An old preacher of litte faith(2) ล้มในพระวิญญาณตอนที่ 2



Benny Hin In Thailand


ตอนที่
5

เมื่อปีที่ผ่านไปมีด๊อกเตอร์คนหนึ่ง(ค.ศ.2009)  ได้สั่งการให้ลูกน้องสาว โพสบทความต่อต้านพระเจ้าบทอินเตอร์เนท มีใจความซ้ำๆ อ้างพระธรรมในข้อต่างๆ ในทำนองว่าไม่มีการล้มในพระคัมภีร์ของชาวคริสต์นี้เหมือนกัน  ผมเห็นสภาพของเขารู้สึกเสียดายเวลาที่เขาเสีย และเงินทุนที่เขาเสียไปเพื่อไปร่ำเรียนถึงเมืองนอก  จบจากการเรียนได้แต่ความรู้กลับมา  เขา ไม่เข้าถึงฤทธิ์อำนาจของกิตติคุณ  ผมว่าถ้าไปเรียนได้แต่ Ph.d มาน่าจะเสียเวลามากนะ

ศบ.คนจนที่ประเทศเพื่อนบ้านอาจจะทำการอัศจรรย์ได้มากกว่า นักการศาสนาที่มีดีกรี ระดับด๊อกแบบนี้แต่ไม่มีฤทธิ์อำนาจของพระอยู่ในตัว
  แท้จริงไม่ใช่ทุกคนไม่มีนะ  บางคนเขามีแต่ใช่ไม่เป็น  คงเป็นเหมือนนักมวยวัดที่ไม่มีครูบาอาจารย์ที่รู้จริงมาสั่งสอน จึงต่อยมวยได้แค่นั้น 

ในบทความเขาอ้างว่าการ ล้มด้วยเดชพระวิญญาณไม่มีในพระคัมภีร์  นักการศาสนาเอาอะไรมาพูด  เวลาเขาคิดให้ใช้อวัยวะส่วนใดคิดกันแน่  เขาคงคิดว่าพระเจ้าไม่ใช่พระวิญญาณ แล้วพระเจ้าเป็นใครกันแน่

แน่นอนทีเดียวพระเจ้าคือพระเยซู แต่พระเยซู ตอนนี้มีสถานะเป็นอะไรล่ะ  พระเจ้ามีสามสถานะ เหมือนน้ำ แล้วเขาจะมาเอามาเถียงเพื่อสร้างความสับสนให้กับคนเชื่อน้อยทำไม เราขอเสนอว่าให้จับคนพวกนี้ไปเรียน ก.ไก่ ข. ไข่ ใหม่ จะดีกว่า ลองไปอ่าน ฮีบรู บทที่ 6. ข้อ 1-3 ซิครับ เขาสอนว่าอย่างไร  เรื่องการเจิม  การวางมือ การบัพติสมานี่ คือขั้นพื้นฐานของความเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น  ไม่ใช่อะไรที่เข้าใจยากประมาณนี้

ในพระธรรมกิจการบทที่ 12 ข้อ 21 เฮโรดก็ล้มลงตายเหมือนกัน แต่คนที่อ่านพระคัมภีร์แบบตามตัวอักษรไม่คิดว่ามี พวกเขาเข้าใจว่า เฮโรดยืนตายไม่ได้ล้มลง  เราขอถามพวกนี้ว่า มีไหมคนยืนตายโดยไม่ล้มลงนอนตาย  และใครกันแน่ที่ทำให้เฮโรดตาย ถ้าไม่ใช่ฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณของพระเจ้า ที่นักการศาสนาตาฟางเหล่านี้ไม่เข้าใจ เ
พราะ เขาไม่มีประสบการณ์ด้านนี้กับพระเจ้า

เพราะความรู้ทางศาสนศาสตร์ที่สูงส่ง ความรู้ ความคิดอันมากล้นของนักการศาสนานั้นมันทำให้คนเหล่านี้พยายามเข้าใจพระเจ้า ด้วย "สมองอันจำกัดของคน"
  ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า "พวกสมองนก" จึงเป็นเหตุให้กลายเป็นนักการศาสนามากมายยัง  "งมโข่ง" อยู่กับการพูดและเล่าเรื่องเดิมๆ เกี่ยวกับศาสนาศาสตร์ที่ไม่ไปถึงไหน
ดูเหมือนผู้เชื่อและเด็กๆ ในโบสถ์ของคนหล่านี้ ยังประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้อยู่ และเขาก็แก้ไม่ตก ไม่กล้าจะทำอะไร ที่ทำให้คนพวกนี้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ แต่นักการศาสนาอนุรักษ์นิยมเหล่านี้กลับพยายามกันคนของเขาที่เป็นคริสเตียน เบบี้เป็นส่วนใหญ่ ให้ออกจากพระเจ้าด้วยการสอนตามมโนสำนึกอันจำกัดของนักการศาสนา และวิญญาณอื่นที่แอบแฝงอยู่ในสมองและกระเพาะอาหารของคนเหล่านั้น

