Some advices to gain the Spiritual Gifts(3)ทำอย่างไรให้มีของประทานฝ่ายวิญญาณ

 
เท่าที่เกริ่นมาถึงสองบท อาจทำให้พี่น้องที่หิวกระหายของประทานของพระเจ้า และพี่น้องที่มีของประทานอยู่แล้ว แต่ยังไม่สามารถนำออกมาใช้ได้อย่างเต็มขนาดความเชื่อ  อยากจะศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้

ผมเองยังไม่ใช่อาจารย์ใหญ่  แต่เท่าที่ผมมีประสบการณ์ ผมเข้าใจว่าพระเจ้าชอบใช้คนใจกล้ามากกว่า คนมีความรู้สูง  มีปัญญาสูง มีความเข้าใจหลักศาสนศาสตร์มากล้น แต่ไม่กล้าอธิษฐานด้วยความเชื่อ  ไม่กล้าทำในสิ่งที่ท้าทายใหม่ๆ ไม่กล้าเทศนาอย่างตรงไปตรงมา  หรือเทศนาเพื่อสร้างสรรค์คนด้านจิตวิญญาณเพื่อนำคนออกจากปลักเลนของความเชื่อเก่าๆ ที่อ่อนล้า  ไร้ทิศทาง  ไร้ตัวชีวัดของชีวิตพระคริสต์ เพราะหวั่นเกรงบางสิ่ง บางอย่าง ทั้งเจ้าพ่อ เจ้าแม่ ในคริสต์จักร

นอกจากนี้ยังมีพวกที่บังอาจอ้างตัวว่าเป็นชาวคริสต์แต่ไม่ใช่คนของพระคริสต์ เป็นพวกมีจิตใจเป็นทาสบาป  กลับกลอก หลอกลวงตนเองและพี่น้องคนอื่นๆ ว่าตัวเองเป็นคนของพระคริสต์   แต่แท้จริงเป็นทาสของกิเลสตัณหา ความไคร่  ความอยาก มากกว่าการดำเนินชีวิตเพื่อถวายเกียรติพระเจ้าให้สมควรกับที่ได้รับการไถ่ด้วยพระโลหิตอันสูงค่าของพระเจ้า คนเหล่านั้นอ้างตัวว่ามีพระเจ้าแต่ดำเนินชีวิตเป็นทาสของวิญญาณร้าย  มีทั้งความโลภ ตัณหา การอิจฉา ไม่ยุติธรรม  ยะโส  การแก่งแย่ง  การโกหก การเสเพล หลงพิธีกรรมและขั้นตอนมากกว่าการเข้าสนิทกับพระคริสต์ ปล่อยตัวไปตามกระแสของโลก หลงสิ่งอื่นมากกว่าพระคำของพระเจ้า การเข้าเฝ้าอธิษฐาน และการร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้องคริสเตียนอื่นๆ 

เท่าที่ผมมีประสบการณ์ในวงการชาวคริสต์มาตั้งแต่เกิด  นี่ก็ห้าสิบปีแล้ว ผมคิดว่า ผมหลงเข้าไปอยู่ในศาสนาเกือบทั้งหมดชีวิตเลยก็ว่าได้ คือผมหลงอยู่ในพิธีกรรมทางศาสนาถึง ๔๕ ปี  ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้จักพระเจ้านะ  ผมรู้จักว่าพระเยซูคือพระเจ้า  เป็นมนุษย์ที่ลงมาเกิดจากหญิงพรหมจารี  มีสาวกกี่คนๆ  ทำอะไรบ้าง พระเยซูสอนอะไรผมก็รู้ดี  รู้มากจนกระทั้งเขาตั้งให้ผมเป็นท่านประธานเลย  แต่ตอนก่อนนั้นผมยังไปไม่ถึงไหนกับพระเจ้า ไม่รู้ว่าอะไรมันมาปิดมาบังตาของผมไม่ให้เห็นแสงสว่างของพระเจ้า ผมไม่รู้จักฤทธานุภาพอันมหัศจรรย์ของพระนามพระเยซู ไม่ประพฤติตัวให้เหมาะสมกับฐานะและฐานันดรศักดิ์ที่พระเจ้ามอบให้ผู้เชื่อในพระองค์คือ ได้ชื่อว่า เป็นบุตรของพระเจ้าองค์สูงสุด

ผมเป็นแค่คริสเตียนไร้ฤทธิ์เดชของพระเจ้า เป็นคริสเตียนอยู่ไปเป็นอาทิตย์ๆ เพื่อรอวันตายเพื่อจะได้ไปสวรรค์ ผมไม่คาดคิดว่าผมมีหน้าที่อะไรต่อพระกิตติคุณแห่งความรอดของพระเยซูคริสต์เมื่อผมได้รับความรอดแล้ว ผมต้องสร้างสาวก ผมต้องออกไปประกาศพระบารมีของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ด้วยการอธิษฐานวางมือ และปลดปล่อยผู้คนออกจากการผูกมัดของวิญญาณร้ายๆ เป็นร้อยๆ ชนิดที่สิ่งสู่อยู่ในวิญญาณ ในความคิด ในร่างกายของคนทั้งที่ไม่รู้จักพระเจ้า และพวกคริสเตียนแต่ปาก เพราะผมได้รับคำสอนจากผู้นำรุ่นก่อนๆ มาอย่างนั้นจริงๆ คำสอนที่มีใจความประมาณนี้แหละคือ

ต้องเป็นคริสต์ที่ดีนะ
ต้องมาโบสถ์ทุกวันอาทิตย์นะ
ต้องมีพระคัมภีร์มาด้วยนะ
ต้องมาให้ตรงเวลานะ
ต้องถวายทรัพย์และต้องถวายสิบเปอร์เซนต์ของรายได้อย่างสัตย์ซื่อนะ
ต้องเข้าร่วมกิจกรรมนะ
ต้องมาเรียนพระคัมภีร์ด้วยนะ
ต้องทำตัวให้เป็นคนดีนะ ถ้าตายจะได้ไปสวรรค์ไง

ผมก็พยายามทำแต่มันก็ตกหล่นอยู่หลายข้อเป็นประจำเลย โดยเฉพาะข้อที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ผมไม่ค่อยอ่านพระคัมภีร์เพราะอ่านแล้วมันง่วงนอน น่าเบื่อ อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้จะอ่านไปทำไปนักหนา  เพราะเราก็ฟังเทศน์ทุกอาทิตย์จนจำเรื่องราวของฮีโร่ต่างๆ ในพระคัมภีร์ได้เกือบหมดแล้ว
แต่คริสตจักรก็ไม่เห็นจะพาผมไปประกาศข่าวประเสริฐอะไร  จะมีก็เพียงแค่ช่วงคริสต์มาส พวกเราก็จะซื้อใบปลิวแล้วพากันทำหน้าเซ่อร์ๆ แจกใบปลิวไป ให้ถือว่าพวกข้าก็ทำการประกาศข่าวประเสริฐนะ หนึ่งปีเราก็ทำครั้งหนึ่ง  เราไม่ได้คาดหวังว่าใครจะมาเข้าเป็นสมาชิก เพราะเราไม่มีระบบติดตามช่วยเหลือ ไม่มีระบบพี่เลี้ยงดูแลคนเชื่อใหม่ที่เข้มแข็งใดๆ เลย

คริสตจักรที่ผมเคยอยู่ต้องให้เช่าตัวอาคารและพื้นที่โบสถ์ขนาดสามงาน ด้วยราคาค่าเช่่าเพียง สองพันห้าร้อยบาทต่อเดือน อีกอย่างผมสังเกตพวกผู้นำหลายๆ คนที่มีตำแหน่งเป็นผู้ดูแลปกครองคริสต์จักร ยังทำตัวฉุ่ยๆ ไม่ค่อยเข้าร่วมการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาไม่สามารถนำใครมาเชื่อพระเจ้าได้แม้แต่คนเดียวในเวลาหนึ่งปี  ลูกหลานของคนเหล่านี้ก็ไม่เข้าโบสถ์เป็นประจำ คริสต์จักรมีแต่คนเจ็บคนป่วย
เวลาผมนัดหมายเรียกพวกผู้นำมาประชุมอธิษฐานรณรงค์เรื่องต่างๆ พวกเขาจะอิดออด มาสาย อ้างสาเหตุสารพัน  ไม่สามารถมาได้ตรงเวลา บางคนมาในเวลาที่การประชุมเกือบจะเลิกแล้ว  แต่ถ้าผมโทรศัพท์ไปเรียกให้พวกนี้มากินลาบ หรืออาหารอร่อยๆ พวกนี้จะปรากฎตัวภายในเวลาไม่เกิน ๕-๑๐ นาที  พฤติกรรมมันบอกถึงความล้มเหลวของชุมชนของพระเจ้าที่ผมเคยอยู่  มันเป็นแบบนี้จริงๆ

