รักอย่างไร จึงจะไปถึงสัจจะของพระเจ้า How to love Jesus

1ยน.4:16 "เช่นนั้นเราจึงรู้และเชื่อมั่นในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา "

      มีกี่คนที่รู้ว่าพระเจ้ารักคุณ มีกี่คนที่เชื่อว่าพระเจ้ารักคุณ  นั้นคือคุณเชื่อในความรักนั้น แต่เพียงความรู้เท่านั้นไม่เพียงพอ คุณต้องเชื่อ ภรรยามักจะถามสามีเสมอว่า" คุณรักฉันมั้ย คุณรักฉันมั้ย คุณรักฉันมั้ย"  

 เอวานั้นก็เคยถามอดัมครั่งหนึ่ง แล้วอดัมก็ตอบว่า " แล้วมีใครอีกมั้ยละ"   ฟังอย่างตั้งใจนะครับ ถ้าความจริง ไม่มีความเชื่อ ความจริงนั้นก็ไม่สามารถช่วยคุณได้ ความจริงของชีวิตสมรสคือ สามีรักภรรยา นั้นคือความจริง แต่ถ้าภรรยาไม่ได้เชื่อในความจริงนั้น เธอก็จะรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง สามีไม่รัก โดดเดี่ยว ซึ่งความจริงคือสามีรักภรรยา 

พ่อแม่ลูกก็เหมือนกัน  มีเด็กๆที่ไม่เชื่อว่าพ่อกับแม่รักพวกเขา ซึ่งแท้จริงพ่อแม่รักเขามากจนสามารถให้ทั้งชีวิตได้  ท้ายที่สุด ไม่ใช่ความจริงทำให้คุณเป็นไท แต่เป็นความรู้ในความจริงนั้นทำให้คุณเป็นไท
     ดังนั้นเราจึงรู้และเชื่อว่า  พระเจ้ารักเรา




 "ผู้เชื่อจึงรู้และเชื่อมั่นในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา" 1ยน.4:17 


"เช่นนี้ความรักจึงเต็มบริบูรณ์ท่ามกลางเราทั้งหลายเพื่อเราจะมีความมั่นใจ ในวันพิพากษา เพราะในโลกนี้เราเป็นเหมือนพระองค์ "

ความเชื่อเช่นนี้  ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานว่าคุณเป็นใคร แต่เป็นบนพื้นฐานของชายที่สมบูรณ์แบบที่ขวามือของพระเจ้า เพราะพระองค์เป็น เราจึงเป็นเหมือนพระองค์ วันนี้ไม่มีอีกแล้วที่พระเจ้าจะประเมินการพิพากษาที่ี่ตั้งบนฐานว่าคุณเป็น ใคร

พระเจ้าจะพิพากษาหรืออวยพระพรคุณ บนพื้นฐานการกระทำของชายผู้หนึ่งที่อยู่ที่พระหัตถ์ขวาของพระองค์ คือพระเยซู เพราะพระองค์เป็น เราจึงเป็นเหมือนพระองค์ อย่าถามว่า พระเจ้าจะยอมรับเรามั้ย เราเป็นที่พอพระทัยมั้ย มันเป็นคำถามที่ผิด  ต้องถามว่า พระเยซูเป็นที่ยอมรับต่อหน้าพระพักต์พระเจ้ามั้ยมั้ย พระเยซูเป็นที่พอพระทัยของพระบิดามั้ย  แล้วพระองค์สามารถกลับมารับโทษอีกมั้ย อย่างที่พระองค์เป็น เราจึงเป็นเหมือนพระองค์ 


 พระคัมภีร์กล่าวว่าใน 1ยน.4:18 "ในความรักไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์ (อากาเป้)  ย่อมขจัดความกลัวออกไป  เพราะความกลัวเกี่ยวกับการลงโทษ ผู้ที่กลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์ " 

ถ้าคุณมีความกลัวในชีวิตจริง กลัวในอนาคต  กลัวการสูญเสีย กลัวในโรคภัยไข้เจ็บ  พระคัมภีร์กล่าวว่า ความรักชนะทุกสิ่ง และความรักนั้นไม่ได้มาจากความรักของคุณ หรือของผม อย่างแน่นอน ความรักที่เรามีมันเป็นความรักที่ไม่สมบูรณ์ รักที่สมบูรณ์คือรักที่มาจากพระองค์  เมื่อไรที่คุณรู้ว่า พระเจ้ารักคุณมากเพียงใด ความกลัวก็จะออกไปจากชีวิตของคุณ

