เลิกเป็นเด็กกันดีกว่า Grow up in Christ 26-09-13



             
   เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัวๆเหมือนดูในกระจก แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์ เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า (1 โครินธ์ 13)

ตอนลูกชายคนโตอายุ  8 ขวบ เขาบอกกับผมว่า “พ่อครับ โตขึ้นผมจะไม่มีแฟน ผมจะอยู่เป็นโสด”  ผมก็ฟังไว้   “อึม จริงหรือ”
มาบัดนี้ อายุเขายี่สิบสอง จะจบการศึกษา ป.ตรีแล้วในเดือนนี้แล้ว  ได้ยินข่าวแว่วๆ ว่า เริ่มมีอาการอยากมีแฟนแล้ว  ทั้งที่เขายังไม่ได้ทำงานก็ริจะมีแฟนซะแล้ว ไหนบอกว่า จะไม่มีแฟน


การมีแฟนเป็นเรื่องของความเติบโตของวุฒิภาวะทางอารมณ์ และจิตใจ  เป็นวัฒนาการตามธรรมชาติของร่างกายและอารมณ์  เป็นเรื่องปกติ การมีแฟนคือลางบอกเหตุว่า  อีกหน่อยเขาก็จะต้องการมีครอบครัว  ต้องมีภรรยา ต้องมีลูก 

 ตอนที่ลูกยังเล็กเขาก็คิดอย่างเด็ก ให้เหตุผลอย่างเด็ก   พูดอะไรไปก็ไม่คำนึงถึงเหตุผลที่ลึกซึ้ง   พูดตามความรู้ ความเข้าใจอันจำกัดของเขา  ผมไม่ห้ามลูกหรอก   ใครอยากมีแฟน  หรือเพื่อนใจ  แต่ขอให้เป็นไปตามวิถีแห่งความศรัทธา ให้อยู่ในทางอันมีเกียรติ  และเป็นวิถีแห่งพร เพราะคริสเตียนนั้นได้รับคำสั่งสอน  อบรมมาตั้งแต่แบเบาะ พอโตก็ได้รับคำสอนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เขารักษาชีวิตที่ดีงาม  มีเมตตาคุณ  ด้วยความรัก และด้วยความยำเกรงพระเจ้า  แนวการดำเนินชีวิตแบบนี้จึงมีมาตรฐานด้านศีลธรรม และการปฏิบัติตนสูงกว่า คนทั่วไปที่ไม่ได้นับถือพระเจ้า

เมื่อเราเป็นเด็กเราก็ทำนิสัยอย่างเด็ก  กินอย่างเด็ก เล่นอย่างเด็ก  และใช้เวลาอย่างเด็กๆ  แม้ว่าพฤติกรรมของเด็กหลายอย่างเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง เป็นสิ่งที่ดี เช่น เด็กไม่โกรธนาน  เด็กไม่หยาบคาย  เด็กไม่ทำบัดสี  เด็กไม่สามารถทำสิ่งใหญ่ๆ เกินตัวได้ เด็กต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นในการดำเนินชีวิตพื้นฐาน  เรื่องกิน เรื่องอยู่ และการศึกษา  แต่เมื่อเราโตขึ้นอุปนิสัยอย่างเด็กหลายอย่างเราจำเป็นเลิก ต้องทิ้งไป เช่นการเล่นเกม  การลุ่มหลงในสิ่งใดจนเกินไป  การติดการดูการ์ตูน  เมื่อเราเติบโตขึ้น  เราจึงได้รับรู้ว่า อะไรควรและไม่ควร  อะไรมีโทษ อะไรมีคุณ  อะไรที่ควรจะยึดถือไว้ และอะไรที่ต้องกำจัดออกไป

เมื่อเรากำลังเติบโตสู่ความเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ขอให้เราละทิ้งอุปนิสัยอย่างเด็กที่แม้จะไม่เลวร้าย  แต่เป็นพฤติกรรมที่ไม่เกิดผล ไม่ทำให้เราเจริญขึ้นหลายอย่างที่จะทำให้ร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ของเราเสื่อม  อุปนิสัยการกินสิ่งที่หวานๆ  จืดๆ   สิ่งที่กินซ้ำแล้วซ้ำเล่า    การต้องกินอาหารที่คนอื่นป้อนให้   หาให้กิน  เพราะเด็กยังไม่ได้เรียนรู้วิธีการดูแลตัวเอง วิธีหาอาหารกินเอง  วิธีปรุงอาหาร  วิธีหาเลี้ยงตัวเองแบบผู้ใหญ่  เพราะยังไม่มีวุฒิภาวะที่เติบโตเพียงพอที่จะดูแลตัวเอง  

