ถ้าต่อไปจะไม่ชวนใครไปโบสถ์ 2 If going to church is useless? (2)


จะไม่ชวนคนไปโบสถ์อีกแล้ว? (2)

เดือนที่ผ่านไป (มิ.ย. 2013) ผมได้ต้อนรับน้องสาวผู้เชื่อใหม่ที่มาเยี่ยมผมที่บ้านพร้อมกับคุณแม่เพื่อรับคำสอน และหนุนใจ  ขอพรให้อธิษฐานเผื่อ  หนุนใจในการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า  เธอเพิ่งเชื่อพระเจ้าได้ประมาณ  8-9 เดือน เธอเล่าว่า  “เธอได้ไปร่วมการนมัสการพระเจ้ากับโบสถ์คริสต์แนววัฒนธรรมอยู่โบสถ์หนึ่งในกรุงเทพ  โบสถ์แห่งนี้เป็นแบบเครือญาติอุปถัมภ์  คือเป็นโบสถ์ที่คนในบางตระกูลถือหุ้นส่วนใหญ่ในการบริหารคริสตจักร  ผู้ปกครองเป็นคนรับผิดชอบปกครองโบสถ์  และอาจารย์ผู้สอน ที่เรียกว่า ศิษยาภิบาลเป็นผู้ทำหน้าที่สั่งสอนด้านพระธรรม  และความเชื่อของคริสตชน (ศิษยาภิบาลเป็นเพียงผู้ทำการตามสัญญาข้อตกลงและมีค่าตอบแทนเป็นรายได้รายเดือน ตามที่ตกลงกัน)




เธอไปโบสถ์นี้หลายครั้ง  จนใกล้จะเข้าสู้ระบบการเป็นสมาชิกสมบูรณ์แล้ว แต่ว่ายังไม่ได้เป็นเพราะยังติดเรื่อง การรับพิธีศีลจุ่ม หรือที่ชาวคริสต์เรียกว่า  พิธีบัพติสมา  เธอจึงยังไม่ได้เป็นสมาชิกสมบูรณ์ของที่นี้ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกลังเล และอยากจะถอยออกมาทบทวนดูว่า  ที่นี้ใช่หรือ  แน่ใจแล้วหรือ  เพราะที่นี้มันแห้งแล้ง  ไม่มีชีวิตชีวิต   ยังมีการพูดจาเหน็บแนบกัน   ยังไม่มีการสอนที่เกิดผล 

เธอเคยพยายามชวนเพื่อนมาโบสถ์หลายคน  และหลายครั้ง แต่ไม่มีเพื่อนคนใดยอมเปิดใจรับเชื่อพระเจ้าเลยจนเธอรู้สึกท้อ  เธอรู้สึกว่า  การพาคนมาโบสถ์มันไม่ตอบโจทย์  การประกาศพระกิตติคุณ  เพราะการสอนการเทศนาของผู้นำความเชื่อ ไม่น่าประทับใจ  ไม่มีพลังเพียงพอจะทำให้คนสำนึกบาปกลับใจใหม่  เธอก็เริ่มสงสัยเหมือนกันว่า  การประกาศที่ดี คือการชวนคนมาโบสถ์หรือ

คริสตจักรแนวใหม่ ที่ไม่ใช่แนววัฒนธรรม ก็จัดการประกาศพระคริสต์บ่อยเหมือนกัน ปีหนึ่งก็ประมาณสองถึงสามครั้ง เช่น วันวาเลนไทน์  วันแม่   วันพ่อ  วันคริสต์มาส  และวันอื่นๆ เช่นวันระลึกอะไรต่างๆ หรือวันระลึกคริสตจักร   เพื่อดึงดูดหลายๆ ช่วงอายุให้เข้ามานมัสการพระเจ้าที่ในโบสถ์  เพื่อจะมีโอกาสฟังเรื่องการไถ่บาปของพระคริสต์ 

แต่แล้วผู้นำคริสตจักรก็ทำให้สมาชิกผู้ร้อนรนทั้งหลายผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า  เพราะผู้นำไม่สามารถจับปลาที่มาหน้าบ่อปลาได้เลย  เพราะขาดฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ไม่รู้วิธีจับปลา  รู้แต่วิธีสอนปลาให้ว่ายน้ำ  ปล่อยให้ปลาที่มาหน้าบ่อหายไปหมด  จับไม่ได้สักตัว เป็นอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า   คนมาป่วยอย่างไร ก็กลับออกไปอย่างนั้น   หนักใจอย่างไรก็กลับไปบ้านเหมือนเดิม  ดูเหมือนคนบ่ไม่ไกด์  ขาดทักษะ

ผู้เทศนาสั่งสอนไม่ได้มุ่งเป้าทุกครั้งไปที่การกลับใจใหม่ แต่มักจะใช้เวลาในการเทศนาสั่งสอนไปในเรื่องอื่น  เช่น การก่อสร้างถาวรวัตถุ  ศาลาของโบสถ์  วันระลึกอนุชน  วันระลึกนักบุญ  วันระลึกยังพอทนได้  แต่ที่ทำให้คนใหม่ตกใจแทบแย่คือ  การสอนเน้นเรื่องการบริจาคเงินรายได้  ซึ่งเขาเรียกกันว่า การถวายสิบลด  ผู้นำความเชื่อเกือบทุกโบสถ์จะต้องสอนเน้นเรื่องการถวายเงินรายได้จากการประกอบอาชีพของสมาชิก ร้อยละสิบเข้ามาในคลังของโบสถ์เพื่อใช้ในการบริหารงาน และเป็นค่าตอบแทนศาสนาจารย์ 

เมื่อคนใหม่เข้ามาในโบสถ์ได้ยินเรื่องการบริจาคเงินที่สูงกว่าอัตราการเสียภาษีขั้นต่ำของรัฐ  ยิ่งทำให้คนมาใหม่ตกใจแทบช๊อค เพราะเขายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  ไม่เข้าใจ  อีกทั้งเขายังไม่สามารถละเลิกความโลภของเขาได้  ยิ่งรายได้ก็น้อยไม่พอจ่ายค่าครองชีพอยู่แล้ว มีรึ จะยอมมาเข้าโบสถ์เพื่อเป็นสมาชิกที่ต้องเสียภาษีให้กับโบสถ์ร้อยละสิบทุกเดือนตลอดไป