      ประโยคต่อไปใน  1ยน.4:19 " เรารักก็เพราะพระองค์รักเราก่อน "  เรารักพระองค์และรักคนอื่นๆ เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน  คำเทศนาเก่าของผมในอดีต ผมเทศนาว่า  " คุณไม่ได้รักพระเจ้าปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะคุณรักพระเจ้าไม่เพียงพอ ความรักของพวกคุณมันอุ่นๆ คุณต้องรักพระเจ้ามากขึ้น" ซึ่งตลอดมา ผมเทศนาบนบทบัญญัติ  เพราะบทบัญญัติสั่งให้เรารักพระเจ้าสิ้นสุดจิต สิ้นสุดใจ สิ้นสุดชีวิต  ผมไม่รู้ ผมได้ใส่พันธนาการ ข้อผูกมัด ลงบนพวกเขา  แล้วคนเหล่านั้นก็รู้สึกผิด  ออกจากคริสตจัตร ไม่ใช่ว่าพวกเขาขัดขืน  แต่เป็นเพราะพวกเขาจริงใจ  พวกเขากล่าวว่า " ผมยอมแพ้ ผมไม่สามารถรักพระเจ้าได้สิ้นสิ้นสุดจิต สิ้นสุดใจ สิ้นสุดกำลัง ผมมันเป็นพวกหน้าซื่อใจคด ผมไม่ได้รัีกพระเจ้าจริงๆ  "

ความจริง คือว่า ผมไม่เคยเปิดเผยถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าให้พวกเขารู้  ผมไม่เคยเทศนาในพันธสัญญาใหม่  และมันเป็นความล้มเหลวของผมที่ไม่ได้เปิดเผยความรักของพระเยซู

คนหนุ่มสาวไม่ได้ขัดขืนต่อพระเยซู แต่ขัดขืนต่อศาสนา เป็นเพราะกฎบัญญัติ ไม่เคยทำให้ใครสมบูรณ์ กฎบัญญัติแต่มีประนามปรักปรำกล่าวโทษเสมอ  กฎบัญญัติคือกฎบัญญัติ ไม่สามารถยึดหยุ่นได้ ถ้ามีการยืดหยุ่นก็ไม่ใช่กฎบัญญัติ  

แล้วบทบัญญัติที่กล่าวว่า จงรักพระเจ้าสิ้นสุดจิต สิ้นสุดใจ สิ้นสุดกำลังละ ?  แท้จริงบทบัญญัติกำลังแสดงให้คุณรู้และเห็นว่าพระเจ้ารักคุณมากเพียงใด มองที่พระเจ้า พระเจ้ารักคุณสิ้นสุดจิต สิ้นสุดใจ สิ้นสุดกำลัง และพระเยซูทรงแสดงออกมา และพระองค์ทรงทำสำเร็จด้วย
           ในคืนสุดท้ายที่พระเยซูเจ้าเข้าสู่การถูกจับกุมไปประหาร ที่โต๊ะอาหาร(ปัศกา) พระเยซูตรัสกับสาวกว่า "หนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา"  

จำได้มั้ยเปโตรมองที่ยอห์นที่นอนเอนกายแนบพระทรวงพระเยซู  และนั้นเป็นภาพที่สวยงามพระทรวงของพระเยซูเป็นเสมือนแหล่งของความรัก  และยอห์น รู้ความลับนั้น และก็ผมรู้ความลับของยอห์นด้วย ผมพบว่า  พระธรรมยอห์นเขียนว่า ผู้ที่พระเจ้าทรงรัก และผมเคยคิดว่า ในสาวกสิบสองคน พระเยซูรักยอห์นมากที่สุด  เพราะยอห์นเป็นสาวกที่พระเยซูทรงรัก จนกระทั่งวันหนึ่งผมพบว่า ประโยคนั้นพบในพระธรรมยอห์นที่ยอห์นเขียนเท่านั้น

   แล้วยอห์นกำลังทำอะไร ขอให้ผมอธิบาย เป็นอะไรที่มีพลังมาก สิ่งที่ยอห์นได้ทำ พระเยซูทรงรักสาวกทั้งสิบสองคน รักอย่างมาก แต่ยอห์นเท่านั้นที่รู้   และยอห์นได้แสดงออกมาว่าพระเยซูทรงรักเขามากอย่างไร