หากผมบอกว่าผมตายแล้วได้ไปอยู่สวรรค์กับพระเยซู  เอ้...แต่ผมคิดว่า ผมน่าจะบอกว่า  ผมคงไม่ได้ไปสวรรค์น่าจะถูกกว่า เพราะสิ่งที่ผมคิด พูด  ปฎิบัติมันไม่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้าเลย ผมทำตัวเป็นคริสเตียนเฉพาะเช้าวันอาทิตย์เท่านั้น  ใจผมไม่ได้เป็นของพระเยซูคริสต์ ผมเป็นทาสบาปอย่างแรง  แล้วผมจะเป็นคนที่รอดพ้นบาปได้อย่างไร  พระคัมภีร์บอกว่าคนบาปจะถูกตัดขาดออกจากชุมชนของพระเจ้า เหมือนกับการแยกฝูงสัตว์สะอาด ออกจากฝูงสัตว์สกปรก

ผมสังเกตดูการใช้เวลาของผม  ผมเป็นแค่คริสเตียนวันอาทิตย์ตอนเช้าจริงๆ

เวลาอื่นผมคิดว่าผมไม่ใช่คนของพระคริสต์หรอก เพราะผมยังเปิดให้ลูกน้องทำงานวันอาทิตย์ตอนบ่าย  ผมใช้เวลาหมกหมุ่นกับสิ่งที่ผมสนใจ  ตั้งแต่การปลูกผัก เลี้ยงหมา ตกปลา  การทำไม้แคระ  การนั่งในวงสุรา จิบเบียร์สังสรรค์กับเพื่อน อินเตอร์เนท  ความบังเทิงส่วนตัว  ผมชอบพาภรรยาไปนั่งร้องเพลงคาราโอเกะในตอนสุดสัปดาห์  วันเสาร์ผมไปตีสนุกเกอร์  ประมาณ ๓ ชั่วโมง ก่อนนั่นผมไปหัดตีสนุ๊กเกอร์วันละสามเวลาเลย คือเช้า  เที่ยงและ ตอนเย็น ใช้เวลาประมาณ ๓ ปีกว่า  ผมตีสนุ๊กจนเพื่อนๆ สู้ผมไม่ได้  และไม่อยากเล่นกับผม  ผมเลยไม่สนุกกับการเล่นสนุ๊กเกอร์อีกแล้ว

ผมก็ยังเล่นสนุ๊กเกอร์ไปเรื่อยๆ เพราะอยากจะเก่งให้สุดๆ  ขอบคุณพระเจ้ามีวันหนึ่งลูกสาวคนกลางของผมตอนนั้นเขาอายุประมาณ ๔-๕ ขวบกำลังพูดเก่ง  เขาพูดกับพี่ชายของเขาแบบเด็กๆ ว่า "พี่ๆ อยากให้พ่อตายเน๊าะ, มันจะไม่ไปเล่นสนุ๊กเกอร์ไม่ได้"  "เพราะพ่อไม่เล่นกับเรา มัวแต่ไปเล่นสนุ๊กเกอร์"  คำพูดคำนั้นของลูกเป็นคำที่ประทับใจผมจริงๆ  มันเป็นเหมือนการสื่อสารของพระเจ้า  เป็นคำพูดที่เตือนสติผมมาก  ต่อมาเป็นคำที่ทำให้ผมเลิกเล่นสนุ๊กเกอร์ได้  แม้ว่าตอนนั้นผมยังไม่เอามาคิดมากนัก  ผมยังทำตามอำเภอใจ  ตามธรรมชาติของมนุษย์ผู้ชายทีบาปหนา  ยังมีอุปนิสัยเหมือนๆ กับชายบาปหนาทั่วไปจริงๆ 

หากผมพูดไปมากกว่านี้ก็เหมือนสาวใส้ให้กากิน  แต่พี่น้องทราบไหมว่า สัจจะจะทำให้เราเป็นไท  เราต้องยอมรับความบกพร่องของเรา  พิจารณาพฤติกรรมของตนเอง หากเราไม่ยอมให้พระวจนะของพระเจ้าวินิจฉัยชีวิตของเรา ใครจะช่วยเราได้  ไม่มีทาง  พระเยซูคริสต์จะไม่ยอมให้เราเข้าสู่ระดับความเชื่อที่สูงขึั้นหากเราไม่ยอมรับความผิดพลาดในพฤติกรรมซ่อนเร้น  ความชั่วร้ายและสิ่งที่เรากำลังดิ้นรนอยู่

ที่เล่าเรื่องเหล่านี้มาให้ผู้อ่านทราบ  ผมยอมให้ผู้อ่านด่าผมเลย  เพราะผมอยากจะเล่าสิ่งเหล่านี้ให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับลูกศิษย์ลูกหาของผมทุกๆ คน ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ระดับการเจิมที่สูงขึ้น  รับการเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิตพระคริสต์อย่างแท้จริง จนกลายเป็นสาวกพระคริสต์ที่มีฤทธฺ์อำนาจของพระเจ้าในตัว ไม่ใช่เป็นแค่ผู้เชื่อระดับต้นเท่านั้นที่ทำอะไรไม่ได้เลย ดีแต่แกล้งทำตัวเป็นนักการศาสนา  สั่งสอนเรื่องพระเจ้า แต่ตัวเองอยู่ปลายแถว แค่อธิษฐานให้คนหายปวดหัวยังไม่ได้  เป็นงูไซไร้พิษ  เป็นแค่คนใส่หน้ากากคริสเตียน  ไม่กล้าเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงต่อพี่น้องและพระเจ้า เป็นคนมีรากขมขื่น เป็นพวกมือถือสาวปากถือศีล แท้จริงเป็นคนล้มเหลวเรื่องเพศ เรื่องเงิน  เรื่องครอบครัว และมีสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจย่ำแย่

ต่อหน้าพี่น้องคริสเตียนผมแกล้งทำเป็นนักการศาสนา เป็นคริสเตียนที่ดี แต่ตัวตนที่แท้จริงผมเป็นคริสเตียนที่พ่ายแพ้ต่อบาป การล่อลวง การยั่วยวนของโลกนานาประการ ผมชอบดูรูปโป๊  ยิ่งตอนอินเตอร์เนทมาใหม่ๆ  เวลาคนมาเรียนคอมพิวเตอร์กับผม  ถ้ามีคนถามผมเกี่ยวกับเรื่องเว็บโป้  การดาวโหลดรูปโป้  การดาวโหลดคลิปหนังลามก  ผมสามารถบอกเขาได้  และยังแอบเก็บคลิปโป้ต่างๆ ไว้ในฮาร์ดิสคอมพิวเตอร์

ผมไม่เคยคิดเลยว่า การเก็บสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปเขามองดูแล้ว คิดว่าเป็นเรื่องธรรมชาติเป็นสิ่งไม่น่ารังเกียจ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ผมชอบเก็บรวบรวมรูปสาวสวยนานาชาติที่ใส่ชุดนุ่งน้อยห่มน้อยว่า เป็นเรื่องสวยๆ งาม  ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งปิดกั้นพระพรนานาประการที่พระเจ้าอยากจะอวยพรผมและครอบครัว

ตอนนั้นความรู้เรื่องพระคัมภีร์ผมยังไปไม่ถึงไหน แต่ผมกลับคิดว่าผมรู้ดี รู้มาก ผมชอบโต้แย้งเรื่องความรู้ในพระคัมภีร์กับผู้รู้ และคนที่มีจิตชอบอวดเก่งเรื่องพระคัมภีร์อยู่เสมอ

