Some old-line say, we are cult? เขาหาว่าผมเป็นลัทธิเทียมเท็จ (1)


ก่อนจะสิ้นปีผมยังมีเรื่องที่ยังค้างอยู่ในสต๊อก แห่งคลังประสบการณ์มากมาย  มีทั้งคลิปวีดีโอที่ยังไม่เคยเผยแพร่ที่ใดมาก่อนอีกเป็นจำนวนมาก  ไม่สามารถจะเอามาขยายความแบ่งปันให้เพื่อนๆ พี่น้องชาวคริสตชนได้รับทราบ ได้เรียนรู้ได้มากเท่าที่ใจผมต้องการ อย่างไรก็ตามผมก็ยังพยายามที่จะนำเสนอออกมาเรื่อยๆ เพื่อเป็นข้อคิด ข้อตระหนัก และเป็นเหมือนพลังกระตุ้นเตือนใจสำหรับคริสเตียน และคริสตาม หรือคริสตวย (ตวย- ภาษาไทยเหนือแปลว่า ติดตาม หรือ ทำตามอย่าง)

แท้ที่จริงคำว่า คริสตวยมีความหมายที่ดีเหมือนกัน  ถ้าแปลตามภาษาเหนือ คือเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ แต่น่าเสียดาย  คำว่าคริสตวยในความหมายที่ผมหมายถึงนี้ ผมหมายถึงคนที่เดินตามหลักการศาสนา ตามธรรมเนียมปฎิบัติของพวกคริสเตียนหัวโบราณที่เชื่อพระเจ้าแบบคนไม่รู้จักคิด  ไม่ทบทวน ไม่พัฒนา เป็นพวกยึดตามผู้นำมากกว่าการยึดตามพระคัมภีร์  พวกเขาไม่ยอมรับแนวทางที่ถูกต้อง  ไม่ยอมรับการปฎิบัติที่มีอยู่พระคัมภีร์ แต่พวกเขามองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามพระคัมภีร์ว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีในพระคัมภีร์  รือบางคนใช้ข้ออ้างว่า  คณะของเราไม่เชื่อเรื่องนี้  คณะของเราไม่เน้นเรื่องนี้ และบางกลุ่มบอกว่า เราไม่เอาเรื่องนี้

คนพวกนี้ปฏิบัติตามคำสอนและหลักข้อเชื่อที่ต่อต้านการอัศจรรย์แห่งฤทธิ์เดชในพระนามของพระเยซู  เชื่อถือผู้นำลัทธิที่มีวิญญาณศาสนาสิงสู่มากกกว่าการปฎิบัติตามแบบอย่างที่พระคริสต์ และสาวกเคยทำ

ผู้อ่านบางท่านอาจแปลกใจว่า ทำไมนายคนนี้ (เจ้าของบล็อคนี้) มันถึงได้มีประสบการณ์กับพระเจ้ามากมายขนาดนี้ มันโม้หรือเปล่า  เป็นไปได้ไง ข้ามาเป็นคริสเตียนตั้งแต่หนุ่มจนแก่ยังไม่เคยเห็นเลย  ตัวฉันเป็นคริสเตียนมาตั้งหลายปี ยังไม่เคยนำใครมาเชื่อพระเจ้าเลย ปีแล้วปีเล่า  บางคนอาจจะเคยนำคนมาเชื่อพระเจ้าบ้างแต่ก็เป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อน หรือหลายเดือนก่อน แต่ในเดือนธันวาคมนี้ยังไม่ได้นำใครมารู้จักกับพระเยซูเลยสักคน  มองหาโอกาสเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น น่าอับอายขายหน้าต่อพระเจ้านัก

สำหรับคนประเภทไม่เกิดผล หรือเป็นคริสเตียนหมันนี้จะให้เขาทำอย่างไรล่ะ  ผมก็ขอให้หนุนใจคนประเภทที่ไม่ค่อยเกิดผล  ไม่เคยนำใครมาเชื่อพระเจ้าองค์เที่ยงแท้  ขอเชิญเข้ามาอ่านเว็บบล็อคนี้บ่อย ๆ ไม่นานนัก  ผมเชื่อว่าพระเจ้าจะเปิดหนทาง และท่านจะรู้วิธีในการนำคนเข้ามาพบกับสันติสุขในพระเยซูคริสต์ได้อย่างแน่นอน  เพราะว่าเว็บแห่งนี้นอกจะประชาสัมพันธ์และเผยแพร่  ผลงานของฤทธิ์เดชของพระเยซูแล้ว ผมยังสอนเกี่ยวกับวิธีการอธิษฐาน วิธีการวางมือ วิธีการเป็นพยาน และเรื่องอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับการประกาศข่าวประเสริฐอย่างเกิดผล