เรื่อง การต่อต้านการอัศจรรย์นี้ มันคงคล้ายๆ กับเรื่องที่พวกฟาริสีไม่ยอมรับว่า พระเยซูมีฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการขับผี ในสมัยนั้นเพราะพวกเขาคิดว่าพระเจ้าจะทำอะไรที่เป็นแบบเดิมๆ  เหมือนที่จดไว้ในหนังสือเท่านั้น

เมื่อพวกผู้นำทางศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวกันนี้ ได้เห็นพระเยซูสามารถขับผีออกจากคนได้  พวกเขาไม่เชื่อ  เพราะพวกเขาเชื่อพระเจ้าตามตัวหนังสือ พวกเขาไม่สามารถไม่ยอมรับการเปิดเผยสำแดงใหม่ๆ ของพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ได้  

พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า 
แต่พวกฟาริสีเมื่อได้ยินดังนั้นก็พูดกันว่า
  
ผู้นี้ขับผีออกได้ก็เพราะใช้อำนาจเบเอลเซบูลผู้เป็นนายผีนั้นพระธรรมมัทธิว บทที่ 12:24

ผู้อ่านคงไม่ทราบว่า เบื้องหลังลึกๆ ที่พวกฟาริสีทำการต่อต้านพระเยซูอย่างมาก ในสมัยนั้น แท้จริงคืออะไร  เราเข้าใจว่า แท้จริงมันคือผลประโยชน์ครับ เพราะหากคนออกไปติดตามศาสนาใหม่  ติดตามคณะใหม่  สำนักใหม่  ศาสนาเดิม ศาลาธรรมของนิกายเดิมก็จะสูญเสียผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวง นักบวชก็จะต้องตกงานเพราะศาสนาต้องมีการทำบุญ  หรือมีการตอบแทนต่อศาสนา ด้วยการให้การตอบแทนในรูปแบบต่างๆ

สมัยก่อนศาสนจักรโรมันอันยิ่งใหญ่ได้กลายเป็นศาสนาของโลก ทุกๆ ประเทศต้องส่งบรรณาการ จากรายได้ร้อยละสิบไปที่จุดศูนย์กลางของศาสนจักร คือส่งไปที่ประเทศ
อิตาลี แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป ศาสนาคริสต์กลายเป็นหลายนิกาย มีหลายคณะ หลายพรรค แต่ละกลุ่มก็แบ่งๆ รายได้ แบ่งผลประโยชน์กันไป
  ไม่มีโบสถ์ใดที่หรอกที่ส่งรายได้ไปให้พระเจ้าจริงๆ  

ผู้นำคริสตจักรสอนให้ผู้เชื่อสัตย์ซื่อในการถวายเข้ามาในโบสถ์ แต่ผู้นำละทำหรือเปล่า และแต่ละหน่วยย่อยที่ส่งเข้ามา คริสตจักรแม่ส่งต่อสิบลดไปให้องค์กรไหนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยบ้าง  เพราะถ้ายึดตามพระคัมภีร์จริง  พระต้องถวายสิบลดของสิบลดด้วยไม่ใช่หรือ

สิ่งที่คนเอาไปถวายให้พระเจ้าคือทรัพย์สินเงินทองเหล่านี้ ก็เพื่อนักการศาสนาจะได้มีกินมีอยู่ สามารถดำรงชีวิตได้  บางส่วนก็เพื่อบำรุงศาสนกิจเท่านั้น  เพื่อเป็นการช่วยส่งเสริมสวัสดิภาพของนักการศาสนา ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะพระคัมภีร์ก็ได้สอนไว้หลายตอน และชัดเจนมากอยู่แล้ว  การตอบแทนต่อศาสนาจึงเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เพราะพระคัมภีร์สนับสนุนให้ทำอย่างนั้น  
โบสถ์หลายแห่งยังสามารถอุดหนุนเกื้อกูลต่อสังคม  ชุมชม เด็กกำพร้า แม่หม้าย คนไร้ที่พึ่งอีกด้วยซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี

น่าเสียใจที่ผู้นำคริสตจักรไม่ได้แบ่งรายได้ให้แก่ผู้ปฏิบัติศาสนกิจ  และนักการศาสนาอย่างเป็นธรรมและถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ เราจึงพบว่า นักการศาสนาจำนวนไม่น้อยมีฐานะลำบากยากจน ต้องดิ้นรนตลอดชีวิตเป็นส่วนใหญ่  หลายๆ คนลาออกไปทำอาชีพอื่นที่มีรายได้ดีกว่า  เพราะการเป็นนักการศาสนามันมีแต่จนลงๆ และขัดสนทุกอย่าง

