อยู่โบสถ์ไหนดี Why do people move from church to church 3


 อยู่โบสถ์ไหนดี 3
ตอนที่ 3      

                 ในมัทธิว
5:29,30 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสอนว่า ถ้าตาทำให้เราหลงผิด ควรควักทิ้งเสีย ถ้ามือของเราทำให้เราหลงผิด ควรตัดทิ้งเสียบทเรียนนี้เราควรนำมาปฏิบัติในกรณี การเกี่ยวข้องกับบรรดาผู้รับใช้ของพระเจ้า คือถ้าผู้รับใช้ของพระเจ้าหรืองานรับใช้ใดทำให้ให้เราหลงผิด เราก็ควร “ตัดทิ้ง” เสีย ถ้ามีบางคนเทศนาสิ่งที่ท่านรู้ว่าไม่ได้สร้างเสริมอะไรเลย   และผิดจากคำสอนในพระวจนะของพระเจ้า จงออกไปจากคำสอนนั้น ถ้าเขาเทศน์อย่างหนึ่งแต่ประพฤติอีกอย่างหนึ่ง  ก็จง “ตัด” ตัวเอง ออกจากเขาหลีกไปเสียอย่าไปร่วมประชุมอาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่า โดยหวังลมๆแล้งๆ ว่าเขาจะเปลี่ยน จงย้ายไปยังที่มีการเทศนาพระกิตติคุณนั้นเถิด และปฏิบัติตามพระกิตติคุณนั้นเถิด

            การกระทำดังกล่าวมิได้หมายความว่าท่านมิได้ ดำเนินในความรักต่อนักเทศน์ต่อหน่วยงาน หรือต่อคริสตจักรนั้น แต่เป็นการ “ตัดตัวเองออก” เพื่อมิให้หลงหรือต่อต้าน หรือกระทำผิดต่อเขาต่างหาก




            ถ้าท่านตัดสินใจที่อยู่เป็นสมาชิกในคริสตจักร และยอมทนรับฟังคำสอนของศิษยาภิบาล แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับคำสอนของเขา แต่อย่าถือฐานะตำแหน่งของเขา พระเจ้าก็จะอวยพระพรท่านอย่างแน่นอน อาจโดยการเปลี่ยนเขา เปลี่ยนท่าน หรือนำท่านไปสู่ที่อื่นก็ได้

ข้อสังเกตของ Rice Mu. สำหรับเรื่องการย้ายโบสถ์

            การเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่เริ่มเติบโตแล้ว   การรับภาระในคริสตจักรเป็นเรื่องธรรมชาติของการเติบโต   เหมือนกับเด็กเล็กที่ตอนเกิดมาใหม่ๆ ช่วยตนเองไม่ได้ก็มีคนดูแล  มีคนป้อนอาหาร  แต่ถ้าเริ่มเติบโตแล้วก็ต้องหาอาหารเอง  ต้องรับภาระ  รับผิดชอบอะไรต่างๆด้วยตนเอง  ถ้าใครอยากมีคู่ก็ต้องมีความรับผิดชอบตามมา   แต่เด็กยุคใหม่ปัจจุบันทั้งที่เป็นคริสต์และไม่เป็นคริสต์กลับเลือกที่จะมีคู่  หรือมีผัวมีเมียโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร  ยังขอเงินพ่อเงินแม่ก็มีคู่ได้สบายเพราะทำตามอย่างชาวโลกทั่วไป

            การเลือกที่จะเอาบ่าเข้ารับงานในคริสตจักร กับการที่จะเป็นคน “นั่งฟัง” หรือ เป็น “ผู้เข้าร่วมกิจกรรม” หรือเป็นผู้เข้า  “ร่วมรับผิดชอบงานรับใช้”   มีความหมายและผลตอบแทนการอุทิศตน  การเสียสละ  การตอบแทนต่อกางเขนของพระคริสต์   ที่แตกต่างกันอย่างมาก         ท่านอยากจะเป็นคนประเภทไหนในคริสตจักร  คงไม่มีใครบังคับท่านได้  มันย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น  ระดับการเติบโตในความเชื่อ  การอุทิศตน  ภาระใจในการเข้าร่วม  หรือ ระดับความสัมพันธ์ของสมาชิกใหม่ กับศิษยาภิบาล  ระดับการยอมรับที่ คริสตจักรนั้นๆ มอบให้กับผู้ที่เข้าร่วม

