Many young people were slain when
they were anointed by the Power of Fire which many Christian preachers and
Teachers of theology cannot experience and will not ever experience forever.
Not because it is too hard to understand but it is beyond the work of flesh.
Not because it is too hard to understand but it is beyond the work of flesh.
ตอนที่ 1
ผู้เขียนขออนุญาตนำบทความของนักการศาสนาผู้มีตำแหน่งเป็นศิษยาภิบาลอาวุโสท่านหนึ่ง
มีชื่อตัวอักษรย่อ ว่า "บ " นามสกุลนำหน้าด้วยตัวอักษร " ซ " ที่ได้เขียนบทความ
และเผยแพร่แจกจ่ายแก่มวลสมาชิก และสาธารณชนเกี่ยวกับเรื่อง
"การรับพระวิญญาณบริสุทธิ์" เนื่องในวันระลึกเพนเทคอส
ผู้เขียนขอเรียกเขาว่า ลุงบุญร่วง นามสกุล “สติตัน” ก็แล้วกัน
จากงานเขียนของนักการศาสนาท่านนี้
ตามความเข้าใจของผู้เขียน เข้าใจว่าลุงบุญร่วงได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนถึงความเชื่อที่ผิดพลาดคลาด
เคลื่อนเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของเขา
ซึ่งนักสอนท่านนี้เป็นทั้ง นักศาสนศาสตร์ อาจารย์สอน ศิษยาภิบาล ผู้เคยเป็นประธานคณะกรรมการใหญ่ของคริสเตียน
มีชื่อเสียงที่โด่งดัง นับว่าเป็นนักเทศน์ฝีปากเอกคนหนึ่ง คาดว่าอาจจะมีคริสเตียนที่ความเชื่อน้อย
ที่ไม่ค่อยได้ศึกษาทางศาสนศาสตร์มากนักติดตาม จนอาจหลงเชื่อตามคำสอนเพี้ยนๆ
ของท่านเป็นจำนวนมาก คงจะเป็นระยะเวลา
นาน พอๆ กับอายุที่ยืนยาวของท่าน
ปัจจุบันเขาอาจยังรับใช้คริสตจักรที่มีคริสเตียนเป็นจำนวนหลายร้อยคนในจังหวัด ทางภาคเหนือของประเทศไทย น่าเสียดายท่านสอนเพี้ยน ท่านต่อต้านเรื่องการเจิม การพูดภาษาอื่นๆ การใช้ฤทธิ์อำนาจของพระกิตติคุณแห่งข่าวประเสริฐนี้
เราได้รับทราบข่าวว่าความหย่อนยานได้แผ่ไพศาลไปแล้วในกลุ่มที่ท่านเป็นผู้นำอยู่ เด็กๆ ก็หย่อมแหยม คนแก่ก็หย่อนๆ ยาน ท่านก็ว่ามันเป็นธรรมชาติของคน ผู้เขียนจึงขออนุญาตนำมาเป็นตัวอย่างในการอภิปรายเรื่องการล้มในพระวิญญาณ เพื่อบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ ว่าความเชื่อของชาวคริสต์มันหลากหลายจริงๆ ทั้งๆ ที่มีพระเจ้าองค์เดียวกัน ถือพระคัมภีร์เล่มเดียวกัน แต่คนละเวอร์ชั่น หลักข้อเชื่อก็คัดเอาแต่ที่ตัวเองปฏิบัติได้ บางข้อบางอันก็ไม่เอามาถือปฏิบัติเพราะไม่เข้าใจ
ปัจจุบันเขาอาจยังรับใช้คริสตจักรที่มีคริสเตียนเป็นจำนวนหลายร้อยคนในจังหวัด ทางภาคเหนือของประเทศไทย น่าเสียดายท่านสอนเพี้ยน ท่านต่อต้านเรื่องการเจิม การพูดภาษาอื่นๆ การใช้ฤทธิ์อำนาจของพระกิตติคุณแห่งข่าวประเสริฐนี้
เราได้รับทราบข่าวว่าความหย่อนยานได้แผ่ไพศาลไปแล้วในกลุ่มที่ท่านเป็นผู้นำอยู่ เด็กๆ ก็หย่อมแหยม คนแก่ก็หย่อนๆ ยาน ท่านก็ว่ามันเป็นธรรมชาติของคน ผู้เขียนจึงขออนุญาตนำมาเป็นตัวอย่างในการอภิปรายเรื่องการล้มในพระวิญญาณ เพื่อบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ ว่าความเชื่อของชาวคริสต์มันหลากหลายจริงๆ ทั้งๆ ที่มีพระเจ้าองค์เดียวกัน ถือพระคัมภีร์เล่มเดียวกัน แต่คนละเวอร์ชั่น หลักข้อเชื่อก็คัดเอาแต่ที่ตัวเองปฏิบัติได้ บางข้อบางอันก็ไม่เอามาถือปฏิบัติเพราะไม่เข้าใจ
ผู้เขียนขอตัดตอนเอาบทความที่เขาเขียนในบทความที่เรียกว่า
"บทความนำพร"
ฉบับที่ x1 ปีที่ xx ของโบสถ์ที่ตาลุงบุญร่วงเป็นนักการอยู่
สำหรับชื่อผู้เขียนบทความนี้ เราขอสงวนสิทธิไม่แจ้งไว้ในที่นี้เพื่อรักษาหน้าตาของนักเทศน์คนนี้ไว้เพื่อ
ให้เขายังจะสามารถไปเทศนา "ความเชื่อคดเคี้ยว" และ
"ศาสนศาสตร์ที่ยังไม่ถึง" เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของลุงต่อไป
ลุงบุญร่วง คงจะรับใช้พระเจ้าแบบคลาดเคลื่อนแบบนี้มานาน ลุงบุญร่วงอาจจะทำต่อไปอีกระยะหนึ่งก่อนหมดแรง
หรืออาจเป็นได้ถ้าเขามีใจถ่อมและยอมรับความจริง ลุงบุญร่วง ยังมีโอกาสกลับใจใหม่ ชื่อจริงๆ
ของท่านเราไม่ต้องไปสนใจ เราขอยกมาเป็นตัวอย่างในการถกเสวนา เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องร่วมกันก็พอ
ความตอนหนึ่งในบทความนี้ท่านได้กล่าวว่า
...
...เขา ได้พูดภาษาอื่นๆ
คือภาษาของประเทศที่คนยิวได้กระจัดกระจายไปอาศัยอยู่นั้นจนทำให้เขาตกใจว่า คนเหล่านี้ได้พูดภาษาท้องถิ่นของตน
ซึ่งเป็นภาษาที่เขาเข้าใจได้และฟังรู้เรื่อง แต่พวกที่เห็นเหตุการณ์เหล่านั้นคิดว่า
เขาเมาเหล้า
(ข้อความในวง เล็บเป็นการเพิ่มเติมของผู้เขียนเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อบทความ ที่อ้างถึง เนื่องจากบทความเขียนตกหล่นและไม่ชัดเจนหลายแห่ง)
(ข้อความในวง เล็บเป็นการเพิ่มเติมของผู้เขียนเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อบทความ ที่อ้างถึง เนื่องจากบทความเขียนตกหล่นและไม่ชัดเจนหลายแห่ง)
ใน บทความกล่าวต่อ...ฉะนั้นเมื่อพระวิญญาณเสด็จลงมา
ไม่ใช่เป็นเหตุการณ์ที่วุ่นวายแต่อย่างใด ยังมีระเบียบเรียบร้อย ผม (ลุงบุญร่วง)ได้เห็นเหตุการณ์ไม่ว่าในอดีตหรือแม้ปัจจุบัน
นักเทศน์ได้อธิษฐานวางมือคนป่วย หรือคนที่ต้องการรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (เมื่อวางมือแล้ว- ข้อความในวงเล็บผู้เขียนเติมเองเพราะต้นฉบับเขียนไม่ชัดเจนและตกหล่น)
ทำให้ (เขาเหล่านั้น) ล้มลง
ถามว่าลักษณะที่เป็นอย่างนั้นเป็นรูปแบบของการรับพระวิญญาณหรือ?
ในพระธรรมกิจการของอัครทูตไม่ได้บอกให้เราทราบว่าคนเหล่านั้นล้มลง
(เราเชื่อว่า) บางครั้งนักเทศน์สั่งให้คนเหล่านั้นล้มลงแล้ว (นักเทศน์)เข้าใจเอาเองว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงาน
(เราเชื่อว่า) บางครั้งนักเทศน์สั่งให้คนเหล่านั้นล้มลงแล้ว (นักเทศน์)เข้าใจเอาเองว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงาน
นักเทศน์เหล่านั้น
(รวมทั้งนักเทศน์คาริสเมติกทั่วโลก) จะต้องรับผิดชอบต่อพระพักตร์พระเจ้า
สำหรับ ผม (ผมในที่นี้หมายถึง ตาบุญร่วง)ไม่เคยทำ
(เพราะไม่เชื่อ และไม่ยอมรับการสำแดงแบบนี้) เพราะการทำงานของพระวิญญาณไม่ใช่คำสั่ง
(ที่มา) จากคน แต่เป็น (การ) กระทำของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้กระทำ
เช่น เดียวกันการรักษาโรค ไม่ใช่นักเทศน์ มีอำนาจทำให้เขาหายโรค แต่การรักษาโรคต้องมาจากพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งการรักษาโรคอย่างอัศจรรย์นี้ เป็นพระกรุณาคุณของพระเจ้า
เรา (ตาบุญร่วง สติตัน) เชื่อว่า พระวิญญาณของพระเจ้าประทับอยู่กับเรา
ทรงนำพาเรา
หน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีอยู่ 3 ประการ ดังนี้
1. สอนเรา (ตาบุญร่วง)
ในเมื่อเรา (ลุงบุญร่วง)ไม่เข้าใจพระคัมภีร์ พระวิญญาณจะสอนเรา(ลุงบุญร่วง)
(จะสอนได้อย่างไรเมื่อลุงบุญร่วงไม่ยอมรับเมื่อพระองค์สำแดงฤทธิ์อำนาจของ พระองค์)
(จะสอนได้อย่างไรเมื่อลุงบุญร่วงไม่ยอมรับเมื่อพระองค์สำแดงฤทธิ์อำนาจของ พระองค์)
2. ช่วยเรา(ลุงบุญร่วง)
ในเมื่อเรา (ลุงบุญร่วง) ช่วยตัวเองไม่ได้
(จะช่วยได้อย่างไร ไม่มีพระวิญญาณ)
(จะช่วยได้อย่างไร ไม่มีพระวิญญาณ)
3. เล้าโลมใจเรา(ลุงบุญร่วง)
ในยามทุกข์โศก ทำให้เรากล้าหาญ เข็มแข็งและมีพลังมากขึ้น
(ตามพระ คัมภีร์จริงแล้ว
หน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สำคัญมาก มีมากกว่านี้อีกหลายข้อ
แต่ลุงบุญร่วงไม่นำมาสอน ดู ยอหน์ 16.6-8 คนทั่วไปต้องการใช้พระเจ้าให้เป็นทาสของเขา
คือใช้พระเจ้าทำสารพัดเพื่อให้เขา ปลอดภัย กินอิ่ม และฉลาดทางโลก และมีทุกสิ่งที่เนื้อหนังต้องการ)
Dr. Cindy Trimm
Pastor Benny Hinn
ภาพวีดีโอคลิปนี้คงสื่อให้เห็นบางอย่างที่น่าจะชัดเจนอยู่แล้วว่า คริสตชนที่มาในงานนี้เขาเป็นอะไรกันแน่ทำไมพวกเขาล้มตึงๆไปได้ง่ายๆ
แต่จะยังไงก็ตาม คนไม่เชื่อบางคนเขาก็ยังยืนกระต่ายขาเดียวว่า ไม่มีอยู่ดี ยังมีนักการศาสนาที่ลวงโลกและไม่ยอมรับความจริง แบบดันทุรัง อีกบางส่วน ที่ไม่เชื่อว่าการล้มด้วยฤทธิอำนาจของพระเจ้าไม่มี โดยอ้างแบบข้างๆ คูๆ ว่าการล้มด้วยเดชพระวิญญาณไม่มีในพระคัมภีร์
คนพวกนี้เชื่ออย่างหัวปักหัวปำว่า สิ่งนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า ถ้าหากไม่มาจากพระเจ้าแล้วมาจากใครล่ะ นักเทศน์เหล่านี้เขาอ้างพระนามของใคร ของลูซีเฟอร์ หรือของใครกันแน่ พวกคริสเตียนที่มีเจ้ามีองค์อยู่ข้างใน ผี หรือวิญญาณร้าย หรือเจ้า หรือเทพองค์อื่นใดสามารถทำให้พวกเขาล้มลงไปนอนได้เล่า
พวกที่ยืนอยู่วีดีโอเหล่านี้ ล้วนเป็นศาสนิกของคริสตศาสนาทั้งนั้น ใครที่ไม่เคยเข้ารีตคริสต์ อาจสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่สำหรับชาวคริสต์ สิ่งนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ "เกินความเชื่อ" "เกินความเข้าใจ" ของนักการศาสนาสายอนุรักษ์ ที่มืดบอดฝ่ายวิญญาณ จนคล่ำทางสว่างไม่เจอมาเป็นเวลาหลายร้อยปี พวกเขาไม่เชื่อว่าสิ่งนี้เป็นมาจากฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
พวกที่อ้างว่า ไม่ใช่ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า อ้างว่าไม่มีในคัมภีร์ แล้วทำไมชาวคริสต์พวกนี้จึงล้มลงไปได้ ถ้าหากไม่ใช่พระเจ้าของพวกเขา แล้วใครทำ ผีหรือ หรืออำนาจใด พวกชาวคริสต์สายอนุรักษ์ต่างอ้างว่า พระเจ้าของพวกเขายิ่งใหญ่สูงสุด และพระเจ้าของพวกเขาก็ให้พระวิญญาณของพระเจ้ามาอยู่ในพวกเขาที่เชื่อทุกคน ไม่ว่ามีบาป หรือไม่มีบาป