ด้วยเหตุที่ ชาวคริสต์บางส่วน บางกลุ่มจึงดูแลผู้่รับใช้ของพระได้ดีแค่นี้เอง  พ่อแม่ที่มีลูกฉลาดและเก่งไม่ค่อยมีใครส่งลูกไปเรียนเป็นนักการศาสนาหรอก  เพราะระบอบการปกครองมันไม่เอื้อ  ตอนนี้ในโรงเรียนสอนศาสนามีคนไทยแท้น้อยลงไปทุกที คนที่ถูกส่งไปเรียนบางส่วนจึงเป็นพวกเกรดต่ำๆ หัวสมองไม่ค่อยเปรื้องเท่าไหร่  ไปดูที่โรงเรียนสอนศาสนาคริสต์ที่ใหญ่ๆ ก็มีชนเผ่าไปเรียนกันมากกว่าคนไทยแท้เสียอีก

คน ไทยรู้จักพระคุณพระเจ้าแต่ไม่ค่อยสำแดงความกตัญญูออกมา ไม่ค่อยเข้าใจการถวายให้แก่ผู้รับใช้  เมื่อเจ็บป่วยดีแต่ขอพร รบกวนให้คนไปอธิษฐานให้  บางคนป่วยมาหลายปี  เสียเงินค่ารักษาตัวไปเป็นหมื่นเป็นแสน  เมื่อมารับการอธิษฐานปลดปล่อย  ได้รับการรักษา  เมื่อหายโรคแล้วไม่กล้าเป็นพยาน บางคนไม่ยอมถวายเงินให้ผู้รับใช้ที่อธิษฐานให้  ทั้งๆ ที่ตอนที่เขาเจ็บป่วยอาจต้องฉีดยาเข็มละเป็นหมื่น  ตัองเสียเวลางาน ต้องเข้าโรงพยาบาล  พวกเขายังยอมจ่าย พอหายดีแล้วจะถวายพันธกิจที่ผู้รับใช้พระเจ้าทำอยู่ สิ่งดี ความกตัญญูที่ควรทำกลับไม่ยอมทำ เสียดายเงิน อ้างว่าพระเจ้าช่วยไม่ใช่คน นี่คือสิ่งที่คริสเตียนต้องกลับใจใหม่ครับ กลับใจเดี๋ยวนี้เลย

พวก ฟาริสีในสมัยพระเยซูกลัวว่าจะมีคนมาสอนผิด  กลัวว่าศาสนาและลัทธินิกายของตนจะเสื่อมความนิยม  การสื่อพระกิตติคุณด้วยใช้ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณเป็นสิ่งที่คริสเตียนสายฟาริ สี และสายธรรมาจารย์ บางส่วนที่ต่อต้านพระวิญญาณ ไม่มีอยู่แล้ว มันประจักษ์ชัดมากเพราะพวกเขาพยายามเข้าใจพระเจ้าตามประสบการณ์เดิม ตามธรรมเนียม ด้วยสมองของมนุษย์ การส่งต่อความเชื่อมันผิดเพี้ยนไปหมด

การ ใช้ฤทธิ์เดชของพระเยซูเป็นสิ่งที่พวกฟาริสี และพวกชอบสอนความรู้เรื่องพระเจ้าตามหลักมนุษย์วิทยาไม่มีอยู่แล้ว พวกเขาคิดว่าสิ่งที่ตนเองไม่มี คนอื่นก็คงไม่มีเหมือนตนเอง ถึงพวกเขาเห็นการอัศจรรย์ด้วยกับตาตนเอง เขาก็ไม่เชื่อ เพราะความไม่รู้ เนื่องจากทัศนคติทางพิธีกรรม และศาสนศาสตร์  ผีร้ายวิญญาณชั่วได้บังตาเขาไว้ ยิ่งไปกว่านั้น ตามประสบการณ์ที่เราเคยไปขับผีมาออกจากคนมามากมาย เราคิดว่าความคิดในการต่อต้านพฤติกรรมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าอาจจะ มาจากวิญญาณพิธีกรรม และวัฒนธรรมของแต่ละพรรค แต่ละกลุ่มความเชื่อไม่มากก็น้อย

เรา อยากจะท้าทายให้คนที่ไม่เชื่อ และไม่เข้าใจเรื่องการล้มในพระวิญญาณ มาพิสูจน์ความจริงนี้ แต่พวกเขาจะต้องต้องลงทุนทำอะไรบางอย่าง โดยมีเงื่อนไข 2 ข้อที่จะต้องพิสูจน์ ตามที่ท่านเชื่อ คือ

1. การล้มในพระวิญญาณไม่มีจารึกไว้ในพระคัมภีร์ (คนที่ต่อต้านสิ่งใหม่จะอ้างประจำ-ทั้งที่มีแต่ทำตาถั่วมองไม่เห็น - อ้างว่ามันไม่ใช่)