พี่น้องครับในเดือนธันวาคมนี้ผมขอบพระคุณพระเจ้าที่ผมได้นำคนมาเชื่อพระเยซูมากกว่า 50 คนแล้วในเดือนนี้  ผมออกไปอธิษฐานวางมือคนให้หายป่วยในเดือนนี้หลายครั้ง ผมขอเอาแค่จำนวนต่ำสุดเท่าที่คิดเดาได้ก็แล้วกัน ผมคิดว่าคงไม่ต่ำกว่า 40 คน ผมให้คนรับบัพติสมาให้คนหลายคน อีกด้วย  แต่มีอยออ เพราะอะไรหรือ ผมเคยเล่ามาหลายครั้งแล้วในเว็บบล็อคนี้  หากท่านสนใจเรื่องการเกิดผล ลองค้นคว้าอ่านดูเถอะ  ผมได้แบ่งปันและเล่าไว้มากมายแล้ว  ผมเชื่อว่าท่านเกิดความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างแน่นอน

น่าสนใจไหม ผมได้คนมาเชื่อมากมายแต่ผมไม่ได้สร้างอาณาจักรของตน ผมทำเพื่อคริสตจักรต่างๆ ที่ถวายเกียรติแด่พระนามพระเยซู  คนเชื่อใหม่ ถามผมว่า โบสถ์บางแห่งจะไปได้ไหม ผมบอกว่าอย่าไปเลยน้อง  ไปนั่งเป็นเด็กนักเรียนอยู่โบสถ์นี้ อีกสิบปีก็ไม่เจริญ  เพราะมันไม่มีระบบอะไรที่สร้างสรรค์เราให้เป็นผู้เชื่อที่เป็นนักต่อสู้อะไรซักอย่าง  เขาจะเอาคุณไปเป็นสมาชิกเท่านั้นแหละ  ล้มๆ ลุกๆ ไร้ทิศทางอย่าไปเลย  แค่ไปร่วมทำพิธีกรรมคุณก็หลับๆ ตื่นๆ แล้ว  สมาชิกมันยังไม่สามัคคีกัน อาจารย์ก็เอามันไม่อยู่ อาจารย์ก็หนาวๆ ร้อนๆ ไม่รู้จะโดดโหวตไล่ออกไปเมื่อไหร่  ที่ผมว่ามานี่มีแบบนี้หรือเปล่า

พระเจ้าต้องการให้เราเกิดผลไม่ใช่แค่ผลของพระวิญญาณที่นักการศาสนาหัวโบราณชอบยกเอามาอ้าง เอามาสอนเท่านั้น  คือพวกเขาต้องการให้คนเป็นคนบริสุทธิ์  มีเมตตา มีปราณี เป็นคนอ่อนสุภาพ  เป็นคนดีก็เพียงพอแล้ว สิ่งนี้ศาสนาอื่น ลัทธิอื่นเขาไม่สอนหรือ  คนไม่เชื่อพระเจ้ายังมีคุณลักษณะอย่างนี้อยู่ไม่ใช่หรือ  หลายคนยังมีดีกว่าพวกหัวหน้าคริสเตียนด้วยซ้ำ

หลายคนอุตส่าห์ลงทุนเป็นนักบวช นุ่งห่มผ้าสีแปลกๆ  เดินไปไหนไม่ใส่รองเท้า ทั้งๆ ที่พื้นสกปรก ทั้งๆที่พวกเขาอ้างตัวว่านักการศาสนาแห่งปัญญา แต่พวกเขายอมเดินตีนเปล่าไปบนพื้นแข็งๆ สกปรก บางครั้งก็หนาวมาก ฝนตกพื้นแฉะ โดยไม่ใส่รองเท้า ต้องรับความลำบากและเสี่ยงภัยต่อโรคต่างๆ พวกเขาออกไปขออาหารจากชาวบ้านเพื่อภาวนาและเข้าถึงความจริงเพื่อการบรรลุถึงสัจจะ  แต่พวกเขาก็พยายามทำอย่างนั้นเพื่อจะได้เป็นคนดี  เป็นคนที่สังคมยกย่อง คนเหล่านี้หลายคนมีดีมากกว่าพวกคริสเตียนที่อ้างว่าเป็นอาจารย์ทางศาสนาคริสต์เสียอีก  พวกเขาดูดวงก็เป็น ไล่ผีก็เก่ง  ทำนายโชคชะตาก็ได้  ปัดรังควาญก็ได้  ตัดกรรมก็เป็น  งั้นแสดงว่าการจะเป็นคนที่มีคุณลักษณะเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเชื่อพระเยซูก็เป็นได้ใช่ไหม?  

