คำหนุนใจจากสมุทรสาคร A witness from Smutsakorn No 1






  คำหนุนใจจากผู้มีประสบการณ์กับพระเจ้า คุณปรีชา(ตอนที่ 1)

บันทึกการไปปรนนิบัติที่ คริสตจักรบ้านที่จังหวัด สมุทรสาคร

ผมเชื่อว่าการเยี่ยมเยียนหนุนใจพี่น้องผู้นำคริสตจักรเป็นพันธกิจหนึ่งที่คริสตชนที่เข้มแข็งในความเชื่อ หรือเพิ่งเติบโตไม่ควรมองข้าม มันคงเป็นเหมือนนายทหารที่พาเหล่าพลทหารออกไปรบในบริเวณชายแดนที่ต้องเสี่ยงภัยศัตรู และต้องการการสนับสนุนและให้กำลังใจจากกองทัพ ดังนั้นผมจึงคิดว่าการหาโอกาสไปเยี่ยมเยียน หนุนใจ รับประทานอาหารและสามัคคีธรรมกับคนของพระเจ้าน่าจะเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้ราชการการของพระเจ้าเกิดผลดีมากกว่าเดิม




การไปเยี่ยม คริสตจักรบ้านที่บ้านของคุณ(คิม) ปรีชา  คุณปรีชาได้ให้การต้อนรับอย่างดีและพาไปกินอาหารทะเลเลิศรส ให้พักในโรงแรมที่สะดวกสบาย ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้  แบ่งปันคำพยานหนุนใจกัน  ผมรู้สึกปลาบปลื้มมากที่ได้รู้จักพี่น้องที่อุทิศตัวทำราชการของพระเจ้าร่วมกับคุณปรีชา


ผมได้รับทราบคำหนุนใจ คำพยานที่พระเจ้าทรงอวยพรชีวิตของคุณปรีชา และขออนุญาตนำมาแบ่งปัน ดังนี้

คุณ คิม ปรีชา  มาจากครอบครัวนักธุรกิจชาวเชื่อสายจีน  เคยไปอยู่ต่างประเทศ ไปอยู่อเมริกา เพื่อไปทำงานขุดทอง  คุณปรีชาเล่าว่า  คนอื่นเขาไปอยู่อเมริกาสองสามปี เขาก็ตั้งตัวได้ กลับมาเมืองไทยก็มีเงินหลายแสน  แต่ตัวคุณปรีชาไม่ได้อะไรเลย ไม่ประสบความสำเร็จ  ครอบครัวก็ล้มเหลว ไปครั้งหนึ่ง

ตอนกลับมาเมืองไทยคุณปรีชาก็พยายามลงทุนทำธุรกิจหลายอย่างแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ  ทำไปก็มีแต่เสียทุน ขาดทุน เจ๊งไม่เป็นท่า   มีคนเคยพยายามมาเล่าเรื่องพระเจ้าให้ฟังก็ไม่สนใจ  คิดว่าคนเราต้องอาศัยความรู้ ความสามารถและความขยันจึงจะประสบความสำเร็จ  แต่ในตอนที่คุณปรีชาล้มเหลวทุกอย่างจึงคิดขึ้นได้ว่า น่าจะลองพึ่งพระเจ้าดู  จึงนึกถึงการกลับใจ  คุณปรีชายอมกลับใจจากบาป และยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด 

เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้วก็พยายามทำธุรกิจแต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ   จึงอุทิศตัวเป็นผู้ประกาศแจกใบปลิวในที่ต่างๆ อยู่ประมาณปีกว่า  ต่อมาย้ายตัวเองออกไปอยู่ที่สมุทรสาครเมื่อสี่ปีก่อน  ในขณะนั้นตั้งใจว่าจะค้าขายอาหารทะเลเล็กๆ น้อยที่ มหาชัย ก็ออกไปเช่าบ้านซื้อปลาทะเลสดมาแล่แล้วก็แพ็คใส่ถุงขาย  วันหนึ่งๆ เขาเคยคาดหวังว่าจะขายให้ได้วันละสามสิบถึงห้าสิบกิโลกรัมก็จะพอสามารถอยู่ได้