2. การเจิมล้มในพระวิญญาณไม่มี นักเทศน์เป็นคนสั่งให้คนล้มต่างหาก (คนบางคนไม่ยอมเพราะกลัวว่าอาจทำให้หัวแตก หรือบาดเจ็บ )

เราจะต้องทำอะไรบางอย่างที่ผู้ต้องการพิสูจน์และเราต้องตกลงกันก่อนว่า เราจะต้องแลกเปลี่ยนกัน
คือ

ข้อ ที่ 1. ถ้าการล้มในพระวิญญาณเป็นเหตุการณ์ที่นักเทศน์สั่งให้ล้ม การล้มด้วยเดชพระวิญญาณไม่มีจริง เราต้องยอมแพ้ และต้องกล่าวขอขมาลาโทษต่อการเสนอบทความนี้

ข้อที่ 2.  เราแถมให้ท่าน ถ้าการล้มด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณของพระเจ้าไม่มีจารึกไว้ในพระคัมภีร์ เราจะยอมแพ้และทำตามเงื่อนไขที่ฟังดูอาจจะตลกและเพี้ยนๆ แต่ท่านเอลียาห์ยังเคยทำการพนันขันต่อได้เลยที่บนดอยคาราเมลนั่นไง

เงื่อนไข นี้คือ ถ้าเราแพ้ เราจะแก้ผ้า ไม่นุ่งเสื้อผ้าอะไรเลยและเราจะไปเดินที่ตลาดใดก็ได้ตามที่พวกไม่เชื่อการ เจิม ไม่เชื่อว่าการล้มในพระวิญญาณไม่มี กำหน

ถ้า ลุงบุญร่วงและพวกนักการศาสนาสายธรรมาจารย์ที่เชื่อว่า การล้มในพระวิญญาณไม่มีในพระคัมภีร์ การล้มลงเมื่อนักเทศน์อธิษฐานเผื่อวางมือ เป็นการบอกให้คนล้มไปเอง หรือเป็นเพียงการใช้แรงคนพลักให้ล้ม เป็นการขัดแข้งขัดขา ไม่ใช่การล้มไปเพราะเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราต้องยอมรับความพ่ายแพ้ และขอทำการขอขมาต่อทุกท่านที่มาร่วมพิสูจน์

วิธีการก็คือ ... เราจะต้องพิสูจน์สิ่งนี้กับคนที่เราไม่เคยรู้จักเลย และไม่ได้นัดหมายให้มาล้ม ถ้าหากว่าเขาล้มด้วยเดชพระวิญญาณ นักเทศน์ไม่ได้พลักให้ล้ม หรือบอกให้ล้ม ไม่ได้ขัดขาให้ล้ม พวกไม่เชื่อจะต้องทำบางอย่างเช่นกัน - (แต่เราคาดว่าคงไม่มีพวกอนุรักษ์นิยมคนใดกล้ามาหรอก เพราะหลายคนทำตัวเหมือนนกค้างคาว และนักลอบวางเพลิงเผาบ้าน)

ถ้า หาก ลุงบุญร่วง และพรรคพวกนักการศาสนา และธรรมาจารย์หัวเก่าและคนที่มีความเชื่อเหมือนกันนี้แพ้การพิสูจน์ พวกเขาจะต้องไปแก้ผ้าให้เหลือแต่ชุดชั้นใน  ไม่ต้องถึงกับเปลือยกายหรอก และไม่ต้องไปที่ตลาด   ขอเพียงท่านไปแก้ผ้าให้คริสเตียนที่โบสถ์ของตนเองดูแลอยู่ และให้พวกนี้ต้องติดป้าย ที่หน้าอกของแต่ละคนว่า...

"การล้มด้วยเดชพระวิญญาณมีจริง - จงกลับใจเสียใหม่"

เท่านี้ก็พอ ไม่ต้องถึงกับทำอะไรร้ายแรง หรือถูกฆ่าตายเหมือนกับสมัยท่านเอลียาห์ฆ่าผู้พยากรณ์เท็จ
สี่ร้อยกว่าคนที่พาคนระดับเจ้านายระดับสูงสุดไปกราบไหว้พระเทียมเท็จ ที่เป็นแค่รูปปั้นในสมัยพระราชาอาหับนั้น



 ตอนที่ 6

This is the evidence of true being slain in the Holy Sprit, when the preacher anointed them with blessed olive oil. The anointing which dry churches and most Phd preachers never experience. We don't know why.