ผมเชื่อว่าพระเจ้าต้องการให้เราเกิดผลกับคนอื่นด้วย คือสามารถใช้ฤทธิ์อำนาจของผู้เชื่อตามพระสัญญาแห่งสัจจะที่พระเยซูได้บอกไว้  ก่อนที่พระองค์จะหายตัวไปจากสานุศิษย์  พระเยซูบอกว่า จงออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ให้คนทั่วโลก สอนเขาถึงสิ่งสารพัดที่เราได้ให้ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย  และเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายตลอดไปจนกว่าจะสิ้นยุค

คำสุดท้ายนี้ก็สำคัญมากนะครับ พระเยซูบอกว่า

"เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายตลอดไป 
จนกว่าจะสิ้นยุค"
(มัทธิว 28.20)

คำนี้สำคัญเพราะว่า ถ้าไม่มีคำสัญญานี้ ใครก็ทำการอัศจรรย์ในพระนามของพระเยซูไม่ได้ครับ 

ที่ผมต้องขึ้นหัวข้อนี้ไม่ได้หมายความว่า ตอนนี้สิ่งที่ผมกำลังปฎิบัติกลายเป็นสิ่งที่ผิดไปจากหลักข้อเชื่อของพระคริสต์นะครับ  แต่ผมต้องการสื่อให้เห็นว่า  ในปัจจุบันนี้มีพวกที่อ้างตัวว่าเป็นคริสต์จักรของพระคริสต์  นับถือศาสนาพระคริสต์  ปฎิบัติกิจกรรมทางศาสนาด้วยการกราบไหว้บูชาพระเยซูว่าเป็นพระเจ้า แต่ไม่ได้ยอมรับว่าการอัศจรรย์ในพระนามของพระเยซูยังมีอยู่  บางแห่งยอมรับว่าการอัศจรรย์มีจริงแต่เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยไม่สำคัญ การอัศจรรย์มีอยู่ก็จริงแต่มันไม่ได้เกิดขึ้นในคริสตจักรของเขาเป็นประจำเลย ปีๆ หนึ่งอาจจะมีสักครั้งสองครั้งหรือในสามเดือนที่ผ่านมาไม่เคยมีเกิดขึ้นเลย  พวกเขาไม่เน้น พวกเขาไม่สนใจเท่ากับคำสอนของลัทธิที่พวกเขากำหนดขึ้น  เพื่อปกป้องอาณาจักรของพวกเขาพวกคริสตชนของเขาเอง พวกเขาจึงปกป้องคำสอนที่ไร้ฤทธิ์เดชของตนเองด้วยการกล่าวโจมตี ใครก็ตามที่ประกาศข่าวประเสริฐด้วยการแสดงการอัศจรรย์ในพระนามพระเยซูคริสต์ ด้วยการอธิษฐานวางมือ ขับผี และรักษาโรคภัยต่างๆ ด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูเจ้าว่า

"เป็นลัทธินอกรีต"

ลูกศิษย์ของผมได้มารายงานให้ผมว่าดังนี้

"อาจารย์เดี๋ยวนี้คริสตจักรที่ผมเคยเข้าร่วมมันบอกว่า
พวกเราเป็นลัทธิเทียมเท็จแล้วนะครับ"

(ที่ผมใช้คำว่าเข้าร่วม หมายถึงเขาไม่ได้มารับเชื่อที่นี้ หรือเข้าเป็นสมาชิกสมบูรณ์ของคริสตจักร)

พี่น้องที่ไม่เคยทำอะไรโลดโผนแบบที่พวกเราทำ พี่น้องคงไม่ทราบว่า การถูกต่อต้าน และกล่าวหาว่าเป็นลัทธิเทียมเท็จมันเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงเพียงไร  นี่คือข้อหาที่ร้ายแรงอย่างมากนะครับ และคนที่พูดแบบนี้ถ้าพวกเราไม่ใช่ลัทธิเทียมเท็จอย่างที่เขาบอก คนพูดต้องรับผิดชอบด้วย

พระเยซูคริสต์เข้ามาเผยแพร่คำสอนแบบใหม่เมื่อสองพันปีก่อน พระเยซูคริสต์ก็ได้รับข้อกล่าวหานี้เช่นเดียวกันนะครับ คือข้อหาว่า

"ทำตัวเท่าเทียมกับพระเจ้า"

"อ้างตัวว่าเป็นลูกของพระเจ้า"

"ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ของพวกยิว" (ตอนนั้นคนยิวตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิ์โรมันอันยิ่งใหญ่)

