มองมุมกลับ "เทศกาลคริสตมาส" Is Christmas Biblical?

 คิดทางขวาง: เรื่องการจัดงานคริสตมาส

เมื่อวานเพื่อนคนหนึ่งจากออสเตเลีย ส่งอีเมล์มาย้ำ มาซ้ำเติมอีกว่า แท้จริงคริสตมาสไม่ได้ตรงกับวันที่ 25 ธ.ค. (http://shofarhorn.com/archives/pagan-christmas เว็บไซด์ของคนยิว)

ผมเข้าไปอ่านในเว็บนี้คร่าวๆ พอสรุปความย่อๆ ว่าอย่างนี้
ก. การประสูติของพระเยซูไม่ได้เป็นตำนานคริสตมาส แต่เป็นคริสตมาสที่ศาสนาคาทอลิกแต่งขึ้น แล้วกลายเป็นสิ่งที่พวกโปรแตนสแตนท์รับติดมา เหมือนคนอีสานไปอยู่ไหน ต้องทำปลาร้าแม้จะมีกลิ่นเหม็น มีหนอนและชาวโลกทั่วไปรังเกียจ  แต่มันขาดไม่ได้ เพราะกลิ่นปลาร้ามันส่านเข้าไปในวิญญาณของคนลาวอิสานแล้ว
ข. คริสตมาสไม่ใช่เทศกาลอะไรของชาวยิว ไม่มีในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ไม่ใช่เทศกาลของชาวคริสต์ หรือคริสตจักรเริ่มแรกใดๆ เลย ชาวยิวมีเทศกาลอยู่เพิง ปัสกา เทศกาลปูริม ฯลฯ แต่ไม่มีเทศกาลคริสตมาส ไม่ใช่วัฒนธรรมอะไรสักอย่างของศาสนาแม่ของคริสเตียน คือศาสนายูดายเลย



ค.วันคริสตมาส คือการดัดแปลงผสมผสานระหว่างพระกำเนิดของพระเยซูเจ้ากับ พิธีกรรมศาสนาถือผี ไหว้เทพแห่งดวงอาทิตย์ของชาวบาบิโลนโบราณ คือพวกที่ถูกโรมันครอบครองถูกบังคับให้ถือคริสตมาสแทนการถือพิธีถือผีเดิม

ง. คริสตมาสเพิ่งเริ่มทำกันเมื่อผ่าน ค.ศ.400 ปีมาแล้ว โดยศาสนาคาทอลิกเป็นผู้ริเริ่ม แท้จริงการฉลองวันที่ 25 ธ.ค. เป็นการฉลองของพวกนับถือเทพเจ้าแห่งพระอาทิตย์หลายร้อยปีก่อนมาแล้ว

จ. การฉลอง 12 วันก่อนถึงคริสตมาสก็เป็นการดัดแปลงมาจากการบูชาผีของชาวโลก (http:// www.youtube.com/watch?v=t08r4aMuOUE)

ฉ. ปัจจุบันแม้ว่าชาวคริสเตียนที่เป็นอาจารย์ใหญ่ที่ได้ร่ำเรียนผ่านสถาบันฯ ได้รับการศึกษาสูง บางคนสามารถอ่านภาษาต่างประเทศ ภาษาฮีบรู หรือเข้าใจงานวิจัยต่างๆ แต่พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ เพราะมันกลายเป็นวัฒนธรรมทางศาสนา (culture) ที่ยากจะเปลี่ยน

ผู้เขียนบทความจากเว็บไซด์ที่ผมอ้างมา เขาบอกว่า คริสเตียนส่วนใหญ่ต้องการเชื่อในสิ่ง ที่เขาต้องการเชื่อ ไม่สนว่าคุณจะบอกความจริงแก่คุณว่าอะไรเป็นอะไร (Most Christians are going to believe what they want to believe no matter what you tell them. )

