คริสเตียนถวายเครื่องบูชาอย่างไร How do Christians do offering?

 เราจะถวายเครื่องบูชาต่อพระเจ้าอย่างไร

มีคำถามจากกลุ่มคริสตจักรบ้านในเฟซบุ๊ค: กล่าวถึงเรื่องการถวายดังนี้

ก่อนเขามาเป็นคริสเตียน เขาชินกับไปฟังเทศน์หลายๆ วัด แต่ตอนนี้มาเป็นคริสเตียนแล้วจำเป็นหรือไม่ที่ต้องไปคจ.แห่งใดแห่งเดียว ไปหลายๆ ที่ได้หรือไม่ ไม่ใช่ทัวร์ แต่เพราะอยากไปรับพรจากหลายๆ ที่ และก็อยากร่วมรับใช้กับหลายๆที่ด้วย

คำถาม คือว่า การถวายเครื่องบูชาให้กับพระเจ้า จะถวายผ่านไปทางไหนจึงจะถูกต้อง เหมาะสม และเกิดประโยชน์

การถวายทรัพย์ถือเป็นการถวายเครื่องบูชาอย่างดี  เป็นการนมัสการพระเจ้าอย่างหนึ่ง มีข้อพระคัมภีร์หลายๆ ตอนที่กล่าวถึงเรื่องการถวายเป็นร้อยๆ ข้อ

ทำไมเราต้องถวายต่อพระเจ้า บทความต่อไปนี้อาจช่วยตอบคำถาม เพื่อสร้างความกระจ่างหรืออาจสร้างความสงสัยเพิ่มขึ้นกับท่านได้ ดังนี้






1. พระเจ้าปรารถนาให้ประชากรของพระเจ้า แสดงความกตัญญูต่อการปกครอง คุ้มครอง การอวยพร การจัดสรรสิ่งดีของพระองค์ด้วยการแสดงออกถึงการเสียสละ


“บรรดาผู้ชายทั้งสิ้นจะต้องเข้า มาเฝ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านปีละสามครั้ง   ณ สถานที่ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้   คือ   ณ เทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ   เทศกาลสัปดาห์  และเทศกาลอยู่เพิง   อย่าให้เขาไปเฝ้าพระเจ้ามือเปล่าๆ"
เฉลยธรรมบัญญัติ 16:16:

จงถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อตามเวลาที่กำหนด ไว้ในเดือนอาบีบ   อันเป็นเดือนซึ่งเราบัญชาไว้   เจ้าจงกินขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวันตามที่เราสั่งเจ้าไว้แล้ว   เพราะในเดือนนั้นเจ้าออกจากอียิปต์   อย่าให้ผู้ใดมาเฝ้าเรามือเปล่าเลย"
อพยพ 23:15:

"อย่าให้ผู้ใดมาเฝ้าเรามือเปล่าเลย" หมายความว่า เมื่อมานมัสการพระเจ้าอย่ามาแต่ตัวเปล่า ให้เตรียมสิ่งของต้องถวายมาด้วย

คริสเตียนที่เติบโตแล้วความเชื่อในความเชื่อมักจะ

- นำอาหาร ขนม หรือผลไม้มาฝากอาจารย์ผู้สอนตน หรือแบ่งปันแก่พี่น้องด้วยความยินดี (ขอย้ำว่าด้วยความเต็มใจและ ด้วยยินดี นะครับ)

- นำซองถวายมาจากบ้าน หรือเตรียมสิ่งของถวายมาจากบ้านด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่ ล้วงจากกระเป๋า ใส่เหรียญสิบบาท หรือแบงค์ยี่สิบเมื่อมีถุงบริจาคหรือถุงถวายเงินผ่านหน้า เป็นการถวายด้วยความจำใจ เพราะกลัวเสียหน้าจึงถวายไปงั้นๆ แหละ ไม่ได้ตั้งใจถวายอย่างแท้จริง  การถวายแบบนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย  เพราะไม่ได้เกิดจากเจตนา หรือความตั้งใจถวาย