แล้วถ้าหากพระของเขาอยู่ในผู้เชื่อแล้ว มีคำถามว่า ทำไมวิญญาณอื่น อำนาจอื่นทำให้คนพวกนี้ล้มลงไปกองกับพื้นได้ แปลกดีไหมล่ะ
ลองศึกษาบทความนี้แล้วผู้อ่านค่อยวิจารณ์ว่า มันเป็นอย่างไรแน่
คนพวกนี้เชื่ออย่างหัวปักหัวปำว่า สิ่งนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า ถ้าหากไม่มาจากพระเจ้าแล้วมาจากใครล่ะ นักเทศน์เหล่านี้เขาอ้างพระนามของใคร ของลูซีเฟอร์ หรือของใครกันแน่ พวกคริสเตียนที่มีเจ้ามีองค์อยู่ข้างใน ผี หรือวิญญาณร้าย หรือเจ้า หรือเทพองค์อื่นใดสามารถทำให้พวกเขาล้มลงไปนอนได้เล่า
พวกที่ยืนอยู่วีดีโอเหล่านี้ ล้วนเป็นศาสนิกของคริสตศาสนาทั้งนั้น ใครที่ไม่เคยเข้ารีตคริสต์ อาจสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่สำหรับชาวคริสต์ สิ่งนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ "เกินความเชื่อ" "เกินความเข้าใจ" ของนักการศาสนาสายอนุรักษ์ ที่มืดบอดฝ่ายวิญญาณ จนคล่ำทางสว่างไม่เจอมาเป็นเวลาหลายร้อยปี พวกเขาไม่เชื่อว่าสิ่งนี้เป็นมาจากฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
พวกที่อ้างว่า ไม่ใช่ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า อ้างว่าไม่มีในคัมภีร์ แล้วทำไมชาวคริสต์พวกนี้จึงล้มลงไปได้ ถ้าหากไม่ใช่พระเจ้าของพวกเขา แล้วใครทำ ผีหรือ หรืออำนาจใด พวกชาวคริสต์สายอนุรักษ์ต่างอ้างว่า พระเจ้าของพวกเขายิ่งใหญ่สูงสุด และพระเจ้าของพวกเขาก็ให้พระวิญญาณของพระเจ้ามาอยู่ในพวกเขาที่เชื่อทุกคน ไม่ว่ามีบาป หรือไม่มีบาป
แล้วถ้าหากพระของเขาอยู่ในผู้เชื่อแล้ว มีคำถามว่า ทำไมวิญญาณอื่น อำนาจอื่นทำให้คนพวกนี้ล้มลงไปกองกับพื้นได้ แปลกดีไหมล่ะ
ลองศึกษาบทความนี้แล้วผู้อ่านค่อยวิจารณ์ว่า มันเป็นอย่างไรแน่
บทความนี้ผู้เขียนอาจต้องใช้ถ้อยคำ
เสียดสี กระแหนะกระแหน นักการศาสนาหัวโบราณ แต่เป็นเพียงเมล็ดพันธุ์ทาง เป็นข่าวละมานที่ปนอยู่ในหมู่คนเชื่อ เขาคงเป็นแค่ผู้ได้รับความเชื่อแห่ง
"วัฒนธรรมทางความเชื่อ" ซึ่งทำให้เขาเกิดความตระหนักว่า
สิ่งที่เขาเชื่อและปฎิบัติพิธีกรรมที่ไร้ฤทธิ์ของพระเจ้ามาเป็นเวลาตั้งแต่ เกิด
จนเขาทำงานมาถึงปัจจุบัน มันเป็นความเชื่อที่สร้างสรรค์และยกย่องพระเจ้า
หรือเป็นความเชื่อที่ ทำให้คริสตจักรกลายเป็นแค่สถานประกอบศาสนกิจ และเป็นที่หากินของนักการศาสนาที่ถูกปิดหูปิดตาผู้เชื่อให้เข้าใจว่า
พระคริสต์ไม่ทำการอัศจรรย์ผ่านมือของผู้เชื่อในพระองค์อีกต่อไปแล้ว แต่ทำเฉพาะในพระคัมภีร์ในสมัยโบราณเท่านั้น
ถ้าหากมีการอัศจรรย์ หรือการสำแดงอะไรอยู่บ้าง พวกเขาก็คงเชื่อว่าเป็นการทำผ่านมือคน อื่น นักเทศน์จากอินเดีย ฝรั่งที่มาจากเมืองนอก ไม่ใช่ตนเอง ไม่ใช่คนในกลุ่มตนเอง นักสอนศาสนาประเภทนี้จะพูดเหมือนอัดดีวีดีแผ่นปลอมจากพม่าที่ภาพและเสียง เบลอๆ เป็นคำเดียวกันว่า
"ผมไม่มีของประทาน"
ถ้าหากมีการอัศจรรย์ หรือการสำแดงอะไรอยู่บ้าง พวกเขาก็คงเชื่อว่าเป็นการทำผ่านมือคน อื่น นักเทศน์จากอินเดีย ฝรั่งที่มาจากเมืองนอก ไม่ใช่ตนเอง ไม่ใช่คนในกลุ่มตนเอง นักสอนศาสนาประเภทนี้จะพูดเหมือนอัดดีวีดีแผ่นปลอมจากพม่าที่ภาพและเสียง เบลอๆ เป็นคำเดียวกันว่า
"ผมไม่มีของประทาน"
อันนี้อาจเป็นเหตุผลหนึ่งใช่หรือไม่
ที่ทำให้เยาวชน คนหนุ่มสาว จำนวนหนึ่งของกลุ่มอนุรักษ์ เหินห่างไปจากพระเจ้า เพราะพวกนักการศาสนาหัวโบราณ
ชอบอนุรักษ์ประเพณีที่ล้าสมัย กีดกั้น ไม่ยอมรับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า การสั่งสอนสิ่งที่เขาเชื่อว่า เป็นการส่งเสริมความเชื่อเรื่องพระเจ้าให้เข้มแข็ง
แต่ตรงกันข้ามกลับเป็นการหลู่พระเกียรติของพระเจ้ากันแน่
วีดีทัศน์เหล่านี้ไม่ได้มีแค่คลิปเดียว
หรือสองคลิป แต่มีเป็นพันๆ คลิป
แล้ว พวกนี้ยังกล้ามาเขียนบทความโต้ กับความจริงในอินเตอร์เนทและตามเว็บคริสเตียน
ที่เป็นผู้ประกาศด้วยพระเดชานุภาพ ในพระนามพระเยซูคริสต์อีกมาก
อย่าง ว่าแหละหูตาบางคนมันแคบไม่เปิดใจ ไม่เปิดเว็บแล้วจะเห็นได้ยังไง บางคนอยู่โบสถ์เดียวมาทั้งชีวิต ไม่เห็นอะไรใหม่ๆ เลยไม่รู้ว่าโลกนี้เขาไปกันถึงไหนแล้ว พระธรรมกิจการเคยอ่านไหม ลองอ่านดูดีๆ อีกทีเถอะ น่าจะมีอะไรที่ยังไม่รู้อีกเยอะนะเราคิดว่างั้น
อย่าง ว่าแหละหูตาบางคนมันแคบไม่เปิดใจ ไม่เปิดเว็บแล้วจะเห็นได้ยังไง บางคนอยู่โบสถ์เดียวมาทั้งชีวิต ไม่เห็นอะไรใหม่ๆ เลยไม่รู้ว่าโลกนี้เขาไปกันถึงไหนแล้ว พระธรรมกิจการเคยอ่านไหม ลองอ่านดูดีๆ อีกทีเถอะ น่าจะมีอะไรที่ยังไม่รู้อีกเยอะนะเราคิดว่างั้น
ตอนที่ 2 ข้อโต้แย้งที่ท้าทาย
ผู้เขียนขอท้าชวนนักการศาสนาคนที่หนึ่งคือ "ลุงบุญร่วง ซวนเซ" ที่ผู้เขียนอ้างถึงในบทความนี้ และ นักการศาสนาคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อเรื่องการล้มในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ว่าเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ให้มาร่วมพิสูจน์ความจริง เป็นสักขีพยาน อยากให้มากันหลายๆ คน ให้มาดูให้เห็นความจริงว่าความเชื่อแบบนี้มัน "ยังคลาดเคลื่อนหรือที่เรียกว่า " ศาสนศาสตร์ที่ "ไม่ถึง "
เหตุการณ์คนล้มในพระวิญญาณไม่ใช่เป็นเรื่องเท็จตามที่ท่านอ้างว่า นักเทศน์สั่งให้คนล้มลงไปหรือ ไม่มีการล้มจริงด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้าดังที่ท่านพยายามต่อต้านด้วยบทความและวิธีการต่างๆ อย่างแน่นอน
คนเหล่านี้ปล่อยใหัตัวเองงมงายอยู่กับ การหลอกลวงของวิญญาณศาสนา ว่าฤทธิ์เดชของพระเจ้าไม่มีจริง "การล้มลงด้วยเดชพระวิญญาณไม่มีในพระคัมภีร์" คนที่ล้มเพราะถูกนักเทศน์เอามือดันหัว เราคิดว่า ลุงบุญร่วง กำลังอยู่ในความคลาดเคลื่อนอย่างแท้จริง กลับใจเสียเถอะครับ ถึงแม้คนเจิมให้ลุงบุญร่วงเห็นกับตาตนเอง แต่ลุงบุญร่วงก็ยังอ้างว่า คนดันหัวอยู่ดี เราว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ คิดว่าแก่คงตายไปด้วยความเชื่อแบบนี้แน่ๆ
ผู้เขียนไม่อยากให้ลุงบุญร่วงเป็นเหมือนกับชาวป่าแอฟริกาหรือบางประเทศที่ไม่เคยได้เรียนรู้ว่า มีคนไปเหยียบดวงจันทร์มาแล้ว คนเหล่านั้นยังพยายามคิดและหลอกตัวเองว่าดวงจันทร์เป็นพระเจ้าจึงพากันไปกราบไหว้บูชา สังเวยด้วยเครื่องบูชาต่างๆ อยู่
ที่คนไม่เชื่อว่ามีการล้มเพราะเขาไม่เชื่อ แม้เขาจะมองเห็นด้วยตาของตนเอง เขาก็ยังไม่เชื่อ การเห็นผิดของคนเหล่านี้ไม่ใช่คนแรก เพราะเรื่องแบบนี้เราเองเคยถูกกล่าวหา ถูกสอบสวนจากคณะกรรมการร่วมของ คริสตจักรกลุ่มหนึ่งที่สังกัดสหกิจมาแล้ว เพราะความเข้าใจคลาดเคลื่อน เมื่อตอนที่เราเพิ่งเข้าสู่พันธกิจการปลดปล่อยใหม่ๆ เราไปอธิษฐานเผื่อคนอื่นๆ พร้อมกับลูกสาว ปรากฎว่าคนล้มเป็นสิบๆ คน ตอนนั้นเรายังใหม่มาก และกำลังห้าวหาญ อยากเห็นการฟื้นฟูด้วยเดชพระวิญญาณ แต่ต่อมากลับถูกกล่าวว่า เราหาเที่ยวไปเอามือพลักคนให้ล้ม
ทั้งๆ ที่พวกเขาน่าจะส่งเสริมคนมีของประทานให้มาร่วมงานกัน แต่เชื่อไหมครับ พวกเขากีดกัน ขัดขวาง และไม่ให้โอกาส ปิดโอกาส มองไม่เห็นศักยภาพ และของประทานของคนอื่น คนพวกนี้ในความคิดของเรา พวกเขาเป็นแค่นักการศาสนา นักหากินกับกิตติคุณเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ ไม่ได้คิดการใหญ่เพื่อพระเจ้าใดๆ เลย ไม่น่าล่ะ คริสตจักรหลายแห่งถึงแม้จะตั้งมาได้เกือบร้อยปี แต่สมาชิกสมบูรณ์ที่เป็นผู้ใหญ่ยังไม่เท่าจำนวนอายุของโบสถ์เลย อย่างนี้แปลว่าอะไรครับ แปลว่า คนในคริสตจักรแห่งนั้น 1 ปี นำคนมาเชื่อพระเจ้า 1 คนยังไม่ได้ น่าอายพระเยซูไหมครับ ไม่ต้องพูดถึงคำว่า 1 คน นำหนึ่งคนในหนึ่งปี คนทั้งโบสถ์ช่วยกันมันยังทำไม่ได้ ตลกไม่ออกเลยครับ
เราเข้าใจว่า อาจเป็นเพราะความใจแคบพวกเขาจึงไม่เชื่อว่าผู้รับใช้ฆราวาสจะมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อย่างนี้ เขาอาจมีความคิดเห็นเหมือนคนอื่นๆ ที่เห็นการล้มในพระวิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ในสมัยปัจจุบัน แล้วไม่รู้จะอ้างอะไร ก็เลย อ้างมันมั่วๆ และเป็นข้ออ้างที่ดีเลิศ คืออ้างว่า "มันไม่มีในพระคัมภีร์" ทั้งที่เขาเห็นกะตาตนเอง แต่เขาไม่เชื่อ ยิ่งไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง แต่ฟังคนเล่าแล้วนำไปขยายเรื่องเลยยิ่งไปกันใหญ่
การอ้างเอาพระคัมภีร์มาเป็นข้อโต้เถียง เป็นวิถีที่ซาตานเคยใช้ทดลองพระเยซูมาแล้วเช่นกัน ผู้อ่านจะเชื่อใคร เชื่อพวกดัดแปลงข้อพระคัมภีร์ให้เข้ากับหลักการสอนเพี้ยน ๆ ของตน หรือแสวงหาของประทานแห่งฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่มาพร้อมกับการเจิมของพระ วิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า
พระธรรมมาระโก 4:12 กล่าวว่า
"เพื่อว่าเขาจะดูแล้วดูเล่า แต่มองไม่เห็น และฟังแล้วฟังเล่า
แต่ไม่เข้าใจ" เกลือกว่าเขาจะหันกลับมาหาพระเจ้า และรับการ
อภัย”
ข้อความนี้หมายถึงอะไรล่ะ มีในพระคัมภีร์หรือเปล่า
ในหนังสือ ยอห์น 18:6
ขณะที่พวกศัตรูของพระเยซู ได้พากันมาจับพระเยซูที่สวน
เกทเซมาเน เมื่อพระเยซูตอบคำถามพวกเขา เขาเป็นไงบ้าง...