ภายหลังผมได้ศึกษาพระคัมภีร์มากขึ้น  จึงได้รู้ว่า ตัวผมเองเป็นแค่กบในกะลาเท่านั้น  ผมไม่ทราบว่าการเก็บสะสมสิ่งที่ส่งเสริมการล่่วงประเวณี และสิ่งที่กระตุ้นตัณหา และการมอมเมาตัณหาของตนเองจะเป็นเรื่องเสียหาย หรือทำให้ผมตกต่ำอะไร  แต่แท้ที่จริง พอผมไปอ่านในพระธรรม เฉลยธรรมบัญญัติในบทที่ ๗ ข้อที่ ๒๖ และเรื่อง เปโอร์ (พระธรรมกันดารวิถีบทที่ 25 และบทที่ 31.16 ) ผมต้องกลับใจใหม่เลย  เพราะการเก็บสิ่งที่พระเจ้าถือว่าเป็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียนเหล่านั้นไว้ และความผิดเรื่องเพศ ทำให้พระพรของพระเจ้าไม่สามารถลงมาที่ตัวผมและครอบครัวได้  แต่กลับเป็นการเปิดโอกาส เปิดช่องทางให้ความวิบัติเกิดขึ้นต่อตนเองและครอบครัว  เพราะพระเจ้าองค์บริสุทธฺ์ไม่ชอบสุงสิงกับพวกสกปรก และมีจิตใจฟุ้งซ่านกับสิ่งที่เป็นเนื้อหนัง  ตัณหาของตา ความทะนงในลาภยศ และสารพัดการอธรรมเหล่านี้

ความกลัวที่ทุกคนรู้แต่ไม่คิดถึงมันเลย คือความตาย  ผมกลัวว่าตายแล้วจะไม่ได้ไปอยู่ที่ดี คือสวรรค์ เพราะได้ยินว่า นรกเป็นที่ทรมานมากสำหรับวิญญาณที่ไม่เชื่อพระเยซู  ผมจึงมีความเชื่อว่าการเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจะสามารถทำให้ผมได้ไปสวรรค์ได้  ไม่ต้องรักษาตัวให้บริสุทธฺ์หรือรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ และอุปนิสัยใดๆ ผมก็จะได้ไปสวรรค์แล้ว  ดังนั้นผมไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงความคิดและจิตใจภายในแต่อย่างใด

แท้จริงตามความเข้าใจของผมในตอนนั้น  ผมเชื่อว่ามีคนจำนวนมาก ที่มาหาพระเยซูเพราะกลัวว่าจะไม่ได้ไปสวรรค์หลังจากที่วิญญาณเขาออกจากร่างเท่านั้น  ผมเป็นตั้งแต่แรกเกิด  เพราะอยู่ในครอบครัวชาวคริสต์  พ่อแม่บังคับให้ไปโบสถ์  ทั้งๆ ที่โบสถ์บางแห่งก็ไม่ได้สนใจจะสอนเด็กๆ อย่างเป็นจริงเป็นจัง  น่าเบื่อ และไม่มีชีวิตชีวาเลย ผมจำได้ว่าคริสต์จักรไม่ได้ให้บัพติสมาตอนที่ผมกลับใจเชื่อพระเจ้าเลย  เขาให้ผมรับบัพติสมาเพื่อจะถ่ายรูปผมไปทำเพื่อผลประโยชน์บางอย่างมากกว่า ผมเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ตอนที่อาจารย์เรียกให้ผมไปทำพิธีบัพติสมานั้นผมยังไม่รู้จักพระเยซูคริสต์เป็นการส่วนตัวแน่นอน

ผมไม่ได้เข้าใจว่า การมาเป็นคริสเตียนต้องรับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยใหม่ เพื่อจะเป็นมนุษย์ที่มีความสุข มีสิทธิด้านวิญญาณ  มีฤทธิอำนาจของพระเจ้า มีชีวิตที่มั่งมีศรีสุข มีความเจริญ  มีสุขภาพดีในชีวิตนี้ก่อน แล้วพอหมดอายุขัย ก็จะได้รับโอกาสเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ที่พระเยซูเจ้าเป็นผู้ครอบครอง   

โบสถ์ศาสนาคริสต์ที่ผมเคยไปร่วม  ตั้งแต่เด็กจนผมเติบโตเป็นหนุ่ม  อาจารย์และผู้ปกครองพร่ำสอนเสมอว่า  เชื่อพระเยซูแล้ว ถ้าตายไปแล้วจะได้ไปสวรรค์  ไม่ต้องตกนรก  ผมก็ฟังมาจนจำได้ดีแล้ว แต่ผมไม่เคยได้คิดว่า มาเชื่อพระเยซูแล้วจะได้พบพระพรนานาประการ ในชีวิตปัจจุบัน เป็นชีวิตที่มีชัยชนะเหนือมารซาตาน  โรคภัยไข้เจ็บ  และมีชีวิตที่เป็นพระพรต่อคนอื่นอย่างในขณะนี้   ผมไม่เคยเห็นผู้ปกครองหรืออาจารย์อธิษฐานวางมือคนให้หายป่วยในโบสถ์ที่ผมอยู่เลย ผมเชื่อว่าเขาก็ไม่รู้จักสิทธิอำนาจของผู้เชื่อเหมือนกัน  เพราะตอนนั้นโบสถ์คริสต์ส่วนใหญ่เป็นแค่สถานพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น

ดูเหมือนพวกชาวคริสต์ก็ไม่รู้ตัวว่า คนที่มีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ด้วยนะ ต้องมีอะไรพิเศษ มีฤทธิ์อำนาจในการวางมือรักษาคนป่วย และสามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้ายต่างๆ ที่แอบแฝงในร่างกายของคนได้  ผมได้รับทราบเนืองๆ ว่า พวกคริสเตียนชอบทะเลาะกันในโบสถ์หลังเลิกประชุมบ่อยๆ  ในคราวที่พวกเขาประชุมหารือเรื่องกิจกรรมต่างๆ ของโบสถ์ด้วย ถ้าเป็นเรื่องเงินเรื่องผลประโยชน์ยิ่งต้องเถียงกันนาน หลังจากทะเลาะกันแล้วบางคนก็ไม่ญาติดีกันเลย คริสเตียนเจ็บป่วยมันจะแสวงหาความช่วยเหลือจากยาก่อน ผมเคยได้ยินพวกคริสเตียนมีอายุเคยพูดว่า ยาคือสติปัญญาที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์  ถ้าเราป่วยเราต้องกินยาก่อน  ถ้ากินยาไม่หายก็จะไปหาหมอ  ถ้าหมอรักษาไม่หายถึงจะมาอธิษฐานขอให้หายป่วย

ตอนที่ผมเป็นเด็กน้อยที่มาโบสถ์ในวันอาทิตย์  ผู้ใหญ่ในคริสตจักรบางคนชอบใช้วาจากดขี่ และดูถูกพวกผมและน้องๆ เสมอ ด้วยการเรียกชื่อพวกเราแถมท้าย ด้วยคำหยาบที่เป็นชื่อพ่อของพวกเราด้วย  ตอนเด็กๆ ผมและน้องๆ เคยพูดว่า ขอให้กรูโตขึ้นมาอีกหน่อยเถอะจะต่อยปากคนพวกนี้  ขอบคุณพระเจ้าที่ผมไม่ได้เก็บความแค้นนั้นไว้เลย เพราะเข้าใจแล้วว่าทำไมคริสเตียนมีอายุพวกนั้นถึงได้ทำกับพวกเราอย่างนั้น  อย่างไรก็ตามขอบพระคุณพระเจ้าที่ตอนนี้ผมได้กลับมาอยู่ร่องในรอยกับพระเจ้าแล้ว

แม้ว่าบัดนี้ผมได้เริ่มไปอธิษฐานเผื่อผู้คนมาได้พักใหญ่ๆ แล้ว ปรากฎว่าผู้คนหายป่วยกันอย่างมากมาย  แต่เสียงสะท้อนที่ผมได้รับจากนักการศาสนา และคริสเตียนหัวนก เขามักจะเบรกผมเสมอว่า สิ่งที่ผมและลูกศิษย์ลูกหาทำไม่มีในพระคัมภีร์  การเจิมไม่มี  การรักษาให้หายโรคไม่มี  การเอาน้ำมันทาไม่มี  บางคนบอกว่า การวางมือและอธิษฐานแบบที่ผมทำอยู่ไม่ใช่ความเชื่อของเขา ผมและลูกศิษย์น่ะ กำลังแย่งเกียรติของพระเยซูโดยการบอกว่า การอธิษฐานในนามพระเยซูเพื่อการรักษาความป่วยใข้น่ะ ผมทำไม่ถูก คนเหล่านี้พยายามบอกผมหลายครั้งหลายหน ว่า