แต่การทำการค้าที่ไม่มีใครรู้จักทำให้ขายไม่ออก  ผู้ซื้อรายใหญ่ก็ไม่มี  คนซื้อทั่วไปก็มีน้อย  บางวันก็ขายไม่ออก อาหารก็เน่าเสียต้องเอาไปทิ้ง  คุณปรีชาเกือบหมดมานะในการทำธุรกิจ  ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร  แม้จะเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าแล้วก็ยังไม่ดีขึ้นเลย


ในที่สุดเมื่อถึงทางตัน คุณปรีชา จึงทำการบนกับพระเจ้า พยายามอธิษฐานขอการทรงนำจากพระเจ้า  และวางมือธุรกิจของตนเอง   หลังจากนี้ไม่นานพระเจ้าเริ่มเข้าแทรกแซง  พระองค์ประทานสติปัญญาในการเปิดเว็บขายสินค้าทางอินเตอร์เน็ต   เริ่มมีลูกค้าติดต่อเข้ามาสั่งซื้ออาหารทะเลมากขึ้น  คุณปรีชาได้ขอพระเจ้าให้ช่วยเหลือในการทำธุรกิจ  จึงเริ่มเรียนรู้เทคนิคต่างๆ ในการแล่เนื้อ ในการถนอมสภาพอาหารให้สดใหม่  อาหารทะเลสดของคุณปรีชามีคุณภาพดีกว่าเดิม  จึงมีลูกค้าติดต่อเข้ามาซื้อมากขึ้นเป็นลำดับ

เมื่อปีที่แล้ว (๒๐๑๒)ผมได้พบกับคุณปรีชา ครั้งแรกที่งานค่ายสัมมนาที่ รีสอร์ทแห่งหนึ่งใน จ.พระนครศรีอยุธยา  คุณปรีชาได้เชิญให้พี่น้อง
คริสเตียนอธิษฐานอวยพรรถปิคอัพสี่ประตูคันใหม่ของคุณปรีชาที่นั่น ผมก็รู้สึกดีใจที่พระเจ้าอวยพรเขาในการทำงานเลี้ยงชีพ แต่ว่า

มาวันนี้ผ่านไปแค่ปีเดียว ผมได้รับทราบว่า ด้วยความสัตย์ซื่อในการถวายและบริจาคทาน  การพึ่งพาขอสติปัญญาจากพระเจ้าในการทำธุรกิจ  ผมได้รับทราบว่าตอนนี้คุณปรีชาได้ทำสัญญาซื้อบ้านหลังหนึ่งเป็นอาคารพานิชย์ที่จะสามารถขยายขอบข่ายธุรกิจได้สะดวกมากขึ้น  อยู่ในเขตเมืองมหาชัยที่ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์มีราคาสูงได้อีกหลังหนึ่ง



วันที่ผมไปเยี่ยมคุณปรีชา ผมแวะไปเยี่ยมชมกิจการ ผมได้เห็นคนงานประมาณยี่สิบคนกำลังขมีขมันเตรียมอาหารทะเลบรรจุถุงเพื่อส่งไปตามออร์เดอร์ของลูกค้าจากหลายทิศทาง  คุณปรีชาเล่าว่าตอนนี้อาหารทะเลแถวๆ มหาชัยไม่ค่อยมีเพียงพอสำหรับการตอบสนองต่อรายการสั่งซื้อ (ออร์เดอร์) บางอย่าง  จนเขาต้องบินไปหาแหล่งจำหน่ายปลาทะเลสดถึงต่างประเทศแล้ว  ในวันที่ผมไปเยี่ยมได้รับทราบว่าวันนั้นมีการส่งของไปให้ลูกค้าเป็นจำนวนหลายพันกี่โลกรัมในวันเดียว

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคุณปรีชา ที่ได้รับพระพร เพราะเขามีหัวใจให้กับพระคริสต์  แม้ว่าเขาจะทำงานธุรกิจจนแทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่น แต่คุณปรีชายังรักษาสัจจะ สัญญากับพระเจ้า คุณปรีชาเปิดโรงงานให้เป็นโบสถ์  ทำการประกาศเรื่องความรอดพ้นบาปและเวรกรรมด้วยความเชื่อในพระคริสต์  ให้แก่คนงาน นักธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรอบๆ ตัวเขา 

