ตอนที่สอง
ถ้าท่านยังไม่รู้ว่าจะเป็นสมาชิกคริสตจักรที่ไหนดี
จึงควรอธิษฐานและยอมให้พระเจ้าทรงนำไปยังคริสตจักรที่ถูกต้อง
เมื่อเป็นสมาชิกของคริสตจักรนั้นแล้ว ก็ให้มีท่าทีเช่นนี้คือ “ฉันรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงนำฉันมาที่นี่เพื่อเป็นท่อแห่งพระพรของพระองค์สู่คนอื่นๆ”
ข้าพเจ้าขอให้ท่านพิจารณาอีกสิ่งหนึ่ง
คือในท้องถิ่นที่ท่านอยู่อาจจะมีร้านอาหารหรือภัตตาคารให้ท่านเลือกอยู่หลายร้าน
หลายยี่ห้อ เช่น แม็คโดนัลด์ เบอร์เกอร์ เชฟ ฮาร์ดี้ วินดี้
หรือร้านขายแฮมเบอร์เกอร์อื่นๆ นอกจากนี้ยังมีเค็นตั๊กกี้ ฟรายชิกเก็น มีฮ็อทด็อก
อาหารแม็คซิกัน อาหารทะเล
อาหารฟาสฟูดทั้งของท้องถิ่นหรือถิ่นอื่นมีทั้งภัตตาคารที่หรูหราราคาแพง
และร้านธรรมดาทั่วไป ทำไมจึงมีร้านอาหารมากมายหลายอย่างหลายชนิดเช่นนี้หรือ ? ก็เพื่อที่ท่านจะสามารถเลือกตามใจชอบนะสิ
ถ้าในเมืองที่ท่านอยู่ มีร้านอาหารอยู่ร้านเดียว ท่านอาจจะชอบหรือไม่ชอบ
รายการอาหาร ราคา หรือบรรยากาศนั้นก็ได้
ข้าพเจ้ายกตัวอย่างเรื่องร้านอาหารนี้ทำไม
?
ก็เพื่ออธิบายว่าดังเช่นที่มีร้านอาหารภัตตาคารมีหลายชนิดให้เราเลือกรับประทานคริสตจักรท้องถิ่นก็เช่นกัน
มีคริสตจักรท้องถิ่นหลายคริสตจักรให้เราเลือก ? มีคนดี มีคริสตจักรที่ดีมากมาย
ถ้าท่านยอมให้พระเจ้าทรงนำท่าน
พระองค์ทรงเป็นพระผู้เลี้ยงและทรงเป็นประมุขของคริสตจักร
ก็ทรงนำพาท่านไปยังคริสตจักรที่เหมาะสมกับท่านที่ท่านสามารถได้รับพระพร และเป็นพระพรแก่คนอื่นๆได้
เมื่อท่านไปเป็นสมาชิกคริสตจักรใดๆ
ก็ตามแล้วก็จงตั้งใจที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของคริสตจักรนั้น
ข้าพเจ้ายังจำได้เมื่อข้าพเจ้าไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยโอรอล โรเบิร์ต
ท่านอธการบดีโอรอล โรเบิร์ตได้กล่าวข้อความตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าอยากพูดกับท่านอย่างตรงไปตรงมาว่า
เมื่อท่านได้มาศึกษายังสถาบันแห่งนี้แล้ว...ข้าพเจ้าคาดหวังว่าท่านจะสามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบของสถาบันนี้ทุกประการ
ถ้าหากว่าทางสถาบันทราบว่าท่านไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มีไว้อย่างจงใจเราจะส่งท่านกลับบ้านทันที”
สิ่งที่ท่านอธิการบดีกล่าวมีความดังนี้ว่า
“ถ้าคุณเข้ากันที่นี่ไม่ได้ก็ไปหาที่อื่น อย่ามาสร้างปัญหาที่นี่เลย” ข้าพเจ้าคิดว่าการเป็นสมาชิกของคริสตจักรก็ควรมีท่าทีเช่นนี้
คือจงมาหาคริสตจักรที่ท่านได้รับการเลี้ยงดูฝ่ายจิตวิญญาณ รับพระพร