ผมขอยกตัวอย่าง มีคุณไบรอัน คุณ โจ และผม   คืนหนึ่งเราสามคนได้ไปนั่งดื่มกาแฟที่ร้านกาแฟของคริตจักรที่ดีที่สุด ในโลก หลังจากนั้นเมื่อผมกลับมาที่บ้านก็เขียนบันทึกในไดอารี่ของผมว่า คืนนี้เราสามคนได้ไปดื่มกาแฟด้วยกันที่ร้านกาแฟของคริสตจัตร มี ไบรอัน โจ และโจเซฟผู้ซึ่งพระเจ้าทรงรัก เห็นมั้ยว่าผมได้แสดงออกมาว่าพระเจ้าทรงรักผม และสิ่งดีๆก็เกิดขึ้นกับผู้ที่พระเจ้าทรงรัก กับผู้ที่รู้และเชื่อว่าพระเจ้าทรงรักเขา

ผมพบว่าสิ่งหนึ่งได้เกิดขึ้น เราอยู่บนที่ที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้   ไม่ได้ขึ้นว่าคุณเป็นใคร ไม่ได้ขึ้นว่าคุณทำอะไร ที่ที่ไม่สั่นคลอนนั้นคือความรักของพระเจ้าที่มีต่อคุณ
         คุณรู้มั้ยในคืนปัสกามีคริสเตียนสองประเภท เปโตรเป็นตัวแทนของผู้เชื่อประเภทที่หนึ่ง ชื่อของเขามีความหมายว่าศิลา และในบริบทนี้เป็นตัวแทนของผู้เชื่อที่อยู่ใต้บทบัญญัติ ผู้ที่โอ้อวดว่าเขานั้นรักพระเจ้า เขาพูดกับพระเยซูว่า เขาจะไม่ใช่คนที่ทรยศพระองค์ พระองค์เสด็จไปที่ใด ข้าพระองค์ก็จะตามไป ข้าพระองค์ขอมอบชีวิตให้แด่พระองค์ นั้นคือเปโตรซึ่งเป็นตัวแทนของผู้เชื่อที่โอ้อวดความรักของตนที่มีต่อพระ เจ้า

สาวกคนที่สอง  คือยอห์น ผู้ซึ่งนอนแนบที่พระทรวงของพระเยซู พระทรวงนั้นเป็นแหล่งของความรัก ซึ่งเขาได้แสดงว่าพระเจ้ารักเขา เขาเป็นตัวแทนของผู้เชื่อที่โอ้อวดว่าพระเจ้ารักเขา เปโตรโอ้อวดความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้า ยอห์นนอนแนบที่พระทรวงของพระเยซูโอ้อวดว่าพระเจ้ารักเขา  คนหนึ่งใต้ธรรมบัญญัติ และอีกคนใต้พระคุณ ในคืนสุดท้าย คนที่โอ้อวดความรักของตนต่อพระเจ้าเราได้พบว่าได้ปฏิเสธพระเยซูถึงสามครั้ง แต่ว่าคนที่โอ้อวดว่าพระเจ้ารักเขา อยู่กับพระองค์ที่โค่นกางเขน ยอห์นอยู่ที่นั้น พระพระเยซูทรงตรัสให้ดูแลแม่ของพระองค์  ยอห์นอยู่ที่นั้น

 เมื่อคุณโอ้อวดว่าพระเจ้ารักคุณ คุณจะเป็นคนที่พระเจ้าใช้ได้เสมอ แต่เมื่อคุณโอ้อวดว่าคุณรักพระเจ้า มันจะนำคุณสู่ความล้มเหลว  ในคืนปัสกาสุดท้ายของพระเยซู  เปโตรถามพระเยซูว่าใครจะเป็นผู้อายัดพระองค์ และเปโตรยังให้ยอห์นผู้ซึ่งนอนแนบพระทรวงถามพระเยซูว่าเป็นใคร เปโตรพบว่าในความสัมพันธ์ที่มีต่อพระเยซูนั้นมีความห่าง และเขารู้ว่าเขาควรให้ใครถาม เมื่อคุณโอ้อวดความรักที่คุณมีต่อพระเจ้า คุณจะพบว่าคุณห่างจากพระองค์ แต่ถ้าคุณโอ้อวดความรักของพระเจ้าที่มีต่อคุณ คุณจะใกล้ชิดกับพระองค์