ฉ. ผู้เขียนบอกว่า พระเยซูไม่ได้เกิดในช่วงปลายเดือนธันวาคมที่หนาวเกินไปสำหรับคนเลี้ยงแกะในหมู่บ้านใกล้เคียงที่จะเอาแกะไม่นอนตากน้ำค้างแบบนั้นในคืนที่พระเยซูมาประสูติ

ซ. ชาวคริสต์เกือบทั่วโลกจัดงานฉลองวันคริสตมาส และถือวันคริสต์มาสเพื่ออ้างว่าเป็นโอกาสในการประกาศข่าวประเสริฐ แท้จริงการประกาศข่าวประเสริฐแบบนี้พระเยซูไม่ได้สอน ไม่ได้สั่งให้ทำ แต่ที่ทำต่อๆ กันมาเพราะมิชชั่นนารีที่มาตอนแรกๆ ประกาศอย่างไรก็ไม่มีใครสนใจ  จึงหาวิธีจัดงานขึ้นเพื่อดึงดูดคนไทยยากจน ให้มาหาพระเจ้า ด้วยการแจกสิ่งของต่างๆ แจกยา แจกทุน แจกเสื้อผ้า แจกข้าวสาร แล้วจึงกลายเป็นประเพณีอย่างหนึ่งของศาสนาคริสต์ คืองานคริสต์มาสที่มีการแจกของขวัญมากมาย

ซ. ซานต้าคลอส แท้จริงคือตำนานที่แต่งขึ้นใหม่ ไม่มีในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ลุงซานต้ากลายเป็นเพียงตัวชูโรง เป็นตัวละครตัวหนึ่งที่สร้างความสนุกสนานให้มากขึ้น  เพิ่มความบันเทิงในงานฉลองคริสต์มาส   เหมือนกับเป็นตัวจำอวดที่ขึ้นเวทีสลับการแสดงลิเกในการแสดงลิเกสมัยโบราณของไทยเท่านั้น  แท้จริงซาตานไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาที่สามารถมุดเข้ามาในบ้านทางปล่อยไฟเตาผิง คิดดูเถอะ เตาผิงในหน้าหนาวมันร้อนขนาดไหน  ซานต้าสามารถมุดเข้ามาได้

เด็กฝรั่งในปัจจุบันนี้ ถ้าเขามาจากคณะวัฒนธรรมอนุรักษ์  เด็กจะถูกสอนให้คาดหวังว่าจะได้รับบางอย่างจากซานต้า  เด็กจะอธิษฐานถึงซานต้า ขอให้ซานต้าเอาของขวัญมาใส่ถุงเท้าให้  แทนที่พ่อแม่จะสอนให้เด็กๆ อธิษฐานขอจากพระเยซูเจ้า ดันไปอธิษฐานขอจากซานต้าแทน

. พวกอาจารย์ดังชาวคริสต์ที่ชอบต่อต้านอะไร โดยอ้างว่าไม่มีในพระคัมภีร์ อ้างว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่ปรากฎในพระคัมภีร์  และถึงมีก็ไม่ทำถ้าอาจารย์ลุงไม่สอน  อะไรที่ไม่มีปรากฏในพระคัมภีร์พวกเราจะไม่รับ   กลุ่มเราไม่ถือปฎิบัติ  แต่เหตุนี้อาจทำให้อาจารย์กลายเป็นพวกหน้าซื่อใจคด เพราะไม่มีคำว่าคริสตมาสในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลแม้แต่บรรทัดเดียว  แต่พวกเขายังฉลองกันคริสตมาสกันยกใหญ่  บ้างจุดเทียนสารพัดสี  ลงทุนไม่อั้น  เพราะเป็นเทศกาลที่สนุก และได้ของขวัญและใครๆ ก็ชอบไม่เห็นเสียอะไร ใครๆ เขาก็ทำกันมานานแล้ว