และท่านเป็นพระพรต่อคนอื่นๆ มิใช่ผู้นำความยุ่งยากไปสู่เขา จงมาหาคริสตจักรที่ท่านสามารถ
“ไปกันได้” กับการทรงเรียก การเจิม และนิมิตของบรรดาผู้นำเหล่านั้น
จงเข้าไปมีส่วนในการทำให้นิมิตนั้นสำเร็จ
คริสตจักรไม่ต้องการใครก็ตามที่โคลงเรือจนจมล้ม
แต่ต้องการให้เรือนั้นแล่นไปอย่างราบรื่น
เมื่อใดที่ท่านได้เลือกเป็นสมาชิกของคริสตจักรใดคริสตจักรหนึ่งแล้ว(เหมือนเข้าไปในร้านอาหาร)
ต่อมาท่านไม่ชอบการดำเนินงานของคริสตจักรนั้นในบางเรื่อง
(เหมือนไม่ชอบการปรุงอาหารบางชนิด) ก็ให้ท่าน “เกาะติด” อยู่กับผู้นำในคริสตจักร
และช่วยเขาทำให้ดีขึ้น ถ้าไม่อาจทำอะไรได้ ก็ไปหาคริสตจักรอื่นที่ท่านสามารถทำได้
อาจมีคริสตจักรอื่นอีกก็ได้ในเมืองที่ท่านอาศัยอยู่
ถ้าอาหารไม่ถูกรสนิยมของท่าน
ก็อย่าพยายามไปแก้รายการอาหารของเขา ให้ไปที่อื่น
จงทูลถามพระเจ้าเพื่อให้พระองค์ทรงนำท่าน พระองค์จะทรงนำแน่นอน
แต่จงระลึกในใจเสมอว่าในโลกนี้ไม่มีที่ใดหรอกที่จะทำให้ท่านได้รับความพอใจร้อยเปอร์เซ็นต์
เพราะไม่มีใครสักคนเดียวที่สมบูรณ์รวมทั้งตัวท่านเองก็ไม่สมบูรณ์
เราต้องสำนึกว่าองค์พระเยซูคริสต์เองได้ทรงประทานบรรดาผู้รับใช้ให้แก่คริสตจักรสากล
คือทุกๆคริสตจักรในโลกนี้ และคริสตจักรท้องถิ่นต่างๆ เพื่อประโยชน์ของเรา
ถ้าท่าทีของเราต่อผู้รับใช้พระเจ้าเหล่านั้นไม่ถูกต้อง เราเองจะที่สูญเสียประโยชน์
ศิษยาภิบาลนั้นจะยังไม่เป็น “ยังไม่เป็นศิษยาภิบาลของท่าน”
จนกว่าท่านจะยินยอม การมีชื่อในสมุดทะเบียนคริสตจักร ไปเข้าค่ายอบรม
ไหว้ศิษยาภิบาลเมื่อเข้าโบสถ์ ยังไม่พอที่จะเรียกว่าท่านเป็น “ศิษย์”
ของศิษยาภิบาลนั้นๆ จนกว่าท่านจะยอมให้เขา “สร้าง” ท่านด้วยคำสอนและการนำของเขาเอง
บ่อยครั้งข้าพเจ้าเห็นสมาชิกของคริสตจักรหนึ่งไปขอคำปรึกษาจากศิษยาภิบาลของอีกคริสตจักรหนึ่ง เพราะพวกเขาไม่ยอมเป็น “ศิษย์” ของศิษยาภิบาลของตน การกระทำเช่นนี้จะทำให้พวกเขาขาดพระพรฝ่ายจิตวิญญาณจากสิทธิอำนาจ และการเจิมในชีวิตของศิษยาภิบาลของพวกเขา และถ้าท่านทำเช่นนี้ ท่านได้ทำให้พระเจ้าทรงลำบากที่จะอวยพระพรท่าน ผู้รับใช้พระเจ้านั้นจะได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าเป็นประการแรก และการเจิม สิทธิอำนาจจากพระเจ้าก็ตามมา ดังนั้นจงฉวยโอกาสที่จะได้รับประโยชน์นี้ โดยให้ผู้รับใช้ซึ่งเป็นของพระราชทานให้แก่คริสตจักรนี้ดูแล สั่งสอน และเลี้ยงดูชีวิตของท่านเถิด
