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเองและรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา
[พระธรรมลูกา 9:23]
ท่านละครั้งท่านจะกล้าเป็นคนหนึ่งที่อยากจะประกาศตัวว่าเป็นผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ พระเจ้าองค์เที่ยงแท้ที่ไม่ได้ถูกสร้างจากจินตนาการ ด้วยมือมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้าที่เป็นเพียงวัตถุธาตุที่ตามมนุษย์มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า การเปิดใจรับเชื่อพระเยซูเป็นเรื่องง่าย แต่การที่จะติดตามพระเจ้าองค์นี้มันไม่ง่าย บางครั้งต้องลงทุนสูงมาก แต่ผลแห่งการลงทุนผมบอกไปแล้ว ไม่ใช่ผมเอง แต่มีคำเขียนไว้ เป็นพระสัญญาขององค์พระเยซูคริสต์เอง ท่านว่าคุ้มหรือไม่กับการลงทุนนี้ ท่านต้องเลือกเอง
ขอพระเยซูเจ้าอวยพระพร
>>> คลิก อ่านข่าวการข่มเหงคริสเตียนในเกาหลีเหนือ<<<
การข่มเหงคริสเตียนที่เป็นทหารในสงคราม
เผาคริสตจักรผาด่าน อ.แม่ทา จ.ลำพูน วอด
ฝากข่าว วอนขอพี่น้องคริสเตียนออกมาอธิษฐานเผื่อ
และออกมาเคลื่อนไหวเพื่อพี่น้องคริสเตียนที่ คริสตจักรผาด่าน
จ.ลำพูนถึงเวลาแล้วครับพี่น้อง คืนวันที่ 27 มกราคม 2008 เวลา 19.00 น.
เป็นวันที่ครบ 2
เดือนเต็มที่ชาวบ้านออกมาข่มขู่ว่าจะมีเรื่องใหญ่หากคริสเตียน 15
ครัวเรือนไม่ยอมย้ายออกจาหมู่บ้านไป วันนี้ได้รับนรายงานจาก อ.กิตติคุณ
มีแตง ผู้ประสานงานกลุ่มสยาม ประจำเชียงใหม่ กรณีเกิดเหตุที่ลำพูนว่า
คริสจักรผาด่านถูกเผาวอดแล้ว อาคารสอนเด็กรวีฯ
และอาคารคริสตจักรบางส่วนได้ไหม้ไป
40% หลังคาถูกก้อนหินปาไส่เสียหายทั้งหลังประมาณความเสียหาย
60000-100000 บาท ผู้ไม่ประสงค์ดีประมาณ 10 คนได้พากันปาก้อนหิน
และไม้ใส่หลังคาคริสตจักร และบ้านของสมาชิกอีก2 หลังได้รับความเสียหาย
พร้อมกับยิงปืนขู่
สงสาร
พี่น้องคริสเตียนกลุ่มนี้ที่ถูกกระทำ
น่าเห็นใจที่พวกเขาต่อสู่โดยปราศจากคนที่อยู่เคียงข้าง
วันนี้ผู้นำคริสตจักรได้เข้าไปแจ้งความที่สถานีตำรวจแล้ว
จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ที่ว่าก็คือว่าพี่น้องเหล่านี้จะอยู่อย่างไรคริสตจักรผาด่าน สังกัดอยู่ในองค์กรคริสตจักรกลุ่มสยามแบ๊บติสต์ ในสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม มีผู้นำชื่อ อ.วรพงษ์ ทาพอ มีสมาชิกประมาณ 40 คน
แหล่งข่าว : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=211270
Tag: เชื่อพระเจ้า, เปลี่ยนศาสนา, ศาสนาเปรียบเทียบ, เป็นคริสเตียนดีอย่างไร, ทำไมต้องเชื่อพระเจ้า, พระเจ้ามีจริงหรือ, การสร้างพระ, การเสกของ, การทำไสยศาสตร์, การเลี้ยงกุมารทอง, เทคนิคการเลี้ยงลูกรอก, การข่มเหงคริสเตียน, ศาสนาพุทธสอนอะไร, ศาสนาคริสต์สอนอะไร, คำสอนเปรียบเทียบ, ศาสนาพุทธกับการไหว้รูปเคารพ, พระเจ้าอยู่ไหน, พระเจ้ามีจริงหรือ
Tag: เชื่อพระเจ้า, เปลี่ยนศาสนา, ศาสนาเปรียบเทียบ, เป็นคริสเตียนดีอย่างไร, ทำไมต้องเชื่อพระเจ้า, พระเจ้ามีจริงหรือ, การสร้างพระ, การเสกของ, การทำไสยศาสตร์, การเลี้ยงกุมารทอง, เทคนิคการเลี้ยงลูกรอก, การข่มเหงคริสเตียน, ศาสนาพุทธสอนอะไร, ศาสนาคริสต์สอนอะไร, คำสอนเปรียบเทียบ, ศาสนาพุทธกับการไหว้รูปเคารพ, พระเจ้าอยู่ไหน, พระเจ้ามีจริงหรือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)