อนุชนเหล่านี้ถูกเจิมด้วยน้ำมันมะกอกธรรมดาที่ควบคู่กับการอธิษฐาน
พวกเขาทุกคนไม่สามารถยืนอยู่ได้เลยแม้แต่คนเดียว เมื่อฤทธิ์เดชของผู้สูงสุดสัมผัสพวกเขา

เราใคร่ขอท้าชวนนักการศาสนาและผู้ไม่เชื่อเรื่องพระเดชานุภาพของพระเจ้าทุกคนที่ต้องการพิสูจน์เรื่องนี้ให้มาพิสูจน์ด้วยกัน

เรื่อง นี้มันไม่ใช่ความเชื่อส่วนบุคคล มันเป็นความเข้าใจ การตีความที่คลาดเคลื่อนไปจากพระคัมภีร์มากๆ ความเชื่อและการสอนแบบนี้เป็นการจำกัดพระเจ้า มันเป็นการสร้างความเสื่อม และหยุดอยู่กับที่ ทำให้คริสตจักรไร้ฤทธิ์เดช ทำให้คริสเตียนคิดว่าศาสนาไหนก็เหมือนกัน คือ สอนคนให้เป็นคนดีก็พอ ให้เป็นคนดีไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็เพียงพอแล้ว

สิ่งที่เห็นชัดสำหรับนัการศาสนาที่ต่อต้านการเจิม คือเขาไม่มีฤทธิ์เดชแห่งการเจิม ไม่กล้าประกาศด้วยฤทธิ์เดช ดังนั้นเราจึงพบเห็นบ่อยว่า มีการประกาศศาสนาด้วยการแจกของ แจกยาถ่าย ยาแก้ปวด  แจกทุนการศึกษา แจกผลประโยชน์อื่นใดมากกว่า

ผม เคยได้อ่านเว็บของคริสตจักรแห่งหนึ่ง ศบ.เป็นพวกหัวไอที  เขาเพิ่งจบศาสนศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยคริสต์ที่ดัง  เขาดีใจที่เขาได้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐถึงต่างประเทศ  เขาเขียนคุยไว้อย่างน่าภูมิใจ แถบมีรูปมีอะไรประกอบ เพื่อคุยอวดว่าเขาได้ไปประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า  เขามีเจตนาดีมากๆ  แต่น่าเสียดายมากครับ  เขาไปประกาศด้วยการแจกยา  เขาขนเอายาแก้ปวดหัว ยากระเพาะ ยาสารพัดไปแจก แทนที่จะแจกพระกิตติคุณด้วยฤทธิ์เดชของพระกิตติคุณ  เพราะพระกิตติคุณของพระเยซู เป็นเรื่องฤทธิ์เดช  ไม่ใช่เรื่องการแจกยา แจกของ หรือเครื่องล่อใดๆ ให้คนมาเชื่อพระเจ้า 

ผมคิดว่าใครที่คิด จะทำการประกาศข่าวประเสริฐด้วยการเอาการแจกของนำหน้า การประกาศด้วยฤทธิ์อำนาจของข่าวประเสริฐของพระคริสต์ หยุดคิดสักนิดได้ไหม  กลับไปนั่งอธิษฐานถืออดอาหารสักสี่สิบวันก่อน เพื่อตัวเองจะได้สัมผัสกับพระวิญญาณของพระเจ้า ได้รับฤทธิ์อำนาจก่อนค่อยออกไปประกาศดีไหม การเอาของไปแจกมันน่าอายนา  พวกศาสนาอื่นเขาก็ทำ  และทำได้ดีกว่าชาวคริสต์เสียอีก 

นักการศาสนา พวกแจกของ  เขาลดค่าตัวเองให้เป็นแค่นักสงคมสงเคราะห์ที่ไร้ฤทธิ์เดช อุตส่าห์ไปเรียนพระคัมภีร์มาตั้งหลายปี จบ ป.ตรีมาแล้วยังต้องมาเหนื่อยเรียน ป.โท ต่อ พอจบก็ได้ใส่ครุยรับใบปริญญาแสนโก้หรู และน่าภูมิ แต่เขาเอาพระกิตติไปประกาศด้วยการ เอายาแก้ปวดไปแจก ใครที่เคยทำแบบนี้ ผมว่าน่าละอายใจนะครับ หายพวกหมอผีเถอะ หมอผี หมอดู  อาจจะทำได้ดีกว่าคนพวกนี้  ผมว่าเลิกทำเถอะครับ  เสียเวลา เสียเงินเปล่าๆ

แต่ถ้าองค์กรใดรวยล้น มีเงินเหลืออยากจะแจก อยากจะช่วยเพื่อสังคมสงเคราะห์จริงๆ ไม่หวังผมให้ใครมาเชื่อพระเจ้าวิธีนี้ก็ทำเถอะ อย่างน้อยอาจทำให้ภาพลักษณ์ของศาสนาคริสต์มันดีขึ้น ถือเป็นการช่วยเหลือพี่น้องชาวโลก หรือผู้ประสบภัยต่างๆ ซึ่งถ้าเป็นกรณีนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี น่าชื่นชม