            เป็นเรื่องน่าเสียใจอย่างมาก ที่ผมเองเชื่อมั่นว่าตัวเองมีของประทานในการประกาศข่าวประเสริฐ  การนำคนมาหาพระเจ้าได้บ้าง  เคยอธิษฐานวางมือคนป่วยหายบ้าง     แต่ผมยังอ่อนแอทางด้านการสอน  การสร้างสมาชิกให้แข็งแรง  ผมเคยเข้าใจไปว่า คนที่มาเชื่อพระเจ้าโดยการประกาศด้วยทีมของเราแล้วจะปักใจ เรียนรู้ และอยากจะเป็นศิษย์ ของผม  เข้าใจว่าเขาจะยอมให้ผมสอนเพื่อจะเป็นสาวกของพระคริสต์ที่เกิดผลมากๆ

            ผมเข้าใจไปว่า  คริสเตียนที่อยากเติบโต  อยากเกิดผลนำคนมารอดได้นั้นเขาน่าจะหาอาจารย์ดีๆ สักคนช่วยสอน  ช่วยอบรมให้เขาเติบโต ผมจึงคิดว่า ผมน่าจะเป็นอาจารย์ที่ดีคนหนึ่งที่จะสอนคนอื่นได้   แต่ว่าผมคิดผิดครับ  ผมคิดผิดไปจริงๆ  แท้จริงมันน่าจะมีปัจจัยประกอบอื่นๆ หลายๆ อย่างที่คนจะยอมอุทิศตัวอยู่กับเรา เนื่องจากมีปัจจัยประกอบหลายอย่างมาก ทั้งเรื่องบุคลลิกลักษณะ   การสอนของเรา   การพูดจา  การเอาใจสมาชิก   ขนาดของโบสถ์ การกินอาหาร  การเลี้ยงดู ฯลฯ

            ผมมีความปรารถนาจะให้ทุกๆ คนที่เป็นผู้เชื่อ พัฒนาตัวเอง รับการสอน  เรียนรู้ และฝึกวินัยตัวเอง จนเติบโตกลายเป็นผู้เชื่อที่มีสิทธิอำนาจ และสามารถออกไปเกิดผลได้อย่างที่ควรจะเป็น แต่ผมเข้าใจผิดไปครับ  ผมลงทุนสูงสำหรับผู้เชื่อทุกคน  ผมสอนผู้เชื่อหลายคนที่บ้านในวันต่างๆ ระหว่างสัปดาห์  สอนวันเสาร์ด้วย  การสอน ไม่เก็บค่าสอน  เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำฟรี  ทุ่มเทสอนอย่างเต็มที่อาทิตย์ละหลายชั่วโมง  ถ้าเทียบกับคริสตจักรบางแห่งที่เก็บเงินทุกกิจกรรมนี่ผมคงลงทุนไปเยอะมากๆ   แต่ผลปรากฎว่า  คนที่เราพร่ำสอนเป็นเดือนๆ  บางคนไม่สามารถจะไปกับเราได้  ผมจึงมาถึงบางอ้อว่า  เราไม่ควรจะสอนทุกคนที่มาเชื่อให้เป็นสาวก  เพราะคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน เนื่องจากระดับคุณธรม  ระดับสามัญสำนึก   ระดับการรับรู้  การเรียนรู้  การอุทิศตัว  ระดับความเชื่อ  ระดับความเข็มแข็งทางจิตวิญญาณแตกต่างกัน   คนบางคนแม้ว่าเราจะลงทุนกับเขามากขนานไหน   ถ้าใจเขาไม่เอาจริง  คงเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ ที่จะพยายามปั้นโคลนให้เป็นแจก้อนดิน  แล้วเอาก้อนดินไปปั้นเป็นเครื่องประดับสวยๆ  อย่างเช่นปั้นเป็นแจกันดีๆ  สักอัน ในเวลาอันสั้นๆ 

            แท้จริงการที่จะปั้นใครสักคนให้เป็นผู้เชื่อที่มีสิทธิอำนาจ และออกไปประกาศอย่างเกิดผล  ผมควรจะถามเขาก่อนตั้งแต่แรกว่า เขาจะอยู่กับผมกี่ปี  และต้องถามเขาก่อนว่า เขาตั้งใจที่เชื่อฟัง  ตั้งใจที่จะยอมให้ผมสอนหรือเปล่า เขาเต็มใจและจะยอมให้ผมสร้างไหม  ถ้าผมยังไม่ได้ทำสัญญากับใครแบบนี้  ต่อไปผมก็จะไม่ “ลงทุน  ลงแรง  เสียเวลา  หรือ เสียสมอง”  สอนใครๆ  ง่ายๆ และจะไม่ส่งต่อของประทานอะไรให้ใคร เพราะความผิดหวังสำหรับการสอนศิษย์สองสามคนติดๆ กันที่เกิดขึ้น ทำให้ผมได้คิดว่า เราไม่ควรจะลงทุนกับคนที่ไม่เอาถ่าน  ใจคอโลเล  หรือเป็นพวกทำอะไรตามกระแส  คนที่ ไม่เห็นคุณค่าของการลงทุนที่เราให้กับมัน  บางคนมันมานั่งฟังเราสอนเป็นปี  ผมพามันไปหาประสบการณ์ถึงต่างประเทศ    สอนมันสารพัด   ต่อมามันมาบอกว่ากับเราว่า   มันมีอาจารย์ที่สอนดีกว่าเราอยู่ก่อนแล้ว  ผมยังสงสัยว่า  คนแบบนี้มันทำได้อย่างไร  เราบ้าจริงๆ ที่ไปสอนคนที่เขามีอาจารย์ดีๆ อยู่แล้ว