ครั้นว่า หากผู้นำไม่เทศนาไม่สั่งสอนเรื่องการถวายก็ไม่ได้อีกเพราะรายจ่ายของโบสถ์ และบุคลากรก็มีสูงขึ้นทุกปี  ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าแอร์  ค่าสาธารณูปโภค   ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดสารพัน   ดังนั้นการสอนเรื่องการถวายจึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้  หากโบสถ์นั้นไม่มีนายทุนใหญ่คอยหนุนหลัง หรือโบสถ์จากนอกประเทศเช่น เกาหลี จีน สิงคโปร์ ฝรั่ง 

คนที่จะมาโบสถ์เพื่อมาเป็นสมาชิกถาวร จึงต้องคิดหนักเพราะเขาไม่เคยรู้ว่า  การถวายคือการเปิดพรให้ตัวเอง  เขาไม่เข้าใจว่า การถวายจะทำให้เขาได้รับการค้ำชูจากพระเจ้า   ไม่เข้าใจวิธีการตามแนวทางแห่งความเชื่อของคริสตชน เพราะเขายังใหม่เกินไป    ดังนั้นจึงพบว่าปัจจุบันมีผู้เชื่อที่เลือกจะเป็นสมาชิกขาจร  แวะเวียนไปตามโบสถ์คริสต์ต่างๆ  ไปเรื่อยๆ ตามแต่ใจปรารถนา  ผมขอเรียกผู้เชื่อประเภทนี้ว่า คริสเตียนนกขมิ้น   ซึ่งฟังดูก็น่ารักดี เพราะเลือกไปนมัสการตามโบสถ์ต่างๆ ไปเรื่อยไม่ผูกพันตัวกับโบสถ์ใด  


ที่หนักกว่านี้ คือคริสตชน ที่อยู่เป็นที่ชั่วคราว ไม่อยู่นาน อาจจะเป็นเวลา 1 ปี หรือ 2 ปี  แล้วจะย้ายออกจากโบสถ์ไปอยู่ที่อื่น   ถ้าหากเกิดข้อขัดแย้ง หรือขัดใจกับใครบางคน  หรือไม่ได้รับการยอมรับให้สั่งสอน หรือเป็นอาจารย์ในโบสถ์  คนพวกนี้ก็จะย้ายโบสถ์ได้เหมือนกัน   ผมขอเรียกพวกเขาว่า คริสเตียนเผ่าทองเหลือง   เพราะมีพฤติกรรมคล้ายๆ ผีทองเหลืองที่ย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ  ถ้าหากอาหารการกินไม่ดี ไม่ถูกปาก  หรือถูกรบกวนจากเพื่อนบ้าน  

คริสตชนผู้บริโภคทั้งหลายจะย้ายสถานนมัสการไปเรื่อยๆ  ไม่ยอมเอาบ่าเข้ารับภาระอะไร  หรือทำอะไรจริงจังเพราะยังไม่เติบโต  ไม่ได้เอาของเก่าออกหมด  ยังมีโลภ  ยังมีหวย  ยังมีวิญญารติดตาม  เจ็บป่วยบ่อย  อารมณ์แปรปรวน  ไปที่ไหนไม่ได้มุ่งมั่นศึกษาพระธรรม แต่เลือกฟังในสิ่งที่ตนเองสนใจ   หากอาจารย์ไม่น่านับถือ ผู้สอนไม่ดังก็จะนั่งคอยจับผิดในใจ   แล้วก็ไม่ได้อะไร   นานไปก็จะตัดสินว่า  มาโบสถ์แล้วไม่ได้อะไร ก็จะย้ายไปเรื่อยๆ  นี่แหละครับคริสเตียนเผ่าทองเหลือง

อย่างไรก็ตามโบสถ์ก็มีแนวคิดในการดึงดูดคนให้เข้ามาเป็นสมาชิกของโบสถ์   ด้วยการจัดโปรโมชั่นที่โบสถ์จะให้กับสมาชิกถาวรที่จงรักภักดีต่อโบสถ์หลายๆ อย่างอาทิเช่น

ก. ให้ความดูแล ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิต  ตอบคำถามเกี่ยวกับพระธรรม  หากมีคนในครอบครัวตายก็จะจัดทำพิธีให้ จัดที่ฝังศพให้   หากใครไม่เชื่อฟัง  ไม่เข้าร่วมกิจกรรมตามระยะที่กำหนด หรือทำตัวเหมือนไม่เป็นสมาชิก ก็จะถูกจำกัดสิทธิ  ไม่ให้ฝังร่างในสุสานของคริสตจักร 
ข. หากสมาชิกมีการจัดงานที่ต้องใช้สถานที่ก็จะสามารถใช้บริการสถานที่ของโบสถ์ได้
ค. มีสิทธิได้รับการเลือกเป็นกรรมการของคริสตจักรได้รับตำแหน่งบริหาร หรือได้รับศาสนศักดิ์.
ง. มีสิทธิได้รับสวัสดิการต่างๆ  ที่ทางคริสตจักรจัดให้แก่สมาชิกสมบูรณ์ 