ผมขอเสนอว่า เอาคำเทศนาเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าไปแจก พร้อมกับวางคนให้หายโรคดีกว่าครับ  ไม่ต้องลงทุนซื้อยาสารพัดไปแจก  ยาหมดก็ยังป่วยเหมือนเดิมครับ เพราะสิ่งที่ทำให้คนป่วยมันไม่ใช่เชื้อโรคที่เป็นไวรัส หรือแบตทีเรียครับ  แต่มันเป็นโรคบาปต่างหากที่ทำให้คนป่วย ทั้งทางร่างกายจิตใจและวิญญาณ 

พระธรรมหลายตอนได้กล่าวไว้ว่า

เช่น อาจารย์ใหญ่เปาโล ได้กล่าวว่า

"เพราะ ว่าพระคริสต์มิได้ทรงใช้ข้าพเจ้าไปเพื่อให้เขารับบัพติศมา แต่เพื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ และมิใช่ด้วยชั้นเชิงอันฉลาดในการพูด   เกรงว่าเรื่องกางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์เดช"
[1 โครินธ์ 1:17]



อีกตอนหนึ่งก็บอกว่า


เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้ามิใช่เรื่องของคำพูด แต่เป็นเรื่องฤทธิ์เดช
[1 โครินธ์ 1:17
]

  จงการดึงดูดฝูงชนให้เข้ามาสนใจพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การสำแดงพระเดชานุภาพตามแบบที่พระเยซูและสาวกทำ เพื่อให้รับเอาแก่นแท้ของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์คือความรอดพ้นบาป  ที่มาพร้อมกับการอัศจรรย์

แล้วเราจะพิสูจน์เหตุการณ์นี้ได้อย่างไร

เอ้า...เราขอเสนอเล่นๆ แล้วกัน แต่ถ้าใครจะเอาจริงก็ได้นะ  เราจะพิสูจน์ด้วยการจัดการประกาศข่าวประเสริฐแบบรักษาโรคเอาแบบ อ.มัทธิวก็ได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เราจึงเชิญคนที่ยังไม่เคยได้ยินพระกิตติคุณให้มามากๆ  คนที่เราจะมารับการอธิษฐานเผื่อ เราจะเน้นชาวโลกทั่วไปที่ยังไม่เคยรู้จักพระเจ้า

เราจะให้ผู้ไม่เชื่อฤทธิ์เดช พวกธรรมาจารย์ สายฟาริสีเลือกว่า จะไปทำกันที่ไหน เราจะเชิญประชาชน ชาวบ้านในแถบนั้นมาฟังเทศนาพระกิตติคุณ เป็นการประกาศข่าวประเสริฐไปในตัว ในงานนี้ เราจะมีการวางมือรักษาโรค คนเจ็บคนป่วย เราเชิญคนที่ถูกผีรบกวนให้มามากๆ  อาจจะมีการขับผีและวางมือคนที่ต้องการรับการเจิมด้วยเดชพระวิญญาณ ในการดำเนินงานพิสูจน์นี้เราจะต้องมีการบันทึกถ่ายภาพวีดีทัศน์ไว้ด้วย เพื่อเป็นหลักฐานให้คนรุ่นหลังได้รู้ได้เห็นด้วย

ในการอธิษฐานวางมือ  เราก็จะขอให้นักการศาสนาผู้ต่อต้านการเจิมล้มในพระวิญญาณเป็นคนวางมือรักษา โรคก่อน หรือแบ่งฝ่าย แบ่งกลุ่มให้ไปทำการบำบัดพร้อมๆ กันไปเลย เพราะเรารู้และเชื่ออย่างแน่นอนว่า พวกที่ไม่เชื่อเรื่องนี้มันทำไม่ได้อยู่แล้ว หรือที่ภาษาชาวบ้านของบอกว่า "ดีแต่พูด เป็นแค่แม่ปูสองลูกปูเท่านั้น" เพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้ามาพร้อมกับการเจิม (อิสยาห์ 61)

ถ้าหากกลัวว่าจะไม่แน่นอน  เราก็จะแบ่งคนที่มารับการรักษาโรคออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ให้พวกวิญญาณพิธีกรรม พวกที่เป็นธรรมาจารย์ที่ไม่เชื่อเรื่องการเจิมออกไปวางมืออธิษฐานรักษาโรค กลุ่มหนึ่ง อึกกลุ่มหนึ่งเราและลูกทีมจะเป็นผู้ทำการอธิษฐานในพระนามแห่งพระเยซูด้วย ฤทธิ์เดชแห่งการเจิม

การทำแบบนี้คงไม่ใช่ครั้งแรก เพราะในสมัยท่านเอลียาห์ ก็ได้ฆ่าพวกผู้พยากรณ์เท็จไปถึงสี่ร้อยห้าสิบคน ไปแล้ว เพราะเป็นพวกนับถือพระเจ้าที่ไร้ฤทธิ์เดช