- เมื่อฟังเทศนาของอาจารย์ใหญ่ หรืออาจารย์น้อยที่เราได้รับพระพร เมื่อจบการเทศนา ผู้เชื่่อที่เข้าใจเรื่องการถวายจะนำเงินใส่ซอง แอบมอบให้กับอาจารย์เสมอ เพราะเขารู้ว่าผู้รับใช้คนนี้คือดินดีที่เกิดผลหลายเท่า เขาจึงเอาเมล็ดแห่งความเชื่อหว่านลงไปในดินดีนั้น เขาคาดหวังว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรเขามากขึ้น  และก็จะเป็นไปตามความเชื่อของผู้ถวายอย่างแน่นอน

- เมื่อผู้เชื่อได้รับการรับการอธิษฐานวางมือ หรือได้รับการหายโรคจากคำอธิษฐานของอาจารย์ หรือผู้เชื่ออื่นที่อธิษฐานเผื่อเขา เขาจะแสดงการขอบคุณด้วยการถวายอาหาร หรือถวายทรัพย์  หรือปัจจัยให้กับอาจารย์ คริสตจักรหรือพันธกิจนั้น ตามกำลังศรัทธา ตามวาระและโอกาส

น่าเสียดายที่ผมได้พบว่า ยังมีคริสเตียนอีกไม่น้อยที่ไม่รู้จักการขอบคุณพระเจ้า พี่น้องคริสเตียนหลายคนที่เคยได้รับพระพรจากพระเจ้าผ่านผู้รับใช้   พอเขาได้รับพรแล้วก็ลืม  บางคนหายโรคแล้วก็ไม่เคยคิดขอบคุณพระเจ้า ทั้งที่ตอนเขาเจ็บป่วย ร่างกายไม่สมบูรณ์ต้องไปหาแพทย์ เสียค่ายาหมดเป็นหมื่นๆ  เสียทั้งเวลา เสียการเสียงาน คนที่อยู่ข้างพลอยเสียการเสียงานไปด้วย เมื่อหายแล้วก็ไม่ต้องเสียเงิน แต่ก็ไม่คิดถวายอะไรเป็นการขอบคุณพระเจ้า หรือถวายให้ผู้ปรนนิบัติเขาเลย นี่แหละน้ำใจมนุษย์บาปหนา

ผมเคยเสียมวยให้กับ คนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนคนหนึ่ง ผมพบเขาที่ต่างประเทศ พอเขากลับมาเมืองไทย เขามาทำธุรกิจใหญ่  ประมาณว่า เป็นระดับผู้บริหารใหญ๋ หากได้ตำแหน่งแล้วจะรวยเพิ่มขึ้น เขาโทรศัพท์มาบอกให้ทีมของเราช่วยอธิษฐานอวยพรเขา เพราะเขารู้ว่ามีการทรงสถิตในคำอธิษฐานของผู้เชื่อ  แต่พอเราอธิษฐานอวยพรให้ไปหลายครั้ง ต่อมาเขาก็ขอให้เราช่วยโน้นช่วยนี่  แต่พอถึงเวลาเขาก็ลืมนัดที่ให้เราไปช่วย และลืมเรื่องสัญญาถวายด้วย  ผมจึงต้องกลับใจใหม่ขอโทษพระเจ้าที่เห็นแก่คำสัญญาถวายเป็นแสนๆ ของเขา

คริสเตียนบางคนมีนิสัยชอบเที่ยวไปขอให้ใครต่อใครอธิษฐานให้  บางคนชอบโพสให้ใครๆ อธิษฐานเผื่อคนโน้นคนนี้  แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลรายละเอียดอะไรสักอย่าง บางครั้งชื่อก็ยังไม่บอก  บางคนก็ใช่ชื่อปลอมๆ มาขอให้อธิษฐาน  คนที่ชอบขออธิษฐาน  โดยเฉพาะถ้าเขารู้ว่าอาจารย์คนไหนมีการเจิม เขาจะขอให้อธิษฐานอวยพร อธิษฐานเผื่องาน เผื่อเงิน  เผื่อสารพันปัญหา แต่พอหายแล้ว ได้รับคำตอบพอใจแล้ว กลับไม่แสดงการขอบคุณใดๆ เลย 