พระเยซูสั่งให้ประกาศข่าวประเสริฐ (คำสั่งนะ ไม่ใช่คำสอน) ด้วยการออกไปรักษาคนป่วยให้หาย ขับผี แต่ผู้เชื่อพระเจ้าในปัจจุบันทั้งอาจารย์ใหญ่และอาจารย์น้อย หรือพวกผู้อาวุโสทำไม่ค่อยเป็น ไม่เข้าใจ หลายแห่งยังต่อต้านด้วยซ้ำ อ้างว่าหมดยุคไปแล้ว ไม่เอาไม่ทำ  จึงต้องคิดหาวิธีการของมนุษย์มาทำการประกาศข่าวประเสริฐแทน จึงจัดประกาศด้วยวิธีการสนุกสนาน  และปีหนึ่งส่วนใหญ่ก็จะทำกันวันนี้วันเดียวเท่านั้น  

พวกผู้เชื่อพระเจ้าได้ดึงดูดเอาทรัพย์ที่สะสมจากท้องพระคลังของพระเจ้า  บางครั้งยังไม่พอต้องทำการเรี่ยไรจากคนที่เข้าเป็นสมาชิก หรือแม้แต่บริษัทห้างร้าน คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า คนที่ยังไม่มีความศรัทธาเลย เอามาซื้อของเป็นวัตถุที่ตอบสนองความต้องการของมนุษย์  ซื้อของฟุ่ยเฟือยแจกคนที่เขามีอยู่ของอยู่แล้ว  บางคนมีสมบัติเยอะจนไม่มีที่จะเก็บ

การประกาศข่าวดีด้วยการแจกของในวันคริสตมาส บางแห่งแจกจนหมดตัว ประกาศข่าวประเสริฐที่มีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ด้วยการใช้ดารานักร้อง ดาราดัง ชาวไทย ชาวเกาหลี ใช้ความสวยงามของเนื้อหนังของดาราสาว ใช้ดนตรี ใช้ความสนุกมาเป็นเครื่องล่อ  เป็นตัวดึงดูด ซึ่งก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง  นี่คือวิธีของมนุษย์ใช่หรือไม่ใช่

แท้จริงอาจตัองฟันธงไปว่า การจัดคริสตมาสด้วยความบันเทิง ด้วยการแจกของมักไม่ค่อยได้ผล  เพราะถ้าได้ผลคนไทยทั้งประเทศต้องมาเชื่อพระเจ้าองค์นี้มากกว่า 1 ล้านคนนานแล้ว  นี่ประกาศกันมาแบบนี้สามสี่ร้อยปีแล้ว ได้คนมาเชื่อพระเจ้าแค่หยิบมือเดียว

ในจำนวนนี้ยังไม่ใช่ผู้เชื่อแท้ทั้งหมดนะ ยังนับรวมคนที่ถือศาสนาคริสต์ที่ไหว้รูปเคารพ ไหว้เทพเจ้าหลายองค์  พวกสักยัณห์ สักหนุมานคลุกฝุ่น สักมังกร สักไม้กางเขน เข้าไปด้วยอีกต่างหาก
โบสถ์ใหญ่ที่เกาหลี โบสถ์ที่เขามีสมาชิกเป็นหลายแสนเขาไม่ได้เพิ่มพูนสมาชิกด้วยการแจกของ ลองไปศึกษาดู เขาประกาศด้วยการวางมือรักษาโรค ขับผี  และเยียวยาด้านจิตวิญญาณ

กลุ่มที่ไปศึกษาดูงานคริสตจักรเกาหลี พอไปกลับมาแล้วก็คุยเรื่องสมาชิกเขาเยอะ คุยเรื่องวินัยฝ่ายวิญญาณของคนเกาหลี  แต่ไม่ยอมเผยว่าที่มีสมาชิกเป็นแสนๆ นะ คือพวกพระวิญญาณทั้งนั้น คือเป็นพวกเสียงดัง ไม่มีระเบียบ  ร้องๆ เต้นๆ  บ้างก็เหมือนเจ้าเข้า
 ลองคิดดูนะครับเป็นไปได้ไหมที่พระกิตติคุณที่เริ่มต้นด้วยการแจกสิ่งของฟรีๆ คนไทยจึงไม่ค่อยเห็นคุณค่าของพระกิตติคุณที่แลกมาด้วยการแจกของ แจกทุน 

