การถวายทรัพย์ถือเป็นการถวายเครื่องบูชาอย่างดี เป็นการนมัสการพระเจ้าอย่างหนึ่ง มีข้อพระคัมภีร์หลายๆ ตอนที่กล่าวถึงเรื่องการถวายเป็นร้อยๆ ข้อ
ทำไมเราต้องถวายต่อพระเจ้า บทความต่อไปนี้อาจช่วยตอบคำถาม เพื่อสร้างความกระจ่างหรืออาจสร้างความสงสัยเพิ่มขึ้นกับท่านได้ ดังนี้
1. พระเจ้าปรารถนาให้ประชากรของพระเจ้า แสดงความกตัญญูต่อการปกครอง คุ้มครอง การอวยพร การจัดสรรสิ่งดีของพระองค์ด้วยการแสดงออกถึงการเสียสละ
“บรรดาผู้ชายทั้งสิ้นจะต้องเข้า มาเฝ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านปีละสามครั้ง ณ สถานที่ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้ คือ ณ เทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลสัปดาห์ และเทศกาลอยู่เพิง อย่าให้เขาไปเฝ้าพระเจ้ามือเปล่าๆ"
เฉลยธรรมบัญญัติ 16:16:
จงถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อตามเวลาที่กำหนด ไว้ในเดือนอาบีบ อันเป็นเดือนซึ่งเราบัญชาไว้ เจ้าจงกินขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวันตามที่เราสั่งเจ้าไว้แล้ว เพราะในเดือนนั้นเจ้าออกจากอียิปต์ อย่าให้ผู้ใดมาเฝ้าเรามือเปล่าเลย"
อพยพ 23:15:
"อย่าให้ผู้ใดมาเฝ้าเรามือเปล่าเลย" หมายความว่า เมื่อมานมัสการพระเจ้าอย่ามาแต่ตัวเปล่า ให้เตรียมสิ่งของต้องถวายมาด้วย
คริสเตียนที่เติบโตแล้วความเชื่อในความเชื่อมักจะ
- นำอาหาร ขนม หรือผลไม้มาฝากอาจารย์ผู้สอนตน หรือแบ่งปันแก่พี่น้องด้วยความยินดี (ขอย้ำว่าด้วยความเต็มใจและ ด้วยยินดี นะครับ)
- นำซองถวายมาจากบ้าน หรือเตรียมสิ่งของถวายมาจากบ้านด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่ ล้วงจากกระเป๋า ใส่เหรียญสิบบาท หรือแบงค์ยี่สิบเมื่อมีถุงบริจาคหรือถุงถวายเงินผ่านหน้า เป็นการถวายด้วยความจำใจ เพราะกลัวเสียหน้าจึงถวายไปงั้นๆ แหละ ไม่ได้ตั้งใจถวายอย่างแท้จริง การถวายแบบนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่ได้เกิดจากเจตนา หรือความตั้งใจถวาย
- เมื่อฟังเทศนาของอาจารย์ใหญ่ หรืออาจารย์น้อยที่เราได้รับพระพร เมื่อจบการเทศนา ผู้เชื่่อที่เข้าใจเรื่องการถวายจะนำเงินใส่ซอง แอบมอบให้กับอาจารย์เสมอ เพราะเขารู้ว่าผู้รับใช้คนนี้คือดินดีที่เกิดผลหลายเท่า เขาจึงเอาเมล็ดแห่งความเชื่อหว่านลงไปในดินดีนั้น เขาคาดหวังว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรเขามากขึ้น และก็จะเป็นไปตามความเชื่อของผู้ถวายอย่างแน่นอน
- เมื่อผู้เชื่อได้รับการรับการอธิษฐานวางมือ หรือได้รับการหายโรคจากคำอธิษฐานของอาจารย์ หรือผู้เชื่ออื่นที่อธิษฐานเผื่อเขา เขาจะแสดงการขอบคุณด้วยการถวายอาหาร หรือถวายทรัพย์ หรือปัจจัยให้กับอาจารย์ คริสตจักรหรือพันธกิจนั้น ตามกำลังศรัทธา ตามวาระและโอกาส
