เรื่องยาว ซีรี่ (ต่อ)
ผู้เชื่่อพระเยซูจะมีหมายสำคัญอัศจรรย์ The Signs of The Believers
บทที่ 2“คริสเตียนสามารถถูกผีสิงได้หรือเปล่า”
มีคำถามว่า อาดัมเป็นคริสเตียนหรือเปล่า เขาอาจเป็นเพียงคริสเตียนใหม่ หรือเป็นคริสเตียนที่อ่อนแอ แต่ยังไงเขาก็เป็นคริสเตียนแน่นอน สิ่งนี้ก่อให้เกิดคำถามเสมอ
“คริสเตียนสามารถถูกผีสิงได้หรือเปล่า”
คำถามนี้น่าสนใจทีเดียวเพราะมันเป็นข้อเท็จจริงได้จากการวิเคราะห์ความจริงที่ไม่ถูกต้อง พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ไม่ได้บ่งจุดประสงค์ที่จะเสนอว่า ซาตานสามารถเข้าสิง หรือเข้าครอบครองคริสเตียนคนใดคนหนึ่ง คำตอบสำหรับคำถามนี้ คือ ไม่, ซาตานไม่สามารถเป็นเจ้าของคริสเตียน คำว่า “การครอบครอง” มีการแปลความหมายผิดพลาดในหลายๆ ที่ในพระคัมภีร์ เราน่าจะใช้คำว่า “ผีสิง” มากกว่า หรือ อาจแปลว่า “ตกอยู่ภายใตอิทธิพลของวิญญาณร้าย”
ผมอยากจะให้อธิบายคำว่า “ผีสิง” ว่า “เป็นการที่วิญญาณร้ายเข้ามามีอิทธิพล หรือ พยายามควบคุมการกระทำ” อาจารย์เปาโลได้พูดถึงเรื่องโลกวิญญาณหลายครั้งในหนังสือเอเฟซัส ในพระธรรมเอเฟซัส บทที่ 4: 26-27 อาจารย์เปาโลพยายามอธิบายว่า ถ้าหากเราปล่อยให้ความโกรธยังคงอยู่เกินกว่าหนึ่งวัน อาจเป็นการเปิดโอกาสให้ซาตานเข้าจู่โจมชีวิตของเราได้
ในพระคัมภีร์ฉบับ NIV (New International Version) ให้ความหมายว่า
“อย่างปล่อยช่องให้ซาตานใช้เป็นฐานที่มั่น”
(ฉบับแปลไทย 1971 “อย่าให้โอกาสแก่มาร”- ผู้แปล)
พระธรรมเอเฟซัส บทที่ 4: 26-27 (ไทย 1971) ได้กล่าวว่า
"จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกแล้วยังโกรธอยู่ อย่าให้โอกาสแก่มาร"
หลายคนเชื่อว่าอาจเป็นการความเข้าใจผิดพลาดเกี่ยวกับการแปล พระธรรม 1 โครินธ์ บทที่ 6:19 และเข้าใจว่า ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในผู้เชื่อคนใดแล้วซาตานจะไม่สามารถมาอยู่ในผู้เชื่อได้อีก
พระธรรม 1 โครินธ์ บทที่ 6:19
“ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือว่า ร่างกายของพวกท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่าน ผู้ซึ่งพวกท่านได้รับจากพระเจ้า และท่านทั้งหลายไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง?”
ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าพระเยซูเป็นเจ้าของบ้าน และพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ฝ่ายในเรา สามารถใช้เป็นข้ออ้าง หรือข้อพิสูจน์ว่าซาตานจะไม่สามารถเข้ามาในร่างกายของเราได้อีกหรือ
ภายหลังจากการรับความรอดยังคงต้องมีขบวนการล้างชำระเพื่อทำความสะอาดขยะจากบาดแผลแห่งความบาดเจ็บทางอารมณ์ และการไม่ให้อภัย หมายความว่า การที่ใครสักคนหนึ่งยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้วไม่ได้หมายความว่า ขยะชีวิตจะถูกขจัดให้หมดไปโดยอัตโนมัติ
พระธรรมที่ยกมาในตอนนี้เป็นการกล่าวเตือนให้รักษาร่างกายของเราให้สะอาด
ในบริบทของพระธรรม 1 โครินธ์ บทที่ 6:19 น่าจะหมายความถึงความเป็นไปได้ที่ซาตานสามารถจู่โจมชีวิตของเราทั้งทางด้านร่างกาย หรือในฝ่ายวิญญาณ ข้อคิดเห็นนี้น่าจะได้รับการสนับสนุนจากพระธรรม 1 โครินธ์ บที่ 10:20-22
พระธรรม 1 โครินธ์ บทที่ 10:20-22 ได้กล่าวว่า
“ไม่ใช่ ข้าพเจ้าหมายความว่าเครื่องบูชาที่พวกเขาถวายนั้น เขาถวายบูชาแก่พวกผี ไม่ใช่ถวายแด่พระเจ้า ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้พวกท่านมีส่วนร่วมกับพวกผี ท่านจะดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าและจากถ้วยของพวกผีด้วยไม่ได้ จะรับประทานที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า และที่โต๊ะของพวกผีด้วยก็ไม่ได้ เราจะยั่วยุให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอิจฉาหรือ? เรามีกำลังมากกว่าพระองค์หรือ?”
ในข้อที่ 20 กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้พวกท่านมีส่วนร่วมกับพวกผี” เนื่องจากข้อพระธรรมตอนนี้ได้เขียนไว้สำหรับชาวโครินธ์ที่เป็นคริสเตียน เราสามารถกล่าวได้ว่า คริสเตียนสามารถตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน
ในข้อที่ 22-23 ขยายความให้เราทราบว่า ผลจากการกระทำเช่นนั้นจะทำให้พระเจ้าทรงอิจฉา
ผมเข้าใจว่าชีวิตคริสเตียนน่าจะเปรียบเหมือน การที่พระเยซูได้ซื้อบ้าน ซึ่งหมายถึงพระเจ้าได้ซื้อชีวิตของเรา อาจเปรียบเหมือนกับบ้านที่ถูกใช้งานจนโทรมโดยเจ้าของเก่าคือ ซาตาน แต่เป็นบ้านที่พระเยซูเห็นว่ายังน่าจะมีประโยชน์อย่างมาก ในฐานะที่พระองค์เป็นเจ้าของบ้านแล้วแต่พระองค์กลับมอบบ้านนี้ให้เราเช่าอาศัยดูแลต่อไป พระเยซูเป็นเจ้าของบ้านแต่เราเป็นผู้อาศัยดูแล พระเยซูเป็นเจ้าของบ้านเก่าที่ถูกซื้อมาแต่ว่าภายในตัวอาคารอาจมีกระดานไม้หลายแผ่นที่ผุพัง เสียหายเนื่องจากถูกปลวก หรือน้ำรั่วซึมหยดใส่ หรืออาจมีโครงสร้างบางจุดที่เสียหาย
ขยะชีวิตที่หลงเหลือในบ้านจะดึงดูดแมลงมอด แมลงสาป ตัวทำลายต่างๆ เข้ามาในบ้าน ขยะเหล่านี้เปรียบเสมือน บาดแผดทางอารมณ์ ความเจ็บใจ ความกลัว การเสพติด การถูกปฎิเสธ นิสัยไม่ดีต่างๆ ฯลฯ ขยะเหล่านี้จะชักนำให้ตัวทำลายเข้ามาในบ้านอีกครั้งถ้าหากเราไม่ระวัง ต่อมาก็จะมีสัตว์พวกหนู และสัตว์ที่นำโรคภัยจะพากันอพยพเข้ามาอาศัยในบ้านที่มีกองขยะอีกครั้ง