เมื่อคนได้รับสิ่งของแจกฟรีไม่เห็นคุณค่า  พระกิตติคุณกลายเป็นของแถบ  ทั้งๆ ที่เป็นของแท้ ของสำคัญ  ไหนเลยใครยอมแลกเอาด้วยการเสียสละอย่างสูงเพื่อรับเอากิตติคุณนี้

ดังนั้นเราจึงพบว่าคริสตจักรส่วนใหญ่จึงยากจน และอาจารย์ก็อยู่อย่างลำบาก ต้องอธิษฐานอย่างหนัก กว่าจะเลี้ยงตัวรอดตัวได้ เพราะผู้เชื่อไม่รู้จักคุณค่าของพระกิตติคุณที่เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งการปลดปล่อย  พวกเขาจึงคิดจะตอบแทนเล็กๆน้อย แก่ผู้ทำการของพระเจ้าตามขนาดความเชื่อของพวกเขานั่นเอง
สำนักหลายแห่งจัดคริสตมาสด้วยการตีฆ้องร้องป้าว  จัดเวทีใหญ่เสียเงินทุ่มเงินเป็นแสนๆ แต่ไม่ค่อยได้ผลเลย  ผมได้รับทราบข่าวเนื่องๆ ว่าโบสถ์รวยๆ ในกรุงเทพจัดคริสตมาสแต่ละที  ต้องใช้จ่ายหมดเป็นแสนๆ บางแห่งหมดเป็นล้านถ้าได้เงินนอกมาหนุน 

ถ้าใครมีความสุขกับการประกาศข่าวประเสริฐด้วยวิธีที่พระเยซูไม่ได้สั่งให้ทำ แต่ยังอยากทำอยู่  เพราะมันเป็นประเพณี  ทำมานานจนลืมคิดถึงความจริง   การประกาศด้วยวิธีการที่มนุษย์คิดขึ้นเอง ใช้เงิน ใช้อาหาร ใช้ความบันเทิง ใช้ไฟ  แสง สีเสียง เอาเนื้อหนังเข้าล่อ ทำกันมาจนเป็นวัฒนธรรม ทำแล้วได้วิญญาณมารอดบาปบ้าง ก็จงทำต่อไป

แต่ถ้าคิดว่าทำแล้วเป็นวิธีการของมนุษย์  เสียงบเสียเวลา เสียกำลัง เสียหลายอย่าง  บางที
คริสตจักรต้องหยุดคิดนิดหนึ่ง  แล้วหันกลับมาประกาศตามแบบที่พระเยซูสั่งให้ทำมากขึ้น  กลับมาฉลองการประสูติของพระเยซูแบบธรรมดา แบบการกินอาหารพิเศษ ทำกันแบบครอบครัว ทำแต่พอเพียง ประกาศข่าวประเสริฐในเทศกาลคริสตมาสด้วยการวางมือรักษาคนป่วย  นำคนมาด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระกิตติคุณของพระเจ้า ก็น่าจะดีนะครับ

ยังมีอีกเยอะ หากใครสนใจมากกว่านี้ และอยากรู้ความจริงมากขึ้น ลองเข้าไปสืบค้นอ่านเอง ไม่ได้มีเว็บเดียวนะครับ มีเว็บและคลิปแบบนี้เป็นพันๆ เราเรียนรู้ไว้ไม่เสียหลายครับ เรียนรู้เท่านั้นนะครับ ไม่ได้ตัดสินว่าอะไรเป็นอะไร ผู้อ่านวินิจฉัยเองครับ