ในข้อ (ง.) นี้เป็นข้อที่น่าเอามาถกเหมือนกันว่าทำไมหนอคริสตชน  คนตั้งเป็นร้อยเลี้ยงครอบครัวนักการศาสนาครอบครัวเดียวไม่ได้  ให้ค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อย  แต่สั่งการ หรือคาดหวัดให้เขาต้องรับภาระมากมาย  ต้องสอนดี ดนตรีเพราะ  สมาชิกเจ็บป่วยต้องถึง ตายต้องถึง  บางคนยังเรียกใช้งานส่วนตัวอย่างน่าสมเพช  ไม่รู้จัดที่สูงที่ต่ำ  ไม่เคารพความเป็นมนุษย์  (นี่ยังไม่ต้องนับว่าเป็นคนของพระเจ้านะ)  แต่ลูกหลานของนักการศาสนาเขาต้องดูแลเอง รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างเอง  นี่ยังไม่รวมไปถึงเด็กกำพร้าและหญิงหม้ายนะ  ที่โบสถ์คริสต์ต้องดูแล   ทั้งที่พระคัมภีร์สอนไว้ชัดเจนว่า  ชุมชนของพระเจ้าต้องให้การดูแล  แต่ยากนักที่เห็นการปฏิบัติในยุคปัจจุบัน  มีโบสถ์ไหนทำบ้างยกมือขึ้น

มาถึงตรงนี้เริ่มข้าน้อยก็อยากจะบอกแล้วว่า   มีวิธีการที่ดีกว่าในการพาคนมาโบสถ์ไหม   เนื่องจากข้าน้อยอยู่ในศาสนามานานจนลืม  หลังรู้ความ  เกิดจากท้องแม่ก็ได้ไปโบสถ์ตั้งแต่เล็กแต่น้อย  เห็นงานวันคริสต์มาสมาหลายสิบงาน  ผมตั้งข้อสังเกตว่า  ถ้าคริสตชนไม่พาคนมาเข้าโบสถ์เพื่อประกาศพระคริสต์ก็ยังมีหลากหลายวิธี  ที่ศาสนาคริสต์นำคนมาเข้าเป็นเข้าโบสถ์  อาทิเช่น  การเปิดหอพักเลี้ยงดูเด็กไร้ที่พึ่ง หรือเด็กจากครอบครัวยากจน   การเลี้ยงเด็กกำพร้า  การตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่เด็กชาวเขา  แล้วมีการสอดแทรกการสอนศาสนาคริสต์ทุกวัน  ไม่นานเด็กก็ซึมซับเอาแนวคิด ความเชื่อของศาสนาเข้าไป


แต่คงไม่ใช่เด็กทุกคนที่ไปสัมผัสเรื่องพระคริสต์แล้วจะรับเอาความเชื่อศาสนาเข้าไป    เพราะบางรายเขาได้รับความขมขื่นจากระบบการปกครองที่เข้มงวดของคนดูแลเด็กในระบบศาสนาคริสต์ที่มีนายทุนจากต่างประเทศให้การสนับสนุน  ผมมักจะถามเด็กเสมอว่า  อยู่หอพักเป็นอย่างไร  ถ้าหากอาจารย์ใจดีมีเมตตา  พวกเขาก็จะได้รับการปฏิบัติที่ดี แต่ถ้าหาก  อาจารย์เป็นแค่ลูกจ้างดูแลเด็ก ไม่ใช่คนของพระเจ้า  มุ่งเปิดหอพักเพื่อหารายได้เลี้ยงตัวเอง เพื่อสร้างฐานะ เพื่อซื้อรถ ซื้อบ้าน  เด็กก็จะถูกละเมิดทั้งทางวาจา  ทั้งการกระทำ  และจะถูกยัดเยียดศาสนาคริสต์เข้าไปในความคิด  แต่ได้รับการปฏิบัติอย่างขมขื่น  เขาจึงสับสนไม่แน่ใจว่า  ศาสนาคริสต์แห่งความรักนั้น ดีจริงหรือ  ถ้าดีจริงทำไมเขาจึงไม่มีสันติสุขในบ้านหอพักเลี้ยงเด็ก

เด็กหลายคนบอกผมเสมอว่า อาจารย์ผู้ดูแลหอพักจะให้ตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง  หลังจากนั้นก็จะมีการนมัสการพระเจ้า มีการอธิษฐาน   มีการสอนศาสนาทุกวัน  จันทร์ถึงศุกร์   ผมคิดว่าวิธีการนี้มันอาจจะเคร่งเกินไป  เด็กหลายคนที่พอจะมีทางไป  เขาก็จะเลือกลาออกไป เพราะ ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ  ไม่มีเวลาทบทวนการบ้านเพียงพอ  เพราะเด็กบางคนเรียนระดับสูงขึ้น ต้องมีเวลาทำการค้นคว้า  ทำราย แต่ไม่สามารถทำได้   เพราะมีการสอนศาสนาบ่อยและถี่เกินไ ป

เรื่องนี้รัฐบาลต้องยื่นมือเข้ามาตรวจสอบว่า  คนต่างชาติที่อาศัยชื่อคนไทยซื้อที่ดินกันอย่างเป็นล้ำเป็นสันทุกวันนี้  พวกเขาเอาเงินที่ไหนมาซื้อที่ดินเป็นสิบเป็นร้อยไร่  ทั้งที่ไม่ได้เสียภาษีบุคคล  ไม่ปรากฎว่ามีรายได้อะไร  เงินเดือนค่าตอบแทนจากนายทุน  หรือผู้ให้การสนับสนุนก็มีเพียงเล็กน้อย   แล้วทำไมพวกเขาจึงมีเอาสารสิทธิครอบครองที่ดินมากมาย  ใครคือตัวการเจ้าของเงิน  เจ้าของสินทรัพย์ที่แท้จริง  

พี่น้องคงได้ยินทราบข่าวเนืองๆ  ว่ามีคริสเตียนบางกลุ่มเอาเรื่องความขัดแย้งเรื่องสินทรัพย์ไปฟ้องศาลเพื่อแบ่ง หรือ แย่งที่ดิน แย่งทรัพย  แย่งตำแหน่งกันในการถือครองทรัพย์  ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง ศาสนสถานอยู่    อันนี้พี่น้องโปรดเข้าใจนะ  ระบบศาสนาเป็นการปกครองอย่างหนึ่งที่มีผลประโยชน์ภายใน   ประเทศไทยยังไม่ถึงยุคที่รัฐยื่นมือเข้าตรวจสอบการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของบุคคลที่เป็นผู้นำทางศาสนา  