ในการสัมมนาสู่เสรีภาพ เราพยายามจะอธิบายให้ผู้เข้าสัมมนาทราบว่า ซาตานจะอาศัยช่องทางหกช่องทางในการนำขยะชีวิตเข้ามาสู่เรา ทั้งหกช่องทางเหล่านี้ คือ
การเจตนาทำบาป
การไม่ให้อภัยกัน
การตัดสิน
อิทธิพลของบรรพบุรุธ
บาดแผลทางวิญญาณและทางอารมณ์ และ
ความรักหลงใหลในเงินทอง
หากเราพิจารณาดูให้ดีจะเห็นว่าในพระธรรมมัทธิวบทที่ 16 ข้อ 34 ที่กล่าวถึง ทาสที่ไม่ยอมให้อภัยเพื่อนทาสด้วยกัน ถูกส่งตัวไปให้แก่ผู้ทรมาน
[พระธรรมมัทธิว บทที่ 16 ข้อ 34]
“แล้วเจ้าองค์นั้นก็กริ้ว จึงทรงมอบทาสคนนั้นไว้ให้เจ้าหน้าที่ทรมานจนกว่าจะใช้หนี้หมด”
ผุ้ทรมานที่เรารู้จักดี คือซาตาน ดังนั้นเราจะเห็นว่าเราสามารถอนุญาตให้ซาตานเข้าจู่โจมชีวิตของเราได้ ด้วยการนำเอาขยะที่เกิดจากการกระทำของเราเอง อาทิเช่น การไม่ให้อภัยกัน สิ่งนี้ยังคงเหลือคำถามที่ค้างคาใจของเรา “คริสเตียนสามารถตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของวิญญาณร้ายได้หรือเปล่า”
ชีวิตของเราประกอบด้วย ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ วิญญาณของคริสเตียนเป็นของพระเจ้า ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ต้องมีข้อกังขาใดๆ แต่ถ้ามีการไม่ให้อภัยตามที่พระธรรมมัทธิว บทที่ 18:34 กล่าวไว้ ก็หมายความว่า ซาตานได้รับสิทธิอันชอบธรรมในการที่จะเข้ามาทรมาน ร่างกายของเราได้
จากพระธรรม เอเฟซัส บทที่ 4:26-27 อธิบายว่า
“อย่าให้เราเปิดโอกาสให้แก่มารในการใช้เป็นข้ออ้างที่จู่โจมเรา”ยิ่งเรามีขยะในชีวิตมากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสในการที่ซาตานจะนำเอาขยะเข้ามาในชีวิตของเราก็มีมากเท่านั้น ซาตานอาจจะไม่สามารถเป็นเจ้าของชีวิตของเราได้ แต่ขยะจะดึงดูด แมลงสาป และหนูเข้ามาสู่บ้านชีวิตของเราได้
ศัตรูพาหะแห่งโรคภัยเหล่านี้ไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตของเราแต่มันถูกดึงดูดเข้ามาเพราะในบ้านมีกองขยะ และพวกมันจะอยู่ต่อไปเรื่อยตราบเท่าที่ในบ้านยังมีขยะกองทับถมกันอยู่ ในที่สุดเมื่อขยะและแมลงตัวร้ายเริ่มเป็นปัญหาลุกลามจึงต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ การทำความสะอาดกองขยะ หรือไม่ต้องเข้าไปใช้ห้องนั้นอีกเลย หรือจำต้องปิดบ้านทิ้งไปเลย
ผมขอบอกว่าพระเยซูคริสต์ได้จ่ายราคาสำหรับชีวิตของเรา และพระองค์ต้องการที่จะเข้ามาสู่ชีวิตของเรา เราอาจจะกล่าวว่า “ผมจะทำความสะอาดห้องนั่งเล่นแต่พระเยซูไม่สามารถเข้ามาในห้องนอนได้ เพราะในห้องนอนมีขยะเกี่ยวกับความบาปทางเพศ และผมก็ไม่อยากให้พระองค์มาช่วยทำความสะอาดในห้องนี้ด้วย หรืออาจเป็นว่า เรามีห้องรับประทานอาหารที่เต็มไปด้วย คำพูดเผ็ดร้อน ความขมขื่นขณะที่รับประทานอาหารด้วยกันของคนในครอบครัว สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนเป็นขยะแห่งความขมขื่น การไม่ให้อภัย และความโมโห