"เมื่อพระองค์ (พระเยซู) ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า
“เราคือผู้นั้นแหละ”
เขาทั้งหลายได้ถอยหลังและล้มลงที่ดิน
อันนี้เราเรียกว่า "ล้ม" หรือเปล่า หรือว่าคนเหล่านั้นเดินไปข้างหน้าแต่เดินสดุดก้อนหินทางด้านหลังแล้วล้มเอง หรือว่าสาวกพระเยซูเอามือพลักหัวคนให้ล้ม หรือว่าพระเยซูเสกให้ล้ม มันอะไรกันแน่ มีหรือเปล่า ล้มในพระคัมภีร์ พวกสำนักบางแห่งสอนกันเป็นตุ๊เป็นต๊ะ ว่าไม่มีท่าเดียว มืดบอดหรือเปล่า มีเขียนไว้ว่ามีการล้ม แล้วบอกไม่มี ข้าจะเชื่อของข้าอย่างนี้ ใครจะทำไม อาจารย์ปู่ของข้าสอนข้ามาอย่างนี้ ถึงแม้จะมีการเปิดเผยใหม่ ข้าก็ไม่เอา
พี่น้องที่รัก ช่วยส่งบทความนี้ให้คนมีวิญญาณศาสนาตาบอดให้พวกเขามาดูหน่อยว่า การล้มในพระวิญญาณ มีในพระคัมภีร์หรือเปล่า ถ้าคนเหล่านี้ไม่ล้มด้วยเดชพระวิญญาณ เขาถูกทำให้ล้มด้วยอะไร เขาโดนอะไรแน่ที่ทำให้เขาล้ม พวกคริสเตียนสายธรรมาจารย์ชอบอ้างว่า "โอย คริสเตียนมีพระวิญญาณพระเจ้าอยู่ด้วยแล้ว เราไม่ต้องไปรับเจิม อะไรอีกแล้ว"
ผมขอถามว่า ถ้าพระเจ้ามีอยู่ในคริสเตียนหลายคนจริง วิญญาณอื่นจะทำให้พวกเขาล้มได้ หรือ ถ้าพวกคริสเตียนล้มลงด้วยวิญญาณอื่น แสดงว่า พระเจ้าที่อยู่ในพวกเขาเป็นของปลอมใช่หรือไม่ น่าสงสัยจัง
พวกเราคงเคยได้ยินคำว่า "คนมีของ" ใครก็ตามที่มีของ ขนาดมีดคัทเตอร์ยังกรีดไม่เข้า ถ้าอาจารย์ชาวคริสต์ที่บอกว่า ไสยศาสตร์ไม่มี ผีไม่มี หรือผีไม่กล้าทำร้ายศาสนิกชาวคริสต์ ลองไปพิสูจน์กับอาจารย์หนู กันภัย ดูหน่อยไหมแต่เชื่อผมเถอะ พวกที่ชอบอ้างหลักศาสนศาสตร์ ชอบเอามาเถียง และตัดสินคนนั้นคนดีว่าถูก หรือผิด ในทัศนะของผม พวกนี้เป็นแค่แมงตักแตนตำข้าวที่มีมือเป็นเหมือน คีม และ ดูเหมือนมีฤทธิ์ มีเดช แต่ไม่สามารถทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวได้ดีไปกว่าการสั่งสอนตามหนังสือโบราณ เป็นพวกดีแต่ปาก ดีแต่โม้เท่านั้น เป็นเหมือนคนตาบอดคล่ำช้าง
ในกรณีวันอาทิตย์ที่มีการประชุมกันตามประเพณี หากมีใครที่ป่วยเข้ามาในโบสถ์ แม้แต่ที่มาร่วมพิธีบางคนอาจมีอาการปวดหัวไมเกรน ผู้นำความเชื่อสายนี้ก็ทำอะไรช่วยเขาไม่ได้มาก แม้ว่าคนป่วยจะขอให้เขาอธิษฐานวางมือเดียว วางมือหมู่ พยายามอธิษฐานยาวๆ หรือ พยายามอธิษฐานยังไง จะแผดเสียงร้องดังขนาดไหน คนป่วยก็ไม่หาย ในที่สุดจำใจปล่อยให้คนที่อยากหายโรคจนใจจะขาดต้องกลับออกโบสถ์ด้วยอาการป่วยแบบเดิม น่าสงสารคนจริงๆ นานวันเข้าการอธิษฐานเผื่อคนป่วยจึงถูกปลดออกไปจากวาระการประชุมนมัสการไปเลย
นักการศาสนาประเภทนี้ชอบอ้างแต่ว่า
"ผมไม่มีของประทาน" การอ้างว่าไม่มีของประทานนี้ ผมได้ยินมาตั้งแต่เกิดแล้ว
พวกนี้ไม่ีมีจริงๆ เป็นอาจารย์มาตั้งหลายสิบปีก็ไม่มี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็มันไม่มีความเชื่อแล้วจะมีของประทานได้อย่างไร เวลามีการอัศจรรย์ก็ต่อต้าน คนพูดฮาเลลูยาในโบสถ์ก็ว่า เป็นลัทธิโน้นลัทธินี้ แล้วจะมีของประทานได้อย่างไร
คนประเภทนี้ชอบอ้างกันจัง ไม่อายปากหรือครับ ไหนว่าพระเจ้าอยู่ด้วย ทำไมพระฯ ที่อยู่กับนักการศาสนาสายนี้ จึงไม่เห็นมีฤทธิ์มีเดชสักคน ผมขอแนะว่า ถ้าเขาไม่กลับใจเสียใหม่ควรลาออกไปทำงานอื่นได้แล้วมั้งครับ เพราะว่ากิตติคุณที่พวกคนเหล่านี้ประกาศไม่มีการรับรองจากพระเจ้า ทำไมเวลาทำการอัศจรรย์ต้องไปเชิญ ฝรั่ง เชิญเกาหลีมาทำ คนไทยทำไม่เป็นหรือ หรือว่าไม่มีอะไรอยู่ตัวเลย เจ้าหรือองค์ที่อยู่กับคนเกาหลี กับเจ้าที่กับนักการศาสนาสายอนุรักษ์นี้เป็นคนละองค์กันหรือ
พระธรรม ลูกา 4:14 ได้กล่าวว่า
พระเยซูได้เสด็จกลับไปด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณยังแคว้นกาลิลี และกิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปตามถิ่นโดยรอบ
ทำไมกิตติศัพท์ของพระเยซูจึงเลืองลือ ขจรไปทั่ว ก็เพราะพระเยซูประกอบด้วยเดชของพระวิญญาณ พระเยซูมีฤทธิ์เดชของพระเจ้าอยู่ด้วย
ถ้าในร่างกายของพระเยซู ไม่มีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พระเยซูจะทำได้หรือ ผู้เชื่อหลายคนนึกคิดจิตนาการให้พระเยซูเป็นเนื้อเป็นหนังอยู่อย่างนั้น พวกเขาลืมไปว่าพระเจ้าคือพระวิญญาณ พวกอเมริกันเรียกว่า ผู้บริสุทธิ์ (Holy Ghost) คำว่า Ghost ในภาษาไทยมันฟังแล้ว มันไปเทียบเคียงกับว่า วิญญาณต่างๆ ที่คนไทยชอบนับถือ คนแปลพระคัมภีร์จึงต้องใช้คำที่มันดูแล้วสูงกว่าคำว่า Holy Ghost ของอเมริกัน
เมื่อพูดถึงการใช้ถ้อยคำในพระคัมภีร์ก็เหมือนกัน มีคำมากมายที่คนแปลพระคัมภีร์ ใช้ถ้อยคำที่แปลออกมาเป็นภาษาไทยแล้ว
ชาวบ้านที่ได้รับการศึกษาน้อย ฟังหรืออ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ พวกนักเทศน์บางคนชอบใช้ถ้อยคำที่ดูสูงส่ง กำหนดศัพท์เฉพาะทางที่ใช้ในหมู่คณะของตน
เป็นคำจากรากศัพท์ภาษาเขมรมากมาย หรือเป็นภาษาเฉพาะกลุ่มของพวกชาวคริสต์ ชาวบ้านฟังไม่เกทเลย
เป็นไปได้ไหมว่าการสื่อด้วยภาษาที่คนเข้าใจไม่ได้
หรือเข้าใจยาๆ จึงเป็นเครื่อกีดขวางการประกาศข่าวประเสริฐ ทำให้การนำคนมารอดบาปไม่ได้ผลเท่าที่ควร
เพราะพูดคนละภาษา ใช้ระดับของภาษาไม่เข้าหูคน
คนแปลพระคัมภีร์สมัยเริ่มแรก อาจเข้าใจไปว่าการใช้คำศัพท์เฉพาะเป็นการสื่อให้คนเข้าใจพระเจ้า แต่ปรากฎว่ามีหลายคำที่แปลไปแล้วคนไม่เข้าใจ
เพราะไม่ได้ใช้ถ้อยคำของไทยที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือมาสื่อความให้คนเข้าใจง่ายๆ แต่ดันไปสร้างคำประหลาดๆ
ขึ้นมาใช้ในพระคัมภีร์ เป็นคำเฉพาะกลุ่มที่คนสามัญฟังแล้ว
ฟังยังไงมันก็ไม่เข้าใจ ภาษาแสลงเขาว่า "มันไม่เกท"
คือฟังแล้วไม่สื่อความหมาย
ปัญหามันอยู่ตรงไหนล่ะ ก็มีปัญหาในการสื่อสารกับคนที่ไม่เคยรู้จักพระเจ้า มีปัญหากับคริสเตียนใหม่ อ่านพระคัมภีร์แล้วมันไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง ถ้อยคำหลายคำกลายเป็นของสูงเกินเอื้อม ทั้งๆ ที่เรื่องพระเยซูน่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ เข้าใจไม่ยาก อาจเป็นได้ว่า ถ้าเขียนภาษาให้มันง่าย พวกนักการศาสนาบางกลุ่มจะไม่มีงานทำมากก็เป็นได้
แท้ที่จริงคำราชาศัพท์ที่เขานำมาใช้กับพระเยซูในพระคัมภีร์ แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นคำที่ให้เกียรติพระเยซูเท่ากับศักดิ์ศรีของพระองค์ หรอก ลองไปดูดีๆ ซิ คำราชาศัพท์ที่ใช้ในพระคัมภีร์ของคนไทย ยังเป็นคำราชาศัพท์ที่ตำกว่าบรรดาศักดิ์ของเชื้อพระวงค์บางองค์ด้วยซ้ำ
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ อาจเป็นไปได้ไหมที่ว่านักการศาสนาบางคนไม่กล้าทำให้มันถูกต้องเหมาะสม เดี๋ยวจะมีปัญหาตามมามากมาย ในทัศนะส่วนตัวของผม วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือไม่ต้องใช้คำศัพท์ที่บ่งบอกบรรดาศักดิ์ใดๆ เลยก็ได้ เพราะคนเขียนเขาก็ใช้ภาษาระดับชาวบ้าน เป็นคำง่ายๆ ไม่ใช่หรือ แท้จริงการแปลถ้อยคำในพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นอย่างที่ควรจะเป็นใช่หรือไม่ บางข้อตัดข้อความบางส่วนออกไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อเปรียบเทียบดูกับฉบับที่น่าเชื่อถือได้มากกว่า เข้าใจว่าบางคนยึดหลักการมากกว่า ความจริงไง ให้ด๊อกม่า(หลักข้อเชื่อ)บีบคออยู่ใช่หรือไม่ไช่ล่ะ คิดว่าศัพท์ภาษาเขมรมีศักดิ์ศรีมากกว่าภาษาไทยงั้นหรือ
เรื่องการทำความเข้าใจคำศัพท์ในพระคัมภีร์ของชาวคริสต์บางเล่ม แม้แต่เราได้ครอบครองใบปริญญาบัตรถึงสามใบ เรายังฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจเลย การใช้คำศัพท์ประหลาดๆ อย่างนี้ พวกนักการศาสนาที่เรียนรู้จักพระเจ้าตามหลักศาสนศาสตร์ แต่ไม่พึ่งพาพระวิญญาณก็เลยทำตามแบบไม่ลืมหูลืมตา แล้วก็เอาไปสอนตามความเข้าใจของตนเอง ทำให้เกิดปัญหาการสื่อความหมาย ตีความหมายผิดไปหลายอย่าง
ปัญหามันอยู่ตรงไหนล่ะ ก็มีปัญหาในการสื่อสารกับคนที่ไม่เคยรู้จักพระเจ้า มีปัญหากับคริสเตียนใหม่ อ่านพระคัมภีร์แล้วมันไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง ถ้อยคำหลายคำกลายเป็นของสูงเกินเอื้อม ทั้งๆ ที่เรื่องพระเยซูน่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ เข้าใจไม่ยาก อาจเป็นได้ว่า ถ้าเขียนภาษาให้มันง่าย พวกนักการศาสนาบางกลุ่มจะไม่มีงานทำมากก็เป็นได้
แท้ที่จริงคำราชาศัพท์ที่เขานำมาใช้กับพระเยซูในพระคัมภีร์ แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นคำที่ให้เกียรติพระเยซูเท่ากับศักดิ์ศรีของพระองค์ หรอก ลองไปดูดีๆ ซิ คำราชาศัพท์ที่ใช้ในพระคัมภีร์ของคนไทย ยังเป็นคำราชาศัพท์ที่ตำกว่าบรรดาศักดิ์ของเชื้อพระวงค์บางองค์ด้วยซ้ำ
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ อาจเป็นไปได้ไหมที่ว่านักการศาสนาบางคนไม่กล้าทำให้มันถูกต้องเหมาะสม เดี๋ยวจะมีปัญหาตามมามากมาย ในทัศนะส่วนตัวของผม วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือไม่ต้องใช้คำศัพท์ที่บ่งบอกบรรดาศักดิ์ใดๆ เลยก็ได้ เพราะคนเขียนเขาก็ใช้ภาษาระดับชาวบ้าน เป็นคำง่ายๆ ไม่ใช่หรือ แท้จริงการแปลถ้อยคำในพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นอย่างที่ควรจะเป็นใช่หรือไม่ บางข้อตัดข้อความบางส่วนออกไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อเปรียบเทียบดูกับฉบับที่น่าเชื่อถือได้มากกว่า เข้าใจว่าบางคนยึดหลักการมากกว่า ความจริงไง ให้ด๊อกม่า(หลักข้อเชื่อ)บีบคออยู่ใช่หรือไม่ไช่ล่ะ คิดว่าศัพท์ภาษาเขมรมีศักดิ์ศรีมากกว่าภาษาไทยงั้นหรือ
เรื่องการทำความเข้าใจคำศัพท์ในพระคัมภีร์ของชาวคริสต์บางเล่ม แม้แต่เราได้ครอบครองใบปริญญาบัตรถึงสามใบ เรายังฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจเลย การใช้คำศัพท์ประหลาดๆ อย่างนี้ พวกนักการศาสนาที่เรียนรู้จักพระเจ้าตามหลักศาสนศาสตร์ แต่ไม่พึ่งพาพระวิญญาณก็เลยทำตามแบบไม่ลืมหูลืมตา แล้วก็เอาไปสอนตามความเข้าใจของตนเอง ทำให้เกิดปัญหาการสื่อความหมาย ตีความหมายผิดไปหลายอย่าง
ตอนที่พวกคริสเตียนออกจากโบสถ์ไปแจกใบปลิว
ไปเป็นพยาน ไปประกาศความเชื่อ
ไปพูดกับชาวบ้าน ต้องมีการพูดคุยสื่อสารกัน
แต่สื่อสารอย่างไรคนก็ไม่เข้าใจ เหมือนพูดคนละภาษา
พูดยังไงมันก็ไม่เกท ไม่เข้าใจ คำว่าขอให้โชคดี ก็พูดไม่ได้ ต้องพูดว่าขอพระเจ้าอวยพระพร
โชคดีกับมีพระพร มีบุญ กับมีพระพร มันต่างกันตรงไหน
โอยมันต่างกันมากเลย มันต่างตรงที่ คนไทยฟังไม่รู้เรื่องนั่นแหละคือปัญหา
ปัญหาด้านการสื่อสารไงล่ะ
ถ้าหากคริสเตียนเอาคำว่า แก้กรรม ปลดทุกข์ สะเดาะห์เคราะห์ แก้บาป ล้างอาถรรภ์ การทำแก้คุณไสย กรรมฐาน กิเลส ฆราวาส น้ำมนต์ ศีล อัตตา อวิชชา ฯลฯ มาใช้ในการแปลพระคัมภีร์ ผมเชื่อว่า จะมีคนเข้าใจเรื่องพระเจ้าได้มากกว่าที่เป็นอยู่เป็นล้านๆ คน
เรื่องนี้หากเรามีเวลาเมื่อไหร่ เราจะเอามาขยายความให้ดูให้ละเอียดเพิ่มขึ้น เราจะเขียนบทความสร้างความเข้าใจ และเตือนสติพวกวิญญาณศาสนาหัวโบราณนี้ไปอีกนาน จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อพิสูจน์ความจริง เพื่อคนจะได้รู้ว่า พระเจ้าต้องการสื่อสารกับมนุษย์โดยเฉพาะคนไทยด้วยภาษาง่ายๆ ใครที่เคยได้อ่านพระคัมภีร์ฉบับภาษาลาวเขาจะเห็นว่า คนแปลพระคัมภีร์เป็นภาษาลาวเขามีกึ๋นขนาดไหน เพราะแปลพระคัมภีร์แล้วคนลาวอ่านแล้วสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ เลย
นี่คือข้อสังเกตนะครับ โปรดอย่าเชื่อตามที่ผมอ้าง โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน
ตอนที่ 4
ในพระธรรมตอนหนึ่ง กล่าวถึงว่า
พระเยซูทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์
พระองค์จึงเสด็จออกไปถามเขาว่า "ท่านทั้งหลายมาหาใคร"
เขาทูลตอบพระองค์ว่า
"มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราคือผู้นั้นแหละ"
ยูดาสผู้ทรยศพระองค์ก็ยืนอยู่กับคนเหล่านั้นด้วย
18:5-6 เมื่อพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราคือผู้นั้นแหละ"
เขาทั้งหลายได้ถอยหลังและล้มลงที่ดิน
"เขาทั้งหลาย" แปลว่าหลายคนไม่ใช่คนเดียว แล้วคนหลายๆ คนล้มไปทางด้านหลังนี้ มีใครบ้างที่ล้มไปข้างหลังพร้อมๆ กัน ถ้าแปลความหมายตามที่ลุงบุญร่วง กล่าวอ้างในบทความของลุงบุญร่วงในตอนต้นบทความ อาจมีคนคิดตลกๆ ว่า ต้องมีสาวกหลายๆ คนของพระเยซูในขณะนั้น ไม่กลัวตาย ไม่กลัวมีด ทะลึ่งเอามือไปดันหัวพวกฟาริสีที่กำลังมาจับพระเยซูให้ล้มแน่ๆ
18:5-6 เมื่อพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราคือผู้นั้นแหละ"
เขาทั้งหลายได้ถอยหลังและล้มลงที่ดิน
"เขาทั้งหลาย" แปลว่าหลายคนไม่ใช่คนเดียว แล้วคนหลายๆ คนล้มไปทางด้านหลังนี้ มีใครบ้างที่ล้มไปข้างหลังพร้อมๆ กัน ถ้าแปลความหมายตามที่ลุงบุญร่วง กล่าวอ้างในบทความของลุงบุญร่วงในตอนต้นบทความ อาจมีคนคิดตลกๆ ว่า ต้องมีสาวกหลายๆ คนของพระเยซูในขณะนั้น ไม่กลัวตาย ไม่กลัวมีด ทะลึ่งเอามือไปดันหัวพวกฟาริสีที่กำลังมาจับพระเยซูให้ล้มแน่ๆ
ขอถามว่า
ในกรณีใครเป็นผู้ทำให้คนเหล่านั้นล้มลง ไม่ใช่ด้วยเดชของวิญญาณหรือ
คนที่ยืนยันว่าการล้มในพระวิญญาณไม่มีในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล สำหรับเรา เราคิดว่าพวกนี้คือคนตาบอดทั้งทางปัญญาและวิญญาณ คนเหล่านี้ชอบเถียงแบบคนไม่มีหัวคิด ถูกวิญญาณศาสนาบังตาจนทำให้เห็นคลาดเคลื่อน คนที่เป็นพวกต่อต้านฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือคนที่อยู่ในความเชื่อทางศาสนาระดับเบบี้เท่านั้น
คนพวกนี้จึงทำ อะไรที่อัศจรรย์ตามที่พระเยซูสั่งให้ทำไม่ได้ ดีแต่สอนให้คนทำดี แล้วมันแตกต่างจากศาสนา และลัทธิอื่นๆ ตรงไหน ไม่อายคนทรงเจ้าบ้างหรือ
ผู้เขียนเคยได้เห็นคนถือลัทธิอื่น พวกถือผีและไสยศาสตร์ แม่ชีบางคน นักบวชศาสนาอื่นยังทำการอัศจรรย์ได้มากกว่าคนที่อ้างตัวเป็น อาจารย์ใหญ่ทางศาสนาคริสต์ที่จบสูงๆ หลายๆ คนเสียอีก นักการศาสนาไร้ฤทธิ์เหล่านี้ไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือครับ ที่ดูท่าทางเหมือนเป็นคนดี การศึกษาก็ไม่น้อย พรรษาทางศาสนาก็มากพอดู แต่ทำไมแต่พูด ดีแต่เอาเรื่องถ้อยคำมาเถียงกัน เวลาสอนชอบอ้างภาษากรีก ภาษาฮีบรู บางคนชอบพูดและใช้ภาษาที่คนชาวบ้านฟังไม่เข้าใจ เอามาตีความหมายเพื่อเป็นยกตนข่มท่าน หรือเพื่อสร้างความสับสนให้กับคนฟังมากขึ้น
คนที่ยืนยันว่าการล้มในพระวิญญาณไม่มีในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล สำหรับเรา เราคิดว่าพวกนี้คือคนตาบอดทั้งทางปัญญาและวิญญาณ คนเหล่านี้ชอบเถียงแบบคนไม่มีหัวคิด ถูกวิญญาณศาสนาบังตาจนทำให้เห็นคลาดเคลื่อน คนที่เป็นพวกต่อต้านฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือคนที่อยู่ในความเชื่อทางศาสนาระดับเบบี้เท่านั้น
คนพวกนี้จึงทำ อะไรที่อัศจรรย์ตามที่พระเยซูสั่งให้ทำไม่ได้ ดีแต่สอนให้คนทำดี แล้วมันแตกต่างจากศาสนา และลัทธิอื่นๆ ตรงไหน ไม่อายคนทรงเจ้าบ้างหรือ
ผู้เขียนเคยได้เห็นคนถือลัทธิอื่น พวกถือผีและไสยศาสตร์ แม่ชีบางคน นักบวชศาสนาอื่นยังทำการอัศจรรย์ได้มากกว่าคนที่อ้างตัวเป็น อาจารย์ใหญ่ทางศาสนาคริสต์ที่จบสูงๆ หลายๆ คนเสียอีก นักการศาสนาไร้ฤทธิ์เหล่านี้ไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือครับ ที่ดูท่าทางเหมือนเป็นคนดี การศึกษาก็ไม่น้อย พรรษาทางศาสนาก็มากพอดู แต่ทำไมแต่พูด ดีแต่เอาเรื่องถ้อยคำมาเถียงกัน เวลาสอนชอบอ้างภาษากรีก ภาษาฮีบรู บางคนชอบพูดและใช้ภาษาที่คนชาวบ้านฟังไม่เข้าใจ เอามาตีความหมายเพื่อเป็นยกตนข่มท่าน หรือเพื่อสร้างความสับสนให้กับคนฟังมากขึ้น
คนเหล่านี้จะอ้างตัวว่าเป็นผู้เชื่อในพระเยซูได้อย่างไร คนสอนก็ยังมีแค่ความรู้แค่ห่างอึ้ง
ไม่แสวงหาของประทานของพระเจ้า อาศัยแต่ความรู้ความเข้าใจของมนุษย์
เรียนมาจากไหนก็ได้เท่านั้น ไม่มีการเข้าศีลอด
ไม่มีการเข้ากรรมฐาน ไม่มีการภาวนา
มีแต่อธิษฐานตามใบโพย เหมือนท่องคาถา แล้วจะได้อะไรละลุง
ผมว่าน่าจะถึงเวลาปฏิรูปแล้วนะครับ ครูยังทำไม่ได้แล้วนักเรียนมันจะไปถึงไหน
แม่ปูสอนลูกปูหรือ
เราขอถามว่ามีใครบ้างที่อยากจะส่งลูกไปเรียนว่ายน้ำกับคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น เราคิดว่าคนโง่เท่านั้นที่ส่งลูกไปเรียนว่ายน้ำกับครูที่ว่ายน้ำไม่เป็น
นักการศาสนาปัจจุบันหลายคนอาจ เป็นแค่คนเอาเรื่องคนอื่นมาเล่า เอามาสอน แต่ปฎิเสธฤทธิอำนาจของพระเจ้า
ถ้าครูสอนว่ายน้ำนั่งอยู่บนขอบสระแล้วบอกให้เด็กลงไปหัดว่ายเอง เด็กมันไม่จมน้ำตายหรือ เด็กบางคนอาจจะว่ายน้ำเป็นแต่ก็คงเป็นแค่ประคองตัวไปไม่จมน้ำเท่านั้นคงไม่ได้ก้าวไปไกลถึงระดับแชมป์
หรือเข้าสู่การแข่งขันได้
คำเทศนาที่มีฤทธิ์อำนาจ เวลาไปผู้สอนไปเทศนา ย่อมต้องมีการยกตัวอย่าง ตัวอย่างเรื่องเล่า หรือที่ภาษาอังกฤษเขาเรียน Illustrations นั่นนะ จะให้ดีมันต้องมาจากประสบการณ์ตรงของคนเทศนา ไม่ใช่ไปเอามาจากหนังสือพิมพ์ ไปเอามาจากรวมเรื่องชวนคิด ขำขัน หนังสือตวยตูน หรือหนังสือศาสนศาสตร์ของคนอื่น
นักเทศน์ที่ดี ควรเอาประสบการณ์ของตนเองกับพระเจ้า หรือประสบการณ์ในการทำการอัศจรรย์ ในการอธิษฐาน ในการรักษาโรคกรณีต่างๆ ที่ตนเองได้ทำ หรือได้ประสบเอามาสอน เอามาพูดบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ของฝรั่ง หรือเกาหลี หรืออาจารย์คนอื่นๆ ที่อ้างว่าพระเจ้ารักษาโรค แล้วตัวเองไม่ใช่ผู้เชื่อหรือ เคยสงสัยว่าทำไมทำไม่ได้ บางคนอาจจะคิดว่า เราน่าจะทำได้นี่นา บางครั้งการรเปลี่ยนความคิดก็อาจทำให้เราก้าวไปไกลกว่าจุดเดิมๆ ที่เคยอยู่ได้นะครับ
ยังมีอีกตอนหนึ่ง
ในพระธรรมกิจการ 5:5
"เมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้น ก็ล้มลงตาย และเมื่อคนทั้งปวงทราบเรื่องก็พากันสะดุ้งตกใจกลัวอย่างยิ่ง"
อันนี้เรียกว่าล้มหรือเปล่า ใครเอาปืนยิงอานาเนียหรือเขาจึงล้มลง หรือว่า มีคนเอาธนูยิง ใครทำให้ล้มไม่สำคัญ แต่ว่า มีการล้มลงเองอย่างนี้ มีในพระคัมภีร์แน่ๆ คนที่บอกไม่มีคือพวกสอนเพี้ยน ไม่ยอมรับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ทำงานเป็นแค่พิธีกรทำพิธีกรรมเท่านั้น
ข้อสังเกตของนักการศาสนาประเภทไร้ฤทธิ์เหล่านี้คือ สอนเก่ง สอนดี ขยันรับใช้ ปากหวานแต่ไม่มีอะไรในก่อไผ่ วางมือใครก็ไม่หาย กลัวผี และเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล ขับผี ผีก็ไม่ออก เวลาขับผีทีไร ต้องสิ้นเปลืองค่าโทรศัพท์หลายร้อย เพราะต้องโทรไปถามอาจารย์ใหญ่คนนั้นคนนี้ให้แนะนำ ตัวเองขับแล้วแมงมืดมันไม่ยอมออก แม้ว่าจะมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำให้หรือบอกวิธีสารพัด เขาขับยังไงก็ไม่ออก ผลสุดท้ายจึงต้องรับคำตราหน้าว่าเป็นคนดีแต่พูด เหมือนเป็นนักกีฬาที่ฟอร์มดี แต่ตอนแข่งไม่ได้รางวัล มีคำบอกว่าเป็นประเภท "หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม"
พระคัมภีร์กล่าวว่าคนที่ทำให้คนหลงอื่น หลงผิด ให้เอาหินโม่ผูกคอจับไปถ่วงน้ำจะดีกว่า คำนี้คงเหมาะกับนักการศาสนาประเภทเน้นหลักวิชา แต่ต่อต้านฤทธิ์เดชของพระเจ้านี้ดีนักแล เพราะเป็นอาจารย์ทางศาสนาที่พยายามเอาสติปัญญาของมนุษย์มาทำความเข้าใจพระเจ้า เป็นพวกเอาสีข้างเข้าถู ชอบเถียงข้างๆ คูๆ เหมือนคนตาบอดนำทางคนตาบอดและปิดกั้น ผู้เชื่อน้อยไม่ให้เห็นแสงสว่างของพระเจ้า
เมื่อไม่นานมานี้ มีคริสตจักรแห่งหนึ่ง มีสมาชิกที่ไม่ค่อยเข้มแข็งในความเชื่อ ไปทำอีท่าไหนไม่ทราบ เกิดมีวิญญาณรบกวน เกิดอาการคลุ้มคลั่ง แสดงอาการผีเข้า ผู้นำทั้งหลายพากันมาช่วยกันขับผี อย่างโกลาหล ขับยังไง ก็ขับไม่ออก
คำเทศนาที่มีฤทธิ์อำนาจ เวลาไปผู้สอนไปเทศนา ย่อมต้องมีการยกตัวอย่าง ตัวอย่างเรื่องเล่า หรือที่ภาษาอังกฤษเขาเรียน Illustrations นั่นนะ จะให้ดีมันต้องมาจากประสบการณ์ตรงของคนเทศนา ไม่ใช่ไปเอามาจากหนังสือพิมพ์ ไปเอามาจากรวมเรื่องชวนคิด ขำขัน หนังสือตวยตูน หรือหนังสือศาสนศาสตร์ของคนอื่น
นักเทศน์ที่ดี ควรเอาประสบการณ์ของตนเองกับพระเจ้า หรือประสบการณ์ในการทำการอัศจรรย์ ในการอธิษฐาน ในการรักษาโรคกรณีต่างๆ ที่ตนเองได้ทำ หรือได้ประสบเอามาสอน เอามาพูดบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ของฝรั่ง หรือเกาหลี หรืออาจารย์คนอื่นๆ ที่อ้างว่าพระเจ้ารักษาโรค แล้วตัวเองไม่ใช่ผู้เชื่อหรือ เคยสงสัยว่าทำไมทำไม่ได้ บางคนอาจจะคิดว่า เราน่าจะทำได้นี่นา บางครั้งการรเปลี่ยนความคิดก็อาจทำให้เราก้าวไปไกลกว่าจุดเดิมๆ ที่เคยอยู่ได้นะครับ
ยังมีอีกตอนหนึ่ง
ในพระธรรมกิจการ 5:5
"เมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้น ก็ล้มลงตาย และเมื่อคนทั้งปวงทราบเรื่องก็พากันสะดุ้งตกใจกลัวอย่างยิ่ง"
อันนี้เรียกว่าล้มหรือเปล่า ใครเอาปืนยิงอานาเนียหรือเขาจึงล้มลง หรือว่า มีคนเอาธนูยิง ใครทำให้ล้มไม่สำคัญ แต่ว่า มีการล้มลงเองอย่างนี้ มีในพระคัมภีร์แน่ๆ คนที่บอกไม่มีคือพวกสอนเพี้ยน ไม่ยอมรับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ทำงานเป็นแค่พิธีกรทำพิธีกรรมเท่านั้น
ข้อสังเกตของนักการศาสนาประเภทไร้ฤทธิ์เหล่านี้คือ สอนเก่ง สอนดี ขยันรับใช้ ปากหวานแต่ไม่มีอะไรในก่อไผ่ วางมือใครก็ไม่หาย กลัวผี และเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล ขับผี ผีก็ไม่ออก เวลาขับผีทีไร ต้องสิ้นเปลืองค่าโทรศัพท์หลายร้อย เพราะต้องโทรไปถามอาจารย์ใหญ่คนนั้นคนนี้ให้แนะนำ ตัวเองขับแล้วแมงมืดมันไม่ยอมออก แม้ว่าจะมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำให้หรือบอกวิธีสารพัด เขาขับยังไงก็ไม่ออก ผลสุดท้ายจึงต้องรับคำตราหน้าว่าเป็นคนดีแต่พูด เหมือนเป็นนักกีฬาที่ฟอร์มดี แต่ตอนแข่งไม่ได้รางวัล มีคำบอกว่าเป็นประเภท "หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม"
พระคัมภีร์กล่าวว่าคนที่ทำให้คนหลงอื่น หลงผิด ให้เอาหินโม่ผูกคอจับไปถ่วงน้ำจะดีกว่า คำนี้คงเหมาะกับนักการศาสนาประเภทเน้นหลักวิชา แต่ต่อต้านฤทธิ์เดชของพระเจ้านี้ดีนักแล เพราะเป็นอาจารย์ทางศาสนาที่พยายามเอาสติปัญญาของมนุษย์มาทำความเข้าใจพระเจ้า เป็นพวกเอาสีข้างเข้าถู ชอบเถียงข้างๆ คูๆ เหมือนคนตาบอดนำทางคนตาบอดและปิดกั้น ผู้เชื่อน้อยไม่ให้เห็นแสงสว่างของพระเจ้า
เมื่อไม่นานมานี้ มีคริสตจักรแห่งหนึ่ง มีสมาชิกที่ไม่ค่อยเข้มแข็งในความเชื่อ ไปทำอีท่าไหนไม่ทราบ เกิดมีวิญญาณรบกวน เกิดอาการคลุ้มคลั่ง แสดงอาการผีเข้า ผู้นำทั้งหลายพากันมาช่วยกันขับผี อย่างโกลาหล ขับยังไง ก็ขับไม่ออก
ตอนหลัง แม่ของสาวคนนี้ได้ไปเชิญอาจารย์อีกคนหนึ่งมาช่วยขับไล่ผี ปรากฏว่า ว่าแทนที่ผีจะถูกขับออก
อาจารย์คนนี้กลับโดนผี ถกน้ำลายใส่หน้า จนอับอายขายหน้า
เขาคนนี้พอดีรู้จักกับเรา เขาก็โทรมาเรียกให้เราไปช่วยขับไล่ เราบอกว่า เราไม่บริการถึงบ้าน เพราะเราไม่ได้ทำเพื่อรับเงิน หรือผลประโยชน์ อยากหายให้พามาหาเรา
แม่ของเขาก็พาหญิงคนนี้มาหาเรา พอสาวคนนี้มาหาเรา ตอนนั้นเธอยังอยู่ในสภาพปกติ เพราะวิญญาณยังไม่สำแดงเดช พอเราเข้ามาใกล้หญิงสาว สอบถามสองสามคำถาม แล้วเราก็อธิษฐาน ผีมันก็ออกไปอย่างง่ายดาย ไม่มีอาการต่อสู้ขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น นี่เรียกว่าอะไร