อ่านแล้วอย่าโกรธผมนะครับ ผมเอามาถ่ายทอด ผมขอออกความเห็น ตามความคิดของคนที่เชื่อพระเจ้าคนหนึ่งเหมือนกัน  สิ่งเหล่านี้อาจมีคนเคยคิดแต่ไม่กล้าเขียน  อาจมีคนเคยจัด
คริสตมาสมาหลายปีจนเหนื่อยจนล้า  คริสตมาสกลายเป็นภาระต้องหาเงินมากลบงบรายจ่ายที่สูงขึ้นทุกปี  จัดแล้วคนจัดได้หน้า หรือพระเยซูได้รับพระเกียรติ  จัดแล้วคนหายบาป คนหายป่วย ก็ทำไปเรื่อยๆ  แต่ถ้าทำแล้วรู้สึกเบื่อกับการตำน้ำพริกที่มีอยู่ไม่มาก เอาไปละลายน้ำท่วมกรุงเทพ  ผมว่าอาจถึงเวลา ปฏิรูปแนวทางนะครับ

นี่คือแนวคิดมุมขวางนะครับ คือการมองในสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่ได้พูดถึง ใครได้รับทราบ รับฟังแต่จะเชื่อไม่เชื่อ แล้วแต่ปัจเจกบุคคลครับ นักการศาสนาแนวอนุรักษ์ อาจโมโหบ้าง แต่หากท่านปิดหูปิดตา  ไม่ไตร่ตรองดูบ้าง ท่านอาจเจ็บตัวไปอีกหลายปี แต่ไม่ได้อะไรคุ้มค่า

ก่อนหน้านี้ผมก็ทำมาหลายปีเช่นกัน อาจารย์ซีเนียร์พาสเตอร์ก็ทำแบบที่ผมว่ามานี่แหละครับปีแล้วปีเล่า  จนโบสถ์เก่าที่ผมออกมา ได้พบฤทธิ์เดช ผมจึงมาถึงบางอ้อว่า  อะไรเป็นอะไร



อัครทูตเปาโลได้เขียนไว้ในหนังสือพระธรรม 1 โครินธ์บทที่ 2 ดังนี้

คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่คำที่เกลี้ยกล่อมด้วยสติปัญญา   แต่เป็นคำซึ่งได้แสดงพระวิญญาณและพระเดชานุภาพเพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้อาศัยสติปัญญาของมนุษย์   แต่อาศัยฤทธิ์เดชของพระเจ้า

เราทั้งหลายไม่ได้รับวิญญาณของโลก   แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า   เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆ   ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่เรา

เรากล่าวถึงเรื่องสิ่งเหล่านี้   ด้วยถ้อยคำซึ่งมิใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้   แต่ด้วยถ้อยคำซึ่งพระวิญญาณได้ทรงสั่งสอน   คือเราได้อธิบายความหมายของเรื่องฝ่ายวิญญาณ   ให้คนที่มีพระวิญญาณฟัง
 
แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น   ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้   เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้   เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ

อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้   แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ   แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่   เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า   จะได้รู้ว่าอะไรดี   อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม   [โรม 12.2 ]

“เพราะผู้ใดกระทำสิ่งพึงรังเกียจเหล่านี้   ให้อเปหิผู้กระทำนั้นเสียจากชนชาติของตน เมื่อท่านทั้งหลายเข้าไปในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน   ท่านอย่าเรียนรู้ที่จะกระทำสิ่ง พึงรังเกียจตามประชาชาติเหล่านั้น

[ เฉลยธรรมบัญญัติ 18:9:]


ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก   โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของโลก   แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก   เพราะเราได้เลือกท่านออกจากโลก   เหตุฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังท่าน 
[ยอห์น 15:19:]

HOME: http://reewat.blogspot.com
Tags: การฉลองคริสตมาส, ประวัติวันคริสตมาส, คริสตมาสเริ่มแรก, กำเนิดวันคริสตมาส

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)