พระเยซูต้องการที่จะช่วยรักษาความบาดเจ็บทางอารมณ์ และความขมขื่นใจ แต่เราบอกว่า “ขอบคุณพระเยซูแต่ผมอยากจะเก็บความขมขื่น บาดแผล และความบาปเหล่านี้ไว้มากกว่า”สิ่งเหล่านี้คือขยะในชีวิตของเรา บ่อยครั้งเพียงใดที่เราปล่อยให้การกระทำของเรา เป็นตัวต่อต้านกีดกันให้พระเยซูออกไปจากเรา และเปิดเป็นที่ว่างให้เป็นฐานที่มั่นของซาตานเข้ามาทำรังในชีวิตของเรา
จากประสบการณ์ของผม ถ้าหากมีใครสักคนได้รับการปลดปล่อยจากเวทมนตร์และคาถา ศาสนาเทียมเท็จ หรือการนับถือพระเจ้าเทียมเท็จ การกระทำเช่นนี้เป็นเหมือนบ้านที่โครงสร้างที่เป็นไม้ของบ้านถูกทำลายเสียหายด้วยตัวปลวก โครงสร้างไม้เหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนใหม่ ด้วยกฎข้อที่ 1 คือ อธิษฐานขอการยกโทษจากพระเจ้าสำหรับความผิดบาปของเรา และต้องมีความเต็มใจที่จะหันกลับจากความบาปเพื่อหักล้างทำลายอำนาจของซาตานที่มีต่อชีวิตของเรา
ถ้าหากซาตานมีสิทธิอันชอบธรรมในการจู่โจมร่างกายของเราแล้ว ผมขอบอกคุณว่า นี้เป็นเพียงขั้นเริ่มต้นในการทำลายของมัน เป็นเหมือนกับที่การยกพลขึ้นบกของทหารฝ่ายศัตรู ในการสงครามฝ่ายวิญญาณ การสงครามที่แท้จริงในสนามความคิดของเราซึ่งบางครั้งเราเรียกว่ามันว่า จิตใจ ท่านเคยคิดไหมว่า บางครั้งเราไม่อยากจะทำอะไรบางอย่างแต่เรารู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ทำอย่างไร้เหตุผลอันควร
การสงครามที่แท้จริงคือการเข้าครอบครองในด้านความคิดของเรา ถ้าหากซาตานสามารถเข้าครองความคิดของคุณเมื่อไหร่แสดงว่ามันได้เข้าครอบครองการกระทำของเราด้วยแล้ว
ผมได้เคยมีประสบการณ์และได้เห็นตัวอย่างของคริสเตียนหลายคนที่ “ถูกตกอยู่ในอิทธิพลของวิญญาณชั่ว” เหมือนในพระธรรมเอเฟซัสบทที่ 4:26-27 ได้อธิบายไว้อย่างถูกต้องแล้ว คำถามที่แท้จริงก็คือว่า “เรา ในฐานะคริสเตียนได้เปิดโอกาสให้ซาตานเข้าครอบครองความคิดของเราไปมากเพียงไร”
เพื่อที่เราจะสามารถเข้าใจความคิดพื้นฐานของโลกวิญญาณที่กล่าวอ้างในพระธรรมเอเฟซัสตอนนี้ โดยทั่วไปแล้ว เราเข้าสู่โลกวิญญาณด้วยคำพูดและการกระทำ ถ้าหากคุณเคยโต้เถียง หรือทะเลาะกับเพื่อนในปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ถ้อยคำที่เราใช้ในการตอบโต้กันนี้แหละจะมีพลังอำนาจมากทีเดียว ในขณะที่นอนที่เตียงในตอนกลางคืนเหตุการณ์และคำโต้แย้งต่างๆ จะปรากฏขึ้นอีกครั้งในความคิดของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้อยคำที่เจ็บแสบที่ใช้โต้ตอบกัน
สิ่งรบกวนเหล่านี้จะคอยรบกวนการนอนของคุณเป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง มันจะทำให้คุณคิดหมกมุ่น วนเวียนไปมาซ้ำๆ ทำให้คุณกระสับกระส่ายจนคุณผล่อยหลับไปในที่สุด ในคืนต่อมาสิ่งนี้ก็ยังเกิดขึ้นกับคุณอีก แต่จะใช้เวลาประมาณ สามสิบนาที คุณก็จะสามารถหลับไป ในคืนที่สามอาจจะลดเวลากระสับกระส่ายเหลือเพียง สิบนาที และในคืนที่สี่คุณอาจจะไม่มีอาการถูกรบกวนที่เห็นได้ชัดจากการแสดงออกภายนอกแล้ว ถ้อยคำเผ็ดร้อนและขมขื่นเหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของคุณ และมันกลายเป็นฐานที่มั่นที่เป็นโอกาสให้มารใช้จู่โจมชีวิตของคุณ