       พระเยซูเป็น การผู้จ่ายหนี้เกิน Over Payment จากพระเจ้า สำหรับบาปของเราทั้งหมด คุณรู้มั้ยว่าพระเยซูทรงทำอะไร ขอยกตัวอย่าง ผมเป็นหนี้กับธนาคารอยู่ 100,000 ดอลล่าซึ่งเป็นก้อนใหญ่มาก  คุณไบรอันก็มา แล้วก็ถามกับทางธนาคารว่าโจเซฟคุณเป็นหนี้อยู่เท่าไร ธนาคารก็ตอบว่า เป็นหนี้อยู่ 100,000 ดอลล่า แล้วคุณไบรอันก็จ่ายหนี้ให้ผม 1ล้านดอลล่า เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น แต่ไบรอันต้องการแสดงความรักที่มีต่อผม  นายธนาคารบอกว่า มันมากเกินไป เอาคืนไป เอาคืนไป ส่วนที่เกิน แต่คุณไบรอันพูดว่า เอาไป คุณจะเอาไปช่วยเด็กๆ หรือทำอะไรที่คุณต้องการจะทำก็ทำไป ใครรู้บ้างว่านั้นเป็น Over Payment สำหรับเงิน100,000 ดอลล่าของผม

ถ้าคุณรู้คุณค่าของพระเยซู และรู้ว่าพระองค์เป็นใคร เป็นผู้ที่พระเจ้ามอบใว้บนกางเขน พระองค์เป็น ผู้จ่ายเกินหนี้ สำหรับบาปของเรา และนั้นเป็นเหตุผลว่า มีอีกมาก มีอีกมาก ที่ยังเหลืออยู่
การจ่ายหนี้ที่เกินนี้  คือความรักของพระเจ้า คุณเชื่อมั้ย พระเจ้าให้เหตุการณ์นี้กับผม ผมเทศนาเกี่ยวกับความรักของพระเจ้าเหมือนอย่างวันนี้ 

วันหนึ่งผมจอดรถในที่ๆหนึ่งซึ่งปกติควรจอดในที่จอดรถที่เขาจัดไว้ให้ ผมจอดรถ ก็มีรถจอดข้างๆ แล้วก็มีสองสามีภรรยาเดินมาที่รถของเขา เมื่อเขาเปิดประตูรถ ประตูรถของเขากระแทกรถของผมอย่างแรง เมื่อเขาสองคนเดินกลับผมเปิดและปิดประตูรถอย่างดัง ชายคนนั้นหันมามองผมเหมือนว่าผมได้ทำอะไรผิด ส่วนภรรยาก็เดินเลี่ยงๆไป เมื่อผมอยู่ในรถ ผมก็ฟืดฟาด ฟืดฟาด ผมบอกพระเจ้าว่า "พระเจ้า ผม โกรธธธ"

พระเจ้าตรัสว่า "รู้มั้ยเรารักชายคนนั้น" ผมตอบกลับ "ผมรู้แต่ตอนนี้ผมไม่อยากรู้" พระเจ้าตรัสกับผม "เห็นเหตุผลมั้ยว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนั้น เพราะเขาไม่รู้ว่าเรารักเขามากแค่ไหน    เขาโกรธ เขาฉุนเฉียว มีรากขมขื่นในชีวิต เจ้ามีปัญหากับเขาเพียงครั้งเดียว ลองจินตนาการถ้าเขาเป็นคนๆเดียวที่เจ้าต้องอยู่ด้วยตลอดเวลา เหมือนภรรยาของเขา มันจะมากมายเพียงใด "และ
พระเจ้าตรัสอีกว่า"แล้วทำไมเจ้าต้องกังวลเรื่องรถของเจ้าด้วยละ เราสามารถให้เจ้าได้อีกคัน ลูกที่รักรู้มั้ยเรารักเจ้า  เจ้าได้รับพระพร เจ้าได้เปรียบกว่าเขา เพราะเจ้ารู้ว่าเรารักเจ้ามากเพียงใด"

       ในโรม8 "พระองค์ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์ของพระองค์ " นั้นแสดงให้เห็นว่าพระเจ้่ารักเขามากเพียงใด พระเจ้าเปิดฟ้าสวรรค์ครั้งหนึ่ง เมื่อพระเยซูขึ้นจากน้ำ พระบิดาต้องการให้แน่ใจว่าทุกคนรู้ว่าพระบุตรไม่ได้บัพติศมาเพราะบาปของ พระองค์เอง พระเจ้าตรัสกับพระบุตรว่า  เจ้าเป็นบุตรที่รักของเรา เราพอใจเขายิ่งหนัก " This is my beloved Son, in whom I am well pleased. " แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าจะไม่อยู่กับเขา

