Holy Spirit Impartation (Roman 1.11, 2Timothy 1.6)
เกริ่นนำ:ครั้นมาถึงเมืองซีซารียาเปาโลได้ขึ้นไปคำนับคริสตจักรแล้วลงไปยังเมืองอันทิโอก ครั้นยับยั้งอยู่ที่นั่นหน่อยหนึ่ง ท่านเปาโลจึงไปตลอดแว่นแคว้นกาลาเทียและฟรีเจีย เพื่อจะช่วยชูกำลังพวกสาวก
มียิวคนหนึ่งชื่ออปอลโล เกิดในเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นคนมีโวหารดี และชำนาญมากในทางพระคัมภีร์ ท่านมายังเมืองเอเฟซัส อปอลโลคนนี้ได้รับการอบรมในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า และมีใจร้อนรนกล่าวสั่งสอนอย่างถูกต้องถึงเรื่องพระเยซู ถึงแม้ท่านรู้แต่เพียงบัพติศมาของยอห์นเท่านั้น ท่านได้เข้าไปในธรรมศาลาสั่งสอนโดยใจกล้า แต่เมื่อปริสสิลลากับอาควิลลาได้ฟังท่านแล้ว เขาจึงรับท่านมาสั่งสอนให้รู้ทางของพระเจ้าให้ถูกต้องยิ่งขึ้น (พระธรรมกิจการบทที่ 18:22-26)
จากพระธรรมตอนนี้ผมขอนำเสนอให้ผู้อ่านได้รู้จักผู้รับใช้ของพระเจ้าอีกคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติ "ดีมาก"
กล่าวคือ ท่านมีคุณลักษณะ ดังนี้
๑) เป็นคนยิว คนยิวย่อมเป็นคนที่รู้จักธรรมบัญญัติเป็นอย่างดี และเคร่งครัดในเรื่องศาสนา คนยิวสติปัญญาและระดับมันสมองสูงกว่าคนชาติอื่นโดยเฉลี่ย
๒) เกิดที่เมืองที่เจริญ อาจประมาณได้ว่า ท่านได้รับการศึกษาดีจากสถาบันในเมืองที่เจริญ เมืองอเล็กซานเดรีย คือเมืองที่อเล็กซานเดอร์มหาราชที่อายุแค่ 33 ปี ได้สร้างไว้ ท่านปราบไปทั่วทิศ ท่านปราบเมืองต่างๆ ประมาณเจ็ดสิบเมือง เมืองที่ท่านสร้างมีหอสมุด มีถนนอย่างดี มีสระว่ายน้ำ มีมหาลัยดีๆ ทันสมัยมาก
การศึกษาของคนในเมืองกับการศึกษาจากโรงเรียนในชนบทมันยังห่างไกลกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะในประเทศไทย เพราะโรงเรียนในชนบท ชาวบ้านเขารู้กันอยู่ผู้บริหารเขาบริหารงานยังไง และมีตัวป้อนอย่างไร ผลผลิดของโรงเรียนบ้านนอกและโอกาสในการเรียนระดับสูงมันเป็นอย่างไร
๓) เป็นคนมีโวหารดี คนที่มีโวหารดีมีชัยไปกว่าครึ่งก็ว่าได้ เพราะแม้แต่คนไม่เชื่อพระเจ้าถ้าพูดดี ก็มีคนติดตามมากมายอยู่แล้ว ลองดูนักบวชหนุ่มๆ ในศาสนาอื่นสิครับ คนติดตามกันตรึม ขายหนังสือจนรวยแล้ว
๔) ชำนาญมากในทางพระคัมภีร์ คำว่าชำนาญแปลว่า รู้ถ้วนถี่ รู้ดีในสิ่งที่ทำ สิ่งที่เรียนรู้ สิ่งที่ปฏิบัติ
๕) ได้รับการอบรมในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า แปลว่า ได้รับการศึกษาเรื่องพระเจ้ามาอย่างดี ถ้าเปรียบเทียบกับสมัยนี้ ก็อาจแปลได้ว่า จบปริญญาด้านตีโอโลจีมาแล้ว
๖) มีใจร้อนรนกล่าวสั่งสอนอย่างถูกต้อง คนมีใจร้อนรนคือคนที่ไม่ใส่เกียร์ว่าง ในการทำงาน
๗) มีใจกล้า คุณลักษณะข้อนี้สำคัญอย่างมาก เพราะถ้ามีทุกอย่างแต่ไม่กล้าสอน ไม่กล้าเทศน์ ไม่กล้าบอกให้คนกลับใจ ความรู้หรือของประทานอะไรที่มีอยู่คงไม่เกิดประโยชน์ต่องานของพระเจ้าเท่่าใดนัก
๘) ท่านถูกรับตัวจาก อาควิลลาและปริสิลลามาสั่งสอนเพิ่มเติม