น่าเสียดายที่ผมได้พบว่า ยังมีคริสเตียนอีกไม่น้อยที่ไม่รู้จักการขอบคุณพระเจ้า พี่น้องคริสเตียนหลายคนที่เคยได้รับพระพรจากพระเจ้าผ่านผู้รับใช้ พอเขาได้รับพรแล้วก็ลืม บางคนหายโรคแล้วก็ไม่เคยคิดขอบคุณพระเจ้า ทั้งที่ตอนเขาเจ็บป่วย ร่างกายไม่สมบูรณ์ต้องไปหาแพทย์ เสียค่ายาหมดเป็นหมื่นๆ เสียทั้งเวลา เสียการเสียงาน คนที่อยู่ข้างพลอยเสียการเสียงานไปด้วย เมื่อหายแล้วก็ไม่ต้องเสียเงิน แต่ก็ไม่คิดถวายอะไรเป็นการขอบคุณพระเจ้า หรือถวายให้ผู้ปรนนิบัติเขาเลย นี่แหละน้ำใจมนุษย์บาปหนา
ผมเคยเสียมวยให้กับ คนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนคนหนึ่ง ผมพบเขาที่ต่างประเทศ พอเขากลับมาเมืองไทย เขามาทำธุรกิจใหญ่ ประมาณว่า เป็นระดับผู้บริหารใหญ๋ หากได้ตำแหน่งแล้วจะรวยเพิ่มขึ้น เขาโทรศัพท์มาบอกให้ทีมของเราช่วยอธิษฐานอวยพรเขา เพราะเขารู้ว่ามีการทรงสถิตในคำอธิษฐานของผู้เชื่อ แต่พอเราอธิษฐานอวยพรให้ไปหลายครั้ง ต่อมาเขาก็ขอให้เราช่วยโน้นช่วยนี่ แต่พอถึงเวลาเขาก็ลืมนัดที่ให้เราไปช่วย และลืมเรื่องสัญญาถวายด้วย ผมจึงต้องกลับใจใหม่ขอโทษพระเจ้าที่เห็นแก่คำสัญญาถวายเป็นแสนๆ ของเขา
คริสเตียนบางคนมีนิสัยชอบเที่ยวไปขอให้ใครต่อใครอธิษฐานให้ บางคนชอบโพสให้ใครๆ อธิษฐานเผื่อคนโน้นคนนี้ แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลรายละเอียดอะไรสักอย่าง บางครั้งชื่อก็ยังไม่บอก บางคนก็ใช่ชื่อปลอมๆ มาขอให้อธิษฐาน คนที่ชอบขออธิษฐาน โดยเฉพาะถ้าเขารู้ว่าอาจารย์คนไหนมีการเจิม เขาจะขอให้อธิษฐานอวยพร อธิษฐานเผื่องาน เผื่อเงิน เผื่อสารพันปัญหา แต่พอหายแล้ว ได้รับคำตอบพอใจแล้ว กลับไม่แสดงการขอบคุณใดๆ เลย
นี่แหละนิสัยที่ต้องแก้ไขในคริสเตียนบางคน บางกลุ่มที่ไม่มีการสอนเรื่อง "ความกตัญญูรู้คุณ" อาจเป็นไปได้ว่ามัวแต่สอนเรื่องการไปสวรรค์มากเกินไป จนลืมสอนเรื่องการปฎิบัติตัวต่อผู้รับใช้ และคนของพระเจ้า
ใครที่ไม่เคยรับรู้ ไม่เคยคิดว่า การไปหาผู้รับใช้พระเจ้าเพื่อขอการช่วยเหลือต้องทำอย่างไร ลองไปอ่าน หนังสือ ๑ ซามูเอล บทที่ ๙ ดูสิ ว่า ตอนที่แม่ลาของ ซาอูลหายเขาทำอย่างไร
เมื่อมีปัญหาต้องการคำตอบ ต้องการความช่วยเหลือ ต้องการแรงงาน ต้องการเวลาของผู้รับใช้ที่เขามีพลังในการอธฺิษฐานให้ช่วยเหลือแต่ตนเองไม่ลงทุนอะไรสักอย่าง ผมว่า คุณต้องกลับใจใหม่นะคุณผู้เชื่อทั้งหลาย เพราะเวลาคุณไปหาผู้รับใช้ เขาต้องสละเวลาคุยกับคุณ รับฟังปัญหาของคุณ มีภาระใจกับเรา และเราจะไม่แสดงความกตัญญูบางเลยหรือ