หากเป็นได้ ผมอยากให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองลองมาตรวจสอบดูว่า  คนที่อ้างตัวว่าเป็นบรรพชิต   ถือพระเจ้าๆ นั้น เขาหากินกันอย่างไร  ทำไมอยู่ๆ ก็รวยขึ้นมาง่ายๆ  มีบ้านไม่รู้กี่หลัง  มีรถยนต์  มีคนใช้ คนงาน  การงานก็ไม่ได้ทำ   บ้างต้อนรับฝรั่ง  หรือเกาหลีเดือนหนึ่งไม่รู้กี่คณะ  อ้างเอาศาสนาบังหน้า ว่าทำเพื่อพระเจ้า  แต่กลับมีการครอบครอง ถือครองสินทรัพย์มากมาย   ทำตัวเย่อหยิ่ง  อวดรวย  จนเกินหน้าเกินตาคนของพระเจ้าที่แท้จริงอื่นๆ ที่ทำงานแทบตาย   แต่ยังไม่รวยสักที

คนที่เป็นคริสต์มานานย่อมทราบว่าการสร้างโบสถ์สักหลังนั้นมันเป็นเรื่องสาหัสเพียงใด  ถ้าไม่มีเงินนอกอุดหนุนเข้ามา 

สองอาทิตย์ที่ผ่านไป ผมเหลือบตาไปเห็นโฆษณาชวนบริจาค(ถวาย) ของคริสตจักรห้องแถวแห่งหนึ่ง ตั้งมาได้สามปี มีคนเข้าเป็นสมาชิกไม่ถึงสามสิบ  แต่ผู้นำพยายามจะซื้อที่ดินและก่อสร้างอาคารมีราคาประมาณห้าล้านบาท  นี่คงยังไม่รวมเก้าอี้ยาว เครื่องเสียง และอุปกรณ์ประกอบมากมายที่ต้องเป็นภาระของสมาชิกทั้งหลายที่จะต้องช่วยกันบริจาค  หากไม่เพียงพอก็คงต้องวิ่งไปซบอกซานต้าผู้ใจดีเหมือนในอดีตที่โบสถ์ไทยมักจะได้รับเงินอุดหนุนจากคริสตจักรร่ำรวยจากเมืองนอก

การซื้อทีดินและก่อสร้างโบสถ์เป็นแนวคิดอันคลาสสิค  เหมือนเป็นสูตรเคมีอีกอย่างหนึ่งของโบสถ์ไทย ที่ผู้นำความเชื่อมักจะอ้างว่า “เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า”   ราคาโบสถ์ห้าหกล้าน หรือสิบล้านอาจไม่แพงเกินไป  หากสมาชิกมีอำนาจการซื้อ  แต่ คริสตชนบ้านนอกชนบท  จะหาเงินที่ไหนมาสร้าง   ถ้าหากสร้างได้แล้วก็จะทำอะไรต่อได้กับตึกว่างๆ    ก็ต้องซื้ออุปกรณ์สารพันเข้ามา 

เมื่อการสร้างโบสถ์มันใช้แรงเย้อ แรงเยอะขนาดนี้  คนก็รู้สึกภาคภูมิใจ  มีความรู้สึกเป็นเจ้าของ  คนสร้างและคนร่วมคิด  ร่วมลงแรงก็จะไม่อยากไปไหน  ก็จะอยู่เป็นสมาชิกกันไปจนแก่ จนตาย   จึงเป็นสาเหตุหนึ่งของการชวนคนไปโบสถ์

ดังนั้นการปลูกสร้างโบสถ์จึงเป็นนิมิตหมายที่สำคัญของสมาชิกที่เติบโต  อาจจะเป็นแห่งแรกและแห่งสุดท้ายในชีวิต เพราะเหนือยมาก  เมื่อใดที่คริสตจักรมีคนเข้ามารับเชื่อก็จะถูกสอนให้เป็นสมาชิก ให้เติบโตเพื่อช่วยกันรับภาระหนี้  และค่าใช้จ่ายของโบสถ์  ต่อไปอีกนานเท่านาน  จนไม่มีเวลาคิดเรื่องการสร้างสาวกอีกเลย  ไปอีกหลายปี  หรือตลอดไป

พระเจ้าต้องการให้คริสตชนสร้างโบสถ์ถวายพระองค์จริงหรือ  แน่ใจหรือว่า การสร้างโบสถ์ แล้วพาคนมาโบสถ์ให้มีสมาชิกเยอะๆ คือคำตอบสำหรับการประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์ในประเทศไทย  แน่ใจหรือว่า การลงทุนครั้งนี้คุ้มค่า  มีวิธีการที่ดีกว่านี้ไหมที่ถูกกว่า  แต่ได้ผลคุ้มค่ากว่า ลงทุนต่ำกว่า  ใช้เวลาน้อยกว่า การประกาศด้วยการสร้างโบสถ์แล้วพาคนมาโบสถ์

โบสถ์หลังหนึ่ง  พร้อมที่ดินสิ่งปลูกสร้างในเมือง  ราคารวมคิดเป็นเงินหลายล้าน  แล้วสถานที่แห่งนี้จะใช้อุปถัมภ์  หรือเอื้อประโยชน์ให้แค่คนแค่หยิบมือเดียว   ที่ต้องช่วยกันเข่น ช่วยกันดัน  เหนื่อยแทบแย่   มันคุ้มค่า  สมราคาแล้วหรือ

