บทที่ 5
วิญญาณกาลีและวิธีการควบคุม
เราได้พยายามอย่างมากในการอธิษฐานเผื่ออาดัมในแต่ละครั้ง ผมเลยตัดสินใจว่าในการอธิษฐานคราวหน้าเราจะต้องอธิษฐานเผื่ออาดัมอย่างช้าๆ และต้องแน่ใจว่าเราได้ปิดทวารทั้ง 6 แล้วก่อนที่จะอธิษฐานขอการปลดปล่อย
อาดัมได้กล่าวกับผมสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องการนมัสการเจ้าของฮินดูที่มีชื่อว่า นางกาลี ในขั้นนี้ผมมีความรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับนางกาลี ในตอนหนึ่งในการอธิษฐานผมสังเกตได้ว่า ตาทั้งคู่ของอาดัมแดงเหมือนลุกเป็นไฟ และแขนทั้งสองข้างของอาดัมก็แกว่งไปแกว่งมา ในห้องอธิษฐานมีพวกเราทั้งหมด 6 คน แต่เราก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากให้การควบคุมอาดัม เราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงโดยใช้เครื่องมือต่อสู้ฝ่ายวิญญาณทุกอย่างที่เรารู้จัก อย่างไรก็ตามเราได้เรียนรู้ว่าวิญญาณกาลีเป็นผีที่มีฤทธิเดชมาก เมื่อเราอธิษฐานไปประมาณหนึ่งชั่วโมงเราพบว่าวิญญาณกาลีเริ่มอ่อนแรงลงไปบ้าง โดยใช้พระนามของพระเยซู เราอ้างเอาเลือดของพระเยซูปกคลุมชีวิตอาดัม และใช้พระคำของพระเจ้าด้วย
คุณทิม ซิมมี่เป็นผู้มีความเข้าใจเกี่ยวกับลัทธิฮินดู เขาได้เห็นอาการที่อาดัมแสดงออกขณะเราอธิษฐานเผื่อนั้นมันเป็นลักษณะอาการแสดงออกของวิญญาณกาลี ซึ่งเป็นวิญญาณที่กระหายเลือด ลักษณะของนางกาลีก็คือแสดงอาการก้าวร้าว และจะแลบลิ้นยาวๆ แกว่งลิ้นไปมาซึ่งแสดงถึงอาการกระหายเลือด ผมมีประสบการณ์ในการขับผีมามากและหลายๆ ครั้งก็พบเห็นลักษณะอาการแสดงออกของวิญญาณกาลีด้วย คนหนึ่งในกลุ่มอธิษฐานปลดปล่อยของเรากล่าวว่า “คืนนี้เราสามารถอธิษฐานขับผีได้เพียงตัวเดียวเอง” แต่นางกาลีเป็นวิญญาณหนึ่งในลัทธิฮินดูที่มีฤทธิไม่ธรรมดา ในฐานะที่เป็นคนอยู่ในวัฒนธรรมตะวันตกเราไม่สนใจที่ยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณต่างๆ ที่อยู่ศาสนาฮินดู หรือศาสนาพุทธอยู่แล้ว เราต้องเรียนรู้ว่ามีอำนาจของวิญญาณชั่วอยู่เบื้องหลังรูปแบบของการกราบไหว้รูปเคารพ เพียงแต่เรารู้แน่ชัดแล้วว่า ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้ามีมากกว่าฤทธิ์อำนาจของรูปเคารพ และวิญญาณควบคุมที่อยู่เบื้องหลังรูปเคารพเหล่านี้