พระเจ้าประทานให้เขาและเราเปล่าๆ ประทานให้เราทุกอย่าง ผมชอบสิ่งที่ได้มาเปล่าๆ  ให้เราทุกอย่าง ถ้าคุณร้องทูลกับพระเจ้า สำหรับการทะลุทะลวงการเงิน และยังคิดว่า มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้   ผมขอสั่งให้ความคิดนั้นออกไป เพราะพระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์ให้แก่คุณ สิ่งที่ดีที่สุด ที่ไม่เคยมีมา พระเจ้าให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเราแล้ว พระองค์ไม่ได้หวงสิ่งที่ดีที่สุดไว้เลย แล้วทำไมพระองค์จะหวงการอวยพรการเงินกับเราละ  ถ้าคุณคิดว่าพระเจ้าหวงการอวยพร ไม่ว่าจะเป็นการอัศจรรย์ สุขภาพ ปัญหาต่างๆ เป็นไปได้อย่างไรแม้แต่สิ่งที่ดีที่สุดพระองค์ให้เรามาเปล่าๆ และพระองค์จะให้เราทุกๆอย่าง

         กลับมาที่แม่น้ำจอร์นแดน พระเยซูขึ้นจากน้ำ ก่อนที่พระองค์จะทำหมายสำคัญ หมายสำคัญแรกคือการเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น  ก่อนที่พระองค์จะแสดงหมายสำคัญ เมื่อพระองค์ขึ้นจากน้ำ หลังจากบัพติศมา พระองค์ได้ยินเสียงของพระบิดา

"เจ้าเป็นบุตรที่รักของเรา เราพอใจเขามาก"

พระเจ้าไม่ได้รักคุณเพราะในสิ่งที่คุณทำ  ไม่ได้รักคุณเพราะคุณรับใช้ (แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้คุณได้รับบำเหน็จ)  พระเยซูขึ้นจากน้ำโดยที่พระองค์ไม่ได้ทรงทำอะไร แต่พระเจ้าตรัสว่า เจ้าเป็นบุตรที่รักของเรา และในความรู้ในความรักของการเป็นบุตรที่รัก พระองค์ทำสิ่งต่างๆเพื่อชีวิตของเรา เพื่อชนะ และเป็นผู้ชนะ

         หลังจากที่พระเยซูขึ้นจากน้ำ พระบิดายอมรับและตรัสว่า เจ้าเป็นบุตรที่รักของเรา  แล้วมากเท่าไรที่คนหนุ่มสาวต้องการอยากได้ยินว่าเขาเป็นบุตรที่รัก เพราะคำประกาศของพระบิดา สามารถทำให้ชีวิตมีชัยชนะ

พระบิดาตรัสว่า เจ้าเป็นบุตรที่รักของเรา และเมื่อพระบิดาประกาศดังนี้  ท่านรู้มั้ยอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น พระองค์ถูกมารผจญ และถูกล่อลวงจากซาตาน
ในปีหนึ่ง เมื่อผมอ่านแล้วตาของผมก็เปิดออก และผมเห็นสิ่งที่ซาตานทำ ซาตานมาหาพระเยซู ซาตานมาหาโดยเปลี่ยนรูปแบบการทดลองตลอดเวลา สิ่งหนึ่งที่มันไม่เคยเปลี่ยนคือการทำซ้ำแล้วซ้ำอีก มันไม่เคยล้มเลิก

ซาตานกล่าวว่า "ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง" คุณรู้มั้ยซาตานได้ทำบางสิ่งแล้ว สังเกตุเห็นมั้ย  "ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง" มีหนึ่งคำที่หายไป นั้นคือคำว่า  "ที่รัก" 

พระบิดาตรัสว่า "เจ้าเป็นบุตรที่รักของเรา " แต่เมื่อซาตานมาหาพระเยซู ซาตานทำให้คำนั้นหายไป เพราะอะไรหรือ เพราะว่าการล่อลวงจะไม่สามารถสำร็จได้ ถ้าคุณรู้็ว่าคุณเป็นบุตรที่รักของพระเจ้า 

มีเหตุผลว่าทำไม ทำไมคนหนุ่มสาวจึงมีปัญหา ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็็นคนไม่ดี ชอบขัดขืน แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่เคยรู้ว่าพวกเขามีคุณค่ามากเพียงใด พวกเขาเป็นบุตรที่รักของพระเจ้า พ่อของคุณอาจจะปฏิเสธคุณ แต่พ่อที่แท้จริงในสวรรค์รักคุณอย่างสมบูรณ์แบบ