นี่แหละนิสัยที่ต้องแก้ไขในคริสเตียนบางคน บางกลุ่มที่ไม่มีการสอนเรื่อง "ความกตัญญูรู้คุณ" อาจเป็นไปได้ว่ามัวแต่สอนเรื่องการไปสวรรค์มากเกินไป จนลืมสอนเรื่องการปฎิบัติตัวต่อผู้รับใช้ และคนของพระเจ้า

ใครที่ไม่เคยรับรู้ ไม่เคยคิดว่า การไปหาผู้รับใช้พระเจ้าเพื่อขอการช่วยเหลือต้องทำอย่างไร ลองไปอ่าน หนังสือ ๑ ซามูเอล บทที่ ๙ ดูสิ ว่า ตอนที่แม่ลาของ ซาอูลหายเขาทำอย่างไร

เมื่อมีปัญหาต้องการคำตอบ ต้องการความช่วยเหลือ ต้องการแรงงาน ต้องการเวลาของผู้รับใช้ที่เขามีพลังในการอธฺิษฐานให้ช่วยเหลือแต่ตนเองไม่ลงทุนอะไรสักอย่าง ผมว่า คุณต้องกลับใจใหม่นะคุณผู้เชื่อทั้งหลาย  เพราะเวลาคุณไปหาผู้รับใช้ เขาต้องสละเวลาคุยกับคุณ รับฟังปัญหาของคุณ มีภาระใจกับเรา และเราจะไม่แสดงความกตัญญูบางเลยหรือ 

ผมมีประสบการณ์ดีๆ เสมอสำหรับพี่น้องที่มาขอรับการช่วยเหลือ หลังจากที่พวกเขาหายดี หรือได้รับคำตอบพวกเขาถวายเข้ามาเป็นระยะคนละเล็ก คนละน้อยเพื่อเป็นเหมือนฉนวนจุดระเบิดส่งจรวดให้ดันขึ้นสูงไปอีก เพื่อเป็นพระพรสำหรับคนอื่นๆ อีกมากมาย  เพราะเขาทราบดีว่า พระเจ้าดีแน่นอนแต่ถ้าไม่มีคนที่อุทิศตัวเพื่อการรับใช้ ไม่เสียสละเวลา และความลำบาก ผู้รับใช้ก็คงเป็นแค่นักการศาสนาที่ช่วยอะไรใครไม่ได้ นอกจากสอนคนให้เป็นคนดี  เป็นสมาชิกที่ดีให้นั่งฟังอย่างเชื่อฟังในโบสถ์เท่านั้น

นอกจากเรื่องการถวายแล้ว  แท้จริง ผู้เชื่อพระเจ้าควรจะถือเทศกาลตามวาระและโอกาสต่างๆ เช่นการถืออด  การถวายผลแรก  การถวายตามใจสมัครในโอกาสต่างๆ การจัดการเลี้ยงจากเงินสิบลดปีที่สาม 

การถือเทศกาลต่างๆ นี้ย่อมทำขึ้นตามความสมัครใจ เพื่อแสดงออกถึงการเข้าร่วมเป็นประชากรของพระเจ้า การที่เราจะรู้ว่าใครเป็นคนประเภทไหน เราก็ต้องดูว่าเขาพูดภาษาอะไร เขาถือวัฒนธรรมอะไร  แต่คริสเตียนแต่ละประเทศ  หลายกลุ่มไม่ถือวัฒนธรรมยิว แต่ถือตามวัฒธรรมก่อนเป็นผู้เชื่ออยู่  หมายความว่า ยังถือประเพณีเกี่ยวกับศาสนาที่นับถือวิญญาณอยู่  เช่นการไปลอยกระทง  การดำหัว การผูกข้อมือ  การบายศรี  การลงเสาเอก  การถือครบรอบคนตาย  การถือเทศกาลเช้งเม้ง  การไปรวมตัวกันที่สุสานเหมือนกับศาสนาอื่นๆ ตามกำหนดแต่ละปี 