คำพูดที่คุณปรีชาพูดมักจะเป็นถ้อยคำแห่งการหนุนใจ ความรู้และสติปัญญาเสมอ  คำหนึ่งที่ผมจำได้และเอาไปแบ่งปันให้กับใคร  เป็นคำที่สำคัญและมีความหมายต่อการดำเนินชีวิตในการเชื่อพระเจ้าอย่างมากคือ คำว่า “ถ้าเราไม่พูดเรื่องพระคริสต์ให้คนอื่นฟัง แล้วเขาจะรู้จักพระคริสต์ได้อย่างไร”  คำนี้เป็นคำที่คุณปรีชาไม่เพียงแค่พูด แต่ได้ปฏิบัติจนเป็นเหตุให้คนรอบตัว หลายๆ คนได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิต  เพราะได้รู้จักพระเจ้าองค์เที่ยงแท้  พระเจ้าที่ช่วยได้องค์นี้

ผมมีโอกาสได้รู้จักกับพี่น้องอีกคนหนึ่งที่คุณปรีชา ได้นำแนะนำให้เขาได้รู้จักพระดีองค์นี้ คือคุณกฤษ์ และภรรยา ชื่อ คุณพิม คุณพิมป่วยเมื่อต้นปี ๒๐๑๓ ด้วยโรคปอดติดเชื้อ   ป่วยหนักจนร่างกายผ่ายผอม  น้ำหนักเหลือไม่ถึงสี่สิบห้าโล   เราได้แวะไปเยี่ยมอธิษฐานเผื่อ และช่วยเอารูปเคารพและเครื่องเซ่นไหว้บรรพบุรุธออกไปจากบ้าน 

ลูกค้าที่แวะมาดูสินค้า มาเก็บเงินบิลค่าสินค้าอะไรต่างๆ ที่โรงงาน หรือที่บ้านจะได้รับคำพยานจากคุณปรีชา ชักชวนให้มาเชื่อพระคริสต์ ตอนนี้มีหลายคนได้รับความรอด ได้รับสันติสุขเพราะเปิดใจเชื่อพระคริสต์แล้ว  หนึ่งในนั้นคือคุณ กฤษณ์ ผู้ซึ่งเป็นเอเยนต์ขายบรรจุภัณฑ์ให้คุณปรีชา  เวลาใดที่เขาแวะมาส่งสินค้า หรือมาเก็บเงิน ก่อนที่จะได้รับเงินต้องอดทนฟัง  เรื่องเล่าเกี่ยวกับพระคริสต์อยู่เป็นเวลาเกือบชั่วโมงทุกครั้ง  คุณกฤษณ์บอกว่า ตอนแรกก็ฟังไปงั้นแหละผมไม่ค่อยสนใจเพราะผมสบายแล้ว ผมกินๆ เล่นบางครั้งหมดเป็นแสนๆ ไม่คิดว่าต้องการพระเจ้า

มีครั้งหนึ่งที่คุณกฤษณ์ต้องเปิดใจยอมรับพระคริสต์ เนื่องจากภรรยาคือคุณ พิม เกิดป่วยหนักเมื่อเดือนมกราคม ๒๐๑๓ ด้วยโรคปวดปวม  หายใจไม่ได้  รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลหลายวัน มีวันหนึ่งแพทย์บอกว่าต้องเจาะคอให้หายใจได้สะดวก แต่เนื่องจากคุณกฤษณ์ไม่ค่อยมีเงินหมุนในช่วงนั้น ในตัวมีเงินอยู่ไม่ถึงร้อยบาท  ถ้าหากภรรยาต้องเจาะคอ คงต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่เป็นเวลานาน และค่ารักษาคงจะบานแน่ๆ 