"คุณไม่สามารถทำการรักษาได้นะ  
คุณจะต้องอธิษฐานว่า ขอให้พระเยซูรักษาเท่านั้น
เพราะคนรักษาคือพระเยซูไม่ใช่คุณ"

เรื่องนี้มันพูดง่ายแต่เข้าใจยากมาก  คือมันพูดถูกเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งมันไม่ถูก คือคนพวกที่มันไม่สามารถใช้ฤทธิ์เดชของพระเจ้าเนี้ย  มันเข้าใจว่า ตัวเขาเองไม่มีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  เวลาเราจะอธิษฐานขับผีหรืออะไร ต้องขอให้พระเยซูช่วยไล่ผี หรือรักษาความป่วยใข้ไปเท่านั้น เราไม่สามารถไล่ผี หรือรักษาคนป่วยได้ด้วยการกระทำของเราเองในพระนามพระเยซู  พวกนักวิจารณ์เหล่านี้นะ  มันพยายามจะบอกว่ามันน่ะ รู้ดีกว่าผม ผมได้ยินมาหลายครั้งมาก  แต่ผมไม่สามารถที่จะเชื่อคำพูดเหล่านี้  เพราะอะไรหรือ ก็พวกนี้มันดีแต่พูด  ตัวมันเองมันยังทำไม่ได้  มันอธิษฐานขับผีที่แอบแฝงในร่างกายมนุษย์ออกไม่ได้  คนป่วยก็ไม่หาย  แต่มาชอบสอนคนที่เขาทำเป็นแล้ว  แล้วแบบนี้จะให้ผมเชื่อคำพูดของพวกเขาได้อย่างไร

เวลาคนพวกนี้จะไล่ผี หรือจะอธิษฐานทำให้คนป่วยหายจากการป่วย พวกเขาบอกว่าให้อธิษฐานขอให้พระเยซูทำ  ด้วยบอกว่าขอพระเยซูช่วยขับผีนี้ออกไป  ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าขอให้คนหายป่วย  พวกเขาไม่ต้องทำอะไรเลย  พวกเขาเอาแต่หลับตาแล้วอธิษฐาน  เพราะเขาเชื่อว่าไม่มีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในตัวของเขาเอง

ที่คนมันพูดแบบนี้  มันว่าก็ถูกของมัน มันอ้างมันไม่มีของประทาน ไม่มีฤทธิ์เดชของผู้เชื่อ คือคนประเภทนี้มันทำไม่ได้อยู่แล้ว  แล้วมันก็พยายามจะยัดเยียด และสั่งสอนให้ผมทำตามแบบที่มันเคยทำแล้วไม่ได้ผล  เพื่อจะให้ผมหลงเข้าไปในหลักศาสนศาสตร์ที่ไร้เรี่ยวแรงและน่าเบื่อของพวกเขา   แล้วพี่น้องคิดดูซิ  ทำไมคนพวกนี้ทำไมไม่เจียมตัวบ้าง  ในเมื่อพวกเขาอธิษฐานคนหายป่วยไม่ได้ ไล่ผีไม่เคยออก ไม่เคยเจอผีในคน ไม่เคยคาดคิดว่า ภายในตัวคนเราดีๆ นี่น่ะจะมีวิญญาณอื่นมาแอบแฝงอยู่ด้วย  ไม่มีความรู้เรื่องการปลดปล่อย  ตัวเองทำยังไม่เป็น  พวกเขาก็ไม่น่าจะพูดมากแสดงภูมิรู้ทางศาสนาสั่งสอนในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้นะผมว่า

คนประเภทนี้เราอาจเรียกพวกเขา พวกธรรมาจารย์  คือเป็นเก่งแต่ทางพระคัมภีร์  ถ้าไปถามปัญหาพระคัมภีร์กับคนพวกนี้ล่ะก็ ดีไม่ดี  อาจได้ทะเลาะกัน เพราะพวกเขาเก่งมาก ชอบอ้างว่าไม่มีในพระคัมภีร์  คนแบบนี้ผมเจอมาเยอะมาก  มันอ้างพระคัมภีร์มั่วๆ เก่งแต่ทฤษฎี ปฎิบัติไม่ได้ เวลาออกไปเทศนาสั่งสอนคนชอบแปลพระคัมภีร์ตามภาษากรีกบ้าง ฮีบรูบ้าง เวลาเทศนาจะขยายความเรื่องถ้อยคำ ถกถ้อยคำ ยกตัวอย่างการอัศจรรย์ของพระเยซูสารพัด  เยาะด้วยข่าวล่า ข่าวดัง  เทศนาเหมือนกับการอ่านรายงานของนักเรียนชั้นประถม คือ ยกข้อพระธรรมภีร์มาสักตอนหนึ่ง  แล้วก็จะอ่านให้จบไปก่อน ๑ เที่ยว แล้วก็จะต่อด้วยคำนำของบทเทศน์  แล้วก็ยกตัวอย่างประกอบไป ประการที่ ๑, ๒, ๓ แล้วก็จะมาถึงตอนสรุป เพื่อเน้นย่ำให้ผู้ฟังเข้าใจสาระคำเทศน์มากขึ้น  แล้วก็จบการเทศนา  แต่คนประเภทรู้มากทางพระคัมภีร์เหล่านี้หลายๆ คนไม่เคยคิดอธิษฐานเผื่อใครสักคน คนป่วยมาโบสถ์ก็ป่วยอยู่อย่างนั้น  ปวดหัวข้างเดียวมาโบสถ์ ปวดเอว ปวดท้องออกจากโบสถ์ไปก็ยังเป็นเหมือนเดิม คือดีแต่สอนความรุ้น่ะ เป็นอย่างนั้นเลย

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการปลดปล่อยนักการศาสนาส่วนใหญ่อาจยังไม่เคยได้ยิน  หากได้ยิน แต่ตัวเองไม่เคยเรียน ไม่มีอาจารย์สอน  ทำไม่ได้ ก็จะคิดว่า  ส่งที่พวกผมและลูกศิษย์กำลังทำอยู่นี้ เป็นลัทธิใหม่ เป็นพวกลัทธิเทียมเท็จ  ไม่มีในระบอบของเขา เราไม่เอา ในชุมชนชาวคริสต์ของพวกเขาพี่น้องป่วยเกือบหมดโบสถ์ก็ช่างมัน  พวกเขาอาจคิดไปว่า ไม่นานก็จะตายไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว การป่วยเป็นเรื่องธรรมชาติ  โรคหัวใจ โรคความดัน โรคเบาหวาน มะเร็ง ฯลฯ สำหรับคริสเตียนเป็นเรื่องธรรมชาติ

แท้จริงมีตัวอย่างในพระคัมภีร์มากมาย ในเรื่องการปลดปล่อย การขับผี  พระเยซูทำการอัศจรรย์ สาวกทำการอัศจรรย์  แต่แปลกไหมครับพี่น้อง  คนที่อ้างตัวเป็นสาวกพระคริสต์ในปัจจุบัน  หลายๆๆๆๆ และหลายคน ไม่สนใจเรื่องการใช้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในผู้เชื่อ อาจเนื่องจากการศึกษาวิเคราะห์ความรู้ทางพระคัมภีร์ พวกเขาทำด้วยมันสมองมากเกินไป ไม่มีอาจารย์คอยสอนคอยชี้แนะ ปัญหาหลักก็คือมันยะโสน่ะ  ไม่ฟังใคร คิดว่าตัวเองยอดแล้ว เลยไม่รู้อะไร มันจึงไม่ถึงบางอ้อสักที่ ก็น่าเสียใจสำหรับคนประเภทนี้ ไม่รู้ ไม่ศึกษา ไม่มีประสบการณ์ ปิดหูปิดตาตนเอง แถมไม่พอปิดกั้นพระพรสู่คนอื่นด้วย ชอบตัดสินคนอื่นง่ายๆ ด้วยคำพูดสั้นๆ เหมือนกำปั้นทุบดินว่า...."ไม่มีในพระคัมภีร์ " ผมคิดว่าคนที่ชอบอ้างอย่างนี้ คงได้ศึกษาพระคัมภีร์จนทะลุปลุโปร่งแล้วล่ะซิ