พวกอาจารย์ทางศาสนายูดายในสมัยนั้น ที่คนเรียกพวกเขาว่าเป็นพวกฟาริสี และพวกธรรมาจารย์  มีตำแหน่งมหาปุโรหิตเป็นหัวหน้า มีสภาที่ปกครองและตัดสินเกี่ยวกับการปฎิบัติกิจทางศาสนา หรือเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมเนียมต่างๆ ของยิว เขาเรียกว่า สภาแซนเฮดริน หรือซันเฮดริน (คลิกที่ลิงค์เพื่อศึกษาเรื่องสภานี้)  พวกเขาประชุมหารือกันบ่อยๆ เนื่องจากมีคนที่เชื่อถือศาสนายูดายพากันออกไปติดตามพระเยซู และพวกเขาได้เห็นการอัศจรรย์ต่างๆ ที่พวกสาวกและพระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำ  พวกศาสนายูดายในสมัยนั้นพยายามยัดเยียดข้อหาต่างๆ และส่งคนไปติดตามจับผิด  หาเรื่องพระเยซูอยู่เสมอ

(พระธรรมมาระโก 12.15 -

"เราจะส่งดีหรือไม่ส่งดี”   แต่พระองค์ทรงทราบอุบายของเขาจึงตรัสว่า   “ท่านทั้งหลายมาจับผิดเราทำไม   จงเอาเดนาริอันเหรียญหนึ่งมาให้เราดู "
..
พระธรรม ลูกา 20.20, 26 -

"เขาจึงตามดูพระองค์   และใช้คนให้ปลอมเป็นเหมือนคนสุจริตไปสอดแนม   หวังจะจับผิดในคำพูดของพระเยซู   เพื่อจะอายัดพระองค์ไว้ในอำนาจและอาชญาของเจ้าเมือง"

พระธรรมมัทธิว 22.15, 18 ...)

พวกที่ชอบกล่าวโทษคนอื่นว่าเป็นคำสอนเทียมเท็จมักจะปฏิบัติดังนี้

1. แต่งตั้งพวกคนรวย คนมีฐานะ คนมีการศึกษาเข้ามามีตำแหน่งบริหารคริสตจักรซึ่งเป็นองค์การที่ต้องปฎิบัติการรบฝ่ายวิญญาณกับผีมารซาตานทั้งหลาย คริสตจักรต้องต่อสู้ในสงครามกับศาสนาและลัทธิความเชื่อของซาตานและพวกผีปีศาจ  ต้องการผู้นำทัพที่มีวิสัยทัศน์ฝ่ายวิญญาณ แต่คริสตจักรกับตกไปอยู่ในอุ้งมือของพวกที่ถูกผลประโยชน์ การเงิน ตำแหน่ง ชื่อเสียง ครอบงำ  แทนการสรรหาคนที่มีความเชื่อ มีของประทานฝ่ายวิญญาณ  คนที่เป็นคนงานของพระเจ้าที่สามารถอธิษฐานวางมือคนป่วย  คนที่รับใช้อย่างสัตย์ซื่อ มาเป็นผู้นำคริสตจักรเพื่อกระทำพันธกิจแห่งการปลดปล่อยชาวโลกออกจากการปกครองของมาร พันธกิจสำคัญของคนพวกนี้สร้างความยิ่งใหญ่ขององค์กร

2. มีการบริหารงานคริสต์จักรแบบการบริหารบริษัท คือ ถ้าใครจะทำโครงการอะไรเพื่อเป็นการพัฒนาคริสตจักร  หรือพัฒนาความเชื่อต้องเขียนรายงานเป็นโครงการอย่างเป็นทางการ  ให้เสนอว่าใช้งบประมาณมากเท่าไหร่ และจะได้ผลประโยชน์ตอบแทนเท่าไหร่ การปฎิบัติศาสนกิจทุกๆ อย่างต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารของโบสถ์  การทำอะไรที่มันยากๆ จะทำให้งานฝ่ายวิญญาณมันชลอและไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก พวกคริสเตียนบ้านนอกมีคนไม่มากนักที่เขียนโครงการเป็น

ขอยกตัวอย่างการตั้งกลุ่มอธิษฐาน

การจัดตั้งกลุ่มอธิษฐานต้องเสนอโครงการต่อคณะกรรมการบริหาร  ต้องมีการอนุมัติให้จัดตั้งขึ้นได้หรือไม่ได้  การแบ่งกลุ่มอธิษฐานออกเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อขยายพันธกิจการประกาศถูกกดดันให้เหลือจำนวน 1-2 กลุ่มใหญ่ๆ  เพื่อไม่ให้การอธิษฐานเกิดผล เพื่อไม่ให้มีกลุ่มต่อต้านอำนาจเกิดขึ้นในคริสตจักร