แม้ว่าเราจะสามารถเอาชนะอำนาจของวิญญาณนางกาลีที่สิงอยู่ในตัวของอาดัม อย่างไรก็ตามเรารู้สึกว่าเกือบจะไม่สามารถควบคุมมันได้เลยในการอธิษฐานช่วงตอนเย็นนั้น เพราะเรารู้สึกได้ถึงกำลังทางกาย ความแข็งแรงของอาดัมขณะที่ถูกผีสิง เมื่อเราสั่งโดยใช้สิทธิอำนาจในพระนามพระเยซูและอ่านพระคำของพระเจ้า เราพบว่ามีความก้าวหน้าในการต่อสู้แต่วิญญาณนางกาลีก็ขืนสู้ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ขณะทำการต่อสู้เราสังเกตว่าอาดัมพยายามเอามือไปลูบบริเวณหน้าผากในตำแหน่งที่มีการสักยัณห์สีทอง เมื่อใดที่อาดัมเอามือลูบรอยสัก รู้สึกว่าอาดัมได้รับกำลังเพิ่มพูนขึ้น ในที่สุดเรารู้ว่าสิ่งนี้เป็นจุดเพิ่มกำลังให้แก่วิญญาณที่สิงอยู่เราจึงจับมืออาดัมไม่ให้สามารถเอาไปลูบที่บริเวณรอยสักได้อีกต่อไป แต่บางครั้งความพยายามของอาดัมก็สำเร็จและได้รับพลังเพิ่มพูนขึ้นเมื่อเขาสามารถเอามือลูบรอยสักได้
“น่าจะมีวิธีการที่ดีกว่านี้นะ” ผมพูดกับตนเอง ในตอนนี้ผมเริ่มงงไม่รู้ว่าเป็นอะไรแน่ แต่พระเจ้าได้ทรงนำเราให้มาเข้าสู่พันธกิจการปลดปล่อย ผมไม่เคยได้รับการอบรมจากใครมาก่อนแต่ผมรู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้สอนให้ผมรู้บทเรียนใหม่ๆ เสมอในแต่ละสัปดาห์ สิ่งที่เราไม่รู้กลับกลายเป็นสิ่งที่นำให้เราต้องอธิษฐานถามพระเจ้าเพื่อรู้วิธีการที่จะสามารถเอาชนะปัญหาที่เราได้ผบเสมอ ผมเคยอธิษฐานถามพระเจ้าว่า เราจะมีฤทธิ์อำนาจมากกว่านี้ที่จะสามารถควบคุมวิญญาณนี้ได้ ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงนำเรา ตอบคำถามเราในแต่พันธกิจการปลดปล่อยนี้ที่ละขั้นที่ละตอน
ภายหลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการปลดปล่อยหลายๆ เล่ม แต่ละเล่มจะเผยวิธีการต่างๆ ที่ผมได้เรียนรู้จากการสอนของพระวิญญาณ ซึ่งเป็นเทคนิคที่คล้ายๆ กันหรือเหมือนกันมาก หนังสือเหล่านี้ได้แก่ “ “Strong man” (ผู้เข้มแข็ง), “His Name” (พระนาม), “What ‘s his game (เกมอะไรของเขา)”, “Pigs in the Parlor(หมูในห้องรับแขก)”, “Defeating Dark Angels(เอาชนะทูตทมิน)”, “Delivering the Captives(ปลดปล่อยเชลย)”, and “Larson’s Book of Spiritual Warfare
(คู่มือต่อสู้ในสงครามฝ่ายวิญญาณของลาสัน)”
ขณะที่พูดคุยกับภรรยาของผมเกี่ยกับคำถามเกี่ยวกับการถูกควบคุม ภรรยาได้เตือนความจำของผมถึงเรื่องเมื่อหลายเดือนก่อนที่เราไปเยี่ยมบ้านเพื่อนคนหนึ่งที่เขามีปัญหาถูกวิญญาณรบกวนในบ้าน เมื่อศิษยาภิบาลท้องถิ่นมา เขาเริ่มการปลดปล่อยด้วยการกล่าวอ้างถึงสิทธิอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิอำนาจเหนือวิญญาณแห่งการควบคุม
กฎข้อที่ 8 กล่าวอ้างสิทธิอำนาจของเราเพื่อควบคุมสถานการณ์
พระธรรมลูกาบทที่ 10 ข้อ 19 ได้กล่าวว่า
“ดูเถิดเราได้ให้พวกท่านมีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และมีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่ากำลังศัตรู ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะทำอันตรายแก่ท่านได้เลย”