บ่อยครั้งข้าพเจ้าเห็นสมาชิกของคริสตจักรหนึ่งไปขอคำปรึกษาจากศิษยาภิบาลของอีกคริสตจักรหนึ่ง เพราะพวกเขาไม่ยอมเป็น “ศิษย์” ของศิษยาภิบาลของตน การกระทำเช่นนี้จะทำให้พวกเขาขาดพระพรฝ่ายจิตวิญญาณจากสิทธิอำนาจ และการเจิมในชีวิตของศิษยาภิบาลของพวกเขา และถ้าท่านทำเช่นนี้ ท่านได้ทำให้พระเจ้าทรงลำบากที่จะอวยพระพรท่าน ผู้รับใช้พระเจ้านั้นจะได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าเป็นประการแรก และการเจิม สิทธิอำนาจจากพระเจ้าก็ตามมา ดังนั้นจงฉวยโอกาสที่จะได้รับประโยชน์นี้ โดยให้ผู้รับใช้ซึ่งเป็นของพระราชทานให้แก่คริสตจักรนี้ดูแล สั่งสอน และเลี้ยงดูชีวิตของท่านเถิด
การไปเป็นสมาชิกของคริสตจักรใดเป็นสิทธิในการเลือกของท่าน
ไม่มีใครบังคับท่านให้ไปโบสถ์นั้นหรือโบสถ์นี้ ดังนั้นเมื่อท่านได้เลือกไปเป็นสมาชิกของคริสตจักรแห่งใดแล้ว
ก็จงทำตัวให้เป็นพระพรมิใช่เพียงแต่รับพระพรอย่างเดียว ถ้าการณ์ปรากฏว่าท่านไม่สามารถเป็นพระพร
แต่ท่านกลายเป็นคนก่อปัญหาและความตึงเครียดให้เกิดขึ้น
จงถามตนเองว่าท่านอยู่ในที่ที่ถูกที่ควรไหมทูลถามพระเจ้าในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ถ้าพระองค์ทรงนำให้ท่านออกจากคริสตจักรนั้นก็จงไป
บางคนแย้งว่า “เรื่องอะไรฉันจะไป
ยายฉัน แม่ฉัน และฉันก็โตขึ้น ที่นี้ ฉันไม่ไป” ถ้าท่านมีความคิดหรือท่าทีเช่นนี้
ยิ่งต้องรีบออกจากคริสตจักรนั้น เพราะท่าทีเช่นนั้นผิด เมื่อท่าทีผิด ไม่ช้าก็เร็วจะเริ่มสร้างปัญหา
ท่านก็จะเริ่มคิดในทำนองนี้ว่า “ศิษยาภิบาลคนนี้ไม่ได้เรื่อง ทำงานไม่เข้าท่า
ฉันไม่เห็นด้วย คนเป็นคนเก่าคนแก่ที่นี่ จะไม่ยอมให้ใครมาเปลี่ยนแปลงอะไรเด็ดขาด”
ท่านรู้ไหมว่า การคิดหรือทำเช่นนี้
หมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่าท่านกำลังแตะต้องผู้ซึ่งได้รับการเจิมจากพระเจ้าและกำลังทำอันตรายแก่คนของพระองค์
ท่านกำลังย่างก้าวเข้าสู่แดนอันตรายที่มารถสามารถลัก ฆ่า และทำลายได้ ดังนั้น
แทนที่จะทำเช่นนี้จงดำเนินชีวิตติดตามพระผู้เลี้ยงและยอมกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์
อย่าพยายามหักด้ามพร้าด้วยหัวเข่า
อย่ามีท่าทีอย่างนี้ “ฉันจะปักหลักอยู่ที่นี่แหละ
พระเจ้าใช้ฉันให้เปลี่ยนแปลงที่นี่” มุสาทั้งสิ้น
การคิดเช่นนี้แสดงว่าท่านมิได้เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณเป็นแต่เด็ก
แสดงว่าท่านมิได้เข้าใจสิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณ การทรงเรียก การเจิม
และการดำเนินชีวิตในความรัก เป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงใช้ท่านในการเปลี่ยนแปลงคริสตจักรหรือเปลี่ยนแปลงศิษยาภิบาล