พระเจ้าที่อยู่ในคริสเตียนแต่ละคน ไม่ใช่องค์เดียวกันหรือ หรือว่าแต่ละกลุ่มความเชื่อ พระเจ้าองค์เดียวกันมีฤทธิ์ที่สำแดงออกมาไม่เพียงพอจะสู้กับวิญญาณชั่วได้ อย่างนั้นหรือ
คำตอบคือ
"ไม่ใช่เลย" ผมเข้าใจว่า พวกเขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึงการใช้สิทธิอำนาจ ที่พระเจ้ามอบให้แก่เขา พวกเขาขาดองค์ความรู้เรื่องนี้ พวกเขารู้พระคัมภีร์ดีมากกว่าการมีความสัมพันธ์สนิทกับพระเยซู พวกเขาคิดว่าพระเยซู คือชายคนนั้นที่เดินอยู่รอบๆ ทะเลสาปกาลิลีในตะวันออกกลาง และพวกเขาเอาแต่คำสอนของพระองค์มา แต่พวกเขาไม่ยอมรับเอาฤทธิ์เดชที่มาพร้อมกับคำสอนของพระองค์ พวกเขาไม่เคยรู้วิธีใช้ พวกเขาขาดความเชื่อด้านนี้พวกเขาจึงทำอะไรไม่ได้มากนัก นักการศาสนาจำนวนหนึ่งจึงกลายเป็นเพียงครูสอนความรู้ทางศาสนาไปอย่างน่าเสียดาย
เขาคนนี้พอดีรู้จักกับเรา เขาก็โทรมาเรียกให้เราไปช่วยขับไล่ เราบอกว่า เราไม่บริการถึงบ้าน เพราะเราไม่ได้ทำเพื่อรับเงิน หรือผลประโยชน์ อยากหายให้พามาหาเรา
แม่ของเขาก็พาหญิงคนนี้มาหาเรา พอสาวคนนี้มาหาเรา ตอนนั้นเธอยังอยู่ในสภาพปกติ เพราะวิญญาณยังไม่สำแดงเดช พอเราเข้ามาใกล้หญิงสาว สอบถามสองสามคำถาม แล้วเราก็อธิษฐาน ผีมันก็ออกไปอย่างง่ายดาย ไม่มีอาการต่อสู้ขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น นี่เรียกว่าอะไร
พระเจ้าที่อยู่ในคริสเตียนแต่ละคน ไม่ใช่องค์เดียวกันหรือ หรือว่าแต่ละกลุ่มความเชื่อ พระเจ้าองค์เดียวกันมีฤทธิ์ที่สำแดงออกมาไม่เพียงพอจะสู้กับวิญญาณชั่วได้ อย่างนั้นหรือ
คำตอบคือ
"ไม่ใช่เลย" ผมเข้าใจว่า พวกเขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึงการใช้สิทธิอำนาจ ที่พระเจ้ามอบให้แก่เขา พวกเขาขาดองค์ความรู้เรื่องนี้ พวกเขารู้พระคัมภีร์ดีมากกว่าการมีความสัมพันธ์สนิทกับพระเยซู พวกเขาคิดว่าพระเยซู คือชายคนนั้นที่เดินอยู่รอบๆ ทะเลสาปกาลิลีในตะวันออกกลาง และพวกเขาเอาแต่คำสอนของพระองค์มา แต่พวกเขาไม่ยอมรับเอาฤทธิ์เดชที่มาพร้อมกับคำสอนของพระองค์ พวกเขาไม่เคยรู้วิธีใช้ พวกเขาขาดความเชื่อด้านนี้พวกเขาจึงทำอะไรไม่ได้มากนัก นักการศาสนาจำนวนหนึ่งจึงกลายเป็นเพียงครูสอนความรู้ทางศาสนาไปอย่างน่าเสียดาย
และนี่เป็นอีกตอนหนึ่งที่กล่าวถึงการล้ม
จาก พระธรรมกิจการบทที่ 9 ข้อที่ 4 กล่าวว่า
"เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสมาว่า
“เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”
ในข้อพระธรรมตอนนี้เกิดขึ้นเมื่อ เซาโล(ต่อมาคือาจารย์เปาโล) กำลังขี่ม้าเดินทางไปยังเมืองหนึ่งเพื่อทำการข่มเหงคริสเตียน แต่เขา "ล้มลงถึงดิน"
จาก พระธรรมกิจการบทที่ 9 ข้อที่ 4 กล่าวว่า
"เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสมาว่า
“เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”
ในข้อพระธรรมตอนนี้เกิดขึ้นเมื่อ เซาโล(ต่อมาคือาจารย์เปาโล) กำลังขี่ม้าเดินทางไปยังเมืองหนึ่งเพื่อทำการข่มเหงคริสเตียน แต่เขา "ล้มลงถึงดิน"
ในพระธรรมกิจการบทที่ 26 ข้อ 14 กล่าวว่า
ไม่เพียงแต่เซาโลเท่านั้นที่ล้ม พวกลูกน้องของพวกเขาทุกคนก็ล้มลงด้วย
คำว่า ล้มลงถึงดินแปลว่าอะไร ใครทำให้เปาโลล้ม หรือว่าใครเอาเท้าเตะเขา ตอนนี้พระเยซูไม่ได้มาในรูปแบบที่เห็นได้ ก็คือพระเยซูมาในรูปของพระวิญญาณ มาด้วยอีกสภาพหนึ่งของพระเจ้าคือเป็นพระวิญญาณ และเปาโลได้ล้มลง ท่านล้มลงด้วยสิ่งใดเป็นเหตุกันแน่ มีไหมการล้มด้วยเดชพระวิญญาณ
ถามว่ามีใครเอาอะไรไปขึงขัดให้ม้าที่เซาโลขี่สดุดล้มลงหรือ ไม่ใช่ ไม่มี การที่ล้มลงแบบนี้ เขาเรียกว่า "ล้มลงด้วยเดชพระวิญญาณ" แต่พวกวิญญาณศาสนาสายความรู้ บอกว่าไม่มีในพระคัมภีร์ ไม่เข้าใจว่าพวกเขาจบจากสถาบันพระคัมภีร์มาได้อย่างไร หรือจบมาได้อย่างไร ยังไม่รู้จักอำนาจของพระเจ้าในผู้เชื่อ เราว่าพวกน่าจะกลับใจกันทั้งโรงเรียนเลย ไม่รู้ให้จบมาได้ยังไง ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดหรือเปล่า ตีความหมายหลักศาสนศาสตร์ แต่ไม่รู้จักการใช้เดชที่มากับศาสนศาสตร์นี้
อ่านต่อตอนที่ 5 ... (ตอนที่ สอง)
อ่านต่อตอนที่ 7(ตอนที่สาม)
มีหลายอย่างที่เห็นด้วย และหลายอย่างที่อยากจะเสนอความเห็นคือเมื่อเรา บอกว่า ไม่ถูก เราต้องมีข้อมีความ ถูกต้อง ชัดเจนจากพระคำของพระเจ้าให้เขาเห็นด้วย จะสร้างความเข้าใจได้มากขึ้น
ตอบลบผมยังไม่เห็นข้อพระคำภีร์ที่สนับสนุนเรื่องการล้มพระวิญญาญเลยครับถ้าพระคำภีร์ฉับบคิงส์เจมส์ที่เราอ่านกับไม่ครบทวนขอข้อพระคำภีร์จากภาษาอื่นด้วยก็ดีครับ
ตอบลบคนที่กำลังจะท้าทายอยู่นี้ให้กับไปอ่านพระคำของพระเจ้าก่อน
ตอบลบเพราะทุกสิ่งที่ทุกคนทำจะต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้าอยู่แล้ว
ผมเห็นด้วยครับ เรื่งของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาเอาชนะคัดขานกัน
ตอบลบเรายังมีงานที่สำคัญกว่านั้น คือ สงครามแย่งชิงดวงวิญญาณจากมาร
อีกประการหนึ่ง การพิสูจน์เรื่องนี้ ดูง่ายๆจากคนที่เคยมีประสบการณืการล้มฯ
มาแล้ว มีชีวิตด้านคุณธรรมจริยธรรม (ขอย้ำ-ทั้งต่อหน้า และลับหลังคนเป็นอย่างไร)
เพราะ ถ้าหากว่ารับประสบการณ์สัมผัสกับพระเจ้า เพื่อมาเป็นนักเลงเที่ยวท้าคนไปทั่ว
เอ๊ะ..นี่เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือครับ (ขออภัยถ้าไม่สุภาพ)
ขอจงใตร่ตรองให้ถ้วนถี่ อย่ามองพระคัมภีร์เพียงด้านเดียว
เพราะพระคำของพระเจ้า คือ ความสมบูรณ์แห่งชีวิต ที่ต้องมองภาพแบบองค์รวม...
ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก
ตอบลบขออนุญาตเขียนตรง ๆ
ตอบลบดูท่าทางถึงจะมีฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณตามที่กล่าวอ้างมา แต่ดูเหมือนจะไม่มีผลพระวิญญาณ (ความรัก ความเมตตา)เขียนด่าคนอื่น เอาพระเจ้ามาท้าทายคนอื่น อย่างนี้ มันใช่หรือครับ
ประสบการณ์ส่วนตัวใด ๆ ไม่ควรนำมาเป็นหลักการที่บอกว่าทุกคนต้องทำเหมือนกันหมด อย่างการล้มในพระวิญญาณก็เช่นเดียวกัน ในพระคัมภีร์ไม่เคยมีบอกว่าต้องทำ
ตัวอย่างเช่น มีคริสเตียนคนหนึ่งบอกว่าเขารู้สึกเต็มล้นในพระวิญญาณเมื่อเขาทานไอติม ก็ขอให้เป็นประสบการณ์ของเขาคนเดียว แต่ถ้าเขาตั้งชั้นเรียนให้คริสเตียนทุกคนกินไอติมเพื่อเข้าหาพระเจ้า เมื่อบางคนเข้ามา กินไอติมแล้วสัมผัสพระเจ้าไม่ได้ เขาก็บอกว่า พวกนี้ไม่มีความเชื่อ ไม่เชื่อในพระวิญญาณอย่างงั้นหรือ
โปรดพิจารณาครับ
ทำไมเราไม่เน้นกันเรื่องหัวใจหลักของข่าวประเสริฐคือเรื่องของความรอดความสำเร็จของกางเขนที่พระเยซูคริสต์ทำเพื่อเรา คริสเตียนเรามัวแต่ถกเถียงกันเรื่องรายละเอียดปลีกย่อย เสียเวลางานของพระเจ้ามากนะคะบางทีพิจารณากันดูเถอะคะ
ตอบลบใช่ๆๆ เห็นด้วยอย่างมากครับ
ตอบลบถ้าบอกว่าใกล้พระเจ้า คงเข้าใจพระเจ้ามากกว่านี้นะ ไม่ต้องมาเสียเวลากับเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยนี้เลย ผมเชื่อว่า เราแต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้ได้แตกต่างกัน (เหมือนสาวก 12 คน) พระเจ้าจึงทรงให้ประสบการณ์แต่ละคนแตกต่างกัน จึงไม่ควรเอาประสบการณ์ของพระองค์เป็นที่ตั้ง และยิ่งถ้าไม่พึ่งพระวจนะที่เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน แต่ไปพึ่งแต่ความรู้สึก อารมณ์ (ซึ่งไม่คงที่ และไม่เหมือนเดิมทุกครั้ง) มาเป็นบรรทัดฐาน ผมสงสัยว่า ความเชื่อกำลังถอยหลังสู่ยุคอนารยชนแล้ว
โดยส่วนตัว ผมไม่ได้อคติต่อประสบการณ์การล้มในพระวิญญาณฯ หรือประสบการณ์อื่นๆนัก แต่อย่างที่กล่าวแล้ว มันคือวิธีการสอนของพระเจ้าต่อแต่ละคนที่แตกต่างกัน "เราสมควรผูกพันอยู่กับพระเจ้า หรือ สิ่งที่พระองค์ประทานกันแน่ครับ"
ตรองให้หนัก ไม่มีใครสมบูรณ์ หรือ "ไปถึง" จนกว่าวันนั้น 1 คร. 13:8-13
"..และบัดนี้ ทั้งสามสิ่งนี้ยังดำรงอยู่ คือความเชื่อ ความหวัง และความรัก แต่ความรักนั้นใหญ่ที่สุดในสามสิ่งนี้"
รักในพระคริสต์ ^_^
ขอบคุณพี่น้องคริสเตียนที่เข้ามาอ่าน - ถึงบางคนจะไม่เห็นด้วยกับผม ก็ไม่เป็นไร ขอบคุณที่ท่านมีใจและมีจิตวิินิจฉัยรักความชอบธรรม - ขอให้พบแสงสว่างและความเข้าใจพระเจ้าในสิ่งล้ำลึกเพิ่มขึ้นก็แล้วกัน
ตอบลบขอพระเจ้าอวยพร ให้ได้รับการเปิดเผย และเกิดการทะลุทะลวงฝ่ายวิญญาณ เช่นกัน - เพื่อจะเป็นคริสเตียนที่เกิดผลดกและได้รู้ว่า สิทธิอำนาจ Authority ในพระนามพระเยซูนั้นมันยิ่งใหญ่เพียงใด มก.16.17
ถ้ามอง ดูเผินๆ อาจคิดว่าผมเป็นคนปากจัด แต่ที่จริงเรื่องที่ผมเขียนนี้ มันมีสาเหตุมาจาก ศาสนาจารย์เกรดดี ผู้เขียนบทความที่เป็นการตัดสินว่าไม่มีการล้มด้วยเดชของพระวิญญาณ เท่านั้นยังไม่พอ เขายังชักจูงคนอื่นๆให้คิดและเชื่อเหมือนเขา เขาไม่ยอมเปิดหู เปิดตาดูโลก ไม่เคยเปิดยูทูป ไม่เคยดูทีวีดาวเทียมรายการจากคริสตจักรคาริสเมติก เขาจึงมีความคิดอยู่แค่นั้น เหมือนกบที่อยู่ในบ่อ เกิดและโตในบ่อแคบๆ ไม่เคยออกไปเห็นทะเล เลยคิดว่าบ่อที่เขาอยู่มันเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดแล้ว
ผมมีคำพูดน่าคิดดังนี้
สำหรับ คนตาบอด ถึงจะมีคนมาพรรณาว่าดอกไม้ชนิดที่คนในเขตแดนหนึ่งไม่เคยพบเห็นมันงดงามเพียง ใด คนตาบอดก็นึกภาพไม่ออก
สำหรับคนหูหนวก เสียงดนตรีจากนักดนตรีฝีมือเอกของโลก แม้จะบรรเลงให้เขาฟังอย่างไพเราะจับใจปานใด เขาไม่ได้ยินอยู่ดี
นั่นคือ สาเหตุที่ บุตรมนุษย์ เสียดสีพวกธรรมาจารย์ (อาจารย์ ทางศาสนา) และ พวกฟาริสี (พวกที่นับถือพระเจ้าตามตัวหนังสือ และหลักข้อเชื่อของยูดาย) ว่าเป็นพวกตาบอด หูหนวก
ไม่แน่นะ พวกเขาอาจตาบอด หูหนวกฝ่ายวิญญาณจริงๆ ก็เป็นได้
เป็นพวกคนตาบอด สอนคนตาดี คนหูหนวกร้องเพลงให้คนหูไม่หนวกฟัง
น่าเศร้านะผมว่า
ดีคับ ผมเชื่อเรื่องการรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วพูดภาษาแปลกแปลกได้คับ แล้วเคยขับผีรักษาโรคให้ผู้อื่นแล้วหายได้ด้วยประสบการณ์ของผมเอง ส่วนการนมัสการนั้นเรานมัสการด้วยจิตวิญญาณ จะแบบปรบมือหรือเต้นโลด หรือเพราะเป็นใบ้แค่ตบมือร้องในใจ หรืออัมพาตทั้งตัวร้องในใจ แค่คุณคิดว่าคุณกำลังสรรเสริญพระเจ้าก็พอ จิตใจจดจ่อกับพระองค์ในขณะที่เรากำลังนม้สการจะดีกว่าไหมคับ ส่วนการล้มในพระวิญญาณผมขอเสนอว่า ขอให้ทุกท่านทูลถามกับพระเจ้าหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์กันเอาเอง ขอพระองค์เปิดเผยที่เป็นความจริง และบอกกับพระองค์ว่า ถ้าท่านจะเจิมพระวิญญาบริสุทธิ์ กับผู้ที่ยังไม่เคยได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอประสบการณ์จากพระองค์โดยตรง โดยให้เขาล้มลงในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า แต่ถ้าอธิฐานและเจิมพระวิญาณบริสุทิ์คนที่ไม่เคยได้รับ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้าเป็น10-20คนแล้วเขาก็ไม่เคยล้มนอนลงเลยสักคนเดียว ขอพระเจ้าเป็นพยานว่าแสดงว่าไม่ได้มาจากพระเยซูคริสต์เจ้า (แต่ผู้เจิมให้ผู้อื่น จะต้องเป็นผู้ที่เคยขอรับ พระวิญญาณปริสุทธิ์ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้นนะคับ)ลองขอประสบการณ์ที่ถูกต้องดูคับ ผมเชื่อว่าพระเจ้าจะเปิดเผย ต้องขอเอง ทำเองแล้วจะรู้และเข้าใจ คริสเตียนควรพูดจาไพเราะคับ สุภาพและถ่อมใจ พระเจ้าอวยพรคับ
ตอบลบเห็นด้วยค่ะ คริสเตียนควรพูดจาไพเราะ สุภาพและใจถ่อม เหมือนพระคริสต์ ^___^
ลบสุดยอดครับ
ตอบลบพระเจ้าอวยพร
นั้นเป็นสิ่งที่เราต้องการ
ขออนุญาติแสดงความเห็นนะคะ
ตอบลบจากคนจบไม่สูงค่ะ...