ผมมีประสบการณ์ดีๆ เสมอสำหรับพี่น้องที่มาขอรับการช่วยเหลือ หลังจากที่พวกเขาหายดี หรือได้รับคำตอบพวกเขาถวายเข้ามาเป็นระยะคนละเล็ก คนละน้อยเพื่อเป็นเหมือนฉนวนจุดระเบิดส่งจรวดให้ดันขึ้นสูงไปอีก เพื่อเป็นพระพรสำหรับคนอื่นๆ อีกมากมาย เพราะเขาทราบดีว่า พระเจ้าดีแน่นอนแต่ถ้าไม่มีคนที่อุทิศตัวเพื่อการรับใช้ ไม่เสียสละเวลา และความลำบาก ผู้รับใช้ก็คงเป็นแค่นักการศาสนาที่ช่วยอะไรใครไม่ได้ นอกจากสอนคนให้เป็นคนดี เป็นสมาชิกที่ดีให้นั่งฟังอย่างเชื่อฟังในโบสถ์เท่านั้น
นอกจากเรื่องการถวายแล้ว แท้จริง ผู้เชื่อพระเจ้าควรจะถือเทศกาลตามวาระและโอกาสต่างๆ เช่นการถืออด การถวายผลแรก การถวายตามใจสมัครในโอกาสต่างๆ การจัดการเลี้ยงจากเงินสิบลดปีที่สาม
การถือเทศกาลต่างๆ นี้ย่อมทำขึ้นตามความสมัครใจ เพื่อแสดงออกถึงการเข้าร่วมเป็นประชากรของพระเจ้า การที่เราจะรู้ว่าใครเป็นคนประเภทไหน เราก็ต้องดูว่าเขาพูดภาษาอะไร เขาถือวัฒนธรรมอะไร แต่คริสเตียนแต่ละประเทศ หลายกลุ่มไม่ถือวัฒนธรรมยิว แต่ถือตามวัฒธรรมก่อนเป็นผู้เชื่ออยู่ หมายความว่า ยังถือประเพณีเกี่ยวกับศาสนาที่นับถือวิญญาณอยู่ เช่นการไปลอยกระทง การดำหัว การผูกข้อมือ การบายศรี การลงเสาเอก การถือครบรอบคนตาย การถือเทศกาลเช้งเม้ง การไปรวมตัวกันที่สุสานเหมือนกับศาสนาอื่นๆ ตามกำหนดแต่ละปี
การถือวัฒนธรรมตามแบบในพระคัมภีร์เป็นถือเพื่อเป็นการแสดงถึงการเป็นประชากรของพระเจ้าด้วย แต่คริสเตียนไทยไม่ได้ถือตามอย่างยิว แต่ถือตามที่คณะของตนกำหนด เป็นวันระลึกต่างๆ ตามแบบร่างเดิมของศาสนาโรมันคาทอลิกเป็นส่วนใหญ่
2. การถวายต่อพระเจ้าเป็นความสมัครใจตั้งแต่เริ่มแรก
ในหนังสือปฐมกาลบทที่ 4 ได้กล่าวถึงการถวายต่อพระเจ้าครั้งแรก เป็นการถวายด้วยความเต็มใจ ไม่ได้เป็นการบังคับ แต่เกิดจากการรู้สึกซาบซึ้งถึงพระคุณของพระเจ้า แต่น่าเสียดายที่การถวายครั้งแรก ก็เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว คือ คาอินถวายแล้วก่อให้เกิดความเสียใจอย่างใหญ่หลวง เพราะเขาเกิดอิจฉาและได้ฆ่าน้องโดยเจตนา เมื่อเขาได้รับรู้ว่าพระเจ้าโปรดปรานเครื่องถวายบูชาของอาเบล
พระคัมภีร์กล่าว่า
"ก็เพราะการกระทำของเขาชั่วและการกระทำของน้องนั้นชอบธรรม " [ 1 ยอห์น 3.12 ]
3.การถวายเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณ เป็นการตอบแทน ต่อการอวยพร การคุ้มครองป้องกันภัยอันตราย สวัสดิภาพของผู้เชื่อต่อพระเจ้า
เมื่ออับราฮัมบรรพบุรุธของ คนยิว และคนอาหรับ ได้กลับจากการศึกกับกษัตริย์เมืองที่มาปล้นเมืองโสโดม และได้จับเอาตัวของโลท หลานชายผู้ที่เอาเปรียบ ผู้ที่อับราฮามพามาเผชิญโชคด้วยกัน แต่เขากลับเลือกทำเลทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่ดีกว่า แต่ต่อมาโลทถูกผู้ปล้นเมืองจับตัวไป