พระองค์มิได้เรียกเราให้คิดกบฏต่อสิทธิอำนาจนั้นต่างหาก
พระองค์มิได้ทรงเรียกเราให้ทำลาย แต่สร้างสรรค์มิได้เรียกเราให้เปลี่ยนแปลงคนอื่น
แต่ให้เปลี่ยนแปลงตนเอง
ดังนั้น
ถ้าท่านได้คิดว่าพระเจ้าได้ทรงเรียกท่านมาให้ทำการเปลี่ยนแปลงคริสตจักร
รีบเปลี่ยนความคิดเสีย
ถ้าคริสตจักรท้องถิ่นของท่านต้องการการเปลี่ยนแปลงองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกระทำในชีวิตของผู้รับใช้พระองค์
โดยทรงนำในชีวิตจิตใจของศิษยาภิบาลที่พระองค์ได้ทรงเรียก
และได้ทรงแต่งตั้งไว้นั้นถ้าเกิดปัญหาเกี่ยวกับผู้นำในคริสตจักรขึ้นมาครั้งใด
สิ่งที่ควรทำก็คือเฝ้าอธิษฐานเผื่อท่านเหล่านั้น
ถ้าศิษยาภิบาลทำผิด
เราต้องอธิษฐานเผื่อ ไม่ใช่ต่อสู่ ตำหนิติเตียน หรือปรับโทษท่าน พระเจ้าทรงสามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงชีวิตศิษยาภิบาลท่านนั้นได้
ถ้าท่านรู้สึกอย่างบริสุทธิ์ใจว่า
ศิษยาภิบาลของท่านทำผิด จงไปเปิดใจกับศิษยาภิบาลท่านนั้นเป็นส่วนตัว
ถ้าศิษยาภิบาลท่านนั้นไม่ยอมรับ ก็จงออกจากคริสตจักรนั้นเสีย
ไปหาคริสตจักรใหม่ที่ท่านเห็นดีด้วย การออกคริสตจักร
อย่าออกด้วยใจขมขื่นหรือมีท่าทีที่ทำลาย
คริสเตียนเรานั้นต้องดำเนินชีวิตในความรักเสมอ
การยังทู่ซี้อยู่เป็นสมาชิกและเล่าความรู้สึกที่ไม่ดีต่อศิษยาภิบาลให้แก่สมาชิกคริสตจักร
เป็นการแตะต้องผู้ที่ได้รับการเจิมจากพระเจ้าและเป็นการนำความเสียหายมาสู่ตำแหน่งของศิษยาภิบาลและคริสตจักร
เพราะท่านได้ก่อให้เกิดการแข็งข้อและความแตกแยกขึ้น
ท่านอาจคิดว่าเป็นการทำดีทั้งๆที่แท้จริงเป็นการร้าย ดังนั้น
ถ้าหากไม่เห็นด้วยกับศิษยาภิบาลในเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณที่สำคัญๆ
(ไม่ใช่เรื่องขี้ประติ๋ว เช่น การทาสีโบสถ์) สิ่งที่ดีที่สุดที่ท่านควรทำก็คือ
แยกตัวออกมา แน่นอน แม้แต่แยกตัวออกมา
ท่านก็ยังควรดำเนินชีวิตในการอธิษฐานและความรัก
บางคนว่า
“ผมไม่อยากออกจากการเป็นสมาชิกของคริสตจักรนี้
เพราะพระเจ้าให้อยู่เพื่ออธิษฐานเผื่อ” เรื่องอย่างนี้ไม่จริงหรอกท่านอธิษฐานเผื่อที่บ้านก็ได้
แต่ถ้าท่านและศิษยาภิบาลขัดแย้งไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันท่านก็คงไม่สามารถนั่งในที่ประชุมและรับอะไรจากพระเจ้า
ยิ่งกว่านั้นก็ยังอาจแสดงความโกรธ ไม่พอใจจน “ตาขวาง”ก็ได้
การอยู่ต่อไปและอธิษฐานเผื่อจึงไม่ได้ผล
บางคนทำผิดพลาดโดยเที่ยวไปเล่าสิ่งที่ตนมีความรู้
และรู้สึกต่อผู้นำในคริสตจักรแก่คนทั้งหลายที่ตนคิดว่าจะเข้าข้างและเห็นใจตน