แล้วเรา ก็จะไปพิสูจน์ฤทธิอำนาจกันด้วยว่าใครจะขับผีออก พวกต่อต้านพระวิญญาณจะขับผีไม่ออกอย่างแน่นอน เพราะผีมันไม่กลัวคนพวกนี้ ดีไม่ดีโดนคนถูกผีสิงเอาเล็บข่วนหน้าลาย หรือโดนบีบคอให้เสียหน้า  ทำให้อับอายประชาชีเท่านั้น 

การนำเสนอแบบนี้อาจจะมองว่าเป็นเรื่อง ความยะโสเกินไป  แต่การที่พวกธรรมาจารย์จะยอมรับก็คงเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับความจริง  กลุ่มธรรมาจารย์และฟาริสีจึงงมโข่งอยู่กับความเชื่อแบบเดิมๆ แท้จริงความเชื่อแบบนี้มันเป็นความเข้าใจผิด  เพราะแม้แต่โรมันคาทอลิกบางสายเขาก็ยังมีพันธกิจ หรือแผนกขับผีโดยเฉพาะ  เราเสียใจที่ตัวเขาเองเพี้ยน ตาบอดฝ่ายวิญญาณยังไม่พอ ยังพยายามทำให้คนอื่นๆ ตาบอดเหมือนเขาไปด้วย   ยังไม่พอแค่นี้ พวกเขายังกีดกันไม่ให้คนเชื่อเรื่องการเจิมอีกต่างหาก

ในเรื่องการขับผีนี้มีสิ่งที่ต้องอธิบายนิดหน่อยก็คือ  ส่วนใหญ่ในการออกไปทำพันธกิจ  พวกเราไม่ได้ไปเที่ยวไล่ขับผีตามศาลเจ้า หรือไปเที่ยวหาคนถูกผีสิงที่กำลังแสดงอาการผีๆ อยู่ เพื่อจะโอ้อวดว่าพวกเราขับผีเป็น หรือมีอำนาจมากกว่าผี แต่เมื่อพวกเราออกไปอธิษฐานช่วยเหลือคนธรรมดาทั่วไปนี้แหละ  เมื่อเราอธิษฐาน บ่อยครั้งเราพบว่าคนธรรมดากลายเป็นอีกคนหนึ่ง หรือแสดงอาการเหมือนคนถูกผีเข้าสิง ในตัวเขามีบางอย่างแสดงอาการออกมาว่าต้องการจะออกจากตัวของพวกเขา สิ่งนี้เราเรียกว่า ขับผี

นอกจากนี้เราจะพิสูจน์ด้วยไป ท้าทายวิญญาณเจ้าปู่ที่ชาวบ้านเชื่อว่าดุร้ายที่สุด  เราจะพากันไปพูดสบประมาทท้าทายวิญญาณร้ายระดับเทพที่ชาวบ้านเกรงกลัวและถือ ว่าเฮี้ยนที่สุด  เราจะให้พวกไม่เชื่อการเจิม ไม่เชื่อการล้มไปท้าทายด้วย และเราและลูกทีมไม่เพียงแต่จะไปท้าทาย พวกเราจะทำสิ่งที่ชาวบ้านถือว่าเป็นการสบประมาทมันที่สุดด้วย

แล้ว ดูว่าพวกที่ไม่เชื่อการเจิมจะถูกวิญญาณร้ายรบกวนหรือเปล่า เราเชื่อว่าพวกไม่เชื่อการเจิมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าจะต้องพบกับภัยพิบัติ แน่นอน เรายังสงสัยว่าพวกนักการพวกนี้มันจะกล้าทำหรือไม่เท่านั้น แต่เชื่อเถอะพวกไม่เชื่อฤทธ์เดชดีแต่สอนให้คนเป็นคนดีเท่านั้น ไม่กล้าทำหรอก บางคนกลัวผีจนหัวหด  นี่ถ้าไม่มีเงินหนุนเงินนำ ยังจะทำงานบริการอยู่หรือไม่ยังไม่แน่ใจ

การพิสูจน์ให้ เห็นกันชัดๆ เช่นนี้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำสิ่งที่คนที่ทำตัวเหมือน หมาป่ากับเถาองุ่น ต้องยอมจำนนต่อฤทธิ์เดชของพระเจ้า เราจะเห็นว่า มันเป็นการบอกให้ล้ม เป็นการบอกให้หายโรค หรือว่าเป็นฤทธิ์เดชของพระวิญญาณที่นักการศาสนาพยายามจำกัดฤทธิ์อำนาจของ พระองค์ พวกที่ปฏิเสธสิ่งนี้มาหลายสิบปี เป็นการทำให้เกิดความกระจ่างสำหรับคนที่ยังสงสัยว่ามันยังมีอยู่ไหม  ทำไมเขาไม่คิดว่า จะมีคนบ้าคนไหนหนอ  ที่ว่างงาน ไม่มีอะไรทำแล้วหรือ อยู่ๆ ก็เที่ยวเอามือไปดันหัวคนเล่นให้ล้มน่ะ