เช่นเดียวกันกับชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ  ในความเชื่อในพระคริสต์  ลองสำรวจตัวเองว่า  ผู้เชื่อได้รับรู้  เรียนรู้เรื่องพระคริสต์ มากี่ปีแล้ว  เราเป็นผู้เชื่อพระคริสต์ที่เริ่มเติบโตหรือยัง   เราเริ่มหาอาหารฝ่ายวิญญาณ  และเลือกอาหารรับประทานเองได้หรือยัง  หรือว่า  เราเข้าใจว่าเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว   รู้มากแล้ว ใครพูดเรื่องพระเจ้า  แค่อ้าปากเราก็รู้แล้ว   เราคิดว่าเราโตแล้ว   แต่ทำไม เรายังทำพฤติ กรรมเด็กๆ ล่ะ   ผู้ใหญ่นั้นพึ่งพาตัวเองได้  หาอาหารไม่เพียงเอามากินเอง  แต่ยังต้องหาอาหารเลี้ยงดูคนอื่นๆ  รับผิดชอบคนอื่น  ดูแลเอาใจใส่คนอื่น  มีชีวิตไม่ใช่อยู่เพื่อความสุขสบายส่วนตัว แต่ว่าเกิดมาเพื่อสร้างประโยชน์ต่อคนอื่น

ชีวิตสัตว์น้อยใหญ่ที่เติบโตแล้วก็พร้อมที่จะสืบพันธุ์  เพื่อให้มีลูกหลานสืบต่อไปตามวัฏจักรของชีวิต  แต่น่าแปลกใจไหม ว่าผู้เชื่อพระเจ้าจำนวนมากเข้าใจว่าตัวเองเติบโตแล้ว    กลับไม่ยอมออกไปแพร่ขยายเมล็ดพันธุ์แห่งความรอด  ด้วยความเชื่อในพระคริสต์  พวกเขาจำนวนมากมายคิดว่า ตัวเองเติบโตแล้ว แต่ยังทำตัวเป็นทารกฝ่ายวิญญาณ ที่หาอาหารกินเองไม่ได้ ต้องมีคนคอยสอน คอยป้อนปีแล้วปีเล่า 

บางคนเป็นผู้เชื่อได้สามปี  บางคนห้าปี บางคนสิบกว่าปี  ยังต้องมีคนคอยป้อนอาหารให้  หาอาหาร  เลือกอาหารกินไม่เป็น  ขาดความสามารถในการแยกแยะ คำสอนแท้  คำสอนเท็จ  ถูกครอบงำทางความคิด กลายเป็นแกะป่วย  แกะพิการ แกะหูหนวก  และเป็นใบ้  เนื่องจากถูกเลี้ยงดูดีเกินไป  ไม่ได้ออกกำลังทางวิญญาณ  ไม่ได้ถูกสอนให้เติบโตแบบให้รู้วิธีหาอาหาร  ถูกขังในที่จำกัด  เหมือนนกแก้วในกรงทองที่ดีแต่ท่า  อยู่บ้านเศรษฐี กินดีมีสุข  แต่ไปไหนไมได้  ออกไข่ไม่ได้   แต่รสชาดชีวิตยังสู้นกกระจอกที่อยู่นอกกรงไม่ได้ 

ผู้เชื่ออ่อนแอ  มักจะถูกละเมิด  ถูกปลูกฝังค่านิยมทางศาสนาที่ผิดพลาด   ให้มีมโนสำนึกที่ผิดพลาดในเรื่องการดำเนินชีวิตที่เกิดผล   พวกเขาถูกห้ามโน้นห้ามนี้ ถูกป้อนอาหารจืดๆ  หวานๆ  ปีแล้วปีเล่า   พวกเขาไม่ได้ถูกสอนให้รู้จักวิธีหาอาหารกินเอง  สักแต่ว่าเรียนแต่ไม่เอามาถือปฏิบัติ   ถูกคาดหวังให้เป็นสมาชิกที่มีหน้าที่บริจาคทรัพย์ให้กับองค์กร  เยินยอป้อปัน หลอกให้รับตำแหน่งอุปโลกน์  อันทรงเกียรติ เป็นผู้นำ  เป็นโน้นนี่  แต่ความจริงถูกหลอกให้อยู่ต่อไปเรื่อยๆ   เพื่อเป็นนายทุนใหญ่บริจาคเงินให้เลี้ยงดูศาสนาให้ดำเนินต่อไปเท่านั้น  นานวันเข้า  ความคิดเรื่องการประกาศพระกิตติคุณถูกเลื่อนลบไป   จนสมองเริ่มฝ่อ  ความเชื่อหด