อ่านบทความนี้แล้วไม่สบายใจเลยค่ะ
เพราะว่าพระวิญญาณกำลังทำงานหรือเปล่า...
รู้แต่ว่า อ่านแล้วไม่เกิดสันติสุข..
ดูเหมือนดี มีความเข้าใจพระคัมภีร์ลึกซึ้ง (แต่อาจจะดีจริงๆ แหละ)
มันก็คงสรุปไม่ได้ว่า ใครหรือบทความไหนที่เป็นคนตาบอดนำทางคนตาบอด..
คงต้องแสวงหาพระเจ้าขอการเปิดเผยสำแดงจากพระเจ้าส่วนตัวนะคะ
อาจจะเพราะส่วนตัว ไม่ได้เชื่อเรื่องการล้มพระวิญญาณเป็นหลักข้อเชื่อหลักเท่านั้น..
มีเพื่อนหลายคนก็พยายามศึกษา แต่ก็ไม่ได้มีประสบการณ์อะไร เลยเกิดความสับสนว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าอยู่กับเขาหรือไม่...
...แต่เราเชื่อในฤทธิ์พระวิญญาณที่ทำงานในตัวเรา แต่ไม่ล้มหรือมีประสบการณ์แปลกๆ เท่านั้นเองค่ะ เลยไม่สับสนว่าพระเจ้าอยู่กับเราหรือไม่..
เราเชื่อว่าแม้เราไม่มีประสบการณ์ล้ม (เน้นแค่เรื่องการล้ม) เราก็ยังเป็นผู้ัรับใช้ที่รับใช้พระเจ้าด้วยฤทธิ์เดชได้ และพระเจ้าก็ยังทรงเป็นพระเจ้าที่เรารัก เราเชื่อและวางใจ เป็นฤทธิ์เดชในชีวิตของเราค่ะ
ดีครับ คุณเรวัฒน์
ตอบลบขอบคุณที่เข้าใจการแสดงความคิดเห็น คุณเป็นคนใจกว้างพอสมควร
อย่างไรก็ดี อย่าไปใส่ใจกับบทความที่กล่าวเสียดสี ฤ ไม่เชื่อเลย
เสียเวลาเปล่าๆครับ รวบรวมพลัง และสมาธิที่ดีเพื่องานของพระเจ้าดีกว่า
ส่วนการปกป้องหลักข้อเชื่อนั้น เฉพาะกับหลักข้อเชื่อพื้นฐานความรอดกับ
คนที่ยังไม่เชื่อดีกว่า (ไม่เป็นคริสเตียน) ขออภัยที่เหมือนสอน แต่เกรงว่า
จะระคายเคืองอีกหลายคน แล้วบานปลายครับ..
"เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร" ฟป. 1:21
รักในพระคริสต์ ^_^
เห็นด้วยกับข้อเขียนของคุณเรวัฒน์ แต่ขออนุญาตแนะนำนิดหน่อย ไม่น่าจะให้ถึงท้าทายและให้แก้ผ้าเลย เพราะคนที่ไม่เชื่อจะไม่มาหรอก เราก้าวไปข้างหน้ากันดีกว่า รับใช้ตามความเชื่อ เราทุกคนที่รักพระเจ้า มีประสบการณ์กับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว อาจจะไม่เหมือนกันทุกคน ก็ให้เป็นไปตามความเชื่อแต่ละคน
ตอบลบแต่เราทุกคนควรมี "เป้าหมายเดียวกัน ประกาศเพื่อให้คนรู้จักพระคริสต์ มิใช่รู้จักเรา"
2คร.10:12 เราไม่ต้องการที่จะเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนบางคนที่ยกย่องตัวเอง แต่เมื่อเขาเอาตัวของเขาเป็นเครื่องวัดกันและกัน และเอาตัวเปรียบเทียบกันและกันแล้ว เขาก็เป็นคนขาดความเข้าใจ
เรื่องนี้ จบลงด้วยการที่นาย ศบ.อาวุโสคนนี้ และสมุนของมัน ห้ามไม่ให้คนเขียนเรื่องนี้เหยียบเข้าไปในโบสถ์ของเขา อ้างว่าจะสร้างความแตกแยกให้กับคริสตจักร และมีการประชุม ศบ. 7 คริสตจักรเพื่อกีดกันไม่ให้ไปสอนหรือไปเทศนาใดๆ อีก ทั้งๆ ที่คนเจ็บคนป่วยต้องการการอัศจรรย์จากพระเจ้าอย่างมากก็ตาม
ตอบลบหลายครั้งเขาเห็นคนอื่นที่อธิษฐานเผื่อพี่น้องและพวกเขาล้มลงไปนอน ถึงแกเห็นกะตาแกก็ไม่เชื่อ และอ้างอย่างเดียวว่าไม่มีในพระคัมภีร์ ผมจะรอดูต่อไปว่าคนที่ต่อต้านพระเจ้าจะอายุยืนได้อีกกี่ปี โดยไม่ป่วยเป็นโรคร้าย
ก็น่าเห็นใจคนมันอยู่กับศาสนามานาน จนหัวงอก
ดังคำชาวเหนือที่ว่า สอนควายแก่ให้ไถ่นามันทำไม่ได้....จริงๆ
คริสเตียนใข้ถ้อยคำของพระเจ้ามาฟาดฟันกัน ฤทธิ์เดชของพระเจ้าอยู่ที่ใหน
ตอบลบการเปิดเผยของพระคำภีร์ไม่สมบูรณ์เหรอครับ...ถึงได้เอาไอ้เรื่องที่ไม่มีในพระคัมภีร์มาทำกัน....ถ้าคุณยังจะล้มกันอีกผมแนะนำให้เช็คดูด้วยผลของพระวิญญาณ
วินิจฉัยดูว่ามาจากพระวิญญาณหรือไม่
ถ้าไม่มีผลของพระวิญญาณก็ไม่ต้องสงสัยว่ามาจากไหนวิญญาณบนโลกนี้มีมากครับ
ผลของพระวิญญาญข้อสุดท้ายก็คือการรู้จักบังคับตนไปศึกษารากศัพฑ์ดูนะครับ
ผมก็เป็นเพนเทคอสโตมากับการอัศจรรย์แต่ไอ้ที่ไม่มีในพระคัมภีร์ผมไม่รับครับ
ไม่ต้องถึงเรื่องล้มก็ได้ไอ้ที่คุณเขียนด่าผู้รับใช้พระเจ้าว่าเป็นควาย ผู้รับใช้เราไม่ทำกัน
ตอบลบถ้าคุณเป็นผู้รับใช้ผมก็ขอโทษนะครับ แต่สิ่งที่คุณทำมันไม่น่าจะใช่ลักษณะของผู้รับใช้พระเจ้า
เราทุกคนมีสิทธิที่จะเลือกเชื่อครับทัศนะมีแตกต่างกันถ้าคนอื่นเชื่อไม่เหมือนคุณเขาก็ผิดเหรอครับ
ผมเป็นผู้รับใช้พระเจ้าผมไม่รับเรื่องล้มเพราะว่าผมเคยถามคนที่เขาล้มเขามบอกว่าเขาไมรู้สึกตัวตอนล้ม เขาบังคับตัวเองไม่ได้
คุณคิดว่าผมจะเชื่อเรื่องนี้เพราะอะไร...ถ้าไม่มีในพระคัมภีร์...ไมครบผลของพระวิญญาณผมควรเชื่อรึไม่ครับ
ผมเชื่อเรื่องการเต็มล้นในพระวิญญาณ แต่ไอ้ที่ล้มเนี่ยพระเจ้าได้รับเกียรติตรงไหนครับ
การทำงานของพระวิญญาญเราตรวจสอบได้โดยผลของพระวิญญาญครับ
พระเยซซูตรัสว่า "เราเรียนรู้จากต้นไม้ได้โดยผลของมัน"
อยากให้ตอบผมหน่อยว่าผลลูกสุดท้ายของพระวิญญาญอยู่ตรงใหน
การอธิบายพระคัมทภีร์ต้องดูบริบทอย่ายกมาแค่ส่วนเดียว
ไม่อย่างนั้นเด็กเมื่อวานซืนมันก็ด่าเราได้ว่า พ่อของท่านคือมาร พระเจ้าอวยพรครับ
มีประโยคไหนที่ผมด่าคนว่าเป็นควาย ขอโทษนะครับ ดูผิดไปหรือเปล่า
ตอบลบคุณคิดมากไปเองหรือเปล่า ผมดูยังไงก็ไม่มีเลย
ผู้รับใช้ที่เที่ยวด่าคนอื่นว่าเป็นลูกมาร ผมเจอแบบนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว คนไม่กล้าเขียนชื่อแบบคุณนี้มาเป็นคนที่สองครับ ผมอยากจะบอกคุณตรงๆ ว่าคุณมันเป็นแค่คนขี้ขลาดที่ชอบยืนอยู่ในมุมมืดเขียนด่าคนอื่น ผมไม่ได้ปิดหน้าตาผม คุณทำไมไม่กล้าโพล่หน้าละ พวกอยู่ในมุมมืดนั่นมันเป็นพวกไหนล่ะ ศาสนศาตร์ตื้นๆ วกไปวนมา ดีแต่สอนให้คนทำดี ตัวเองทำเลวๆ ลับหลังสมาชิก แย่งกันเป็นใหญ่ สร้างอาณาจักร ล้อมรั้วไม่ให้สมาชิกรับสิ่งใหม่ๆ เน้นแต่พิธีกรรม ไม่เห็นก้าวหน้าไปไหน สองร้อยกว่าปีได้แค่นี้
เวลาปีๆ หนึ่งนำใครมารอดได้กี่คน อย่างดีก็แค่แจกของ แจกทุน คือศาสนศาสตร์ที่ลึกซึ้งงั้นหรือ น่าสมเพช ผมว่านักบวชศาสนาอื่น ยังหน้านับถือกว่าพวกด่าคนแล้วไม่กล้าเขียนชื่อ ไม่กล้ารับผิดชอบ คุณเคยอธิษฐานวางมือคนปวดหัวไมเกรนไหม ถ้าเคยทำให้คนหายป่วยแล้วค่อยมาเถียงกับผม พวกไม่เอาการเจิม ดีแต่พูดเท่านั้น น่าสงสาร ทำอะไรไม่ได้มาก
ไม่อายหมา อายแมวบ้างหรือ มันยังมีประโยชน์กว่าพวกดีแต่พูดนะผมว่า
อายปากตัวเองบ้างเวลากล่าวโทษคนอื่น พวกไม่เอาเจิม ดีแต่พูดแบบคุณ เสียเวลาอยู่ในศาสนาเปล่าๆ ผมว่าไปทำงานอย่างอื่นจะก้าวหน้ากว่านี้นะ นี่อ้างตัวแบบเต็มๆ ว่าเป็นผู้รับใช้ ปากว่าเป็นผู้รับใช้หรือ ผู้รับใช้ใครกันแน่ ผู้รับใช้ในมุมมืดน่ะมันไม่ใช่ความสว่างสักนิด รับใช้นายหรือพระเจ้าล่ะ
กลับใจเสียเถอะดีแต่สอนศาสนศาสตร์ มันไม่เวิร์คหรอก จบมาจากสถาบันไหนนะ เที่ยวด่าคนแล้วไม่กล้าโพล่หัว เป็นอะไรกันแน่ ลูกจ้างองค์กร หรืออะไรน่ะ ศักดิ์ศรีของคนแบบคุณ เน้นแต่ผลวิญญาณ ๆ พวกไม่รู้จักพระเจ้ามีผลวิญญาณมากกว่าพวกที่ชอบเอาคนไปนั่งในที่ประชุมให้เรียนรู้วิธีการทำดี นักบวชศาสนาไหนเขาก็สอนได้ทั้งนั้น ดีกว่าคนแบบคุณก็มีมาก
นักบวชศาสนาอื่นขนาดเขาไม่มีผลวิญญาณเขายังร่ำรวย ไม่ขัดสนอะไรเลย พวกดีแต่สอน อดๆ อยากๆ ศักดิ์ศรีก็ไม่มี ไม่อายปากตัวเองหรือ
ประเทศนี้เขาให้เสรีภาพในการเขียน คุณทำไมไม่เขียนด่าพวกเจิมล่ะ เขียนไม่เป็นหรือ ผมว่าไม่ต้องมาเขียนด่าหรอก มาดูผมขับผีให้ดูดีกว่าไหม ถ้าคุณบอกว่าคุณแน่ ไปไล่ผีกับผมไหม ผมว่าคนแบบคุณไม่กล้าหรอก พวกไม่มีการเจิม กลับไปนอนที่บ้านคงนอนไม่หลับแน่ๆ กลับใจใหม่เถอะพวกดีแต่สอนแต่ตนเองไม่มีอะไรดี
ตามที่ อ.รีวัฒน์กล่าวมานะครับ คนส่วนใหญ่จะคิดว่า ไม่มีในพระคัมภีร์
ตอบลบแต่อย่าลืมพระคัมภีร์ แต่การล้มในพระวิญญาณหมายความว่า คือการรับฤทธิ์เดช เพราะว่าฤทธิ์เดชของพระเจ้ายิ่งใหญ่ไม่มีใครสามารถ ยืนได้ ทุกคนจะรับด้วยฤทธานภาพของพระเจ้า
บางคนอาจจะรับแค่พระคัมภีร์ แต่คุณอย่าลืมว่าพระวิญญาณอยุ่ด้วย คือสิ่งที่คุณดูถูกในวันนี้
คุณทำตามศาสนศาสตร์ แต่อย่าลิืมว่าชีวิตด้านจิตวิญญาณของเราจะเปงอย่างไร คุณลองไปอ่าน กิจการทั้งหมด และของประทานด้านจิตวิญญาณ ใน1 โครินท์ สิ คุณจะรู้เอง ขอให้คุณพิจารณาดีๆๆ ก่อนที่คุณจะว่าในเรื่องๆๆนี้ด้วยนะคัรบ
ดีไม่ดีอาจพระวิญญาณอย่างแท้จิงที่ท่านมองไม่ถึงก้อได้ แต่ส่วนตัวผมเองผมเชื่อเรื่องนี้
เพราะว่าพระเจ้ามีอิทธิฤทธิ์เดชทุกอย่าง สามารถ เพียงคุณลองแสวงหาสิ แร้วคุณจะรู้ว่า มันมีจิงๆๆ และเปงของพระเจ้าจิงๆๆๆ
คุณลองไปอ่านในพระธรรม มัทธิว 12: 31-32อ่านเลยนะครับๆ
คุณจะเอาตามพระคัมภีร์อย่างเดียวไมได้ แต่คุณต้องเจริญรอยตามพระเจ้า ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และฤทธิ์เดชของพระเจ้า
อยากจะหนุนใจ นะครับว่าเปงคริสเตียน มารไม่สามารถทำอะไรเราได้ เพราะมันไม่ช่ายคู๋ต่อสู้กับเรา แต่มันทำร้ายเราได้ก้อต่อเมื่อคุณยินดีให้มาและการดูถูกเรื่องของประทานด้านจิตวิญาณและการเจิมฤทธิเดชของพระเจ้า
บางคนอาจว่าเปง
ตอบลบลัทธิเทียมเท็จ เพี้ยนไปแร้ว
แต่ผมอยากจะพูดกับทุกคนว่า การรักษา และการเจิมทุกอย่างเปงของพระเจ้า
แต่คนที่ดูถูกในเรื่องนี้ จะขอท้าทายว่า ( คุณรุ้จักเรื่องนี้ดีแค่ไหน แร้วคุณรับฤทธิ์เดชและการสัมผัสแบบจังหรือยัง ???)