ข้อแก้ตัวของนักการศาสนาที่ถูกอะไรบางอย่างปิดเบ้าตาไว้ไม่ให้เห็นความจริงของพระเจ้า ไม่ให้เข้าถึงฤทธิ์อำนาจของผู้เชื่อ คือข้อแก้ตัวที่ว่า  "ผมไม่มีของประทาน"  หรือบอกว่า "ของประทานมีต่างกัน"  คือข้ออ้างที่เขาพูดน่ะ มันไม่ผิดพระคัมภีร์นะ แต่ว่ามันไม่ใช่อย่างที่บางคนพูด  ความเป็นจริงเป็นอย่างนี้ คือว่าเกือบจะทุกโบสถ์   นักการศาสนาสอนและพูดอย่างเดียวกันโดยไม่นัดหมาย คือ  "ผมไม่มีของประทานแห่งฤทธิ์เดช"

แล้วถ้าทุกคริสตจักรเป็นอย่างนี้ ถ้าหากคนหมดหวังกับการรักษาของแพทย์พวกเขาจะไปหาใครล่ะ  ไปหาโบสถ์คริสต์โบสถ์ไหนล่ะ เพราะทุกโบสถ์อาจารย์บอกเหมือนกัน

"คือผมทำไม่ได้"
"ผมไม่มีฤทธิ์เดช" 
"ฉันไม่มีของประทาน" 

แล้วคริสตจักรคือคำตอบอะไร ชาวคริสต์กับผู้ศรัทธาในศาสนาอื่น ไม่มีอะไรแตกต่างกันมาก  บางครั้งพวกไม่เชื่อพระเยซูยังมีที่พึ่งดีกว่าการไปหานักการศาสนาไร้ฤทธิ์เดชที่อ้างว่ามีพระเจ้าสถิตอยู่ในตัวอีกด้วย  เพราะเวลาเขาไม่สบายเขาก็ไปถามพวกหมอดู  คนทรงเจ้า พวกนั้นมันมีวิญญาณอื่นช่วย  ชาวบ้านจึงแห่ไปหา ไปกราบไหว้  แล้วพวกอาจารย์ดังๆ ชาวคริสต์ที่เดินสายเทศนาทำอะไรได้ นอกจากไปแจกความรู้ และกระตุ้นต่อมสนุกให้คนหัวเราะเท่านั้นแล้วก็กลับบ้าน งั้นหรือ แล้วพระเจ้าที่เขาอ้างว่าทุกคนมีวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในตัว  ในเมื่ออ้างว่ามีสิงศักดิ์สิทธิอยู่ในตัวทำไมทำอะไรไม่ได้เลย  ลองไปถามคนที่เล่นของ และเกจิของลัทธิต่างๆ ซิเขาเสกอะไรได้สารพัด รักษาคนก็หาย ฟันแทงไม่เข้า แล้วพวกที่อ้างว่ามีพระเจ้าอยู่ในตัวทำอะไรได้บ้าง ไม่อายผีบ้างหรือ  ที่น่าเจ็บปวดใจมากคือว่า นักการศาสนาไม่น้อยที่เขาและภรรยากลัวผีเอามากๆ  ไม่กล้าไล่ผี ไม่กล้าทำอะไรกับวิญญาณระดับเทพ เพราะกลัว

เชื่อไหมครับ  มีคนเคยเล่าให้ผมฟังว่า ดังนี้
 
มีนักเทศน์บางคนพูดว่าอย่างนี้  เรื่องการอธิษฐานวางมือให้คนหายโรคผมไม่ทำหรอก  เดี๋ยวพี่น้องจะมานับถือผมมากกว่าพระเยซู   และถ้าการอธิษฐานวางมือคนหายป่วยได้เกิดขึ้นจริงนะ  เราก็ไม่จำเป็นต้องมีแพทย์ มีโรงพยาบาล  คนก็ไม่ต้องป่วย ไม่ต้องตายนะซิ 

เออ มันช่างคิด ช่างสรรหาคำพูดนะผมว่า

คนแบบนี้จะทำอย่างไร ถ้าเขาเป็นศิษยาภิบาลที่อยู่ในเขตกันดารและไม่มีถนนหนทาง  ไม่มีแพทย์  ที่นักการศาสนาไปสอนความรู้เรื่องพระเจ้าเป็นที่ในป่าเขา  แล้วสมาชิกของเขาป่วยเขาจะทำอย่างไร  พวกนี้คิดและมองแค่ประเทศไทย มองไปที่ประเทศอื่นบางซิ ในดินแดนอื่นๆ คนที่ขาดแคลนทุกสิ่งทุกอย่าง  ยังมีอีกมาก บางคนป่วยแต่ไม่กล้าไปหาหมอ เพราะค่ารักษามันแพงมาก  ไปหาหมอมาแล้วก็เป็นอีก  เป็นโรคแทรกซ้อนเรื่อยๆ ไม่หายสักที ถ้าการรักษาของหมอไม่สามารถทำให้หายขาด มีสุขภาพดีได้  เป็นโรคที่เกินความสามารถของแพทย์ และความรู้ทางแพทย์ในปัจจุบัน เขาจะทำอย่างไร

สำหรับ คนพวกนี้อาจเปรียบเป็นพวกนักรบโบราณ  คงใช้แต่อาวุธโบราณที่ล้าสมัยในการรบ  ถ้าไปสงคราม เจ๊งแน่ๆ คงถูกจับถูกฆ่า ลูกสาว และเมียของเขาถูกจับไปเป็นเชลย ไปเป็นนางบำเรอของศัตรู

มาถึงตรงนี้พี่น้องครับ ผมอดคิดถึงตอนไทยรบกับทหารประเทศฝรั่งในยุคล่าอาณานิคม ช่วงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นไม่ได้  ประเทศไทยต้องยอมเสียแผ่นดินให้กับ อังกฤษและฝรั่งเศษ เสียสิบสองปันนา เสียเมือง เสียมราช สีโสพน ที่เขมร เสียเมืองอื่นๆ และที่ดินไปอีกไม่รู้เท่าไหร่ เพราะคนไทยเราในสมัยก่อนยังมีการส่งเสริมวิธีการใหม่ๆ ความคิดใหม่ๆ ที่เขาเรียกว่า "นวัตกรรม" ไม่มากเท่าที่ควร อาวุธของเราล้าสมัยกว่าของศํตรู  เราจึงต้องพ่ายแพ้  ต้องจำยอมทำสัญญาทาส  เสียเปรียบประเทศมหาอำนาจหลายๆ ครั้ง อาจเป็นเพราะความคิดที่ไม่เปลี่ยนแปลง  ไม่รับของใหม่  ไม่เปิดใจนี่แหละเราจึงไม่รู้วิธีการใหม่ๆ ในการดำเนินกลยุทธในการบริหารจัดการในหลายๆ เรื่อง

เรื่องการใช้สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชของพระเจ้าผ่านทางผู้เชื่อเป็นเรื่องที่เราต้องรีบศึกษา ต้องรับเอามาไว้ในคริสตจักร  เพราะนี้คือแหล่งพลังงานเดียวที่เราจะประกาศว่า พระเยซูคือพระเจ้าที่เหนือกว่าผี

ผมขอยกข้อพระธรรมมาตอนหนึ่งในพระธรรมลูกา บทที่ ๙  ข้อที่ ๑-๒, ๖ เขียนว่าดังนี้

"พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมาพร้อมกัน แล้วก็ประทานให้เขามีอำนาจเหนือผีทั้งปวง  และ (สามารถ) รักษาโรคต่างๆให้หาย แล้วพระองค์ทรงใช้เขาไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า และรักษาคนป่วยเจ็บให้หาย

(๖) ”เหล่าสาวกจึงออกไปตามหมู่บ้าน ประกาศข่าวประเสริฐ
และรักษาคนป่วยเจ็บทุกแห่งให้หาย"

และในพระธรรมลูกาเหมือนกัน ได้เขียนว่าดังนี้

"และจงรักษาคนป่วยในเมืองนั้นให้หาย   และแจ้งแก่เขาว่า   'แผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว" (พระธรรมลูกา บทที่ ๑๐ ข้อที่ ๙)

ในพระธรรม มัทธิว บทที่ ๑๐ ข้อที ๑
 
"พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มา
แล้วก็ประทานอำนาจให้เขาขับผีร้ายออกได้
และให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกอย่างให้หายได้"