การถือวัฒนธรรมตามแบบในพระคัมภีร์เป็นถือเพื่อเป็นการแสดงถึงการเป็นประชากรของพระเจ้าด้วย แต่คริสเตียนไทยไม่ได้ถือตามอย่างยิว แต่ถือตามที่คณะของตนกำหนด เป็นวันระลึกต่างๆ ตามแบบร่างเดิมของศาสนาโรมันคาทอลิกเป็นส่วนใหญ่

2. การถวายต่อพระเจ้าเป็นความสมัครใจตั้งแต่เริ่มแรก


ในหนังสือปฐมกาลบทที่ 4 ได้กล่าวถึงการถวายต่อพระเจ้าครั้งแรก เป็นการถวายด้วยความเต็มใจ ไม่ได้เป็นการบังคับ แต่เกิดจากการรู้สึกซาบซึ้งถึงพระคุณของพระเจ้า  แต่น่าเสียดายที่การถวายครั้งแรก ก็เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว คือ คาอินถวายแล้วก่อให้เกิดความเสียใจอย่างใหญ่หลวง เพราะเขาเกิดอิจฉาและได้ฆ่าน้องโดยเจตนา เมื่อเขาได้รับรู้ว่าพระเจ้าโปรดปรานเครื่องถวายบูชาของอาเบล

พระคัมภีร์กล่าว่า

"ก็เพราะการกระทำของเขาชั่วและการกระทำของน้องนั้นชอบธรรม " [ 1 ยอห์น 3.12 ]

3.การถวายเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณ  เป็นการตอบแทน ต่อการอวยพร การคุ้มครองป้องกันภัยอันตราย สวัสดิภาพของผู้เชื่อต่อพระเจ้า


  เมื่ออับราฮัมบรรพบุรุธของ คนยิว และคนอาหรับ ได้กลับจากการศึกกับกษัตริย์เมืองที่มาปล้นเมืองโสโดม และได้จับเอาตัวของโลท  หลานชายผู้ที่เอาเปรียบ  ผู้ที่อับราฮามพามาเผชิญโชคด้วยกัน  แต่เขากลับเลือกทำเลทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่ดีกว่า  แต่ต่อมาโลทถูกผู้ปล้นเมืองจับตัวไป

อับราฮัมได้พาคนเพียง 318 คนไล่ติดตาม และรบเอาชนะกองทัพของข้าศึก  เมื่อท่านกลับมา มีกษัตริย์เมืองซาเล็ม และเป็นปุโรหิตสูงสุด นำอาหารมาให้ท่านกิน และยังอวยพรท่าน  อับราฮัมแสดงความความกตัญญูด้วยการถวายสิ่งของที่ท่านยึดมาได้ 10 เปอร์เซนต์ให้กับเมลคีเซเด็ด
(แสดงได้เห็นว่า การถวายสิบลดต่อพระเจ้ามีมาก่อนมีธรรมบัญญัติด้วยซ้ำ)

พระเจ้าประทานสิ่งเหล่านี้แก่ผู้เชื่อ เขาจึงแสดงควรออกด้วยความกตัญญูต่อพระเจ้า

ก. ธรรมชาติที่เป็นสิ่งพยุงชีวิต  สายน้ำ สายฝน อากาศ สายลม แสงแดด และสิ่งค้ำจุนชีวิต
ข. สุขภาพ กำลังร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และความเข้าใจ ความรอบรู้
ค. ความสันติภาพ  ความสุข  ความมั่งคั่ง ครอบครัวและเพื่อน และมิตรภาพ
ง. สวัสดิภาพ ความสำเร็จ ความแคร้วคราดจากอันตราย และภัยพิบัติต่างๆ 