พี่น้องครับ  ผมว่าแบบนี้ดีไหม ขอเสนอหน่อย  ถ้าหากคริสตจักรสอนผู้เชื่อให้เติบโตพอจะรู้ความแล้วก็ส่งเขาออกไปประกาศเป็นคู่ๆ  แบบที่พระคริสต์และสาวกเคยปฏิบัติ   ออกไปประกาศตามหมู่บ้าน   มีคนเชื่อที่ไหนก็ไปสอนเขาถึงที่ ไม่ต้องพาเขามาโบสถ์  ไม่ต้องพาเขาออกจากบ้าน  เดริเวอรี่ไปถึงบ้านเลยดีไหม  เพราะการทำแบบนี้ไม่ต้องลงทุนสร้างโบสถ์ให้ใหญ่  ไม่ต้องซื้อที่ดิน  ไม่ต้องอาศัยการรวบรวมบริจาคทรัพย์   มีคนเชื่อที่ไหนก็ไปสามัคคีธรรมกันในบ้านผู้เชื่อ   จากบ้านหลังที่หนึ่งก็ไปหลังที่สอง ที่สามและกระจายไปเรื่อยๆ

ผมได้อ่านพระคัมภีร์ดู ไม่ปรากฎว่าพระคริสต์ได้สร้างศาสนสถานใดเลย  แม้แต่วิหารในกรุงเยรูซาเล็มที่พระองค์ไป พระองค์ยังบอกว่า จะถูกทำลายไป  และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ  แล้วทำไมผู้นำความเชื่อทั้งหลายจึงพยายามซื้อที่ดิน เพื่อสร้างตึกสร้างโบสถ์ใหญ่ๆ ถวายพระองค์  มันเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าหรือเป็นความทะเยอทะยานอยากของผู้นำความเชื่อกันแน่


พระคริสต์สั่งให้สาวกเดินทางไปตามบ้านต่างๆ เพื่อขอเรี่ยไรเงินเพื่อเอามาสร้างอาคารโบสถ์หรือเปล่า  สาวกของพระคริสต์สร้างมหาวิหารกี่หลัง  พระคัมภีร์บอกชัดว่า วิหารของพระเจ้าคือร่างกายและวิญญาณของผู้เชื่อ แล้วทำไมผู้นำของเราจึงมุ่งมั่นแข่งขันดันสร้างสิ่งก่อสร้าง  หลายคนจึงวิ่งไปหาวิหารที่สร้างด้วยมือมนุษย์เพื่อใช้เป็นที่ให้พระองค์มาสถิตแล้วให้ผู้เชื่อไปเฝ้านมัสการแสวงหาพระองค์  

คริสตชนในประเทศไทยใช้วิธีการประกาศพระคริสต์ด้วยวิธีการเทกระจาด   แจกจ่าย  สอนความรู้ทางวิชาการ แจกยา  แจกข้าวสารมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายมหาราชแล้ว  ก็มีกันอยู่แค่นี้   นับหัวได้  ไปประชุมสัมนาที่ไหนก็จำหน้ากันได้เกือบหมด  ตอนนี้ยิ่งมีกระแสเงินนอกหนุนนำ   ผู้นำความเชื่อแทนที่จะเป็นผู้สั่งสอนผู้เชื่อ กลับทำตัวเป็นนักทำโครงการ  นักหาทุน นักรายงาน   มุ่งสร้างอาณาจักร  สร้างอาคารโบสถ์เพื่อขุดบ่อล่อปลา นักจดทะเบียนมูลนิธิการกุศล  แล้วมันได้ผลเพียงเล็กน้อยก็ยังดันทุรังจะเอาแบบเดิม 

เท่าที่สังเกตดูการประกาศเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในประเทศไทยมีการใช้วิธีการที่ไม่ได้เลียนแบบพระคริสต์ เพราะพระองค์สั่งว่า ให้ออกไปประกาศสั่งสอน  ให้วางมือรักษาคนป่วย  ให้ขับผี  แต่เห็นไหมว่าเขาทำกันอย่างไร    ในปัจจุบันผู้นำทางศาสนากลับสอนว่า คริสเตียนไม่มีผีรบกวน   ผีกับคนเราต่างคนต่างอยู่   ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน   อาจารย์ทางศาสนาขับผีไม่เป็น  อ้างเป็นของประทานพิเศษ  เมื่อผู้นำปฏิเสธความเชื่อเรื่องของประทาน  ก็ไม่มีอะไรไปสู้กับลัทธิของผี  หมอดู คนทรงเจ้า  ลัทธิเจ้าแม่  เจ้าพ่อ   ดังนั้นจึงผู้นทางศาสนาบางกลุ่มต้องมุ่งมั่นกับการแสวงหาสมาชิกด้วยการใช้วิธีแจกข้าว แจกของ แจกทุน  แจกยา เลี้ยงเด็กกำพร้าแทนมากกว่าการทำตามแบบที่พระคริสต์ทำเป็นต้นแบบไว้ 

ช่วงสองปีมานี้มีกระแสการประชุมคองเกรซของ ทุกกลุ่มความเชื่อ ทุกค่าย  พวกเขาก็ลงมติกันว่า และได้สร้างสโลแกน จัดรณรงค์ ให้ผู้เชื่อเป็น  “หนึ่งคน ในหนึ่งแสนคนเพื่อนำคนหนึ่งล้านคนมาหาพระคริสต์ ภายในปี 2015”  นี่ก็เหลืออีกแค่สองปี แล้วจะได้หรือ   เพราะถ้าดูตามอัตราส่วนและเวลาที่เหลืออยู่นี้  ผู้เชื่อพระเจ้าหนึ่งคนต้องพยายามไปหาคนมาเชื่อพระเจ้าให้ได้สิบคน เฉลี่ยปีละห้าคน  แล้วจะได้หรือ   ถ้ามัวแต่สร้างตึก มัวแต่อบรมวิธีการ  มัวแต่เรียนทฤษฏีการประกาศ  บ้างก็มุ่งแต่อธิษฐานทั้งวันทั้งคืนในโบสถ์  แต่ไม่ออกไปเป็นพยานกับคนในชุมชน   ไม่กล้าออกไปเลียนแบบพระคริสต์

อยู่ในโบสถ์ร้องฮาเลลูยาเสียงดังจนแสบหู  ออกจากโบสถ์ไป  นั่งติดใครบนรถเมล์ยังไม่กล้า  เอ่ยปากทักคน  แล้วจะประกาศนำคนมารู้ข่าวสารแห่งความรอดได้อย่าง    มันมืดแปดด้าน  มันเป็นชีวิตที่กลับด้านจริงๆ  ระหว่างวันอาทิตย์กับวันธรรมดา