คุณลักษณะของผู้รับใช้ท่านนี้ยิ่งดีกว่า และน่าประหลาดใจสุดๆ มากกว่าข้ออื่นๆ อีก คือว่า นอกจากคุณลักษณะสำคัญเจ็ดประการที่ดีมากๆ ของผู้รับใช้ที่ ท่านอปอลโลมีอยู่แล้ว แต่ที่น่าตกใจมากคือว่า ท่านเป็นคนใจถ่อมอย่างไม่น่าเชื่อ ท่านยอมตามคนแปลกหน้าไปเพื่อจะรับคำสอนเพิ่มเติม เรื่องพระเจ้า ข้อนี้ผมขอตั้งข้อสังเกตไว้ว่า จะหาได้ไหมในหมู่ คนจบศาสนศาสตร์ ป. ตรี ป. โท เมืองไทย หรืออาจมี ป.เอก ที่จะยอมให้คนแปลกหน้ามาสอนเพิ่มเติมเรื่องพระเจ้า มันไม่ง่ายนักนะสำหรับ คำว่าถ่อมใจ ยอมเป็นคนไม่รู้น่ะ
มาถึงตอนนี้ ท่านคงอยากจะให้ผมเล่าต่อไปว่า ทำไม คนอย่างอปอลโลที่ เก่งขนาดนี้ จึงต้องให้มีใครบางคนมาสอน สอนแล้วยังไม่พอ ยังเขียนจดหมายฝากให้ไปหา "อาจารย์ใหญ่" อีกคนหนึ่ง เพื่อให้ท่านได้รับสิ่งที่ผู้รับใช้พระเจ้าทุกคนที่อยากเกิดผลอย่างมหัศจรรย์ทุกคนต้องได้รับ คือการรับ....
ในพระธรรมกิจการบทที่ ๑๙ ท่านอปอลโลได้ไปพบกับอาจารย์ใหญ่ คือท่านอาจารย์เปาโล
เมื่อไปพบหน้ากัน แทนที่อาจารย์เปาโลจะสอนศาสนศาสตร์ให้แก่อปอลโล เพื่อให้ท่านรู้มากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้า แต่เปล่าเลย อ.เปาโลไม่สอน กลับถามแบบขวานผ่าซาก ว่า...
“เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อนั้น ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า” เขาตอบว่า
“เปล่า เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเราก็ยังไม่เคยได้ยินเลย”
เปาโลจึงถามเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านได้รับบัพติศมาอันใดเล่า”
อปอลโล ตอบว่า
“บัพติศมาของยอห์น”
ผมคิดว่าอาจารย์เปาโลอาจจะพูดว่าอย่างนี้แน่ๆ
"โอ้น้องเอ่ย เจ้าทำไมถึงโชคดีขนาดนี้ ถ้าน้องไม่มาพบพี่ พี่เชื่อว่า เจ้าคงงมโขง่ไปอีกนานเท่าไหร่ไม่รู้นะเนี้ย"
"การเป็นสาวกประคริสต์ที่เต็มล้นไปด้วยพลังฤทธิ์เดช และอิทธิฤทธิ์ในการทำการอัศจรรย์
การรับบัพติสมาแบบจุ่มน้ำ พรมน้ำ หรือเอาน้ำราดหัว มันอาจจะยังไม่พอหรอกน้องเอ๋ย พี่ว่าน้องมารับบัพติสมาในพระนามพระเยซูดีไหม คือว่า พี่จะไม่เอาน้องไปจุ่มน้ำนะ เพราะน้องคงได้ไปจุ่ม ไปพรมมาแล้ว แต่พี่จะอธิษฐานวางมือให้น้องเพื่อน้องจะได้จุ่มในพระวิญญาณของพระเจ้า
...คือน้องจะพูดภาษาที่น้องไม่เคยเรียนแต่น้องจะพูดได้ และเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสวมทับน้อง น้องจะไม่สามารถควบคุมลิ้นของตัวเองได้สักระยะหนึ่งนะ อันนี้เขาเรียกว่าการบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์นะ น้องอยากได้หรือเปล่า"
คนเหล่านั้นมีทั้งหมดสิบสองคนที่อาจารย์เปาโลได้อธิษฐานวางมือ แล้วพวกเขาก็ได้รับการบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กิจการบทที่ 19)
การรับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์คือ เครื่องหมายของการรับฤทธิ์เดชอย่างแน่นอน
มันไม่ใช่รับเมื่อเราแรกเชื่อพระเจ้าแล้วก็พอ ขณะที่อาจารย์เปาโลกลับใจ แล้วพระเจ้าสั่งให้เปาโลไปหาอานาเนีย แล้วให้อานาเนียอธิษฐานเผื่อ ท่านก็เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าตั้งแต่นั้น (พระธรรมกิจการ บทที่ 9)
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการมีของประทานฝ่ายวิญญาณล่ะ?