ให้เรากล่าวด้วยกันว่า " พระบุตรของพระเจ้า ผู้ซึ่งรักฉัน ให้ชีวิตของพระองค์เพื่อฉัน " เรามักจะกล่าวว่า เราต้องให้พระเจ้า ให้กับพระเจ้า แต่แท้จริงการให้ที่ยิ่งใหญ่มาจากการรับที่ยิ่งใหญ่ คุณเรียนรู้ที่จะรับมากเท่าไรจากพระเจ้า นั้นจะทำให้คุณสามารถให้ได้มากเท่านั้น   "ในคนเป็นทางแห่งการให้ ในพระเจ้าเป็นทางแห่งการรับ " ในพระธรรมฮีบรูกล่าวว่า "สิ่งที่ค้านไม่ได้ คือผู้น้อยต้องรับพรจากผู้ใหญ่ " The less us blessed of the better'' 

      พระเจ้าต้องการเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ให้พระพร พระองค์ต้องการให้เราเป็นผู้รับพระพร แต่เราเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับจากพระองค์ พระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์ให้ไม่ใช่เพื่อใช้เรา แต่เพื่อรับใช้เรา

ครั้งหนึ่งพระเยซูล้างเท้าสาวก สาวกกล่าวว่า "ไม่ พระองค์จะทรงล้างเท้าข้าพระองค์ไม่ได้"  พระเยซูตรัสว่า "ถ้าเราไม่ล้างให้ท่าน ท่านก็จะไม่มีส่วนในเรา" พระองค์ต้องการล้างเท้าเรา  พระองค์ต้องการรับใช้เรา ใช่ พระองค์เป็นพระเจ้า แต่พระองค์ต้องการให้กับเรา อวยพรเรา ล้างเท้าให้เรา แล้วเราอนุญาติให้พระองค์ทำมั้ย พระเจ้าของเรารักที่จะให้ และมากเท่าที่คุณรับเอาจากพระองค์  พระองค์ทรงชื่นบานมากเท่านั้น เมื่อคุณรับเอาไป

คุณรู้มั้ยพระเยซูและสาวกไปที่บ่อน้ำ  ส่วนเหล่าสาวกก็ออกไปหาซื้ออาหาร  พระเยซูนั่งที่บ่อน้ำ ทรงเหน็ดเหนื่อยหลังจากที่เดินทางไกล  แล้วหญิงสะมาเรียมา ตอนนี้พระองค์ทรงเหนื่อยล้ามาก และเมื่อเธอมาหาพระองค์ได้พูดคุยกับพระองค์    เมื่อพระองค์พูดคุยกับเธอ เธอรับเอาสิ่งที่อยู่ในพระองค์ เธอรับเอา เธอรับเอา และเมื่่อเธอมีน้ำธำรงค์ภายในตัวเธอ เธอก็ทิ้งหม้อน้ำ วิ่งออกไปหาคนในเมือง เล่าถึงสิ่งที่เธอได้ทำ เล่าถึงสิ่งทีพระเยซูทรงทำต่อเธอทุกอย่าง  และเมื่อสาวกกลับมานำอาหารมาให้พระองค์ พระองค์ตรัสว่า อาหารของเราคือการทำตามน้ำพระทัยของพระบิดา

พระองค์ทรงสดชื่น ทรงมีกำลังขึ้นมา  ทำไม่ถึงเป็นแบบนั้น  เพราะมีบางคนมาเพื่อรับจากพระองค์ พระองค์ทรงสดชื่น มีกำลัง นั้นแหละคือพระเจ้าของเรา   ถ้าในมนษย์คุณมาเอาจากผมผมคงเหี่ยว คงแห้ง หมดแรงไปแล้ว จงรับจากพระองค์ พระองค์ทรงสดชื่น รับจากพระองค์มากเท่าไร พระองค์จะสดชื่นมากเท่านั้น รับมากเท่าที่คุณต้องการ  พระเจ้าเป็นผู้ที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด จงอวดความรักที่พระเจ้ามีต่อคุณ ฟังถ้อยคำว่าพระองค์รักคุณ ร้องเพลงว่าพระองค์รักคุณมากเท่าไร พระคุณไหลลงมา แล้วคุณรู้มั้ยว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณเริ่มที่จะรัก เพราะพระองค์รักคุณก่อน

ขอบคุณ ผู้แปล

https://www.facebook.com/profile.php?id=1824657834

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)