เราอยากจะแจ้งให้ พวกธรรมาจารย์ทราบเบื้องต้นว่า เราเองมีประสบการณ์เรื่องนี้มาพอควร ไม่ได้อวดอุตริ หรือศักดาอะไร  เพราะมันเป็นฤทธิ์อำนาจเบื้องต้นของผู้เชื่อในพระเยซูอยู่แล้ว เราไม่มีคาถาอาคม ไม่แขวนไม้กางเขนอันใหญ่ๆ  ไม่ใช้นามของใครในการทำการของพระเจ้า ไม่ได้ชวนใครให้มาเข้าร่วมลัทธิใหม่ พระเจ้าองค์ใหม่ ไม่ได้ชวนใครให้เข้าเป็นศาสนาคริสต์  เพราะเราก็รู้ๆ กันอยู่ ศาสนาคืออะไร  ศาสนาสอนให้เป็นคนดี กลุ่ม นิกาย พรรคหรือพวกก็คือการรักษาผลประโยชน์ ที่ชาวคริสต์ต้องแตกแยกกัน สาเหตุหนึ่งก็เพราะผลประโยชน์นี่แหละ 


มีเรื่องที่น่าประหลาดที่สุดในโลกชาวคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ อีกอย่างหนึ่งคือว่า  พวกที่เชื่อถือพระเจ้าแบบธรรมเนียมปฎิบัติ ตามแบบศาสนิกที่ได้รับอิทธิพลพิธีกรรมของนิกายโรมันโบราณ  หากมีเรื่องการอัศจรรย์ การวางมือรักษาโรคหาย  หากมีการทำการอัศจรรย์ใดๆ เกิดขึ้นในหมู่ กลุ่มผู้เชื่อกลุ่มใหม่ หรือกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่กลุ่มของตน  พวกอาจารย์ศาสนาพวกนี้จะพากับสร้างข่าวลือ  ทำการสอนว่า  เป็นพวกที่มาตามคำพยากรณ์ในหนังสือ 1 ทิโมธี บทที่ 4 ที่กล่าวว่าจะมีคนมาอ้างเป็นพระคริสต์ หรือสอนผิด  

คน ที่เห็นกลุ่มอื่นเขารักษาโรคได้ วางมือคนหายเจ็บป่วยได้ มีการอัศจรรย์อะไรต่างๆ มีการขับผีได้ กลับไปกล่าวหาเขาว่า เป็นลัทธิเทียมเท็จ  คำสอนนี้แพร่หลายมาก  จนผู้เชื่อมากมายหลงเชื่อว่า คนอื่น กลุ่มความเชื่ออื่นๆ เป็นลัทธิเทียมเท็จ  จนไม่กล้าคบหาสมาคมด้วย ไม่กล้าเข้าไปฟังคำสอนของอาจารย์ระดับโลก  ผู้เผยพระวจนะระดับโลก 

น่า ตลกใหม่ พวกนักการศาสนาสายอนุรักษ์บางคน และผู้เชื่อพระเจ้าที่หลงผิด กล่าวหาคนอื่นว่าเป็นลัทธิเทียมเท็จ  แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง  เวลาอธิษฐานคนป่วยก็ไม่หาย ผีก็ไม่ออกจากคน  แต่ที่คนอื่นเขาทำได้  ขับผีได้ วางมือคนป่วยหาย  กลับไปกล่าวหาเขาเป็นของปลอม  แล้วถ้าตัวเองเป็นของจริงทำไมทำไม่ได้  ตลกไหมล่ะ  ลองนึกทบทวน พิจารณาดูแล้ว ใครเป็นของปลอมกันแน่  คนที่กล่าวหาคนอื่น หรือคนอื่นที่เขามีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ล

ตอนที่ 1( 1-5)
ตอนที่ 3 (ข้อที่ 7)

1 ความคิดเห็น:

  1. พี่น้องที่เอาข้อพระคัมภีร์มาอ้างถึงเรื่องการล้มในพระวิญญาณนั้นส่วนมากแล้วตีคาวมออกนอกบริบท อาการที่หลายคนสำผัสได้นั้นมาจากวิญญาณก็จริงแต่ว่าไม่ใช่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พี่น้องต้องไปดูวิญญาณคุนดลินี่ อาการของคนที่ถูก
    วิญญาณ ครอบงำว่าเป็นแบบไหน เรื่องการล้มในพระวิญญาณนั้นเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทย แต่วิญญาณนี้มีมานานแล้วในกลุ่มฮินดู พี่น้องที่รักข้าพเจ้าอ่อนใจเมื่อเห็น Benny Hinn พี่น้องต้องไปดูเรื่องของเขาใน youtube ว่าเขาเอาพระคำพระเจ้ามาหาเงิน

    ตอบลบ

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)