มันเกี่ยวแน่นอน การที่สาวกจะรับฤทธิ์ของพระเจ้าต้องผ่านขั้นตอนแห่งการรับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธฺ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฤทธานุภาพของพระเจ้ามาพร้อมกับการบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
สาวกเปโตรอยู่กับพระเยซูถึงสามปี เคยเห็นพระเยซูทำการอัศจรรย์มากมาย หลายครั้งก็ได้รับฤทธิ์เดชให้ออกไปวางมือรักษาโรค และขับผี (ลูกาบทที่ 10) และเคยสัญญาว่าจะไม่วิ่งหนีจากพระเยซู แม้ว่าตัวตายก็ยอม แต่ว่าขณะที่พระเยซูถูกสอบสวน เปโตรบอกว่า ไม่เคยรู้จักพระเยซูถึงสามครั้ง
อย่างไรก็ตามเมื่อสาวกเฝ้ารอคอยการรับฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่ห้องชั้นบนในกรุงเยรูซาเล็มนั้น เขาคอยอยู่จนกระทั้ง พระวิญญาณบริสุทธิ์บัพติสมาพวกเขา ปรากฎว่าคนขี้ขลาดอย่างสาวกเปโตร กลับเป็นคนยืนขึ้นประกาศเรื่องพระเยซูจนมีคนถึงสามพันคนกลับใจในคราวนั้น และนี่คือฤทธิ์อำนาจของการบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
ผมเองเห็นคนอื่นๆ ได้รับการบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่สมัยเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบกว่าปี ผมอิจฉาเพื่อนที่เขาพากันได้รับถ้วนหน้า แม้แต่นายจิ๊บเพื่อนผม อยู่โบสถ์แบบอนุรักษ์นิยม ที่ป่างิ้ว เขายังได้รับประสบการณ์นี้ก่อนผมหลายปี ในขณะที่ผมออกไปขอให้คนอธิษฐานเผื่อเป็นสิบๆ ครั้ง กว่ายี่สิบปี ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ใหญ่ระดับไหน คนล้มตึงขนาดไหน ผมไม่เคยได้รับเลย แต่ละครั้งที่ออกไป มันช่างแห้งเหี่ยวจนผมเกือบจะท้อ ผมหน้าแตกกลับมาทุกครั้งเพราะผมไม่ได้รับเลย แต่ผมก็ยังเพียรขอเอาแบบไม่ย่อท้อ ไม่น่าท้อได้ไง มันนานมากเกือบยี่สิบปี ผมยังประหลาดใจว่าทำไมเวลาผมไปอธิษฐานให้เด็กๆ ทำไมเขาได้รับประสบการณ์นี้รวดเร็วจัง พวกเขาคงหิวกระหายมากกว่าผม หรือได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษจากพระเยซูคริสต์ก็อาจเป็นไปได้
น่าดีใจที่ผมไม่เคยกล่าวหมิ่นประมาทการบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ สุดท้ายเมื่อสี่ปีก่อน ผมได้รับแล้ว รายละเอียดผมเขียนไว้ในบล็๋อคนี้แล้วด้วย (เพื่อนของผมได้บันทึกดีวีดีเหตุการณ์ในครั้งนั้นไว้ ผมยังได้เห็นและเก็บรักษาไว้อย่างดี) หลังจากที่ผมรอคอยมาเป็นเวลากว่ายี่สิบปี ภายหลังจากที่ผมได้รับประสบการณ์นี้ ผมเริ่มมีความคิดและมีการปฏิบัติแบบใหม่ ผมอ่านพระคัมภีร์อย่างเข้าใจ และไม่เคยคิดเบื่อที่จะอ่าน