สตรีคนหนึ่งชื่อ คุณ คาเรน(นามสมมุติ) เป็นคริสเตียนมาเป็นเวลาหลายปี คาเรนเข็มแข็งในด้านการอธิษฐาน และการถืออด พระเจ้าได้ใช้คาเรนในนำหลายคนมารับเชื่อ และคาเรนเคยวางมือรักษาคนเจ็บป่วยหลายคน แต่คาเรนยังต้องทนทุกข์กับโรคปวดกระดูก ผมมีโอกาสมาอธิษฐานเผื่อคาเรน ขณะที่เธอยืนอยู่ผมจับมือเธอและอธิษฐาน คาเรนล้มหงายลงไปนอนบนพื้นดูเหมือนหลับสนิท ตอนนี้ผมคิดว่าคงเป็นเพราะฤทธิ์อำนาจของพระเจ้ากำลังทำงานเพื่อรักษาโรคของเธอ ดังนั้นผมจึงเคลื่อนไปอธิษฐานเผื่อคนต่อไป อาทิตย์ต่อมาคาเรนก็มาขอให้อธิษฐานเผื่ออีก ปรากฏว่าคาเรนก็ล้มลงไปนอนคล้ายหมดสติเหมือนครั้งก่อน ปรากฎว่าคาเรนยังไม่หายจากโรคที่เป็นอยู่
อาทิตย์ที่สามคาเรมาให้อธิษฐานเผื่ออีก ผมก็อธิษฐานเผื่อคาเรนอีกครั้ง คาเรนก็ล้มลงไปอีกครั้งเหมือนครั้งก่อนๆ แต่ในครั้งนี้ผมได้ยินเสียงพระเจ้าบอกกับผมว่า “นี่ไม่ใช่เรา” ถ้าไม่ใช่พระเจ้าแล้วคงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากซาตาน
ดังนั้นผมจึงสั่งในนามพระเยซู เพื่อจะทราบว่าใครกันแน่ที่ทำให้คาเรนหลับไป ต่อมาผมได้ยินเสียงออกมาบอกว่า “ฉันมีชื่อว่า เชื้อโรค” ภายหลังจากการรับการรักษาแล้วผมได้รับรู้ในขณะที่เราให้คำปรึกษาแก่คาเรนว่า คาเรนเคยมีชีวิตคู่ที่ขมขื่นและได้หย่ามาแล้วเมื่อ 10 ปีก่อน
แน่นอนทีเดียวคาเรนเป็นคริสเตียนแต่การไม่ให้อภัยได้เปิดโอกาสให้ “ผู้ทรมาน” เข้ามาสู่ชีวิตของเธอในกรณีนี้ผู้ทรมานนี้เรียกตัวเองว่า เชื้อโรค คาเรนได้ใช้กฎข้อที่ 1 และคาเรนได้ให้อภัยแก่สามีและคนอื่นๆ ที่เคยทำให้เธอเจ็บปวด หรือทำร้ายเธอ ภายหลังจากนี้แล้วผมได้อธิษฐานเผื่อคาเรนอีกครั้งหนึ่งสำหรับโรคปวดกระดูก คาเรนได้รับการปลดปล่อยจากสิทธิอันชอบธรรมของซาตานที่มาทรมานเธอ และคาเรนก็หายจากอาการโรคปวดกระดูก
กรณีนี้เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างจากหลายๆ ตัวอย่างที่ผมเคยมีประสบการณ์ในการแสดงอาการของวิญญาณชั่วที่ปรากฎขึ้นกับผู้ที่เราเห็นว่าเป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว
ให้เราย้อนกลับไปกับคำถามเดิม คือ “คริสเตียนสามารถถูกผีสิงได้หรือเปล่า” ผมสามารถกล่าวได้ว่า ซาตานไม่สามารถเป็นเจ้าของเราแต่พวกมันสามารถจู่โจมร่างกาย และใช้อิทธิพลเหนือความคิด และชีวิตของเรา บางครั้งเป็นเพียงภายนอกโดยผ่านทางความกลัว แต่หลายครั้งผมได้เห็นซาตานจู่โจม หรือมีอิทธิพลเหนือคริสเตียนในด้านภายในด้วย
มีพระพรแห่งการอธิษฐานสำหรับคริสเตียนในการด้านร่างกายและอารมณ์เมื่อ เราอธิษฐานรักษาโรค ทั้งสองอย่างนี้เราเห็นได้ชัดจากตัวอย่างกรณีคุณ คาเรน
Home
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)