อับราฮัมได้พาคนเพียง 318 คนไล่ติดตาม และรบเอาชนะกองทัพของข้าศึก เมื่อท่านกลับมา มีกษัตริย์เมืองซาเล็ม และเป็นปุโรหิตสูงสุด นำอาหารมาให้ท่านกิน และยังอวยพรท่าน อับราฮัมแสดงความความกตัญญูด้วยการถวายสิ่งของที่ท่านยึดมาได้ 10 เปอร์เซนต์ให้กับเมลคีเซเด็ด
(แสดงได้เห็นว่า การถวายสิบลดต่อพระเจ้ามีมาก่อนมีธรรมบัญญัติด้วยซ้ำ)
พระเจ้าประทานสิ่งเหล่านี้แก่ผู้เชื่อ เขาจึงแสดงควรออกด้วยความกตัญญูต่อพระเจ้า
ก. ธรรมชาติที่เป็นสิ่งพยุงชีวิต สายน้ำ สายฝน อากาศ สายลม แสงแดด และสิ่งค้ำจุนชีวิต
ข. สุขภาพ กำลังร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และความเข้าใจ ความรอบรู้
ค. ความสันติภาพ ความสุข ความมั่งคั่ง ครอบครัวและเพื่อน และมิตรภาพ
ง. สวัสดิภาพ ความสำเร็จ ความแคร้วคราดจากอันตราย และภัยพิบัติต่างๆ
4. ผู้เชื่อสมควรถวายผลแรกของผลิตผลให้กับพระเจ้าผ่านทางปุโรหิต หรือผู้นำเราเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า
เมื่อพระเจ้าสั่งให้คนยิว เข้ายึดครองแผ่นดินคานาอัน พระเจ้าสั่งว่า อย่าแตะต้องสิ่งของใดๆ หรือเอามาเป็นของตน ให้เผาให้หมด แต่สิ่งที่เป็นเงินเป็นทองให้เอามาถวายในพระคลังของพระเจ้า
พระคัมภีร์กล่าวว่า
"ส่วนเมืองนั้นเขาก็จุดไฟเผาเสียทั้งสารพัดที่อยู่ในเมืองนั้น นอกจากเงินและทอง และเครื่องใช้ที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์และด้วยเหล็กนั้น เขานำมาไว้ในคลังในพระนิเวศของพระเจ้า"
[ โยชูวา บทที่ 6 ข้อ 24 ]
คนยิวได้ถวายผลแรกในการยึดครองแผ่นดินต่อพระเจ้า ทั้งพืชผล และการปล้นในสงครามด้วย เราสังเกตได้ว่า เมื่อชาวยิวยึดเมืองต่อๆ มา พวกเขาได้ยึดเอาเงินทอง ทรัพย์สิ่งของ และสัตว์เลี้ยงแบ่งกันไป
พระเจ้าสั่งให้ชนชาติผู้ที่เชื่อพระเจ้าให้ ดูแลเลี้ยงดูตระกูลของผุ้รับใช้ และให้ถวายผลแรกแก่มหาปุโรหิต ผู้ที่ทำหน้าที่อธิษฐานอวยพร และขอการยกโทษให้แก่พวกเขา
ในทัศนะของผม ผมขอหนุนใจให้ใครก็ตามที่ได้กลับใจมาเชื่อพระเจ้าและได้มาเป็นลูกพระเจ้า เมื่อได้รับการสร้างใหม่ ขอให้ท่านจงถวายส่วนหนึ่งแด่คนที่เป็นครูคนแรกของท่าน หรือคริสตจักรแรก ที่นำท่านมาถึงความรอดในพระเจ้า (คนที่นำท่านกลับใจ คนที่ไปเป็นพยานนำท่านมาถึงความรอด)
อย่างไรก็ตาม คริสตจักรต่างๆ ไม่ได้สอนเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะว่า การนำเงินไปถวายให้กับผู้รับใช้พระเจ้าทั้งที่มีตำแหน่งและไม่มีตำแหน่ง คนที่พาคุณมาถึงความรอด มารู้จักแสงสว่างในชีวิตอาจทำให้ผลรายได้คริสตจักรที่คนอยู่ปัจจุบันขาดรายได้