ภรรยาของผมแนะว่า แม้ก่อนที่เราจะแน่ใจว่าทวารทั้งหลายต้องถูกปิดหมดแล้ว ผมต้องอ้างสิทธิ และมัดวิญญาณแห่งการควบคุม ผมเห็นด้วยกับภรรยาข้อเสนอของภรรยา และพิจารณาถึงพระคัมภีร์จากหนังสือ มัทธิว บทที่ 18:18 โดยเฉพาะ
เป้าหมายการอธิษฐานครั้งต่อไปคือการการขับวิญญาณในลัทธิฮินดู ผมเริ่มอธิษฐานด้วยคำอธิษฐานแบบนี้ “เราอ้างสิทธิ์ที่ได้รับในนามพระเยซู ตามพระสัญญาในหนังสือลูกา บทที่ 10:19-20 เราขอผูกมันวิญญาณที่ควบคุมนี้ โดยอ้างสิทธิ์อำนาจของพระธรรมมัทธิวบทที่ 18:18 เรากล่าวห้ามเจ้าไม่อนุญาตให้เจ้ามาวุ่นวายหรือก่อความยุ่งเหยิงใดๆ
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า สิ่งสารพัดซึ่งท่านจะกล่าวห้ามในโลก ก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ และสิ่งซึ่งท่านจะกล่าวอนุญาตในโลกก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์เหมือนกัน”
ในช่วงนี้เราพบว่าการอธิษฐานของเราไปได้อย่างสะดวกไม่เหมือนช่วงอธิษฐานก่อนหน้านี้ และเรารู้สึกว่ามีความก้าวหน้ามากขึ้น
ช่วงอธิษฐานต่อมาก็รู้สึกว่าสะดวกขึ้นยกเว้นประสบการณ์น่าประหลาดใจอย่างหนึ่ง ขณะที่อธิษฐานเผื่อวิญญาณแห่งความริษยา เราต้องต่อสู้กับการดิ้นรนขัดขืนของวิญญาณนี้ อาดัมกำลังนั่งบนเก้าอี้โดยมีชายสองคนช่วยจับแขนเขาไว้เพื่อไม่ให้อาดัมเอื้อมมือไปจับรอยสักได้ ขณะที่กำลังอธิษฐานอยู่ผมรู้สึกว่าต้องร้องเพลงเพลงหนึ่ง คือ “โอ้พระโลหิตของพระเยซู” ผมร้องเพลงใส่หูขวาของอาดัม อาดัมกรีดร้องเสียงดังว่า “อย่า” วิญญาณผีได้ควบคุมขาของอาดัมทั้งสองข้างและพยายามเตะเข่าไปที่หูเพื่อไม่ให้เราสามารถร้องเพลงเกี่ยวกับพระโลหิตของพระเยซูได้ เราต่างประหลาดใจกับเหตุการณ์นี้ เราจึงค่อนข้างลำบากที่จะเอาปากของไปจ่อหูของอาดัมและร้องเพลงกรอกหูเขา ซึ่งดูเป็นท่าทางที่น่าขันพอควร
แต่อาดัมโดยการควบคุมของวิญญาณเขาก็สามารถยกเข่าทั้งสองข้างมาปิดหูของเขาได้ ดูเหมือนเขารู้สึกโล่งใจขึ้นที่สามารถทำได้ เราจึงจำเป็นต้องใช้ผู้ชายอีกสองคนเพื่อจับเข่าของอาดัมออกเพื่อที่เราจะสามารถร้องเพลงต่อไปได้ เราได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นอีกว่า การสรรเสริญ การร้องเพลงก็เป็นอาวุธอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้วิญญาณที่สิงอยู่อ่อนกำลังลงได้ ดูเหมือนผีสิงเหล่านี้ไม่ค่อยชอบเพลงที่เกี่ยวกับพระโลหิตของพระเยซู การสรรเสริญ และการนมัสการ
