ช. การวางมือคือการส่งถ่ายฤทธิ์อำนาจเหนือธรรมชาติในการรักษา
พระเยซูได้วางมือรักษาคนป่วยคนเจ็บให้หายจากความพิการและอาการป่วยใข้ต่างๆ ที่พระเยซูสามารถทำได้เพราะว่า พระเยซูมีการทรงสถิตของฤทธิ์เดชพระวิญญาณของพระเจ้า
ครั้นเวลาตะวันยอแสง ใครมีคนเจ็บเป็นโรคต่างๆ ก็พามาหาพระเยซู พระองค์ก็ทรงวางพระหัตถ์ถูกต้องเขาทุกคน ให้เขาหายโรค (ลกา 4:40)
ในพระธรรม ลูกาบทที่ 13
ขณะที่พระเยซูกำลังสั่งสอนประชาชนอยู่ที่ธรรมศาลาแห่งหนึ่งในวันสะบาโต(วันหยุดศาสนาของศาสนายูดาย) มีหญิงคนหนึ่งซึ่งมีผีเข้าสิงทำให้เป็นโรคสิบแปดปีมาแล้ว หญิงนี้มีอาการหลังโกง ยืดตัวขึ้นไม่ได้เลย เมื่อพระเยซูมองเห็นจึงเรียกและพูดกับผู้หญิงหลังโกงว่า
“หญิงเอ๋ย ตัวเจ้าหายพ้นจากโรคของเจ้าแล้ว” พระเยซูได้วางมือบนเขา และในทันใดนั้นหญิงหลังโกงก็สามารถยืดตัวตรงได้ เธอจึงได้สรรเสริญพระเจ้า
แต่นายธรรมศาลา(เจ้าของสถานนมัสการ) ก็เคืองใจ เพราะพระเยซูได้ทรงรักษาโรคในวันหยุดทางศาสนา จึงว่าแก่ประชาชนว่า “มีหกวันที่ควรจะทำงาน ในหกวันนั้นจงมาให้รักษาโรคเถิด แต่ในวันหยุดทางศาสนาเลย(สะบาโต)นั้นอย่าเลย”
ในพระธรรมตอนนี้พระเยซูได้รักษาหญิงหลังโกงในวันหยุดทางศาสนาของยิวในเวลานั้น ทั้งๆ ที่นักการศาสนาจะเห็นว่าการรักษาคนป่วยทำให้คนป่วยพ้นทุกข์ ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งดี และนี่คือตัวอย่างของวิญญาณศาสนาที่ครอบงำคริสตจักรในยุคปัจจุบัน วิญญาณศาสนาต้องการเพียงระเบียบ ความขลัง พิธีกรรมที่ดูเลิศ แตะใจ บางครั้งแฝงไปด้วย ความโอ่อาตระการตา บางครั้งสอดแทรกความประทับใจ แต่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้จะมีนักศาสนาที่ไม่เชื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง เป็นเพียงทำเพื่อให้ได้หน้า เอาหน้า เอาเท่ เพื่ออวดว่าโบสถ์ของข้าทำอะไร มันเวิร์ค มันดูดี
นักการศาสนาทาสของวิญญาณศาสนาจะสนใจพิธีการและพิธีกรรมมากกว่าการปลดปล่อยผู้คนออกจากบ่วงของมาร บ่วงของพิธีกรรม การนมัสการแบบวิญญาณศาสนาจะไร้ซึ่งการปลดปล่อย ตัวชีวัดที่สำคัญของวิญญาณศาสนาคือ ไม่มีการอัศจรรย์แห่งการปลดปล่อย ไม่มีการอธิษฐานวางมือคนป่วย ถึงมีก็ไม่มีการหายโรค การประชุมนมัสการเป็นการยกย่องคนที่มีตำแหน่งทางศาสนาต่างๆ ที่ทำหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ในแต่ละอาทิตย์เท่านั้น