4. ผู้เชื่อสมควรถวายผลแรกของผลิตผลให้กับพระเจ้าผ่านทางปุโรหิต หรือผู้นำเราเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า

เมื่อพระเจ้าสั่งให้คนยิว เข้ายึดครองแผ่นดินคานาอัน  พระเจ้าสั่งว่า อย่าแตะต้องสิ่งของใดๆ หรือเอามาเป็นของตน ให้เผาให้หมด แต่สิ่งที่เป็นเงินเป็นทองให้เอามาถวายในพระคลังของพระเจ้า

พระคัมภีร์กล่าวว่า 

"ส่วนเมืองนั้นเขาก็จุดไฟเผาเสียทั้งสารพัดที่อยู่ในเมืองนั้น   นอกจากเงินและทอง   และเครื่องใช้ที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์และด้วยเหล็กนั้น   เขานำมาไว้ในคลังในพระนิเวศของพระเจ้า"
  [ โยชูวา บทที่ 6 ข้อ 24 ]

คนยิวได้ถวายผลแรกในการยึดครองแผ่นดินต่อพระเจ้า ทั้งพืชผล และการปล้นในสงครามด้วย เราสังเกตได้ว่า เมื่อชาวยิวยึดเมืองต่อๆ มา พวกเขาได้ยึดเอาเงินทอง ทรัพย์สิ่งของ และสัตว์เลี้ยงแบ่งกันไป

พระเจ้าสั่งให้ชนชาติผู้ที่เชื่อพระเจ้าให้ ดูแลเลี้ยงดูตระกูลของผุ้รับใช้ และให้ถวายผลแรกแก่มหาปุโรหิต  ผู้ที่ทำหน้าที่อธิษฐานอวยพร  และขอการยกโทษให้แก่พวกเขา

ในทัศนะของผม ผมขอหนุนใจให้ใครก็ตามที่ได้กลับใจมาเชื่อพระเจ้าและได้มาเป็นลูกพระเจ้า  เมื่อได้รับการสร้างใหม่ ขอให้ท่านจงถวายส่วนหนึ่งแด่คนที่เป็นครูคนแรกของท่าน หรือคริสตจักรแรก  ที่นำท่านมาถึงความรอดในพระเจ้า (คนที่นำท่านกลับใจ คนที่ไปเป็นพยานนำท่านมาถึงความรอด)

อย่างไรก็ตาม คริสตจักรต่างๆ ไม่ได้สอนเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะว่า การนำเงินไปถวายให้กับผู้รับใช้พระเจ้าทั้งที่มีตำแหน่งและไม่มีตำแหน่ง คนที่พาคุณมาถึงความรอด มารู้จักแสงสว่างในชีวิตอาจทำให้ผลรายได้คริสตจักรที่คนอยู่ปัจจุบันขาดรายได้  

มาถึงตรงนี้ ผมขอสะท้อนความคิดให้คุณหน่อยว่า คุณเคยคิดถึงคนนั้นไหมที่เขาลงทุนเพื่อให้คุณหลุดพ้นบาป  พ้นจากอำนาจมารร้าย คนที่สั่งสอน และอธิษฐานเผื่อคุณ  คอยเป็นที่ปรึกษาคุณ ในแต่ละปี ในเทศกาลแห่งความสุข  เมื่อคุณได้รับความสุข  คุณได้มาอยุ่ในแผ่นดินที่ไม่หวั่นไหว แล้ว คุณคิดถึงเขาเหล่านั้น หรือเปล่า  ขอพระเจ้าอวยพรคุณให้รับรู้ว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"

ผมขอหนุนใจว่า "จงถวายแก่คนนั้นที่นำท่านมาถึงพระเจ้าคนแรก จงถวายผลแรกใดๆ แก่พระเจ้าผ่านคนนั้นที่นำท่านเข้ามาสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญาเถิด" 