ที่ประเทศจีนมีจำนวนคริสเตียนที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ   พี่น้องสังเกตไหมว่า พวกเขาเพิ่มทวีคูณได้อย่างไร  พวกเขาสร้างอาคารโบสถ์เพิ่ม  หรือว่าเพิ่มเพราะมีผู้เชื่อเพิ่มขึ้น  คริสตจักรที่จีนที่รุ่งเรืองเพราะพวกเขาไม่สร้างอาคารโบสถ์  ไม่ยึดติดการเรี่ยไร  แม้จะถูกข่มเหงอย่างหนัก แต่ก็ฝ่าฟันมาได้  จนมีจำนวนคนเชื่อพระคริสต์เป็นหลายสิบล้านคน

บ้างกระแสบอกว่ามีถึงหนึ่งร้อยล้านคน  ที่ผู้เชื่อเขามีมากเพราะเขานมัสการกันเงียบในบ้าน  ไม่มีเครื่องดนตรีเสียงดัง  ไม่มีอาคารโบสถ์หรู  แต่เขาเพิ่มได้เพราะคนได้พบพระเจ้าจริงๆ  มาเป็นคริสต์แล้วไม่ต้องโดนขูดเลือด  ไม่ต้องถูกแจกซองค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเลี้ยงดูภารโรง  ค่าตอบแทนผู้รับใช้ ค่าซื้อที่ดินโบสถ์  ค่าก่อสร้าง ฯลฯ

น่าจะขัดแย้งกับวิธีการเพิ่มพูนคริสตจักรของประเทศสยาม คือ การเพิ่มจำนวนสมาชิกในโบสถ์ที่ใหญ่อยู่แล้ว ก็เอาให้มันใหญ่กว่าเดิม  ใหญ่กว่าเดิมอีก จนบางกลุ่มก็ต้องแตกสลายเพราะการแย่งชิงผลประโยชน์ทางศาสนา  หลายวันก่อนมีผู้นำความเชื่อบ่นว่า  เดี๋ยวนี้โบสถ์ที่มีเงิน จะดึงดูดคนให้เข้าไปอยู่ร่วมให้เป็นสมาชิกด้วยการ  ล่อด้วยความสบายของโบสถ์  นักเทศน์ดัง ดนตรีเพราะ  บรรยากาศเยี่ยม   ฟังแล้วน่าเห็นใจแต่คงทำอะไรไม่ได้  เพราะสิ่งเหล่านี้มันไม่มีประสิทธภาพต่อหน่วยการลงทุนเลย ไร้สาระ เพราะเป็นการเพิ่มพูนโดยการย้ายโบสถ์  เหมือนย้ายเงินในธนาคาร  แม้จะอยู่ที่ใดมันก็มีเท่าเดิม

น่าสังเกตว่า การประกาศศาสนาของคริสตชนบางกลุ่มไม่ได้ไปประกาศกับผู้ไม่เคยรู้จักพระคริสต์ แต่พยายามเอาคำสอนแปลกๆ  อ้างพระคัมภีร์  การแปลพระคัมภีร์  อ้างพระบัญญัติมาทับถมกัน  หลอกเอาคริสเตียนที่อ่อนความรู้ทางศาสนาให้หลงติดตาม  ย้ายจากโบสถ์นี้ไปโบสถ์โน้น ออกกลุ่มนี้ไปเข้ากลุ่มโน้น  บางคนมีชื่ออยู่ตั้งหลายโบสถ์ 

อย่างเช่น ผมเป็นตัวอย่าง ผมมีเชื่ออยู่ในโบสถ์ของคณะหนึ่ง  แต่มารับนมัสการอยู่กับโบสถ์ของอีกคณะหนึ่ง เป็นเวลาหลายปี  จนได้เป็นใหญ่  และผลสุดท้ายเมื่อได้พบพระกิตติคุณที่แท้จริง  ผมก็ออกมาเป็นผู้เชื่อที่ทำงานเป็นเครือข่าย  ทำงานเพื่อหนุนใจผู้เชื่อให้กล้าที่จะประกาศ  กล้าที่จะสำแดงหมายสำคัญของผู้เชื่อ  และใช้บ้านของผู้เชื่อเป็นที่นมัสการสามัคคีธรรม  ประกาศที่ไหนก็นมัสการที่นั้นไม่ต้องพาใครไปโบสถ์  เพราะโบสถ์ไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่สุดอีกต่อไปแล้ว

การเพิ่มพูนคริสตจักรด้วยวิธีการแยกสมาชิกกันยังเป็นปัญหาอยู่เนืองๆ ในประเทศไทย  ผมได้ยินข่าวเมื่อคราวไปเยี่ยมพี่น้องทางอิสาน  ที่มีผู้รับใช้รายงานว่า  มีการประกาศเขตลิทขสิทธิทางวิญญาณด้วย  โบสถ์ที่ตั้งอยู่ก่อน  อยู่ไกลออกไปตั้งหลายกิโลเมตรประกาศเขตชลิทขสิทธิทางวิญญาณ  เป็นพื้นที่ครอบครองก่อน  ห้ามไม่ให้โบสถ์อื่นมาตั้งโบสถ์ทับเส้นทางในเขตครอบครอง  ฟังดูแล้วน่าขันไหมครับพี่น้อง

การที่ผู้นำความเชื่อต้องสร้างโบสถ์ ต้องหาสปอนเซอร์เป็นไปได้ไหมว่า พวกเขาเป็นเพียงแค่นักสอนศาสนาที่ไร้ทักษะทางการหากินด้วยตนเอง   เมื่อมีสถานภาพช่วยตัวเองไม่ได้พวกนักการศาสนาทั้งหลายจึงต้องพยายามวิ่งหาเงิน หาสมาชิกเพื่อจะให้ลูกแกะเลี้ยงดู    ถ้าหากมีใครมาเชื่อก็จะเก็บไว้เป็นสินทรัพย์  ไม่ยอมให้ออกไปไหน  อยู่ด้วยกันไปจนตาย หรือจนกว่าจะหมดความอดทนต่อกัน