ในที่ชุมนุมของบุตรหัวปีของพระเจ้า ไม่มีหมายสำคัญของผู้เชื่อใดๆ เกิดขึ้นในสถานที่แห่งการนมัสการแห่งนั้นๆ เลย เป็นระยะเวลาเป็นเดือนๆ ปีๆ บางแห่งการอัศจรรย์เป็นเพียงตำนานที่เกิดนานแล้ว บางแห่งไม่เคยเกิดหรือมีเรื่องอัศจรรย์อะไรเลย องค์พระเยซูองค์อัศจรรย์ยังเป็นเพียงเด็กทารกแรกเกิดเหมือนในวันคริสตมาสเท่านั้น ดังนั้นในโบสถ์จึงไม่มีการอัศจรรย์อะไรเกิดขึ้น เพราะพระเยซูตอนเป็นเด็กทารกคงไม่ทำการอัศจรรย์อะไร ผู้คนมาโบสถ์เพื่อให้อาจารย์เห็นหน้า ถ้าไม่มาอาจารย์มันจะถาม และบางครั้งก็อึดอัดใจที่จะตอบ นานวันเข้าการมานมัสการพระเจ้าจึงเป็นเพียงเหมือนกับการมาร่วมสมาคมอะไรสักอย่างที่มาร่วมเพื่อทำให้สบายใจเท่านั้น
เมื่อพระเยซูเสร็จสิ้นภาระกิจ ก่อนที่พระเยซูจะถูกรับขึ้นไปสู่สวรรค์ พระเยซูคริสต์ได้สั่งงานแก่ สาวกและผู้ที่เชื่อถือในพระองค์ให้ทำพันธกิจแห่งการปลดปล่อยและเยียวยา ด้วยการวางมือรักษาคนเจ็บป่วย ด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งพระนามของพระองค์ดังนี้
ฝ่ายพระองค์จึงพูดสั่งพวกสาวกว่า “เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ เขาจะจับงูได้ ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค”
(มาระโก 16:15-18)
ปัจจัยแห่งที่มีผลในการวางมือรักษาโรค
สิ่งที่กล่าวทั้งสิ้นเพื่อจะบอกให้ทุกคนที่เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่า ท่านมีสิทธิในการอธิษฐานวางมือให้คนป่วยใข้หายป่วยได้ แต่จะหายหรือไม่นั้น มีปัจจัยที่น่าศึกษา พอสังเขป คือ
1. ปัจจัยจากผู้อธิษฐานวางมือ
ก. ผู้อธิษฐานวางมือ เป็นเพียงผู้เชื่อระดับต้น ยังไม่รู้จักสิทธิอำนาจของตนเองดีพอ ขาดการศึกษา และไม่มีประสบการณ์ในฤทธิอำนาจของพระเจ้า เพียงเป็นผู้รับการสอนทางศาสนาเพียงพื้นฐานความเชื่อ
ข. ผู้อธิษฐานไม่กล้าอธิษฐาน เพราะมีความเชื่อในจิตใจลึกๆ ว่า ตัวเขาเองไม่ใช่คนบริสุทธิ์ ไม่ใช่คริสเตียนที่ดำเนินชีวิตอย่างคงเส้นคงวากับพระเจ้า
ค. ผู้อธิษฐานวางมือ รู้ในจิตใจลึกๆ ว่า อย่างไรมันก็ไม่หาย แต่ที่ต้องทำเพราะชาวบ้านขอร้องให้ทำ
ง. ผู้อธิษฐาน ไม่มีความรัก เพราะการอธิษฐานวางมือต้องมีพื้นฐานมาจากความรักต่อเพื่อนมนุษย์ เป็นสำคัญ ไม่เป็นเพียงผู้ทำหน้าที่ทางศาสนพิธีที่ปฎิบัติงานตามหน้าที่นักการศาสนาเท่านั้น
จ. ผู้อธิษฐาน ไม่ได้รับการสอนให้รู้จักสิทธิอำนาจของผู้เชื่อ ไม่มีผู้นำที่มีความชำนาญทางด้านนี้มาก่อน
ฉ. ผู้อธิษฐาน ไม่มีพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับการอธิษฐานวางมือ ความเชื่อไม่เพียงพอ