การสร้างกลุ่มอธิษฐานแบบหมุนเวียนตามบ้านที่มีจำนวนคนเข้าร่วมมากเกินไป (ประมาณ 30-50) ทำให้ผู้ที่ทำหน้าที่เจ้าภาพไม่สามารถทนรับภาระค่าใช้จ่าย การดูแล และจัดสวัสดิการให้แก่ผู้เข้าร่วมการประชุมได้นาน  ทำให้กลุ่มอธิษฐานล้มลุกคลุกคราน  หลายครั้งเจ้าของบ้านที่ฐานะไม่ดีต้องทนรับค่าใช้จ่ายในการต้อนรับ  ต้องมีค่าใช้จ่ายในการต้อนรับ แต่คริสตจักรไม่ได้จัดเตรียมหรือสนับสนุนสวัสดิการให้แก่ผู้เข้าร่วมอธิษฐานใดๆ เลย แต่คริสตจักรเป็นเพียงผู้รับผลประโยชน์จากเงินรายได้จากการเรี่ยไรในแต่ละครั้งที่มีการเข้าร่วมประชุมตามบ้าน  บางครั้งเจ้าของบ้านที่เป็นสถานที่ประชุมเกิดการแข่งขันกันในเรื่องการเลี้ยงดู การต้อนรับผู้เข้าร่วมการประชุมตามบ้าน  บ้านที่มีฐานะค่อยข้างดีจะเลี้ยงดูด้วยอาหารและผลไม้อย่างดี  แต่บ้านที่ฐานะไม่ดีเลี้ยงแต่น้ำเปล่า รู้สึกไม่ดี  ทำให้เกิดการเปรียบเทียบกัน

ในระยะเวลาไม่นานกลุ่มอธิษฐานของคริสตจักร จะเลิกและหยุดไป หรือไปๆ หยุดๆ  การอธิษฐานที่ไม่ต่อเนื่องของคริสตจักรทำให้การพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการอธิษฐานของเกือบทุกคริสตจักรกลายเป็นกองทัพที่เป็นอัมพาต  คือไม่สามารถส่งคำอธิษฐานทะลุทะลวงแนวป้องกันของวิญญาณผี ปีศาจ  เจ้าที่เจ้าทางที่ปกคลุมอยู่เหนือพื้นที่บริการของคริสต์จักรได้ เหมือนการรบในปัจจุบันที่ต้องอาศัยกองทัพอากาศส่งเครื่องบินรบออกไปถล่มเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ก่อน แล้วค่อยส่งกองทัพรถถังเข้าบดขยี้ข้าศึก   การอธิษฐานที่ร้อนรนของคริสตจักรเปรียบเหมือนการรบฝ่ายวิญญาณ ก่อนที่จะมีส่งคนออกไปทำการประกาศข่าวประเสริฐด้วยซ้ำ  แต่คริสตจักรไทยไม่ได้ตระหนักถึงเรื่อง  การรบในสงครามฝ่ายวิญญาณเลย

ผมเห็นคริสตจักรหนึ่ง ผู้นำคริสตจักรไม่เคยคิดจะเข้าร่วมการอธิษฐานปลดปล่อยเมืองใดๆ เลย ในตลอดปี ถึงมีใคร หรือกลุ่มอธิษฐานใดๆ เชิญเขาเข้าร่วมการอธิษฐานหรือการฟื้นฟู  ศบ.คนนี้มันก็ไม่พาพี่น้องออกไปเลย  เขาหาข้ออ้างตลอด แต่พอถึงเทศาลคริสตมาส  ผู้นำท่านนี้จะกลายเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดงานคริสต์มาส  เขาจะส่งจดหมายเชิญชวนให้คริสตจักรต่างๆ ให้ช่วยกันออกเงิน และส่งคนเข้าร่วมการจัดกิจกรรมวันคริสตมาสที่หน้าอำเภอ  ในการประกาศก็ไม่มีการอธิษฐานนำคนกลับใจใดๆ เลย

การจัดงานคริสต์มาสเป็นเพียงการจัดตามใบสั่งของนายทุนที่ให้เงินสนับสนุนเขาเท่านั้น เขาทำอย่างนี้เพื่ออะไรหรือ ผมเข้าใจได้ว่า  เพราะเขาเป็นผู้อำนวยการด้านการประกาศข่าวประเสริฐขององค์กร  ที่มีนายสั่ง  เขารับเงินจาก "นายทุน" ต่างชาติ หรือคริสตจักรที่มีเงินเป็นถุงเป็นถัง ที่ส่งเงินตามโครงการหลอกๆ ที่เขาส่งไปเพื่อของบประมาณในการจัดงาน เขาจัดงานเพื่อละลายงบประมาณให้มันดูเหมือนว่า