นอกจากนี้พระธรรมมัทธิว บทที่ ๑๗ ข้อ ๑๙ ได้กล่าวว่า

"ภายหลังเหล่าสาวกของพระเยซูมาหาพระองค์เป็นส่วนตัวทูลถามว่า
“เหตุไฉนพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่ได้"

พระเยซูตอบว่า

"แต่ผีชนิดนี้ไม่เคยถูกขับออก เว้นไว้โดยการอธิษฐานและการอดอาหาร"

มาถึงตรงนี้พี่น้องคงพอเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าผ่านผู้เชื่อแล้ว

จากพระธรรมข้างบนยังเห็นอีกว่า การเป็นผู้เชื่อในพระเยซูไม่เพียงแต่ อธิษฐานเท่านั้น ยังต้องมีการฝึกวินัยฝ่ายวิญญาณด้วยการถืออดอาหารด้วย  แล้วมีนักการศาสนคนใด ผู้เชื่อคนใดที่ถืออดอาหารเป็นประจำ

ผมเคยสอนเรื่องการถืออดอาหารให้คริสตจักรแห่งหนึ่ง พอสอนเสร็จก็ให้ผู้เชื่อไปฝึกการอธิษฐานถืออด ในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า  พออาทิตย์ต่อมา  ผมก็ถามว่า "ใครไปถืออดอาหารตามที่ผมบอกบ้าง"
น่าแปลกใจไหม  สมาชิกใหม่ๆ เขาถืออดกันคนละวันสองวัน วันละสองมือ คือ มื้อเช้ากับมื้อเที่ยง แต่ผู้ปกครองหลายคน ไม่ได้ถือ มีคนหนึ่งบอกว่า ถือมาหนึ่งมื้อ คือมื้อเช้า

ผมอดขำไม่ได้ ไม่อยากดูแคลนเลยนะ  แต่ผมคิดว่า คนพวกนี้น่าสงสารมาก  เขาอยู่ในศาสนาโบราณมานาน  คนกลายเป็นศาสนิกที่ทำตัวตามสบาย  มีชีวิตคริสเตียนที่ล้มลุกคลุกคลาน บางคนเป็นคริสเตียนมาเกือบสามสิบปี  ยังไม่คุ้นเคยกับการถืออด  แล้วจะไปขับผี  อธิษฐานเฟื่อคนป่วยได้อย่างไร ตัวเองยังพ่ายแพ้ต่อกระเพาะอาหารของตนเองอยู่เลย  อาจารย์เปาโลบอกว่า "พระของเขาคือกระเพาะอาหาร"
(ฟิลิปปี ๓.๑๙)

แต่การที่เราจะได้รับของประทาน มีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า และสามารถใช้สิทธิอำนาจที่เราได้รับอย่างเกิดผลนั้น มันอาจต้องมีวิธีการและ ขั้นตอนในการพัฒนาของประทานด้วย และต้องมีอาจารย์คอยสอน แนะนำ ไม่งั้นอาจใช้ไม่ถูก อาจเข้าทำนอง การมีความรู้มากทำให้ยะโส  ถือดี คิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น สุดท้ายเรือล่ม

ในพระธรรม ๒ ทิโมธี บที่ ๑ ข้อที่ ๖

"อันของประทานของพระเจ้าซึ่งมีอยู่ในท่าน   โดยที่ข้าพเจ้าได้เอามือวางบนท่านนั้น   ขอเตือนว่าท่านจงกระทำให้รุ่งเรืองขึ้น "

อันนี้แปลว่า อะไรหรือ ก็หมายความว่า "ของประทานของพระเจ้านั้นสามารถส่งต่อกันได้หมู่ผู้เชื่อ"
ภาษาอังกฤษ เขาใชัคำว่า IMPARTATION ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่า  ถ้าผมจะแปลว่า "การส่งต่อ" กับคำว่า "การถ่ายทอด" ของประทาน   เราควรจะใช้คำไหนแน่ หรืออาจมีคำอื่นที่ให้ความหมายตรง หรือดีกว่านี้

คือว่าของประทานของพระเจ้า  มักจะเกิดกับผู้ที่มีความสนิทสนม หรือมีความสัมพันธ์ที่คงเส้นคงวากับพระเจ้า  คนจำพวก สามอาทิตย์ดี สี่อาทิตย์ใข้ ผมว่าไม่น่าจะมีนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนี้ หากคนที่ความสัมพันธ์กับพระเจ้าไม่คงเส้นคงว่า การมีของประทานอย่างนี้ อาจนำไปใช้ในทางที่ผิด หรือไม่ถูกต้องตามธรรมนองคลองธรรม  อาจทำไปเพื่อประโยชน์ของตนเอง

นักการศาสนาอาจทำตัวเป็นเหมือนคนทรงเจ้า หมอดู  เป็นเจ้าสำนักที่ใช้ของประทานเพื่อสร้างผลกำไรให้กับตัวเองและพรรคพวก   อาจทำให้คริสตจักรเสียหายได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องที่เคยดูการสอนของอาจารย์ชาวต่างประเทศหลายๆ คนที่ดังมาก  สิ่งที่เขาทำคือ การขายคำสอนและวิธีการต่างๆ ในการพัฒนาชีวิตคริสเตียน หรือจัดสัมมนาการปลดปล่อยแล้วพวกเขาเก็บค่าลงทะเบียนแพงๆ  หลายคนกลายเป็นเศรษฐีได้ในพริบตาเพราะเอาของที่พระเจ้าเปิดเผยให้ไปทำเป็นธุรกิจมากเกินไป

ไม่แน่นะวันหนึ่งข้างหน้าผมและทีมงานอาจจะต้องทำให้มันเกิดรายได้บ้างก็ได้ เพื่อเราจะสามารถไปปรนนิบัติพี่น้องและคนไม่เชื่อที่เจ็บป่วยในต่างประเทศที่อยู่ห่างไกลไปมากๆ ได้ด้วย  เพราะค่าใช้จ่ายมันสูง  ดังนั้นพันธกิจนี้อาจไม่ไปเพียงแค่ประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น แต่ไปถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลกเลย


เท่าที่เราทำอยู่นี้  เนื่องจากว่าเรายังไม่ดัง  หรือเรียกว่ายังไม่มีใครรู้จักก็ว่าได้  เพราะสิ่งที่เราทำนี้ คริสตจักรในประเทศไทยมีเพียงไม่กี่แห่งที่ทำอย่างนี้ที่เป็นคริสตจักรที่มีอาจารย์ชำนาญทางด้านการปลดปล่อย  หรือมีของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งยังส่งเสริมพี่น้องให้แสวงหา   โบสถ์หรือนักการศาสนาส่วนมาก เป็นเพียงผู้เปิดให้ฝรั่งหรือเกาหลี หรือชาวสิงคโปร์ เข้ามาทำการรักษาพี่น้องในคริสตจักรเท่านั้น  ยังไม่ถึงขั้นสั่งสอนหรือเสริมสร้างให้ผู้เชื่อประกอบด้วยสิทธิอำนาจและประกาศด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า

ผมก็ประหลาดใจว่า ทำไมโบสถ์บางแห่ง ไม่เคยเปิดให้คนไทยต่างคณะเข้าไปเทศนา หรือปลดปล่อยพี่น้องเลย อ้างไม่เชื่อ  อ้างว่าในหลักข้อเชื่อของเราไม่มีอย่างนี้  อาจารย์ใหญ่ของเราไม่ทำ หน่วยเหนือเราไม่รับ แต่ทำไมพอคนต่างชาติมาอย่างเดียวกันสามารถทำได้  ผมเลยมาถึงบางอ้อว่า  เงินน่ะมันง้างประตูโบสถ์ได้ด้วยน่ะซิ  พอเงินหมดประตูก็ปิด ประชาชีก็กลับไปทำพฤติกรรมเหมือนเดิม  คือขึ้นๆ ลงๆ ไม่เอาจริงเอาจังกับการประกาศข่าวประเสริฐ เปิดโบสถ์เพื่อเป็นสถานประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น ไม่ได้เป็นที่แห่งการปลดปล่อย  การฟื้นฟูจิตวิญญาณ การเยียวยา ไม่เป็นที่การอัศจรรย์เกิดขึ้นใดๆ เลย