มาถึงตรงนี้ ผมขอสะท้อนความคิดให้คุณหน่อยว่า คุณเคยคิดถึงคนนั้นไหมที่เขาลงทุนเพื่อให้คุณหลุดพ้นบาป พ้นจากอำนาจมารร้าย คนที่สั่งสอน และอธิษฐานเผื่อคุณ คอยเป็นที่ปรึกษาคุณ ในแต่ละปี ในเทศกาลแห่งความสุข เมื่อคุณได้รับความสุข คุณได้มาอยุ่ในแผ่นดินที่ไม่หวั่นไหว แล้ว คุณคิดถึงเขาเหล่านั้น หรือเปล่า ขอพระเจ้าอวยพรคุณให้รับรู้ว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"
ผมขอหนุนใจว่า "จงถวายแก่คนนั้นที่นำท่านมาถึงพระเจ้าคนแรก จงถวายผลแรกใดๆ แก่พระเจ้าผ่านคนนั้นที่นำท่านเข้ามาสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญาเถิด"
ในปัจจุบันคริสตจักรบางกลุ่ม บางแห่งอาจมีพฤติกรรมการแย่งสมาชิกกันมาก คริสตจักรบางแห่งจึงเน้นให้สมาชิกถวายให้กับคริสตจักรอย่างเดียว เพื่อไม่ให้รายได้รั่วไหลไปไหน นักการศาสนาบางคนชอบชักชวนคริสตชนที่มีโบสถ์อยู่แล้ว เขามีสถานะเป็นสมาชิกสมบูรณ์ของคริสตจักรอื่นแล้วให้หนีจากโบสถ์เพื่อมาอยู่กับตน อย่างไม่เคอะเขิน
ผมว่าการไปแย่งสมาชิกสมบูรณ์ของคนอื่นนี้ ไม่เข้าท่าเลยครับ (ส่วนมากคริสเตียนเขาวัดสถานะการเป็นสมาชิกสมบูรณ์หรือไม่ คือดูจากหลักฐาน การที่ผู้เชื่อได้รับบัพติสมากับอาจารย์จากโบสถ์นั้นๆ บางครั้งไม่ได้นับที่บัญชีรายชื่อสมาชิกเท่านั้น)
ในข้อนี้ ผมขอหนุนใจให้ผู้เชื่อ ว่าจงถวายแด่ผู้รับใช้ หรือผู้ประกาศที่นำท่านมาถึงความรอดบ้าง ตามวาระ และโอกาสอันเหมาะสม เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เขาในการรับใช้ต่อไป และคริสตจักรควรจะสั่งสอนให้คนทำเช่นนี้ด้วย ไม่ใช่ใครอยู่โบสถ์ไหน โบสถ์ก็จะเอาหมดเหมือนโบสถ์บางแห่งทำอยู่ในปัจจุบัน
มีการปกครองใดบ้างที่ไม่มีการเสียภาษี ไม่มีการเก็บค่าใช้จ่าย การแสดงความขอบคุณพระเจ้าด้วยการถวายทรัพย์สิ่งของ เป็นการช่วยให้คนรับใช้ของพระเจ้าสามารถทำหน้าที่ต่อไปได้ เพื่อช่วยพยุงชีวิตของท่านให้อยู่ดีกินดี เพื่อช่วยกันบำรุง และค้ำชูชีวิตของคนที่อุทิศตัวให้แก่พระเจ้าแล้ว เพราะคนของพระเจ้าเมื่อทำหน้าที่รับใช้ประชากร ประชากรก็ควรเลี้ยงดูเขาเหล่านั้น เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อพระเจ้าด้วยการแสดงออกถึงความรักต่อคนของพระเจ้า
พระคัมภีร์กาลาเทีย บทที่ 6 ได้กล่าวว่า
"ส่วนผู้ที่รับคำสอน จงแบ่งสิ่งที่ดีทุกอย่างให้แก่ผู้ที่สอนตนเถิด"
5. การถวายทรัพย์ไม่ใช่เป็นการบังคับตามธรรมบัญญัติ แต่ต้องเป็นไปด้วยความเต็มใจเท่านั้น
พระคัมภีร์กล่าวว่า
"ก่อนที่ความเชื่อมานั้น เราถูกธรรมบัญญัติกักตัวไว้ ถูกกั้นเขตไว้จนความเชื่อจะปรากฏ เพราะฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงควบคุมเราไว้จนพระคริสต์เสด็จมา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ แต่บัดนี้ความเชื่อนั้นได้มาแล้ว เราจึงมิได้อยู่ใต้บังคับของผู้ควบคุมอีกต่อไปแล้ว"