"นายครับผมทำแล้วนะ ทำใหญ่ด้วย ผมทำทุกปีเลยนะ แต่ไม่ได้ผลใดๆ เลย คริสตจักรของเขาเป็นเพียง คริสตจักรชนเผ่าเล็กๆ ที่อยู่ในบ้านเท่านั้น  "เขาทำอย่างนี้เพื่ออะไรหรือถ้าไม่ใช่ทำเพื่อเงิน"

ผู้นำคริสตจักรหัวงูเห่าและหัวแมงป่องบางแห่ง ที่ไม่ใช่คนฝ่ายวิญญาณได้ยึดครองคริสตจักรไว้แบบเบ็ดเสร็จเกือบหมดแล้ว  พวกผู้นำคริสตจักรไทยจำนวนไม่น้อย  ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพวกเขามีหน้าที่ทำสงครามฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาคิดว่าการประกาศข่าวประเสริฐคือการพยายามทำให้คนที่นับถือศาสนาอื่น ให้หันมานับถือศาสนาคริสต์ ให้มานั่งฟังเขาพูดเพ้อเจ้อในโบสถ์ทุกๆ อาทิตย์  ให้ถวายทรัพย์เข้ามามากๆ เพื่อก่อสร้างอาณาจักร  และถาวรวัตถุต่างๆ  เพื่อพิสูจน์ให้ใครๆ รู้ว่า พวกเขาเป็นคริสตจักรที่เกิดผล

ในความเป็นจริงและประสบการณ์  เราพบว่า บางคริสตจักรไม่สามารถทำให้เกิดการเพิ่มพูนคริสตจักรได้เลย  ที่พวกเขามีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น  เป็นการเพิ่มขึ้นจากภายในคือการเกิดลูกเกิดหลานคริสเตียนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าเพิ่มขึ้นเท่านั้น โบสถ์คริสต์หลายแห่งกำลังสูญเสียกำลังพลให้กับวิญญาณแห่งความมืดด้วยซ้ำ แต่ผู้นำคริสเตียนไม่รู้เรื่อง หรือรู้เรื่องแต่ทำอะไรไม่ได้เลย  เพราะพวกเขาไม่รู้ไม่เข้าใจยุทธศาสตร์  คริสเตียนในคริสตจักรของพวกเขาเป็นคนป่วย คนเจ็บ คนไร้สมรรถภาพ เป็นคนเฉยๆ

การที่คริสตจักรไม่อธิษฐานอย่างต่อเนื่องเป็นคริสตจักรใช้ยุทธวิธีการรบที่ไม่ครบองค์   ผมขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบเป็นเหมือนกับ  การรบในสมัยโบราณที่กองทัพฝ่ายบุกต้องบุกทะลวงกำแพงของฝ่ายตั้งรับอย่างต่อเนื่องเพื่อทะลวงกำแพง และแนวป้องกันของฝ่ายรับ  เพื่อบุกเข้าไปปล้นเมือง  พวกฝ่ายรุกพยายามใช้กำลังทหารจำนวนมากช่วยกันแบกเอาท่อนซุงท่อนใหญ่ๆ  วิ่งไปกระแทกกำแพงเพื่อเจาะทะลุทะลวงประตูเมืองของฝ่ายตั้งรับให้ได้  ด้วยการใช้ท่อนซุงทะลวงกำแพงของเมืองที่พวกเขาจะยึด  การบุกอย่างไม่ต่อเนื่อง  อย่างไม่มียุทธศาสตร์ยากนักที่จะบุกยึดเมืองได้ การไม่อธิษฐานคือการไม่ทะลวงกำแพงเมืองของศัตรูก็ว่าได้

ทุกวันนี้มีคริสตจักรใดบ้างที่เน้นการอธิษฐานยึดเมือง  โบสถ์หลายแห่งเป็นเพียงที่ใช้สำหรับพบปะพูดคุยกันในวันอาทิตย์เท่านั้น วันอื่นๆ ไม่มีการอธิษฐานอย่างจริงจัง   บางแห่งไม่มีการอธิษฐานใดๆ เลย  หลายแห่งมีวันอธิษฐานในวัน พุธ หรือพฤหัส หรือ วันศุกร์ เพื่อจัดการอธิษฐานเผื่อเรื่องหยุมๆ หยิมๆ  เรื่องปากท้องของสมาชิกเท่านั้นไม่ได้ทำยุทธศาสตร์อธิษฐานแบบยึดกำแพงเมืองศัตรูใดๆ เลย  พวกผู้นำของเขาไม่คาดคิดว่า มีผีและวิญญาณร้าย  เจ้าที่เจ้าทาง วิญญาณนานาชนิดคอยชักใย หรือดลใจอยู่ในวิญญาณของคนจำนวนมากที่ไม่เกิดใหม่กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