ผมมีข้อสังเกตสำหรับคนไทยอีกข้อหนึ่งคือ  หลายๆ ครั้งเราพบว่า คริสเตียนชอบของนอกนะ  เหมือนชาวโลกเลย คือชอบคนดัง  ชอบฝรั่ง ชอบอาจารย์ดังๆ น่ะ ถ้าเป็นของไทยก็ต้องเป็นระดับนักการศาสนาที่รับใช้โบสถ์ใหญ่ ๆ ต้องมี คำนำหน้าดังๆ พรรษามากๆ ถ้าเป็นคริสเตียนนักธุรกิจยิ่งดีนะ  เพราะไม่ต้องจ่ายค่าเทศนา เพราะเขาไม่เอาอยู่แล้ว หากผู้เทศนามาจากต่างประเทศ  เป็นของนอกก็ต้องระดับเวิร์ดคลาส อย่างเช่น อาจารย์มัทธิว อาจารย์  ซินดี เจคอปส์  เวลาประกาศอัศจรรย์ต้องไปเชิญฝรั่งเมืองนอกมาทำ  ไม่มีความคิดว่าคนไทยก็ทำได้หรือไงไม่รู้ ไม่อายเขาบ้างหรือจ๊ะ

สิ่งที่คือข้อสังเกตของเรา เมื่อเราไปปรนนิบัติในคริสตจักรต่างถิ่นครั้งแรก เรามักจะพบว่า คนจะไม่มามาก เพราะคนเบื่อกับคำว่าฟื้นฟูแล้ว เพราะมันไม่มีอะไรจริงๆ  นักเทศน์เทศนาเพื่อความสนุก  เล่าเรื่องตลก สอนความรู้เรื่องพระเจ้าแล้วก็จบ คนเลยเข็ดไม่อยากมาร่วม  แต่พอเขาได้รับทราบจากคนป่วยที่หายจากการอธิาฐานของทีมเรา  ตอนไปครั้งที่สองพี่น้องจะมากันมาก และให้ความนับถือเราอย่างมาก อันนี้ก็ขอบพระคุณพระเจ้าที่  นักเทศน์ไม่ดังอย่างทีมของเราสามารถปลดปล่อยคนได้หลายร้อยคนแล้วในปีนี้

พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในตัวอาจารย์มัทธิว อาจารย์ซินดี้  กับองค์ที่อยู่ในตัวผู้เชื่อคนไทย เป็นพระเจ้าองค์เดียวกันไม่ใช่หรือ  เขาทำได้ เราทำไมทำไมได้ล่ะ มีอาจารย์ชาวคริสต์คนไทย เคยคิดทำครูเสดใหญ่ๆ ไหมล่ะ  ที่เขาทำไม่ได้ไม่ใช่ เขาไม่มีฤทธิ์เดชของพระเจ้า ผมเชื่อว่า เพราะนักเทศน์ปลดปล่อยเหล่านั้นไม่ได้รับการส่งเสริมจากพวกคริสเตียนด้วยกันมากกว่า  เพราะนิสัยคนคนไทยบางพวกนิยมคำว่า  เงินมา งานเดิน เงินไม่เพลิน งานหยุด

เหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่คนไทยชอบของนอก  อาจเป็นเพราะว่า เวลาฝรั่งมา  เขาไม่ได้มาแต่ตัว เขาเอาเงินมาแจกเป็นถุงเป็นถังก็เป็นได้  เพราะผมเคยเห็นคริสตจักรบางคณะร่วมมือกันจัดงานฟื้นฟู หลายๆ โบสถ์ร่วมมือกันจัดสัมมนาฟื้นฟูในภาคเหนือ   พองานเลิกก็ทะเลาะและผิดใจกัน  เนื่องจากการมาประกาศฟื้นฟูของคณะฝรั่งโบสถ์รวยๆ จากโบสถ์เมืองนอกคณะนั้น  พองานสัมมนาเสร็จ  เขาทิ้งรถยนต์ไว้ให้คณะผู้จัดการอบรมเพื่อเอาไปแบ่งกันหลายคัน   แต่คนแบ่งดันแบ่งไม่ลงตัว

ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ  คนที่ไม่พอใจผลการแบ่งสมบัติอ้างว่า เขาแบ่งไม่ยุติธรรม  มอบให้แต่พวกใกล้ชิด ให้แต่คนในสังกัด ใกล้ชิดสนิทสนมตัวเอง  ไม่แบ่งให้เหมาะสม พวกของข้าทำไมไม่ได้  จึงเกิดเรื่องทะเลาะกัน  ไม่มองหน้ากัน   บางคนตายไปแล้วยังไม่ยอมอภัยให้กับคนๆ นั้่นที่เป็นผู้จัดการมรดกฝรั่งในครั้งนั้น และนี่คือเรื่องเศร้าที่ผมจำได้ และควรจะบันทึกไว้เป็นอุทาหรณ์แก่ พี่น้องคริสเตียน ว่าต้องทำใจ  ให้พี่น้องจงระลึกเสมอว่า  ศาสนามันมีผลประโยชน์

ผมขอหนุนใจผู้เชื่อพระเยซูว่า จงแยกพระเยซูคริสต์ออกจากศาสนาคริสต์  คำสอนและการกระทำของผู้นำทางศาสนา บางครั้งมันสวนทางกันมาก ระหว่างสิ่งที่เขาสอน เขาพูด กับสิ่งที่เขาปฎิบัติ ถ้าเราติดตามคนพวกนี้ ความเชื่อของเราก็จบ เราไม่สามารถติดตามพระเจ้าเพราะคำสอนของคนพวกนี้ได้ ไม่สามารถเชื่อพระเยซูคริสต์ได้  เพราะหลายๆ คนแม้จะเรียกพระเยซูเป็นพระเจ้ามันยังอายปากเลย  มันเรียกพระเยซูด้วยคำว่า "พระเจ้า" เหมือนพระเจ้าทั่วๆ ไป ที่ชาวโลกเขานับถือ พระ หรือเทพทุกองค์ เป็นพระเจ้านั่นเอง

น่าเสียดายสำหรับกลุ่มคริสเตียน ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์แบ่งมรดกฝรั่งไม่ลงตัวในครั้งนั้น  คริสตจักรในจังหวัดนี้  เลยต่างคนต่างอยู่  ไม่สนใจกัน ไม่สามารถมาร่วมอธิษฐานด้วยกัน บรรยากาศการประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์ในจังหวัด  เงียบไปหลายปีเลยทีเดียว ตอนนี้เริ่มกลับมาจับมือกันบ้างแล้ว  แต่ก็ยังไม่ค่อยสนิทใจ บางแห่งถ้าได้รับเชิญให้มาร่วมงานอธิษฐาน หรือกิจกรรมร่วมมืออะไรก็มาอย่างเสียไม่ได้  มาสายๆ แบบไม่มีภาระใจอะไรต่อกันอีกต่อไป มาเพราะมารยาท มาสายกลับไปก่อน  มาแค่ให้เห็นหน้า  เพราะเหตุความเจ็บใจในอดีตหลายๆ เรื่อง ความบาดหมางต่างๆ มันน่าให้อภัยง่ายๆ ไม่ค่อยได้

คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ๆ ในวงการคริสเตียนอาจสดุดนะ แต่นี่คือความจริง ศาสนาอาจมีผลประโยชน์แอบแฝง  ไม่งั้นพระเยซูคงไม่ถูกพวกนักการศาสนาที่หากินกับศาสนายูดายในสมัยพระเยซู คือ พวกฟาริสี และพวกธรรมาจารย์ ตามไปจับผิดทุกที่ทุกแห่ง  กล่าวหา ฟ้องและกีดกันต่างๆ นานา จนในที่สุดวางแผนจับพระเยซูไปตรึงที่กางเขน  เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตลอดทุกยุคทุกสมัย เพราะผลประโยชน์จากความเชื่อศรัทธานี่แหละ

เบื้องหลังของความขัดแย้งเหล่านี้  ถ้าคิดตื้นๆ เป็นเรื่องผลประโยชน์ของศาสนา  แต่ถ้าคิดให้ลึกๆ มันคือยุทธอุบายในการถ่วงเวลาตายของพญามารและสมุนของมันครับ  เพราะมารจะหมดอิสระภาพทันที ที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาครั้งที่สอง  เนื่องจากในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บอกเกี่ยวกับวันสิ้นโลก หรือมีข้อแม้ของวันสิ้นโลกว่า ดังนี้ คือ ข่าวประเสริฐของพระเยซูต้องทำให้้สำเร็จ ต้องได้ประกาศออกไปถึงทุกชาติทั่วโลกก่อน พระเยซูคริสต์จึงจะกลับมาพิพากษามนุษย์โลก