คนที่รับพระวิญยาณบริสุทธิ์ที่แท้จิงของพระเจ้าจะไม่ดูถูกเรื่องแบบนี้เลยๆๆแม้แต่นิดเดียว
เพราะว่าเขารู้ว่าเปงของพระเจ้า เขาจะรู้ทันทีว่าเรื่องนี้ คือ ( การล้มด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ) เปงของพระเจ้าไม่สมควรที่จะสบประมาท
ขอหนุนผู้รับใช้ทุกคนนะคับ ว่าบางอย่างคุณยังไม่ลึกพระเจ้านะครับ
ผมขอรอ้งละคับ คุณลองใคร่ครวญดีๆๆ
บางคนอาจจะว่าเพี้ยน ทำไมคุณไม่ดูผลขอมันล่ะ
ฝ่ายคนที่ท่านเยินยอว่า ไม่เพี้ยน ผลของมัน รักษาหายไหม หายบางไม่หายบาง หายได้แต่ไม่ทัน ต้องรอเปงอาทิตย์
ฝ่ายคนที่ท่านบอกว่าเพี้ยน ลัทธิเทียมเท็จ เขารักษาโรคหายได้ทันที โดยฤทธิ์เดชที่พระเจ้ามอบให้
ดูสิครับ พระเจ้าบอกว่า ทุกคนสามารถรับได้ทุกคน พระเจ้าเตรียมไว้กับท่านแร้ว
แต่เหตุไรท่านจึงมาดด่าว่ากล่าวถึงเช่นนี้ พระเจ้าเสียใจนะคับ ที่คุณกลับมาว่าแบบนี้ ทั้งๆๆที่พระเจ้าจะเอาให้คุณ
ที่คุณจะรู้ถึงฤทธิ์เดชของพระเจ้า ได้รับการสัมผัสอย่างจิงๆ แร้วมีฤทธิ์เดชในการต่อสู้กับมารร้ายได้ ขอพระเจ้าให้สติปัญญาแก่ผู้อ่านทุกคน ที่จะใคร่ครวญถึงความจิงๆๆ พระเจ้าอวยพรคับ
ไม่อยากเห็นภาพเช่นนี้เลย
ตอบลบพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระบิดาที่รัก มิครสหายแท้
ทรงรักษาโรค บรรดาการอัศจรรย์ต่างๆมากมาย
เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับสู่ฟ้าสวรรค์
พระองค์มิได้ทรงห่วง ว่าพวกเขาเริ่มต้นมีไม่กี่คน
แต่ที่ทรงห่วงคือกลัว พวกเขาไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
ในความรักของพระเยซูคริสต์
เคยไปประชุมสัมมนามาแล้ว แต่ไม่ล้มน่ะ คือในใจไม่ได้ต่อต้าน จริงๆอยากได้รับประสบการณ์มากๆ หากจะทำให้เราลึกกับพระเจ้ามากขึ้น มีคนมาผลักค่อนข้างแรงที่หน้าผากและอก ตอนนั้นหลับตาและอธิฐานอยู่ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างจากขณะที่รับพระวิญญาณมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว ความรู้สึกตอนนั้นคือโล่งปลอดโปร่ง มีสันติสุข นี่มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า จริงๆแล้วเรื่องพระวิญญาณคือพระเจ้าสัญญาในพระคัมภีร์รับได้ทุกคน แต่การล้มนั้นคือเรื่องประสบการณ์ บางคนอาจมีบางคนอาจไม่มีก็แล้วแต่ มันคงไม่ใช่เรื่องที่จะกล่าวได้ว่าใครผิดใครถูกหรอก เชื่อว่าคริสเตียนคือผู้ติดตามพระเจ้า ย่อมอยาก ใกล้ชิดและจำเริญขึ้นกับพระเจ้าในทุกทางอยู่แล้ว และเราไม่ตัดสินใคร
ตอบลบบทความเรื่องการล้มนี้ ผมเขียนขึ้นตอนที่ผมเริ่มเข้าสู่พันธกิจการปลดปล่อยใหม่ๆ ในตอนต้นการเจิมยังไม่ปรากฎมากนัก และในความคิดของผมในตอนนั้น ผมมีความคิดที่ขัดแย้ง และสับสนกับพวก ทั้งพวกอนุรักษ์นิยม และพวกคาริสเมติก หรือที่เรียกว่าพวกเพนเตคอส พวกเขาต่อต้านการล้ม ที่เกิดขึ้นในขณะที่คนอธิษฐานวางมือ ผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา
ตอบลบอย่างไรก็ตามในตอนนี้พระเป็นเจ้าได้เมตตาผมมากกว่าเดิม ตอนนี้การเจิมและฤทธิ์อำนาจ เป็นเหมือนกับว่า พระเจ้าได้เพิ่มมินาให้ผมมากขึ้น จนตอนนี้ผมไม่ต้องวางมือบนหัวใคร เขาก็ล้มไปเองได้แล้ว และการรักษาโรคก็เหมือนกัน หากมีคนขอรับการรักษาที่ละมากๆ ผมไม่ต้องไปวางมืออธิ๋ษฐานให้คนป่วยทีละคนอีกแล้ว สำหรับผมหรือ
การอัศจรรย์ และการหายโรค ทำลายข้อโต้แย้งทุกอย่่างได้แน่นอน
และผมขอยืนยันว่า มีฤทธิอำนาจในพระนามพระเยซูอย่างแน่นอน
ใครจะไม่เชื่อ หรืออ้างว่าไม่มีในพระคัมภีร์ก็ขอเชิญ เชื่อต่อไปเถอะ เพราะคนที่ไม่เชื่อการเจิม สำหรับประสบการณ์ที่ผมเห็นมา เป็นแค่นักการศาสนาที่ไร้ฤทธิ์เดช เป็นเพียงผู้สืบทอดศาสนาคริสต์เท่านั้น น่าเสียดายจริงๆ
ผมจะติดต่อกับอาจารย์ที่ปลดปล่อยนี่ได้ที่ใหนครับ ผมอยากให้มาปลดปล่อยที่หมู่บ้านผมครับผมประกาศมีคนรับเชื่อเยอะเเต่ยังเจ็บป่วยเป็นคริสเตียนกินเหล้า ดูภาพโป๊ ยังงัยถ้าเอาวิญญาณชั่วออกคงจะเป็นอะรัยที่เหมือน พระธรรมกิจการช่วยกลุ่มผมด้วยครับLovegod2524@hotmail.com
ตอบลบในสมัยยุคพระเยซูพระเจ้าทำการอัศจรรย์พวกฟาริสีในยุคนั้นก็ต่อต้านมายุคของเราพระเจ้าทำการอัศจรรย์ผ่านผู้รับใช้กลับหาว่าเป้นลัทธิเทียมเท็จ ใช้พระนามพระเจ้าขับผีไมใช่ใช้นามซาตานเราน่าจะคิดกัน ขับผีรักษาโรคได้มารคงไม่โง่พอที่จะทำให้คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าหายโรคกลับมาเชื่อพระเจ้ามารมีวิธีที่ดีกว่านี้เยอะเเยะเด็กป.6ยังเข้าใจเลย ขอพระเจ้าเปิดตาใจทุกคนที่รักพระเจ้าครับเอเมนLoveGod2524@hotmail.com
ตอบลบพอดีได้รับข่าวสารจาก ข่าวคริสตชน มีคนๆ หนึ่ง เป็นคาทอลิก เขาก็ได้รับการเจิมล้ม เหมือนกัน ลองอ่านเรื่องการหายโรคของเขา พร้อมกับประสบการณ์ล้มในพระวิญญาณของเขาที่นี้
ตอบลบhttp://www.naitam.com/naitam-life/view.php?id=276&category=6&page=204&lite=
อย่าขัดเเย้งกันเลย..แต่ละคนพระเจ้าได้เลือกสรรไว้แล้ว
ตอบลบขอให้เราทุกคนอยู่ในแผนการณ์และน้ำพระทัยสูงสุดของพระเจ้า...พอแล้ว.
ถ้าเราไม่ให้อภัยคน พระเจ้าจะให้อภัยเราได้อย่างไรเล่า...ยุคสุดท้ายแล้วนะพี่น้องที่รักในพระเยซูคริสต์....
ดิฉันเป็นผู้หนึ่งที่มีประสพการณ์ถูกเจิมโดยการวางมือแล้วล้ม มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ฝ่ายจิตวิญญาณ อธิฐานเป็นภาษาอื่นได้ โดยที่ไม่เคยเรียนภาษานั้นมาก่อนเลย คำพูดแต่ละคำที่พูดออกมา ไม่ได้มาจากสมองหรือความคิดของตัวเอง แต่เป็นโดยพระวิญญาณ นี่เป็นเพียงตัวอย่าง ยังมีอีกมากที่เปลี่ยนแปลง ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น ได้รับนิมิต และการเผยพระวจนะส่วนตัว อันนี้พระเจ้าบอกกับดิฉันเอง พระเจ้ารักประชากรของพระองค์ความเสียใจในความผิดบาปของมนุษย์ท่วมท้นอยู่ในใจของพระองค์ พระองค์บอกว่าประชากรของเรากลับมาหาเราเถิดพวกเจ้าจะยอมตายไปทำไม shalom -ขอบคุณพระเจ้า
ตอบลบขอบพระคุณพระเจ้า สาธุการพรเจ้าผู้ทรงพระชนษ์ องค์แห่งความบริสุทธิ์องค์แห่งความรักมั่นคง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว คือ องค์พระเยซูคริสเจ้าชาวนาซาแล๊ต
ตอบลบการล้มในพระวิญญาณ ถ้าถามผมว่ามีไหมในพระคำภีรื คำตอบของผม มีครับ มีแน่นอน ฟันธงมีแน่ครับ!! ถ้าไม่เชื่อ ตามข้าพเจ้ามาพิสูตรกันเลยครับ....
ก่อนอื่นพี่น้องต้องเข้าใจในพระคุณของพระเจ้าก่อนนะครับว่า การเยียวยา การรักษาโรค แม้แต่การขับผี มันไม่ใช่ทุกๆคนจะทำได้ เหมือนกับที่ว่า เราเป็นนักเรียน เมื่อจบ ม.ปลายแล้ว ต่างก็หา มหา'ลัย ที่ดีๆจะเข้ากัน แต่มีกี่ท่านละครับ ที่จะผ่านเข้าไปได้ เพราะการเข้า มหา'ลัย นั้น มันไม่เหมือนกับการที่เราท่านเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้านะครับ!!
เช่นเดียวกัน การเตรียมตัวของเรานี้สำคัญ อาจารย์ใหญ่ของเราทุกท่านที่เป็นคริสเตียนก็คือ พระเยซู ดังนั้น ท่านจะสอบผ่านหรือไม่ จะสอบได้เกรดดีหรือไม่ ขึ้นอยุ่กับการตัดสินพระทัยของพระองค์ ว่าท่านจะได้รับหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า ท่านปราถนาที่จะได้หรือป่าว ถ้าท่านปราถนาที่จะได้รับ ท่านเคยขออย่างจริงจังไหม นี้คือ ปัญหาของเราๆท่านๆแม้ตัวของข้าพเจ้าด้วย!!