ในปัจจุบันคริสตจักรบางกลุ่ม บางแห่งอาจมีพฤติกรรมการแย่งสมาชิกกันมาก  คริสตจักรบางแห่งจึงเน้นให้สมาชิกถวายให้กับคริสตจักรอย่างเดียว เพื่อไม่ให้รายได้รั่วไหลไปไหน นักการศาสนาบางคนชอบชักชวนคริสตชนที่มีโบสถ์อยู่แล้ว  เขามีสถานะเป็นสมาชิกสมบูรณ์ของคริสตจักรอื่นแล้วให้หนีจากโบสถ์เพื่อมาอยู่กับตน อย่างไม่เคอะเขิน 

ผมว่าการไปแย่งสมาชิกสมบูรณ์ของคนอื่นนี้ ไม่เข้าท่าเลยครับ  (ส่วนมากคริสเตียนเขาวัดสถานะการเป็นสมาชิกสมบูรณ์หรือไม่  คือดูจากหลักฐาน  การที่ผู้เชื่อได้รับบัพติสมากับอาจารย์จากโบสถ์นั้นๆ บางครั้งไม่ได้นับที่บัญชีรายชื่อสมาชิกเท่านั้น)

ในข้อนี้  ผมขอหนุนใจให้ผู้เชื่อ ว่าจงถวายแด่ผู้รับใช้ หรือผู้ประกาศที่นำท่านมาถึงความรอดบ้าง ตามวาระ และโอกาสอันเหมาะสม เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เขาในการรับใช้ต่อไป  และคริสตจักรควรจะสั่งสอนให้คนทำเช่นนี้ด้วย ไม่ใช่ใครอยู่โบสถ์ไหน โบสถ์ก็จะเอาหมดเหมือนโบสถ์บางแห่งทำอยู่ในปัจจุบัน 

มีการปกครองใดบ้างที่ไม่มีการเสียภาษี ไม่มีการเก็บค่าใช้จ่าย  การแสดงความขอบคุณพระเจ้าด้วยการถวายทรัพย์สิ่งของ เป็นการช่วยให้คนรับใช้ของพระเจ้าสามารถทำหน้าที่ต่อไปได้  เพื่อช่วยพยุงชีวิตของท่านให้อยู่ดีกินดี  เพื่อช่วยกันบำรุง และค้ำชูชีวิตของคนที่อุทิศตัวให้แก่พระเจ้าแล้ว เพราะคนของพระเจ้าเมื่อทำหน้าที่รับใช้ประชากร ประชากรก็ควรเลี้ยงดูเขาเหล่านั้น เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อพระเจ้าด้วยการแสดงออกถึงความรักต่อคนของพระเจ้า

พระคัมภีร์กาลาเทีย บทที่ 6 ได้กล่าวว่า

 "ส่วนผู้ที่รับคำสอน   จงแบ่งสิ่งที่ดีทุกอย่างให้แก่ผู้ที่สอนตนเถิด"  


5. การถวายทรัพย์ไม่ใช่เป็นการบังคับตามธรรมบัญญัติ แต่ต้องเป็นไปด้วยความเต็มใจเท่านั้

พระคัมภีร์กล่าวว่า

"ก่อนที่ความเชื่อมานั้น เราถูกธรรมบัญญัติกักตัวไว้ ถูกกั้นเขตไว้จนความเชื่อจะปรากฏ เพราะฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงควบคุมเราไว้จนพระคริสต์เสด็จมา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ แต่บัดนี้ความเชื่อนั้นได้มาแล้ว   เราจึงมิได้อยู่ใต้บังคับของผู้ควบคุมอีกต่อไปแล้ว"

[กาลาเทีย 3.23-25]

พระคัมภีร์กล่าวว่า  "ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ  มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี"
[1 โครินธ์ 9.6] 


6. สิบลดแท้จริง คือสิ่งที่ถวายต่อคนที่ปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิต ไม่ใช่เอาไปสร้างตึก หรือซื้อของใช้สำนักงาน