ช. ผู้อธิษฐานเคยต่อต้านฤทธิอำนาจของพระวิญญาณบริสุุทธิ์ของพระเจ้า ไม่ว่าโดยความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหรือโดย เจตนาก็ตาม
ซ. ผู้อธิษฐาน ไม่เคยสัมผัสกับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า และไม่เชื่อว่าการอธิษฐานแบบนี้ยังมีอยู่
ญ. ผู้อธิษฐาน เคยพูดพลั้งปาก สบประมาทฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ว่าไม่ใช่สิ่งจำเป็น หรือในทำนองที่ว่า ไม่มีการอัศจรรย์ก็สามารนำคนมาเข้าอยู่ในศาสนาได้ เข้าใจว่าใช้แต่พระวจนะ หรือความรู้ทางศาสนศาสตร์ หรือสื่ออื่นๆ ก็ได้ การอธิษฐานวางมือถือเป็นเพียงเรื่องในอดีตทางศาสนาเท่านั้น
ฎ. ผู้อธิษฐานยังไม่ได้บังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ
ฏ. ผู้อธิษฐานปฏิเสธการรับฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ มีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่อ่อนแอ มีบาปซ่อน
ฐ. ผู้อธิษฐานยังไม่ได้รับการปลดปล่อยจาก รากข่มขื่นฝ่ายวิญญาณ และไม่ให้อภัยผู้อื่น
ฑ. ผู้อธิษฐานได้รับคำสอนและมีความเชื่อว่า คริสเตียนไม่มีวิญญาณอื่นสิงอยู่นอกจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าในตอนที่รับเชื่อก็เพียงพอแล้ว
ณ. ผุ้อธิษฐานเป็นผู้ที่ไม่ได้รักษา ตัวเองให้มีความบริสุทธิ์ต่อพระเจ้า โดยเฉพาะไม่รักษามือของตนจากการทำชั่ว และมีจิตใจที่ยะโส คิดว่าตัวเองรู้หมดแล้ว ไม่ต้องมีการเรียนรู้อะไรอีก ทำมานานแล้ว ตัวเองบรรลุโสดาบันแล้ว
2. ปัจจัยที่เกิดจากผู้รับการอธิษฐานวางมือ
ก. ผู้รับการอธิษฐานต้องการเพียงแต่การหายโรค เห็นว่าการอธิษฐานวางมือเป็นเพีย'ทางเลือกหนึ่งของการหายจากอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง หรือความเจ็บป่วย เท่านั้นไม่ได้มีจิตใจยอมรับนับถือพระเยซูคริสต์
ข. ผู้รับการอธิษฐานอยากหาย แต่ไม่อยากต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด (ในกรณีนี้ หลายคนที่ได้รับการอธิษฐานวางมือจะมีอาการดีขึ้นในระยะแรกเท่านั้น ต่อมาโรคร้ายจะกลับคืนมาอีก และอาจเป็นร้ายแรงกว่าเดิม)
ค. ผู้รับการรักษายังนับถือวิญญาณต่างๆ ถือรูปเคารพ เครื่องราง มีการสักยัณฑ์ทางไสยเวทย์ หรือหมอดู
ง. ผู้รับการรักษามีความข่มขืนใจกับคนอื่น ไม่ต้องการให้อภัย หรือกล่าวเลิกอาฆาตเขาต่อพระเจ้า
จ. ผู้รับการอธิษฐานมีจิตผูกพัน กับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่สามี ภรรยา หรือมีจิตผูกพันกับคนเพศเดียวกัน หรือมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ
ฉ. ผู้รับการอธิษฐานเป็นผู้ที่ได้เคยเชิญให้วิญญาณเจ้าต่างๆ มาปกครอง มาอยู่ด้วย
ช. ผู้มีสิทธิอำนาจ หรือผู้ปกครองกล่าวมอบชีวิตของผู้รับการอธิษฐานให้วิญญาณต่างๆ ดูแล และช่วยเหลือ หรือกล่าวมอบหรือยกให้เป็นลูก เช่น ลูกแม่ย่านาง ลูกเจ้าพ่อศาลต่างๆ
ซ. ผู้รับการอธิษฐานฝ่าฝืนสิ่งที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำ หรือหักพันธสัญญาที่เขาเคยทำไว้กับพระเจ้า
ญ. ผู้รับการอธิษฐานมีวัตถุที่ถูกแช่งสาปจากพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ หรือมีรูป หรือสิ่งที่เคารพ หมกหมุ่น ใช้เวลากับสิ่งเหล่านั้น มากจนเกินขอบเขต ทำให้ความสัมพันธ์กับ ตนเอง คู่สมรส เพื่อนบ้าน หรือ กับพระเจ้าบกพร่อง หรืออยู่ในระดับที่ไม่สมดุล
ฎ. สถานที่ทำการอธิษฐานมีระดับการเจิมที่ต่ำ หรือมีการเจิมอ่อน
ฏ. ที่ประชุมที่ใช้ในการอธิษฐาน มีคนที่มีความเชื่อในพระเจ้าจำนวนน้อย ไม่มีการแสดงออกถึงความเคารพนับถือพระเจ้า หรือมีคนที่ไม่มีความเชื่อ สถานที่อธิษฐานอยู่ในสภาพแวดล้อมของคริสตจักรที่ไม่อนูญาตให้มีการอธิษฐานวางมือ หรือไม่เปิดต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์
ฐ. ผู้มีอำนาจทางสิทธิอำนาจ ฝ่ายวิญญาณ ไม่ยินดี ไม่ยินยอม ไม่เปิดเผยต่อการรักษาการป่วยด้วยการอธิษฐาน
ฑ. มีระดับการครอบครองของวิญญาณอื่นในตัวผู้รับการอธิษฐานอยู่มาก หรือมีวิญญาณอื่นจำนวนมากไม่สามารถขจัด หรือปลดปล่อยออกไปโดยง่ายเพียงครั้งสองครั้ง
ฒ. ความผิดบาปทางสายเลือดจากบรรพบุรูธ บรรพบุรุธได้ทำบาปร้ายแรงที่เป็นผลส่งต่อเนื่องถึงลูกหลาน และผู้สืบสกุล
ณ. สิทธิอำนาจการครองครอบของวิญญาณอื่นไม่ได้รับการแก้ไข หรือริดรอน
ด. ผู้รับการอธิษฐานไม่มีปรารถนาที่จะหาย หรือมีชีวิตอยู่ ไม่อยากรับการปลดปล่อย
ต. ผุ้รับการอธิษฐานหมดอายุไขแล้ว การเจ็บป่วยเป็นเพียงสาเหตุแห่งความตายแล้ว
สรุป เชื่อว่าบทความนี้จะเป็นแนวทาง หรือความเข้าใจเพิ่มเติมสำหรับคริสเตียนที่ต้องการดำเนินชีวิตด้วยสัจจะของพระเยซูคริสต์เจ้า อยากเห็นคริสตจักรของพระเจ้าเป็นสถานที่แห่งการปลดปล่อยอย่างแท้จริง ไม่เป็นเพียงศาสนสถานเพื่อทำพิธีกรรมทางศาสนาธรรมไม่สามารถปลดปล่อยเยียวยาผู้เชื่อใดใดเลย สำหรับวิธีการอธิษฐานสำหรับความเจ็บป่วยแต่ละอย่าง คงจะนำเสนอในบทความครั้งต่อๆ ไป โปรดติดตาม
กลับไปหน้าแรก Home
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)