เป็นไปได้ไหมว่า  สถานศึกษาทางศาสนาคริสต์ได้แก่ ศูนย์อบรมต่างๆ  วิทยาลัยพระคริสต์ธรรม  ศูนย์สร้างสาวก  หลายแห่งอาจลืมไปว่าคนต้องหากิน  แม้แต่สัตว์ป่า หมาแมวมันยังสอนลูกมันหากิน  แต่สถานศึกษาอันสูงส่งของเราไม่ได้สอนวิชาชีพให้แก่ว่าที่ศาสนาจารย์ทั้งหลาย

สังเกตได้ว่า เมื่อนักศึกษาจบหลักสูตรได้ใบวุฒิบัตรแล้ว  เมื่อออกมาเป็นนักการศาสนา  พวกเขาไม่สามารถพึ่งพิง พึ่งพาตัวเองในการเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัวได้เลย  จำต้องมีคนเลี้ยงดูส่งเสีย ต้องวิ่งหาสปอนเซอร์  วิ่งหาคนเลี้ยงดู  ต้องมีคนสัญญาจะให้เงินเดือนเท่านั้น เท่านี้ ราวกับว่าเขาเป็นเด็กอ่อนก่อนประถมวัยที่ต้องให้พ่อแม่เลี้ยงดูไปตลอดชีวิต   เพราะว่าหากินไม่เป็นเลยนอกจากต้องให้พระเจ้า หรือนายทุน หรือลูกแกะเลี้ยงดู  เหมือนราวกับเป็นคนพิการแขนขาลีบ  ไม่มีกำลังขาเพียงพอที่จะยืนหรือเดินไปด้วยแรงของตนเอง    จึงต้องให้คนอื่นคอยช่วย คอยหนุนไปตลอดชีวิต

แม้จะแต่งงานยังต้องมีคนช่วยหาทุนให้  หนุ่มบางคนต้องนอนแห้งเหี่ยวหัวโต  มีจิตใจฟุ้งซ่านเรื่องเพศ  ทำบาปกับตัวเองไปตลอด และแอบมองหญิงสาวด้วยจิตใจเร้าร้อน  เพราะอยากมีคู่แต่มันเป็นไปไม่ได้ 

เป็นได้ไหมว่า การสอนว่าที่นักการศาสนาจำเป็นต้องให้ไปฝึกวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือ ระยะยาว ต้องมีการให้เรียนวิชาชีพเสริมพิเศษ  ไม่เพียงแต่แค่เรียนทางศาสนาอย่างเดียว ที่ผู้เรียนจบออกมาทำอะไรเลี้ยงดูตัวเองไม่ได้  ต้องคอยขอความช่วยเหลือตลอด  ไปอยู่ที่ไหนสอนแรงก็ไม่กล้าสอนกลัวตกงาน กลัวไม่มีอะไรกิน  กลัวสมาชิกบาปหนาขาใหญ่ไล่ส่ง  ต้องหวานอมขมกลืนไปตลอด  ต้องเอาใจมนุษย์มากว่าเอาใจพระเจ้า ผู้มีพฤติกรรมและความเชื่อแบบนี้ ยังจะหวังพึ่งการเลี้ยงดูของพระเจ้างั้นรึ 

  ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้มีความคิดสังหรณ์ใจว่า การประกาศแบบการพาคนไปโบสถ์อาจไม่ใช่จุดประสงค์สำคัญในการประกาศ  แต่เป็นกลยุทธในการเลี้ยงตัวเองของโบสถ์แบบอาคารถาวรใช่หรือไม่

มาถึงตรงนี้อาจต้องถามตรงๆ ว่า คริสตจักรของพระคริสต์คืออะไรกันแน่  คือองค์กรทางศาสนา  เป็นอาคารโบสถ์  เป็นหน่วยงานเพื่อความมั่นคง  มั่งคั่งทางศาสนา  เป็นเหมือนหม้อข้าวของนักการศาสนาที่ผู้น้อยต้องคอยวาสนา  นักการศึกษาที่เจนเวที  อยู่มานานใช้ระบบศาสนเป็นที่แย่งกันเป็นใหญ่หรือ พวกเขาจึงต้องวิ่งล๊อบบี้หาตำแหน่งกันฝุ่นตลบทุกๆ วาระการเปลี่ยนแปลงผู้นำ  หรือว่าคริสตจักรแบบอาคารโบสถ์ถาวรเป็นที่รวบรวมแกะไว้ตัดขน  เอาไว้ตุ๋นเนื้อ หรือว่าคริสตจักรเป็นที่ชุมนุมเขาบุตรหัวปีของพระเจ้า  หรือว่าเป็นที่อะไรกันแน่ 

คริสตจักรคือการรวมตัวของคนมากมายที่ประกาศตัวเป็นสมาชิก  โดยมีคนๆ เดียว หรือมีคณะกรรมการคอยปกครองให้สมาชิกช่วยกันประคับประคองศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป อย่างนั้นหรือ    การพาคนไปโบสถ์ยังมีความจำเป็นอยู่แน่  แต่ว่าคงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับการประกาศความรอด  หรือการประกาศพระกิตติคุณของพระคริสต์  

ท่านอยากจะไปนมัสการพระเจ้าในโบสถ์ที่มีระบบศาสนาที่ให้สิทธิต่างๆ  เหมือนว่าท่านต้องพึ่งพาศาสนา  หรือว่าศาสนาพึ่งพาสมาชิก  เรากำลังทำอะไรกันแน่  จะพาคนไปโบสถ์แล้วรู้สึกดีว่า  ได้พยายามประกาศ  ได้พยายามนำคนมาเชื่อพระเจ้า แต่ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่พระเมตตา  แล้วแต่วาสนาของเขางั้นหรือ  หรือว่า  เราจะช่วยกันค้นหาวิธีอื่นที่ดีกว่าในการพาคนมาหาพระเจ้า  วิธีการที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการพาคนไปนั่งฟังการเทศนาที่ใช้คำศัพท์ที่ คนไทยสามัญทั่วไปฟังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ความอย่างนั้นหรือ 