ผีมันพยายามทำทุกอย่างให้คริสเตียนเข้าใจว่า ในปัจจุบันนี้ไม่มีผีอีกแล้ว ผีเป็นเพียงวิญญาณที่เขาเอาไปแสดงหนังเพื่อหลอกเด็กให้กลัวผี หรือสร้างความตื่นเต้นให้กับคนที่ชอบดูหนังที่สร้างความตื่นเต้นเท่านั้น  ผีไม่มีตัวตน ผีมันไม่ยุ่งกับคริสเตียนเพราะคริสเตียนมีพระเยซูคริสต์ที่ชนะพวกมัน ดังนั้นถ้าใครเป็นคริสเตียนผีก็ไม่มายุ่งกับเรา  สิ่งนี้เป็นความเข้าใจที่น่าตระหนกมาก  เพราะคริสเตียนจำนวนเป็นแสนๆ คนไม่รู้ว่า การเป็นคริสเตียนคือการพยายามต่อสู้กับวิญญาณร้าย  คือการพยายามเอาชนะการล่อลวงของผีทุกๆ วันของชีวิต  แต่คริสตจักรก็ไม่ได้สอนเรื่องอิทธิพลของผีที่มีต่อคน  โบสถ์คริสต์ส่วนหนึ่งจึงสอนวิธีการเป็นคนดีและมุ่งสร้างอาณาจักรความดีขึ้นเท่านั้น  อาจารย์หลายคนสอนแต่วิธีร่ำรวย และการรับพระพรฝ่ายเนื้อหนัง  การครอบครองวัตถุ การมีสิ่งอำนวยความสะดวก บำรุงบำเรอเนื้อหนังเท่านั้น

การบุกทะลวงกำแพงศัตรูคือยุทธศาสตร์ทีสำคัญมาก  สิ่งนี้เปรียบเหมือนการอธิษฐานและความสามัคคีของคริสตจักรต่างๆ ด้วยเพราะการอธิษฐานที่ไม่ต่อเนื่อง  ไม่มีระบบ  ไม่มีการปฎิบัติอย่างหวังผลฝ่ายจิตวิญญาณ  ผู้นำไม่เข้าร่วมการอธิษฐานปล่อยให้การอธิษฐานเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ระดับรองลงมา  ตัวหัวหน้าใหญ่ไม่เข้าร่วมการอธิษฐาน  อ้างว่า แก่  ไม่สบายสุขภาพไม่ดี  ทำมามากแล้ว ขอส่งต่อให้คนอื่นทำเรื่องนี้บ้าง  เมื่อผู้นำไม่สามารถนำในการอธิษฐานอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ การรบฝ่ายวิญญาณของคริสต์จักรไทย มันจึงเป็นไปอย่างที่เห็นคือ  แต่ละปีคนที่ได้รับการปลดปล่อยจากพระเยซูจริงๆ มีเพียงไม่กี่คน คริสตจักรอ่อนล้าและพ่ายแพ้  การประกาศแทบไม่มี หรือมีก็ไม่ได้ผล

คริสตจักรหลายแห่งกลายเป็นเพียงองค์กรณ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อทำงานเอาหน้า เพื่อรับเงินจากสปอนเซอร์ เพื่อหาเลี้ยงชีวิตของคนที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ เพื่อเอาใจนายทุนจากต่างประเทศเท่านั้น  เมื่อใกล้จะถึงระยะเวลารายงานการดำเนินงาน  ผู้นำคริสตจักรหลายๆ แห่งจึงจัดงานโดยเกณฑ์เอาคนจากคริสตจักรต่างๆ เข้ามาร่วมการนมัสการพระเจ้า  เพื่อจะบันทึกภาพถ่ายให้ดูเหมือนว่า คริสตจักรกำลังเจริญเติบโตแทนที่จะทำเพื่อถวายเกียรติพระคริสต์  คริสตจักรไทยหลายๆ แห่งทำงานเพื่อขอเงินอุดหนุนเพิ่มจากสปอนเซอร์  ทำงานเพื่อมุ่งเอาผลงาน  การมีแรงจูงใจที่ผิดพลาดจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่พระเจ้าไม่อนุญาตให้คนมาเกิดใหม่ในคริสตจักรทาสนายทุนเหล่านี้