การอ่านพระคัมภีร์ไม่ใช่การฝืนใจตัวเองให้อ่านอีกเลย มันเกิดความหิวกระหายอยู่ตลอด ผมเป็นพยานให้คนอื่นๆ ถึงเกือบยี่สิบปีแต่ไม่มีใครยอมเชื่อพระเยซูแม้แต่คนเดียว แต่พอผมได้รับการบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมเกิดผลมากมาย ปีนี้ปีเดียวผมนำทั้งคนใหม่และคนเก่า กลับมาคืนดีกับพระเจ้ามากกว่าสองร้อยคนอย่างแน่นอนแล้ว นอกจากกนี้ผมยังเห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้าอย่างมากมายทุกๆ ครั้งที่ผมเทศนาก็ว่าได้ ผมคิดว่าน่าจะเกิดร้อยครั้งแล้วในปีนี้ (ค.ศ.2010)
นอกจากผมจะอ่านพระคัมภีร์แล้วผมยังหิวกระหายอยากท่องพระคัมภีร์อยู่ตลอด ตอนนี้ผมท่องได้เป็นร้อยข้อเลย ผมตั้งใจท่องอย่างสม่ำเสมอ ด้วยใจรักในพระคำของพระเจ้า สิ่งนี้เป็นประโยชน์มากในการออกไปประกาศพระกิตติคุณ เพราะในเวลาแห่งการเทศนาหรือการเป็นพยาน ข้อพระธรรมจะไหลมาสู่ความคิดของผมเหมือนสายน้ำ
หลายครั้งผมไปเทศนาที่ไหน ผมจะถามพี่น้องคริสเตียนหลายๆ ครั้งว่า
นี่พวกคุณเชื่อพระเจ้ามากี่ปีแล้ว?
บางคนตอบอย่างภาคภูมิใจว่า ฉันเป็นคริสเตียนมาแล้ว ๕ ปี ๑๐ ปี บางคนบอกมากกว่า ๑๕ ปี หรือมากกว่านั้น
แต่พอผมถามไปว่า "แล้วคุณท่องพระคัมภีร์ได้กี่ข้อ" เขาจะตอบว่า เออ...ได้ ยอห์นบท ๓ ข้อ ๑๖
บางคนยิ้มแห้งๆ ตอบว่าได้ไม่กี่ข้อ ไม่เท่ากับจำนวนปีที่เชื่อพระเจ้า มาถึงตรงนี้พี่น้องพอนึกภาพออกหรือยังว่า คริสเตียนเรา มันหลงป่าขนาดไหน เชื่อพระเจ้ามาหลายปี ท่องพระคัมภีร์ปีละข้อยังไม่ได้ น่าอายหรือเปล่า ผมยิ่งเป็นตัวเอ้เลย ผมหลงอยู่ในพิธีกรรมศาสนาคริสต์มามากกว่าสี่สิบปี กว่าผมจะพบกับพระเยซูอย่างจัง และรับฤทธิ์เดชที่อัศจรรย์ จนชีวิตผมอดไม่ได้ที่ต้องออกไปประกาศข่าวดีแก่ทุกคน
หากคริสเตียนยังอยู่ในสภาพนี้ คือว่า ไม่รู้พระธรรม ไม่รับฤทธิ์เดช ไม่เอาการเจิม แล้วจะไปเรียกตัวเองว่าเป็นทหารของพระเจ้า ได้จะได่... หา... ได้อย่างไร.... แบบนี้มันเป็นแค่คริสเตียน เบบี้น่ะ มันทำอะไรไม่ได้มากหรอกครับ พวกเราหลงคิดว่าตัวเองมีความเชื่อ เป็นคริสเตียนถวายทรัพย์ มาโบสถ์เป็นประจำ แต่เราเป็นแค่ผู้มาร่วมกิจกรรมทางศาสนาเท่านั้นหรือ? ไม่มีข้อพระธรรมอยู่ในหัวแล้วจะไปประกาศได้อย่างไร แล้วเราจะมีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าได้อย่างไร จะอธิษฐานอย่างทรงพลังได้อย่างไร
แล้วเราจะรับของประทานพระวิญญาณแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างไรล่ะ
โปรดติดตามตอนที่ 3 เร็วๆ นี้
Home กลับไปหน้าแรกของบล็อค
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)