ขอพระเจ้าอวยพระพร


rice mu

HOME

ตอนที่ 1
ตอนที่ 2

ภาคเสริมจากเฟซบุ๊ค rice mu


สร้างโบสถ์แต่ละทีต้องเช่าที่ เช่าห้องแถว หาคนมาใส่โบสถ์แทบตาย  อธิษฐานกันมากมายมีคนมารับเชื่อได้ไม่นาน  คริสตจักรเริ่มขยายตัว  แต่ไม่นานพอเจ้าของตึกเขาไล่ เราก็ต้องย้าย ช่วยกันขนของ ขนสารพันกัน จ้าละหวั่น  ไม่มีที่อยู่  ต้องหาซื้อที่ดิน ต้องหาอาคาร ต้องระบบทรัพย์ ต้องเทศนาจูงใจให้ช่วยกันบริจาค เพราะถ้าหากไม่อยากโดนไล่ที่ก็ต้องสร้างอาคารโบสถ์เอง

ได้ที่แล้วก็ต้องช่วยกันบริจาคสร้างอาคาร 

ได้อาคารแล้วก็ต้องซื้อเก้าอี้ยาวตัวละอย่างน้อยห้าหมื่น(ดีหน่อย) ถ้าธรรมดาก็ สามร้อย
มีห้องประชุมแล้ว ต้องซื้อเครืองเสียงราคาแพงหน่อย ถ้าไม่ดีมันไม่เสนาะโสต นักดนตรีไม่ชอบ

ได้อาคารแล้วก็ต้องสร้างศาลา และอาคารประกอบ ต้องระดมทรัพย์อีกละ

พอสร้างอาคารเสร็จ ก็ต้องทำพิธีเปิดอย่างอลังการ ต้องระดมทรัพย์อีกละ

ถ้ามีคนใจบุญมาช่วยบริจาคทรัพย์ก็ดีหน่อย แต่ถ้าเป็นนายใหญ่  นายทุนหรือเกาหลี หรือจีน หรือฝรั่ง การปกครอง และการควบคุมกิจกรรมทุกอย่างต้องยอมให้เจ้าของเงินปลูกสร้างอาคารโบสถ์บริหาร

คริสตจักรบางแห่งสูญเสียอิสระภาพทางวิญญาณ เพราะต้องใช้หนี้  ต้องผ่อนค่าที่ดิน ค่าก่อสร้างอาคารตึกโบสถ์  จึงจำเป็นต้องมีระบบการควบคุมสมาชิก ใครจะไปที่ไหนต้องรายงานก่อน หากไปโดยไม่บอกไม่กล่าว จะมีปัญหา โดนตำหนิ ไม่ฟังจะถูกไล่ออก 

ได้โบสถ์ ได้อาคารแล้ว ต่อไปก็ต้องหาที่ฝังศพสมาชิก หากสมาชิกคนใดดื้อไม่ฟัง ไม่ร่วมกิจกรรมก็จะ
ถูกขู่ว่าถ้าเสียชีวิตจะไม่ร่วมฝังศพ ไม่ทำพิธีให้ ไม่ให้ฝังที่สุสาน   ถูกขู่ไม่ให้มานอนในสุสานหลวง เพราะไม่ใช่สมาชิกไม่มีสิทธิ 

ท่านเคยเจอแบบนี้ไหมครับ

ผมว่า ตอนนี้ผมเป็นไทแล้วครับ คริสตจักรแบบที่ตั้งอยู่ในบ้านของผู้เชื่อ คือคำตอบสุดท้าย

*** ใครที่มีโบสถ์ดีๆ อยู่แล้ว หากคิดว่า ผมก้าวร้าวคงไม่ใช่นะครับ เพราะที่แล้วมาก็คงแล้วไป คริสตจักรตามบ้านไม่ใช่สิ่งใหม่ เขามีมาตั้งแต่ยุคสองพันปีแล้ว แต่ระบบศาสนาทำให้มันหายไปต่างหาก


@rice mu, Original message

ห้ามคัดลอกตัดต่อเพื่อทำการใดๆ ที่เป็นการผลประโยชน์ทางการค้า หรือเพื่อการศึกษา  การทำรายงานในสถาบันคริสตศาสนาที่ไม่ได้รับอนุญาต จากผู้เขียน     สำหรับผู้ต้องการนำไปศึกษาส่วนตัวสามารถทำการคัดลอกได้โดยไม่ต้องขออนุญาต

Tag: การพัฒนาคริสตจักร + การประกาศข่าวดี + evangelism +

4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ7/05/2556

    เป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้น แต่คงอีกนานกว่าทุกคนจะเปลี่ยนได้

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ7/05/2556

    ข้อความด้านบนนี้จาก we will ครับ เข้ามาอ่านบทความที่นี่ตลอดแบบเงียบๆมานานแล้วครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณครับพี่น้องที่ให้กำลังใจ

      ลบ
  3. ยิวฝ่ายวิญญาณ4/18/2557

    อาคาร โบสถ์ วิหาร หรือบางคณะเรียก วัด ไม่ใช่คริสตจักร แต่ผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ต่างหาก ที่พระองค์หมายถึง คริสตจักร
    ร่างกายนี้เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมสามารถนมัสการพระเจ้าขณะอยู่คนเดียวได้ แต่ในขณะเดียวกัน ผมยังต้องรับการเสริมสร้าง จากพี่ น้อง ในพระคริสต์อยู่ อาคาร โบสถ์ วิหาร หรือบ้าน สิ่งเหล่านี้ผมเรียกว่า สถานนมัสการ ครับ

    ตอบลบ

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)