            ดังนั้นบางคนจึงออกไปจากกลุ่มของเรา  บางคนตำหนิผมว่าทำไมไม่ไปตามให้กลับมา  ผมอาจจะกลายเป็นคนใจดำสักนิดสำหรับผู้เชื่อพระเจ้าที่เป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี  คือผมได้รับทราบมาว่า ผู้รับใช้หลายๆ ที่เขามีแกะหนีออกจากฝูง เขาก็จะพยายามตามตื้อ และง้อ ผู้เชื่อให้กลับมาเข้าคอกตัวเอง  สำหรับผม  ผมจะไม่ทำแบบนั้นครับ  ผมเข้าใจว่า  การที่ผมได้ทุ่มทุนทั้งแรงกาย  แรงใจ เวลา และทรัพย์สำหรับการสอนเป็นเวลากว่า ร้อยชั่วโมง ถ้าผมทำให้คนรักพันธกิจที่เราทำร่วมกันไม่ได้ เขาจะจากไปอยู่ที่อื่น  ก็ขอให้เขาไปดี จงไปเป็นพรให้กับทุกโบสถ์ที่เขาไปอยู่ 

                      ที่ผมไม่ตามเพราะ  คนที่ออกจากโบสถ์เราไปเข้าโบสถ์อื่นไม่ได้เป็นแกะหลงหายอะไร   เมื่อคนพอใจจะจากไป  ก็ให้ไปดี  อย่าสร้างความแตกแยก  หรือใส่ร้ายป้ายสีกันก็ดีแล้ว เขาไปอยู่ที่ไหนมีความสุข  ได้รับใช้ตามความสามารถ และของประทานผมก็ดีใจแล้ว   ผมเข้าใจว่าคริสตจักรพันธกิจแบบที่เราทำอยู่  เราดำเนินพันธกิจไปได้เพราะการเลี้ยงดูอย่างอัศจรรย์ของพระเจ้า   ไม่ใช่เพราะการได้รับการค้ำจุนที่เพียงพอจากการถวายของลูกแกะตัวน้อยๆ ที่ไม่มีงาน  ไม่มีเงิน และยังเป็นแกะอ่อน  ตามธรรมเนียมทั่วไปแล้ว  เขาถือเป็นสิ่งสามัญของคริสตจักรทั่วไป คือว่า  สมาชิก หรือผู้รับคำสอนต้องเป็นผู้เลี้ยงดูอาจารย์  แต่มันไม่ใช่เช่นนั้นสำหรับพันธกิจของเรา  เพราะเราเลี้ยงตัวเอง  พระเจ้าประทานค่าใช้จ่ายต่างๆ สำหรับการทำพันธกิจผ่านพี่น้องที่รักพระเจ้า  ผู้ที่เคยได้สัมผัสกับพันธกิจการปลดปล่อยของเรา  ผู้ที่เข้าใจและเห็นคุณค่าของคำสอนที่เป็นพระกิตติคุณแห่งฤทธิ์เดชมากกว่า กว่ารับการเลี้ยงดูผู้เชื่อที่เป็นเพียงต้นกล้าอ่อนๆ ที่อยู่กับเรา

            การเลือกคริสตจักร เลือกรับใช้ในงานใดๆ ของคริสตจักร จึงเป็นสิ่งที่ผู้ที่คิดว่า ตัวเองเติบโตแล้วกับพระเจ้าจะเลือกว่า จะรับใช้ที่ไหน  อย่างไร  และด้วยวิธีการใด เป็นสิ่งที่ บทความนี้ ได้บอกไว้ชัดเจนแล้ว  ขอให้ท่านเลือกที่จะรับใช้ เลือกที่จะอยู่ ตามภาระใจของแต่ละคน ขอพระเจ้าอวยพรผู้อ่านนะครับ

Home

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ6/27/2556

    อาจารย์ใช้คำพูดว่า "มัน" เลยเหรอครับ ?

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คำว่ามัน อาจจะดูแรงไป แต่ก็ใช้ไปแล้ว แต่ก็ขอบอกว่าไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดใคร ยอมรับในความอ่อนแอของตนเองดีกว่า ดีกว่าจะเที่ยวหลอกใครๆ ว่าผมเก่งทุกอย่าง

      ลบ

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)