[กาลาเทีย 3.23-25]
พระคัมภีร์กล่าวว่า "ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี"
[1 โครินธ์ 9.6]
6. สิบลดแท้จริง คือสิ่งที่ถวายต่อคนที่ปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิต ไม่ใช่เอาไปสร้างตึก หรือซื้อของใช้สำนักงาน
พระคัมภีร์กล่าวว่า “เราให้ทศางค์ (สิบลด) ในอิสราเอลแก่คนเลวีเป็นมรดก เป็นค่าตอบแทนงานที่เขาปฏิบัติ คืองานปฏิบัติที่เต็นท์นัดพบ [กันดารวิถี 18:21: ]
7. ผู้ที่ทำหน้าที่ปุโรหิตต้องถวายสิบลดของสิบลดคืนไว้ในคลังด้วย
พระคัมภีร์อีกตอนหนึ่งจากพระธรรม กันดารวิถี 18:26: ได้กล่าวว่า
“ยิ่งกว่านั้น เจ้าจงกล่าวแก่คนเลวีว่า 'เมื่อพวกเจ้ารับทศางค์จากคนอิสราเอล ซึ่งเราให้แก่เจ้าอันมาจากเขา เป็นมรดกของเจ้านั้น เจ้าจงนำทศางค์ของทศางค์ที่เจ้าได้มานั้นถวายแด่พระเจ้า
ในปัจจุบันนี้เรามักได้ยินเสมอว่า คริสตจักรต่างๆ ต้องส่งเงินเปอร์เซนต์ให้กับคริสตจักรแม่ แต่คริสตจักรย่อยต่างๆ พยายามยักยอกเงิน ด้วยการทำบัญชีปลอมๆ ส่งเงินไม่ครบตามจำนวนแท้จริง
และที่แย่ไปกว่านี้คือ ผู้รับใช้พระเจ้าจำนวนไม่น้อย สอนให้คนอื่นถวายสิบลดแต่ตัวเองและครอบครัวไม่ถือปฎิบัติ อาจเป็นเพราะว่าค่าตอบแทนของผู้ทำการมันต่ำมากๆ และไม่พอเพียงเลย แต่นั่นอาจเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น
การที่ผู้สอนไม่ถือปฏิบัติก่อนอาจกล่าวสรุปได้ว่า เป็นการเอาภาระหนักให้คนอื่นแบก แต่ตัวเองไม่ทำ ใครเจอโบสถ์แบบนี้ รีบบอกให้อาจารย์แก้ใขให้ถูกต้อง หากอาจารย์ไม่ทำ แล้วใครจะทำละครับ ขนาดคนเป็นผู้นำความเชื่อยังไม่ทำแล้วมาสอนคนอื่นให้ทำ
การถวายตามแบบที่อัครทูตสอนไว้ คือการให้ด้วยความยินดี ไม่มีการบังคับ ถือเป็นการหว่านในแผ่นดินของพระเจ้า เพื่อจะได้รับการอวยพรมากขึ้น
อย่างไรก็ตามการถวายต่อพระเจ้ามีคนมักจะสอนว่า ถ้าถวายต่อพระเจ้าแล้วเราจะรวย แน่ทีเดียวถ้าอ้างตามพระธรรมมาลาคีบทที่สาม คนที่ถวายย่อมได้รับพระพรแน่ๆ แต่ถ้าคนรวยแล้ว ก็ไม่ต้องถวายใช่หรือไม่ และถ้าใครไม่ถวายจะไม่รวยใช่ไหม แล้วคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าทำไมเขาจึงรวยล่ะ
นี่คือข้อสังเกตส่งท้าย ผมอาจจะเขียนไปโดนใจดำใครบางคนก็ต้องขออภัยด้วยถ้ามันขัดกับสิ่งที่คริสตจักรของใครได้ทำแบบอื่น เพราะที่ผมยกมานี้ มีข้อพระธรรมจากพระคัมภีร์เล่มเดียวกันที่คริตชนทั่วโลกอ่านกัน
Original Message from Rice Mu; January 3, 2012
ท่านสามารถทำสำเนาคำสอนนี้เผยแพร์ได้ หากไม่ได้เป็นไปเพื่อการค้า หรือทำหนังสือเพื่อทำกำไร
HOME
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)