ผู้เชื่อที่น่าจะเติบโตสมวัย  เหมือนเด็กเลี้ยงแกะดาวิดที่จะเติบโต  เพื่อรับการเจิมให้ไปฆ่ายักษ์  เพื่อกอบกู้แผ่นดินของพระเจ้า  แต่ผู้เชื่อถูกมัดไว้ในกรอบ ของคำว่า สมาชิกถาวร เพื่อไม่ให้ออกไปถึงไหน  ตัวเขาเองก็มืดมน ไม่รู้หรอกว่า  ถูกศาสนาหลอก  ถูกล่อให้หลง  ให้เป็นทารกแคราะ   เพราะไม่ได้รับการปลูกฝังที่ถูกต้อง  ไม่มีการเจิม   คงเป็นได้แค่เด็กเลี้ยงแกะธรรมดาตลอดไป  

เมื่อได้รับการปลูกฝังสั่งสอนไม่ถูกต้อง  เหล่าผู้เชื่อไม่น้อยจึงกลายเป็นคริสเตียนทารกทางวิญญาณโดยไม่รู้ตัว  เขาไม่มีวิสัยทัศน์  ไม่มีความกระตือรือร้นทางวิญญาณที่จะออกไปช่วยใครให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของซาตาน  แต่กลับหลงผิดคิดว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั่นเล็กน้อยๆ  เช่นเป็นผู้ถือบัญชี  เป็นผู้ถือถุงบริจาค  เป็นพนักงานต้อนรับ  เป็นคนอธิษฐานพิเศษทุกอาทิตย์  นั่นคือการรับใช้ที่สุดยอดแล้ว  ไม่ต้องคิดไปทำอะไรให้คนรอดแล้ว   เพราะถูกปลูกฝังว่า  เขาไม่มีของประทาน  ไม่มีความสามารถ

 เวลาผ่านเนินนานไป เมื่อผู้เชื่อ ได้เรียนรู้ทฤษฏีเรื่องพระเจ้าเยอะ จึงคิดว่า ตัวเองเป็นผู้นำความเชื่อ  คิดว่าตัวเองเติบโตแล้ว แต่ผลแห่งการดำเนินชีวิตไม่เกิดผลต่อผู้ใดมากนัก  แม้แต่คนในครอบครัว  เขาก็ไม่มีความรักล้นไหลไปไกลเลย  ไม่มีความเข้าใจความคาดหวังของพระเจ้าในตัวเขา   เขาจึงดำเนินชีวิตหย่อนยาน  นานวันเข้าก็ อยู่อย่างไม่มีสันติสุข  หน้าบานต่อหน้าคนอื่น ลับหลังเป็นคนที่มีปัญหาทางความคิด  อารมณ์ และปวดเจ็บทางอารมณ์และร่างกายอยู่เนืองๆ  ดำเนินชีวิตเพื่อความสุขสบายส่วนตน   คาดหวังเพียงแค่ ขอให้ข้าได้สุขสบายพ้นภัยก็พอ 

ถึงเวลาหรือยังที่ผู้เชื่อจะต้องหันกลับมาพิจารณาว่า เราเป็นผู้เชื่อได้เพราะอะไร  เราจะต้องเรียนรู้อะไรบ้าง  เราจะต้องทำอะไรตอบแทนคุณความดี  ตอบแทนพระคุณของพระเจ้าที่เราได้พบสัจจะแห่งความรอดพ้นบาปนี้  เมื่อเราได้รับความรอดด้วยความเชื่อแล้ว  เมื่อเราเข้าใจว่าเราเติบโตแล้ว  เราสมควรจะดำเนินชีวิตให้สมกับการเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณอย่างไร  เพื่อเราจะได้ตอบพระองค์ผู้ที่จะสอบถามเราเมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องไปเผชิญหน้ากับพระองค์  เมื่อพระองค์จะถามเราว่า “เจ้าได้ทำอะไรเพื่อเราบ้าง”  เชื่อว่า ทุกคนคงคาดหวังให้พระองค์ตรัสกับเราว่า “ดีแล้วเจ้าเป็นทาสที่ซื่อสัตย์”
 


เวลานี้เป็นเวลาที่ล่วงเลยมามากแล้ว  ขอเรียกร้องให้ผู้เชื่อพระคริสต์ทุกคน เอาความกล้าหาญมาสวมใส่  อุทิศตัวเริ่มกล้าที่จะออกไปประกาศเรื่องความรอดพ้นบาปด้วยความเชื่อในพระคริสต์  ด้วยการรับการเจิมของพระเจ้า ให้เกิดมีของประทานทางวิญญาณ  รับยุทธภัณฑ์ของพระเจ้าเพื่อเข้าร่วมรบในสงครามฝ่ายวิญญาณนี้เถิด

ขอจบด้วยพระธรรมหนุนใจอีกข้อหนึ่ง ดังนี้

                ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ความคิดของท่านอย่าให้เป็นอย่างเด็ก ในเรื่องความชั่วร้าย จงเป็นอย่างทารก แต่ฝ่ายความคิดจงให้เป็นอย่างผู้ใหญ่  (1 โครินธ์ 14.20)

ชาโลม

Message from: Rice Mu 
September 27, 2013

HOME

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)