เราอาจจะมั่นใจมากเกินไป หรืออาจเป็นเพราะพระเจ้าต้องการให้เราออกจากการพบคำตอบ ดังนั้นอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นขอให้เป็นไปตามการทรงนำและฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็แล้วกัน
สองสามวันต่อมาเราเริ่มอธิษฐานเผื่ออาดัมเพื่อปลดปล่อยวิญญาณแห่งความเย่อหยิ่ง ทุกอย่างดูเหมือนไปได้ดีไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้น ยกเว้นการไอออกมาอย่างไม่ปกติ เป็นการไอ ห่าว และอ้วก บางอย่างออกมาจากปากของอาดัม เราคาดว่าเราน่าจะจัดการวิญญาณแห่งความเยอหยิ่งได้แล้ว เราจึงขอบพระคุณพระเจ้าเหมือนเคยสำหรับชัยชนะ
ผมจึงอธิษฐานปิดด้วยการขอบพระคุณพระเจ้า ในขณะนี้เองวิญญาณที่เข้มแข็งที่สุดได้ถูกปลุกและขึ้นมาท้าท้ายเรา ผมจึงได้เรียนรู้ตั้งแต่ครั้งนี้ว่าผมจะต้องระมัดระวังในวิธีการอธิษฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอธิษฐานปิด เพราะผมมีแนวโน้มที่ปลุกผีหรือกระตุ้นให้วิญญาณชั่วแสดงอาการเมื่อผมอธิษฐานวางมือผู้คนเสมอ ผมรู้สึกว่าสิ่งนี้คือส่วนหนึ่งของการเจิมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีต่อผม ผมขอย้ำอีกครั้งว่าขอให้เราระมัดระวังในวิธีการอธิษฐานในแต่ละครั้ง ไม่ว่าเราจะอธิษฐานขับ หรืออธิษฐานปลุก หรือบังคับให้สงบลง ทั้งสิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมฝ่ายวิญญาณ
วิญญาณที่เราปลุกขึ้นมาจากตัวอาดัมเริ่มเย้ยหยันเราโดยท้าให้เดาว่า ชื่อมันคืออะไร วิญญาณนี้กล้าดีและข่มขู่ จากที่เรามีประสบการณ์ในการปราบผีต่างๆ มามากมายนี่เป็นครั้งแรกที่เราเราได้พบผีที่พูดกับเราตรงๆ ในตอนนี้เรารู้เลยว่ามันเป็นวิญญาณที่ต่อต้านพระคริสต์ วิญญาณตัวนี้กล่าวว่า
“คนนี้เป็นของข้า และเจ้าไม่สามารถจะเอาเขาไปจากข้าได้”
“แท้จริงแล้ว ข้ากำลังจะฆ่าเขาภายใน 7 วันนี้”
เมื่อมาถึงจุดนี้ รู้สึกว่าอาดัมจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากในร่างกายของเขา เราเคยพบเห็นการแสดงอาการของคนที่ถูกซาตานจู่โจมมาก่อนแต่ว่า ในครั้งนี้รู้สึกว่าจะฤทธิเดชของวิญญาณนี้รุนแรงมากที่สุด อาดัมได้บอกกับผมว่าจากประสบการณ์ในครั้งก่อนว่า ถ้าหากอาจารย์อธิษฐานเผื่อผม อย่าหยุดที่จะพูดกับผมนะครับ แม้ว่าผมจะไม่สามารถพูดได้ก็ตามเพราะซาตานอาจควบคุมผมไว้