พระคัมภีร์สอนว่าถ้าท่านทำผิดต่อพี่น้อง ประการแรกจงไปหาเขา
ไปหาคนเดียวประการที่สอง
ท่านไม่มีความรู้ทั้งหมดหรอกว่าคนเหล่านั้นที่ท่านไปเล่าความลับให้เขาฟัง
เขาอาจไปเล่าต่อแก่คนที่ท่านไม่อยากให้รู้แล้วก็ได้
ถ้าท่านมีสิ่งใดที่เป็นการต่อต้านศิษยาภิบาลและไปเล่าให้คนอื่นฟัง
เขาอาจไปเล่าให้ศิษยาภิบาลรู้แล้ว
บางคนทนอยู่คริสตจักร
เพราะจองหลุมฝังศพของคริสตจักรไว้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่อยู่ในคริสตจักรที่ตายแล้ว
ให้คนตายฝังคนตายเถิด ไปหาคริสตจักรที่มีชีวิตอยู่จนกว่าจะถูกรับขึ้นไปกับองค์พระเยซูคริสต์
ท่านคิดอย่างไร ? ข้าพเจ้าเชื่อว่า
ยุคของเรานี้แหละที่จะได้ต้อนรับการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์
ถ้าท่านอยู่ในคริสตจักรที่ตายแล้ว
จงไปหาคริสตจักรที่มีชีวิตที่ท่านสามารถเรียนรู้เรื่องการหายโรค เพื่อท่านจะหายโรค
ข้าพเจ้าเคยขับรถไปตามเมืองต่างๆในอเมริกา
และเห็นบางคริสตจักรมีหลุมฝังศพมากกว่าสมาชิก (เพราะเห็นอาคารโบสถ์หลังเล็กๆ)
ที่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าเคยคิดว่าศิษยาภิบาลของคริสตจักรนั้น คงไม่รู้พระคัมภีร์กระมัง
สมาชิกจึงตายไปหมด
องค์พระเยซูคริสต์ได้ตรัสว่า
ทรงเสด็จมาในโลกเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และเป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์ (ยอห์น 10:10)
พระคัมภีร์สอนว่าด้วยรอยแผลที่ถูกเฆี่ยนตีที่พระองค์ได้รับ เราจึงหายเป็นปกติ
(อสย.53:5) พระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมบันทึกสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับประชาชนของพระองค์ว่า
“เราคือพระเจ้าผู้รักษาเจ้า” (อพย.15:26)
คริสเตียนควรไปคริสตจักรที่สอนความจริงของชีวิตและการหายโรค
และไปร่วมประชุมที่มีชีวิตชีวา
องค์พระคริสต์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า
“ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต” (ยอห์น 6:63)
และตรัสว่ามนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวก็หาไม่
แต่ด้วยบรรดาพระโอวาทซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า (มธ.4:4)
การนั่งในคริสตจักรที่เทศน์เรื่องความรอดอย่างเดียวไม่พอ
เพราะเมื่อใครก็ตามได้รับความรอดแล้ว เขาไม่ต้องการคำสอนนั้นต่อไป
แต่ต้องการคำสอนอื่นๆ เช่นเรื่องการหายโรค การขับผี ความเชื่อเป็นต้น
ตอนที่ 3
Home
Home
ถ้าผู้นำของเราไม่ประพฤติตามหลักพระบัญญัติจะทำอย่างไร
ตอบลบ