การเตรียมตัวสอบเข้า มหาลัย ไม่แตกต่างกันสินเแิงกับการที่จะได้รับฟทธิ์เดชที่มาจาก พระเยซู
เพราะการสอบเข้ามหาลัย เราท่านใช้ตาในการอ่าน ใช้ความรู้ ที่สะสมมาเป็นตัววัดผล
แต่การที่จะได้รับฤทธิ์จากพระเยซูนั้น มีองค์ประกอบมากกว่านั้น คือ ตาเรามองไม่เห็น จึงต้องอาสัยความเชื่อเป็นหลัก เมื่อมีความเชื่อแล้าจะต้องมีความอดทนในการรอ เพราะเวลาเป็นของพระองค์ และที่สำคัญก็คือ ต้องถ่อมใจ!!
เอาละครับ มาดูกันว่าในพระคำภีร์มีบอกไหมในเรื่องของการล้มในพระวิญญาณ
ยอห์น 18:6 เมื่อพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เราคือผู้นั้นแหละ” เขาทั้งหลายได้ถอยหลังและล้มลงที่ดิน
" เขาทั้งหลาย( ไม่ใช่แค่ คนหนึ่ง หรือสองคนนะครับ)อาการเป็นอย่างไรครับ เมื่อพระองค์บอกว่า เราคือผู้นั้น อาการแรกครับ ถอยหลัง อาการที่สองล้มลง ลงตรงไหนครับ ลงที่ดิน(ตรงนี้มีความหมายมหาศาล คุยกันสามวันสามคืนก็ไม่จบหรอกครับ)
นี่มาจากพระคำภีร์นะครับ ท่านเชื้่อ หรือไม่ เป็นเรื่องของท่าน กับพระเยซูแล้วครับ เพราะในพระคำภีร์มีเขียนไว้ว่า
2 โครินธ์ 6:12 ใจของท่านทั้งหลายมิได้ปิดเพราะเรา แต่ปิดเพราะความรู้สึกของตนเอง
ขอพระเจ้าในพระนามของพระเยซูคริสทรงประทานให้ทุกๆท่านได้เห็นฤทธิ์เดช การอัศจรรย์ และเกิดผลแก่ท่าทั้งหลายเทอญ/ อาแมน
ึไม่นานมานี้ พอดีผมได้เข้าไปอ่านในหน้าหน้ากระดานของเฟซบุ๊ค มีอาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่ง ถ้าผมเอ่ยนามหลายท่านคงต้องร้องอ๋อ เพราะท่านดังมาก ท่านเขียนใบปลิวเกี่ยวกับการประการไปทั่วประเทศไทยก็ว่าได้ ท่านเขียนว่าอย่างนี้ ครับ ผมคัดมาดุ้นๆ เลย แบบนี้ครับ
ตอบลบ...มาถึงตรงนี้เราก็คงจะมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้แบ่งของประทานเป็นสองประเภท
คือ ของประทานที่เป็นตำแหน่งคือ อัครทูตผู้เผยพระวจนะ ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ ศิษยาภิบาล และอาจารย์
แต่ปัจจุบันนี้ ของประทานอัครทูต และผู้เผยพระวจนะไม่มีแล้ว เพราะของประทานสองอย่างนี้ พระเจ้าทรงประทานให้กับคริสตจักรเพื่อเขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์? ซึ่งเป็นรากฐานของคริสตจักร เมื่อพระคัมภีร์เขียนเสร็จแล้วข?องประทานสองตำแหน่งก็หมดหน้าที่แล้ว(เอเฟซัส 2.20)
แต่ของประทานที่เป็นตำแหน่งอีก 3 อันมีอยู่ แต่ต้องใช้อยู่ในขอบเขตของพระคัมภีร์เท่านั้น
อ่านแล้วไปไงครับ น่าสมเพชจริงๆ ครับ เขารู้จักพระเจ้าตามพระคัมภีร์จริงๆ ครับ เขายังไม่เข้าถึงของประทานจริง และไม่กล้าพิสูจน์ด้วยครับ คนประเภทนี้ปิดหูปิดตาตัวเอง พวกเขาเลยสู้หมอดู หมอผี คนทรงไม่ได้ น่าอายจริงๆ
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ลบMr. Reewat,
ตอบลบI'm a firm believer about the Supernatural healing power of the Holy Spirit.
I was very excited after reading this passage from KaoChristian.com
เรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงผู้รับใช้ท่านหนึ่งที่ได้รู้จักที่ภาคเหนือ ชื่อ อาจารย์รีวัฒน์ ท่านประกาศตัวชัดเจนเลยว่าท่านเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และเน้นการรักษาโรคและขับผีด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ท่านเป็นอิสระจากคริสตจักรท้องถิ่น และยินดีไปช่วยทุกที่ทุกคริสตจักร (ลองดูเว็บไซท์ http://www.idmt.org)
รู้สึกดีใจที่ประเทศไทยมีผู้รับใช้แบบนี้ด้วย เชื่อว่ายังมีท่านอื่นๆ อีก และไม่ค่อยเป็นที่รับรู้กัน
อยากให้ประเทศไทยมีผู้ประกาศมากขึ้นครับ
I went quickly to your website, wrote down your contact information and plan to visit you next month.
After reading the story you wrote, "Oh, an old preacher of little faith", your comments and responses, I CAN'T EXPLAIN HOW DISAPPOINTED I AM!!
SADLY, I pray, OH FATHER IN HEAVEN, YOU ARE HOLY, LOVELY, GENTLY AND KIND, IF YOU HAVE ANNOINTED Mr. Reewat WITH YOUR SPIRITUAL GIFT OF HEALING, PLEASE BLESS HIM WITH MORE OF YOUR LOVE SO THAT he MAY SERVE YOU WITH A LOVING HEART TO GLORIFY YOUR NAME, AMEN.
MAY THE LORD REVEAL HIS HEART TO YOU.
God bless
Mr.Reewat,
ตอบลบ1 Corinthians 13
1 If I speak in the tongues[a] of men or of angels, but do not have love, I am only a resounding gong or a clanging cymbal. 2 If I have the gift of prophecy and can fathom all mysteries and all knowledge, and if I have a faith that can move mountains, but do not have love, I am nothing. 3 If I give all I possess to the poor and give over my body to hardship that I may boast,[b] but do not have love, I gain nothing.
พี่น้องเอ๋ย อย่าฟัดฟันกันเลย ใครมีอะไร ได้อะไรมาก็รับใช้กันไป อยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ต่างคนต่างไป ไม่ต้องว่าเขาว่าเรา ทุ่งนาของพระเจ้ากว้างมาก รีบ ๆ ทำงานดีกว่าครับ
ตอบลบพี่น้องเปิดใจการสำแดงแบบใน กิจการบทที่ 2 บ้างก็ดีนะครับ ยุคที่กำลังจะมาถึงนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ อาจยิ่งกว่า กจ.2 ก็เป็นได้ เกรงว่าจะตามในสิ่งที่พระเจ้าเคลื่อนไหวไม่ทัน
ตอบลบส่วนคนที่เข้าใจแล้วก็ เคลื่อนกันต่อไปนะครับ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้ที่กระทำผ่านท่าน อย่าวิตกต่อเสียงรอบข้าง ถ้านั่นคือกิจการงานที่พระเจ้าทรงใช้ท่าน วันเวลาของพระเจ้าที่จะมาถึง ประเทสไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เสียงสรรเสริญนมัสการจะเต็มอยู่ทั่วท้องถนน และคนไทยจะสรรเสริญพระเจ้าว่า พระเยซูเป็นผู้ที่ปลดปล่อยเขาจากพันธนาการ และ ขอบคุณพระเจ้า !
ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความดี ความปราณี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน
ตอบลบคุณ Bor_Baimint ^___^
ตอบลบสิ่งที่คุณเขียนมา เช่นความรัก ความยินดี ความอดกลั้นใจ ความดี ความ อะไร ของคุณน่ะ ผมไม่เถียงหรอกครับ มันเป็นสิ่งที่ดีเลิศอยู่แล้วที่สมควรมี
แต่คุณไม่สังเกตหรือว่า ศาสนาอื่นเขาก็มีเหมือนกัน เขาสอนกันดีกว่าเราอีก เขาถวายเงินกันเป็นล้านๆ สร้างวัดสร้างศาสนสถาน
แต่่สิ่งที่พวกเขาไม่มีคือ อำนาจเหนือกว่าผีร้ายวิญญาณชั่ว อาจารย์ที่สอนคุณมาเคยขับผีครั้งสุดท้ายเมื่อปีไหนแล้ว เพราะเขาต่อต้านฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พวกเขาจึงมีฐานะแค่เป็นนักสอนความรู้ทางศาสนา สอนคนให้เป็นคนดี ซึ่งก็ไม่น่าเกลียดอะไร
มันจะไม่ดีกว่านี้หรือ ถ้า คนของพระเจ้ามีดีกว่า พวกหมอดู หมอผี และขับผีได้ด้วยของประทานของพระเจ้าที่ให้ทุกคนมี ใครไม่เชื่อมาพิสูจน์กับผมสิ ผมจะทำให้ดู ว่าเราแน่กว่าผี แน่กว่าหมอดู เพราะพระเจ้ายังทำการอัศจรรย์อยู่ ไม่ใช่แค่สอนให้คนเป็นดี หรือดูแค่ผล อะไรๆ ของคุณ ตามกาลาเทียบทห้้า ที่ชอบเอามาอ้าง
ถ้าจะแข่งนะ ผมว่า มาแข่งผลการนำคนมารอด มารับเชื่อดีกว่า ว่าใครจะได้นำคนมารอดในแต่ละปี มากกว่ากัน อย่าเอาผลอะไรมาอ้างเลย ศาสนาไหน เขาก็มี และอาจมีมากกว่า ชาวคริสต์บางกลุ่มที่ไม่เอาอะไรสักอย่างนะ
เห็นด้วยกับ อ.รีวัฒน์
ลบนิยามของปัญหา คือ คนสองคนที่คิดว่าตัวเองถูกมาเจอกัน...
ตอบลบซาตานนั่งยิ้มแประ
ตอบลบเมื่อผมอ่านบทความรู้ว่าเสียใจเพราะเป็นการดูถูกและพิพากษาผู้อื่นว่าเขาสอนผิดแล้วคุณเองแน่ใจหรือว่าคุณสอนถูก การพิพากษาเป็นของพระเจ้าไม่ใช่ของเรา แต่สิ่งที่คุณเขียนไปนั้นคุณกำลังเยาะเย้ยผู้อื่น ซึ่งนั้นไม่ใช่วิถี่ของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนหรือผู้รับใช้พระเจ้า ใช่คุณอาจมีของประทานในการรักษาโรคแต่อย่าลืมนะของประทานมีต่างๆกันบางคนมีของประทานในการทำการอัศจรรย์บางคนมีของประทานเป็นอาจารย์ บางคนครอบครอง 28 พระเจ้าทรงตั้งบางคนไว้ในคริสตจักร คือหนึ่ง บรรดาอัครทูต สอง บรรดาผู้เผยพระวจนะ สาม บรรดาอาจารย์ ต่อจากนั้น ผู้ทำการด้วยฤทธานุภาพ ต่อจากนั้น ของประทานในการรักษาโรค พวกที่ให้ความช่วยเหลือ พวกผู้นำและพวกที่รู้ภาษาแปลกๆ29 ทุกคนเป็นอัครทูตหรือ? ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือ? ทุกคนเป็นอาจารย์หรือ? ทุกคนทำการด้วยฤทธานุภาพหรือ?30 ทุกคนมีของประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ? ทุกคนแปลได้หรือ?
ตอบลบตอบคุณEvangelist Rice (RW-MU)
ตอบลบใช่ศาสนาเขามีคำสอนในเรื่องความรัก แต่เขาไม่สามารถให้ความรักได้เหมือนอย่างพระเยซู ถ้าคุณเน้นเรื่องฤทธิ์อำนาจในการตัดสินว่าคนนั้นมีความเชื่อหรือไมผมพูดได้เลยว่าอันตราย(ในวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากมาร้องว่า "พระองค์เจ้าข้าข้าพระองค์ได้ขัดผีออกในพระนามพระองค์และได้ทำการมหัศจจรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์ เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่เขาว่า เราไม่รู้จักเจ้าๆผู้กระทำชั่วจงไปให้พ้นหน้าเรา")คนที่มีความเชื่อที่แท้จริงไม่ได้วัดการที่มีความรู้หรือมีอำนาจในการรักษาโรคหรือขัดผีได้แต่วัดกันที่ชีวิตของเราว่ามีพระเยซูคริสต์และมีผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า และอีกข้อที่คุณพูดว่ามาแข่งการนำคนมาถึงความรอด ถ้าหน่อยครับว่า คนที่คุณนำมาถึวความรอดนั้นเป็นผลงานของคุณหรอกไม่ใช้พระเจ้าหรือ คุณกำลังโอ้อวดว่าคุณเก่งหรือ
ถ้าล้มลงแล้ว ชีวิตเปลี่ยนก็ควรล้ม แต่ถ้าล้มแล้วชีวิตเหมือนเดิม ไม่มีความหมายอะไร ... จริงๆแล้วในพระคัมภีร์ไม่มีบันทึกเรื่องการล้มหงายหลัง มีแต่พบพระเจ้าแล้วทรุดตัวลง .
ตอบลบแต่ไม่ควรปฏิเสธการสำแดง อื่นๆ แต่การสอนในลักษณะโจมตีบุคคล แทนที่โต้แย้งเนื้อหา ดูๆ ไม่ได้มาจากพระเจ้า
คิดว่าลูกๆแต่ละคนของพระเจ้า ก็สามารถมีประสบการณ์แตกต่างกันไป แต่พระเจ้ารักทุกคน เหมือนดิฉัน มีลูกแค่ 3 คน พวกเขาก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ดิฉันก็รักพวกเขามาก แต่ถ้า้วันไหนพวกเขาทะเลาะกัน ดิฉันก็จะเสียใจมาก และถึงกับเครียดด้วย คิดว่าพระเจ้าเป็นความรัก พระองค์เน้นผลของพระวิญญาณคือความรัก ความถ่อมใจ ...........และอื่นๆในพระธรรมกาลาเทีย ส่วนการล้มในพระวิญญาณดิฉันก็เชื่อคะ เพราะตัวเองก็ล้มทุกอาทิตย์อยู่แล้ว แต่รู้สึกว่าถ้าพระเจ้าให้สัมผัสที่ลึกซึ้งแล้ว เราควรซาบซึ้งและขอบคุณ เพราะมันคือสัมผัสวิเศษ แต่ไม่น่าจะเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ยังไม่ได้รับนะคะ เพราะคริสเตียนมีแค่สองหน้าที่ คืออยู่เพื่อนมัสการพระเจ้า และรักผู้อื่น ช่วยเขาให้รอด ถ้าเราได้ของดีในมือจากพระบิดา เราต้องขอบคุณพระองค์ และเอาไปช่วยผู้ือื่น ถ้าเขามีความเชื่อไม่ถึง หรือเขาอาจจะสัมผัสพระองค์อีกแบบ ก็คิดว่าเราก็ต้องรักเขาและเคารพในความแตกต่างด้วยนะคะ มีจิตใจเหมือนพระคริสต์ ที่พระองค์ยังให้อภัยแม้แต่คนที่ตรึงพระองค์บนไม้กางเขน แต่นี้พวกเราพี่น้องกันเอง ไม่ใช่ศัตรูแม้แต่น้อย ควรหรือที่จะให้ความแตกต่างทำให้พระเจ้าต้องเสียพระทัยค่ะ
ตอบลบ