ในวันที่พระเยซูกลับมาพิพากษาโลก  เวลานั้นคือเวลาที่พญามารและสมุนของมันหมดเวลาสนุก  พวกมันจะถูกลงโทษ เวลาการประกาศข่าวประเสริฐยิ่งล่าช้าออกไป คือเวลาทียืดขยายออกของชีวิตอันสุโข ของเหล่าวิญญาณผีร้ายต่างๆ ที่แอบแฝงอยู่ในทุกแห่ง ทุกพื้นที่ในโลกที่อ้างตัวเป็นเทพ เป็นพระเจ้าองค์ต่างๆ มีหลายมือ หลายหน้า ถืออาวุธนานาชนิด รูปปั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ เป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ตามต้นไม้ต่างๆ ในเทวสถานทั่วโลก  ซาตานและวิญญาณร้าย มันเหมือนนักโทษที่ทำผิดมหันต์ ฝากขังไว้รอวันตัดสินประหารชีวิตเท่านั้น



กลับมาเล่าเรื่อง ของประทานกันต่อดีกว่า

เรื่องการมีของประทานนี้ คนไทยเราก็ไม่ส่งเสริมกัน  ชอบตามก้นฝรั่ง  พวกด๊อกเตอร์คริสเตียนบางคนในเมืองไทยยิ่งไปใหญ่  มีดีเพียงแค่ไปเป็นล่ามแปลให้พวกฝรั่ง  ชอบยกก้นฝรั่ง ดีแต่แปลคำเทศนาฝรั่งมาสอนในโบสถ์  ผู้รับใช้คนไทยด้วยกัน มองไม่เห็นหัว  ตัวเองทำการอัศจรรย์ไม่ได้เลย ไม่สนใจพัฒนาของประทานของตนเอง ไม่แสวงหา  ดีแต่แปลคำสอนฝรั่งมาขาย  นักการศาสนาคนไทยด้วยกันไม่สนใจ ไม่ส่งเสริมกัน แต่กีดกัน  ปกป้องไม่ให้ใครไปยุ่งในอาณาจักรของตน  การหนุนใจ การถามข่าวคราว การอธิษฐานเผื่อกันแทบไม่มีให้เห็น ต่างคนต่างอยู่ ตัวใครตัวมัน พฤติการณ์แบบนี้ซาตานชอบมาก เพราะยิ่งคริสเตียนแตกแยกกันมากเท่าไร การประกาศข่าวประเสริฐก็ยิ่งไร้ประสิทธิภาพมากเท่านั้น

คนที่มีพฤติกรรมแปลกแยกพวกนี้อาจกลัวว่าลูกแกะจะพลัดหลงไปกับคริสตจักรต่างคณะ ที่ดีกว่า  ก็แน่ละ ใครจะติดตามคนไม่ดีจริงล่ะ  ถ้าเป็นผมนะ  ผมก็ไม่ไปหรอกคริสตจักรที่เน้นแต่การถวายสิบลด  แล้วให้เงินเดือนผู้รับใช้ถูกๆ  โครงการของหน่วยงานมุ่งแต่เก็บเงินสร้างถาวรวัตถุ  ทำในสิ่งที่มูลนิธิต่างๆ ของชาวโลกเขาทำคือ การช่วยเหลือด้านร่างกาย การศึกษา ด้านสังคมและวัตถุ

คริสตจักรไม่มีแผนพัฒนาส่งเสริมผู้เชื่อให้เรียนรู้จนกลายเป็นสาวก  โบสถ์ไม่มีแผนการประกาศข่าวประเสริฐอย่างจริงจัง  ปีๆ หนึ่งเพียงแค่จัดงานเทกระจาดงานวันคริสต์มาสเพียงวันเดียว  จัดแล้วก็ไม่ได้อะไร เสียเงินไปไม่รู้เท่าไหร่ กี่ปี กี่ชาติก็เหมือนเดิม   หากผมเจอโบสถ์แบบนี้ ผมคิดว่าเรื่องอะไรผมจะเสียเวลาในชีวิตกับพวกที่เป็นแค่นักสอนศาสนาล่ะ  ทำไมผมต้องเอาเงินไปถวายโบสถ์ที่รวยแล้วแต่ไม่คิดทำการประกาศอย่างเกิดผล  ผมไปหาคริสตจักรที่เขาทำการประกาศด้วยความรักและมีการปลดปล่อยดีกว่า - เรื่องนี้ผมจะว่าอย่างนี้แหละเพราะมันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมากกับพฤติกรรมของโบสถ์ที่มุ่งสร้างอาณาจักรของตนเองมากกว่า การมุ่งสร้างความร่วมมือกันเพื่อขยายอาณาจักรของพระเยซูเจ้า

แต่อย่างไรก็ตาม ลองกวาดสายตามองไปรอบๆ ตัวเราซิ มีคริสตจักรไทย อันใดบ้างที่มีการปลดปล่อย มีการอธิษฐานวางมือคนเจ็บป่วยให้หายภายหลังจากการนมัสการพระเจ้าเสร็จแล้ว  แทบไม่มีเลยใช่ไหม
เพราะการอธิษฐานวางมือคนป่วย ได้ถูกตัดออกไปจากระเบียบวาระการนมัสการพระเจ้ามานานกว่าพันปีแล้ว  วาระที่เปิดโอกาสให้เป็นพยานชีวิต  การอนุญาตให้พี่น้องที่มีประสบการณ์เป็นพยานกล่าวถึงการได้รับช่วยเหลือจากพระเจ้าก็ได้ถูกตัดออกไปจากวาระการประชุมนมัสการเช่นเดียวกัน  ในปัจจุบันมีคริสตจักรหลายแห่งกำหนดระเบียบว่าด้วยการเป็นพยานชีวิตด้วยว่า

หากใครต้องการเป็นพยานชีวิต ต้องเขียนรายละเอียดส่งให้ผู้ปกครองตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับอนุญาต  และที่น่าเสียใจกว่านี้อีก คือ  ในปัจจุบันถ้าหากมีการเปิดโอกาสให้เป็นพยาน ก็ไม่มีคริสเตียนคนใดอยากเป็นพยานชีวิต  เพราะว่าพวกเขายังไม่ได้พบพระเยซูด้วยตนเอง  ร้อยละเก้าสิบเก้า พบกับพระเยซูในหนังสือพระคัมภีร์เท่านั้น  คือเชื่อพระเยซูจากคำสอนของนักการศาสนาเท่านั้น ไม่มีประสบการณ์ตรงกับพระเยซูเลย  การเป็นผู้เชื่อพระเยซู  กับการนับถือคำสอนของลัทธิอื่น ไม่ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นมากนัก  เจ็บๆ ป่วยๆ ยากจน ขาดสันติสุข ลูกหลานเสียคน แล้วจะเอาคำพยานที่ไหนมาพูดขอบคุณพระเจ้า

และนี่คือภาระใจของผมและทีมงาน และผู้รับใช้พระเจ้าที่เติบโตกับพระเจ้าอีกส่วนหนึ่งที่ต้องการเห็น
คริสตจักรของพระเยซูคริสต์ เป็นคริสตจักรแห่งการปลด่ปล่อยและเยียวยา  ไม่ต้องการให้ผู้เชื่อเป็นเพียงแค่สมาชิกนั่งฟังทุกอาทิตย์จนป่วยตายเท่านั้น แต่เป็นคริสตจักรที่สอนผู้เชื่อของพระเยซูให้ไปที่ไหน  สำแดงพระเดชานุภาพของพระเจ้า ประกาศพระบารมีของพระเยซูคริสต์ด้วยการ  ปลดปล่อยผู้คนออกจาก ความป่วยใข้ และการถูกวิญญาณร้ายครอบงำ ครอบครอง ให้เป็นไทยอย่างแท้จริง


โปรดติดตาม ตอนสุดท้ายเร็วๆ นี้
ในบทสุดท้ายเราจะกล่าวถึง วิธีการรับของประทาน และการพัฒนาของประทานฝ่ายวิญญาณ

โปรดติดตาม

ดูบทความตอนที่ 1 คลิก

HOME กลับไปหน้าแรก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)