ตอนนี้ผมจึงก้มลงเอาปากไปแนบอธิษฐานให้เสียงเข้าหูอาดัมชัดๆ ด้วยคำอธิษฐานภาษาแปลกๆ มันเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือลจนถึงบัดนี้ มีจุดหนึ่งศิษยาภิบาล แบรี่ ซาร์ ถึงกับรู้สึกกังวลว่าอาจมีการตายเกิดขึ้นในคริสตจักร เพราะการทรมานของวิญญาณนี้มันรุนแรงมาก อย่างไรก็ตามการต่อสู้ก็ต้องหยุดยั้งลง เราไม่สามารถขับวิญญาณออกได้ แต่อาดัมดูเหมือนหมดเรี่ยวแรงและระโหยเต็มที เขาไม่สามารถจะเข้ารับการอธิษฐานปลดปล่อยในวันนี้อีกแล้ว ศิษยาภิบาล แบรี่ ซาร์ เสนอแนะว่า เราควรจะเลื่อนการอธิษฐานออกไปอีกเป็นเวลา 8 วัน เราเชื่อว่าอาจจะเป็นวิญญาณล่อลวง (โกหก) ในระหว่างนี้ทีมอธิษฐานแต่ละคนจะได้อธิษฐานยกชื่อของอาดัมขึ้นต่อพระเจ้า ทีมที่เหลือเราแยกย้ายไปพบกันที่ร้านกาแฟเพื่อจะวางแผนการต่อสู้ในอีก 8 วันข้างหน้า
ผมทำหน้าที่ขับรถไปส่งอาดัมกลับบ้านซึ่งมีระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ขณะที่ผมเข้ามาใกล้อาดัม เขาเริ่มพูดได้อีกครั้งอาดัมบอกกับผมว่า “บรูซ ขณะที่วิญญาณร้ายตะคอกและข่มขู่พวกคุณอยู่นั้น ผมได้ยินคุณพูดภาษาแปลกๆ คุณกำลังพูดภาษาทมิล ซึ่งเป็นภาษาถิ่นของผมเอง” คุณพูดว่า “เราคือพระเจ้าของเจ้า เราจะดูแลเจ้าเอง” “ อย่ามองไปทางซ้ายหรือทางขวา”
อาดัมบอกถ้อยคำเหล่านี้ทั้งหมดกับผม แต่หลังจากที่เขาบอกเพียงประโยคแรก ผมก็ไม่สามารถได้ยินเสียงของอาดัมอีกเลย ผมรู้สึกเหมือนกับถูกลมพัดปลิวไปเลย โดยฤทธ์อำนาจอันมหัศจรรย์ของพระเจ้า และยิ่งภาคภูมิใจมากที่พระเจ้าทรงใช้ผมเพื่อสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์ คุณเพียงได้อ่านประสบการณ์นี้จากหนังสือนี้แต่ถ้ามันเกิดขึ้นกับคุณล่ะก็ คุณจะรู้ว่าตัวหนังสือไม่สามารถบรรยายความรู้สึกนี้ได้เลย
สิ่งที่ผมคิดเกี่ยวกับพระคัมภีร์ตอนที่บอกว่าซาตานนั้นมักทำตัวเป็นเหมือนสิงโตคำราม ขณะที่วิญญาณมันแสดงอำนาจดูเหมือนมันมีอำนาจมาก แต่เราขอบพระคุณพระเจ้าที่พวกเราชาวคริสเตียนมีอำนาจมากกว่ามันเสียอีก วิญญาณต่อต้านพระคริสต์นี้เป็นนักหลอกลวงตัวยง เราถูกมันหลอกจนงง พระเจ้าได้มีชัยชนะในการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณครั้งนี้แม้กระทั้งเราเองยังไม่ได้รับรู้เลย
เมื่อผมขับรถไปถึงร้านกาแฟทีมของเราดูเหมือนจะดูเศร้าๆ พวกเขากังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาดัมเพราะเราไม่สามารถควบคุมได้เลย หลังจากที่ผมเล่าเรื่องที่ผมคุยกับอาดัมขณะขับรถไปส่งอาดัม ทุกคนมีสีหน้าโล่งอกเหมือนว่าเราได้รับชัยชนะแล้ว เราอธิษฐานยกชื่อของอาดัมเป็นเวลา 8 วัน เมื่อเราถึงเวลาอธิษฐานปลดปล่อยเราได้รับทราบสาเหตุที่เป็นเหมือนทวารหรือช่องที่ทำให้ซาตานอ้างสิทธิ์เหนืออาดัม นั่นคือความบาปที่อนุญาตให้ซาตานอ้างสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของ ผมนำอาดัมอธิษฐานสารภาพ (กฎข้อที่ 1) และในตอนนี้วิญญาณต่อต้านพระคริสต์ยอมแพ้อย่างง่ายดาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)