คุณกฤษณ์หมดทางช่วยตัวเอง  คิดขึ้นได้ว่า  คุณปรีชาเคยท้าทายให้เชื่อพระเจ้าและพระองค์จะช่วยในการดำเนินชีวิตด้วย  คุณกฤษณ์   ในวันที่คุณกฤษณ์จะยอมจำนนต่อพระคริสต์  ภรรยามีอาการหัวใจเต้นแรงผิดปกติ  อัตราการเต้นพุ่งสูงถึง ๑๕๐ ครั้ง/นาที  กำลังจะช๊อคตาย  หมอก็ถามว่าจะอนุญาตให้เจาะคอภรรยาหรือเปล่า  คุณกฤษณ์ลังเล และไม่กล้าตัดสินใจเพราะไม่มีเงิน และต้องดูแลกันอีกนาน 

คุณกฤษณ์ตัดสินใจออกไปที่ระเบียงห้องพักพิเศษ  คุกเข่าลง  อธิษฐานต่อพระเจ้าวิงวอนว่า “ถ้าพระเจ้ามีจริง ขอพระองค์ให้พระเยซูคริสต์ช่วยภรรยาผมให้รอด หายป่วย แล้วผมจะเชื่อพระองค์อย่างแท้จริงตลอดไป” 

หลังจากการคุกเข่าอธิษฐานอย่างจริงจัง คุณกฤษณ์กลับเข้าห้องมาดูภรรยา  สิ่งปาติหาริย์ได้บังเกิดขึ้นแล้ว  คือ อัตราการเต้นของหัวใจของภรรยาของเขาได้ลดลงอย่างสม่ำเสมอ ค่อยๆ ลดลงภายในเวลาไม่กี่อึดใจ จนมาอยู่ในสภาพปกติ และหลังจากนั้นไม่กี่วันคุณพิม ภรรยาของเขาก็ได้รับอนุญาตให้ออกไปพักรักษาตัวที่บ้านได้  

นับถึงวันนี้ (เมษายน ๑๓) คุณกฤษณ์และภรรยามีอายุความเชื่อประมาณสี่เดือน แต่เขาได้รับสันสุข ความช่วยเหลือจากพระเจ้าจริงๆ  วันนั้นที่ผมไปเยี่ยมคุณปรีชา ได้แวะไปปัดรังครวญวิญญาณให้กับครอบครัวนี้ และผมเชื่อว่า  เมื่อผู้เชื่อพระคริสต์ยอมสละรูปเคารพ และวัตถุแห่งความมืดออกไปจากบ้าน  ไม่นานพระพรมากมี  สุขภาพดี  ความอยู่เย็นเป็นสุข สันติสุขของพระคริสต์จะครอบครองและสถิตอยู่กับครอบครัวนี้ตลอดไป

ก่อนกลับมาคุณคิมได้มีภาระใจรวบรวมปัจจัยบริจาคให้กับคนของพระเจ้าเป็นจำนวนที่ เพียงพอสำหรับการเดินทางทริปต่อไปสำหรับทีมงานในการไปร่วมอบรมและ ทำพันธกิจที่ อ.กระทู้ จ.ภูเก็ต โดยไม่ได้เอ่ยปาก หรือพูดขอความช่วยเหลือทางอ้อมแต่อย่างใด (แท้จริงผมไม่เคยเรี่ยไร ไม่เคยขอ ไม่พยายามด้วยวิธีการใดๆ เพื่อรับผลประโยชน์จากพี่น้องโดยที่ผมไม่ได้ทำอะไรให้เขา หรือเพื่อทำพันธกิจเพื่อหวังสิ่งตอบแทน เพราะผมมีความเชื่อว่า คนของพระเจ้าจะได้รับการสนับสนุนจากคนของพระเจ้าที่ได้รับพระพรจนล้นแล้ว พระเจ้าดลใจเขาให้มอบปัจจัยเอง เพราะคนของพระเจ้าไม่ใช่ขอทาน) กระผมขอขอบคุณ และขอพระเจ้าอวยพระพรคุณคิม ปรีชามา ณ ที่นี่ด้วย  กระผมและทีมงานปลดปล่อยจะอธิษฐานเผื่อธุรกิจคุณคิม ปรีชา อย่างสม่ำเสมอต่อไป

ขอพระเจ้าอวยพรผู้ที่กล้ายืดอกเป็นพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

Home







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)