พระคัมภีร์กล่าวว่า  “เราให้ทศางค์ (สิบลด)  ในอิสราเอลแก่คนเลวีเป็นมรดก   เป็นค่าตอบแทนงานที่เขาปฏิบัติ  คืองานปฏิบัติที่เต็นท์นัดพบ [กันดารวิถี 18:21: ]

7. ผู้ที่ทำหน้าที่ปุโรหิตต้องถวายสิบลดของสิบลดคืนไว้ในคลังด้วย

พระคัมภีร์อีกตอนหนึ่งจากพระธรรม กันดารวิถี 18:26: ได้กล่าวว่า

“ยิ่งกว่านั้น เจ้าจงกล่าวแก่คนเลวีว่า   'เมื่อพวกเจ้ารับทศางค์จากคนอิสราเอล  ซึ่งเราให้แก่เจ้าอันมาจากเขา เป็นมรดกของเจ้านั้น   เจ้าจงนำทศางค์ของทศางค์ที่เจ้าได้มานั้นถวายแด่พระเจ้า

ในปัจจุบันนี้เรามักได้ยินเสมอว่า คริสตจักรต่างๆ ต้องส่งเงินเปอร์เซนต์ให้กับคริสตจักรแม่ แต่คริสตจักรย่อยต่างๆ พยายามยักยอกเงิน ด้วยการทำบัญชีปลอมๆ  ส่งเงินไม่ครบตามจำนวนแท้จริง

และที่แย่ไปกว่านี้คือ ผู้รับใช้พระเจ้าจำนวนไม่น้อย  สอนให้คนอื่นถวายสิบลดแต่ตัวเองและครอบครัวไม่ถือปฎิบัติ อาจเป็นเพราะว่าค่าตอบแทนของผู้ทำการมันต่ำมากๆ และไม่พอเพียงเลย  แต่นั่นอาจเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น 

การที่ผู้สอนไม่ถือปฏิบัติก่อนอาจกล่าวสรุปได้ว่า เป็นการเอาภาระหนักให้คนอื่นแบก แต่ตัวเองไม่ทำ  ใครเจอโบสถ์แบบนี้ รีบบอกให้อาจารย์แก้ใขให้ถูกต้อง หากอาจารย์ไม่ทำ แล้วใครจะทำละครับ  ขนาดคนเป็นผู้นำความเชื่อยังไม่ทำแล้วมาสอนคนอื่นให้ทำ

การถวายตามแบบที่อัครทูตสอนไว้ คือการให้ด้วยความยินดี ไม่มีการบังคับ ถือเป็นการหว่านในแผ่นดินของพระเจ้า เพื่อจะได้รับการอวยพรมากขึ้น

อย่างไรก็ตามการถวายต่อพระเจ้ามีคนมักจะสอนว่า ถ้าถวายต่อพระเจ้าแล้วเราจะรวย แน่ทีเดียวถ้าอ้างตามพระธรรมมาลาคีบทที่สาม  คนที่ถวายย่อมได้รับพระพรแน่ๆ แต่ถ้าคนรวยแล้ว ก็ไม่ต้องถวายใช่หรือไม่  และถ้าใครไม่ถวายจะไม่รวยใช่ไหม  แล้วคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าทำไมเขาจึงรวยล่ะ 

นี่คือข้อสังเกตส่งท้าย  ผมอาจจะเขียนไปโดนใจดำใครบางคนก็ต้องขออภัยด้วยถ้ามันขัดกับสิ่งที่คริสตจักรของใครได้ทำแบบอื่น เพราะที่ผมยกมานี้ มีข้อพระธรรมจากพระคัมภีร์เล่มเดียวกันที่คริตชนทั่วโลกอ่านกัน

Original Message from Rice Mu; January 3, 2012

ท่านสามารถทำสำเนาคำสอนนี้เผยแพร์ได้ หากไม่ได้เป็นไปเพื่อการค้า หรือทำหนังสือเพื่อทำกำไร

HOME

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)