3. ตำแหน่งที่ปกครองฝ่ายวิญญาณสูงสุดไม่ได้เป็นของคนที่มีการเปิดเผยของพระเจ้า หรือเป็นผู้ที่ทรงคุณวุฒิด้านจิตวิญญาณ แต่เป็นพวกที่ไม่รู้เรื่องฝ่ายวิญญาณไม่เพียงพอ เป็นพวกตาบอดทางจิต

4. การปกครองคริสตจักรเป็นเหมือนการบริหารงานธุรกิจ  ต้องมีกำไรและขาดทุน คริสตจักรเป็นที่สำหรับพูดคุยทางธุรกิจ การขายสินค้าและบริการ  คริสตจักรเรียกร้องให้คนถวายทรัพย์เข้าไปมากๆ ให้บริจาคเงินเข้ามาอย่างน้อยร้อยละสิบ แต่ไม่ได้จัดสรรเงินที่ได้มาอย่างถูกต้องตามหลักการของพระคัมภีร์

5. การดัดแปลงคำสอนจากพระคัมภีร์ให้เกื้อหนุนการกระทำของตนโดยเน้นเฉพาะสิ่งที่จะเป็นผลประโยชน์แก่องค์กรของตนมากกว่าการกระทำตามที่พระคัมภีร์กำหนดไว้อย่างหน้าตาเฉย

ยกตัวอย่าง

ก. คริสตจักร ก.ไก่  สั่งให้สมาชิกเอาเงินรายได้ของตนเองมามอบให้กับคริสต์จักรร้อยละ 10 แต่ไม่ได้เอาเงินร้อยละสิบไปมอบให้กับคนที่ทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้พระเจ้าในตำแหน่งต่างๆ ในคริสต์จักรอย่างทั่วถึง แต่กลับไปมอบให้กับตำแหน่งเพียงตำแหน่งเดียว และมอบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตำแหน่งที่ผมพูดถึงนี้อาจได้แก่ตำแหน่ง ผู้ดูแลผู้เชื่อที่เราเรียกว่าผู้รับใช้พระเจ้าตำแหน่งศิษยาภิบาล  แทนที่จะมอบให้กับตำแหน่งต่างๆ ทีทำหน้าที่รับใช้พระเจ้าเหมือนกันในคริสตจักรได้แก่


หัวหน้าผู้สอนเด็กอนุบาลในชั้นเรียนวันอาทิตย์
ตำแหน่งประธานคริสตจักร
ตำแหน่งผู้ประกาศข่าวประเสริฐ
ตำแหน่งเลขานุการคริสตจักร
ตำแหน่งครูผู้สอน ตำแหน่งอัครทูต
หัวหน้านักร้องและทีมนมัสการที่เป็นหัวใจในการเจริญเติบโต และการนมัสการ

ตำแหน่งต่างๆ เหล่านี้หลายๆ คริสต์จักรไม่มี หรือไม่ได้แต่งตั้งไว้เลย  เพราะคริสต์จักรเหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดและสืบต่อมาหลายร้อยปี  พวกเขาอาจคิดว่าการมีตำแหน่งมากเกินไปจะทำให้ความมั่งคั่งของคริสตจักรลดน้อยลงไป และที่น่าเสียใจก็คือคริสตจักรจำนวนมากไม่วางแผนระยะยาวในการสร้างบุคลากรในด้านต่างๆ ที่จะรับใช้อย่างต่อเนื่อง เป็นรุ่นๆ สอนงานและสืบต่องานไป  ผู้นำคริสตจักรหลายแห่งสร้างคนไม่เป็น เป็นแต่ใช้อำนาจทางการบริหาร ใครมีความสามารถ มีแวว ก็ "จิกหัวใช้" ไม่มีการพัฒนาคน ไม่มีการวางแผนสร้างคนให้เข้าสู่การรับใช้อย่างเป็นระบบ ไม่มีการอบรมผู้นำอย่างเป็นระบบเลย  เพียงแต่เป็นการพัฒนาคนตามโครงการจากหน่วยงานอื่นมากกว่า

คริสตจักรของพระคริสต์ในปัจจุบันมีเพียงตำแหน่งทางฝ่ายการบริหาร และการงานของฝ่ายโลกมากกว่าตำแหน่งที่กล่าวอ้างในพระคัมภีร์  ตำแหน่งฝ่ายวิญญาณที่ไม่ค่อยมี หรือไม่เคยเห็นมีเลยในคริสตจักรไทยคือ ตำแหน่งอัครทูต  ครู- อาจารย์ ผู้เผยพระวจนะ (คือผู้รับการเปิดเผย หรือสื่อสารกับพระเจ้าโดยตรง- ไม่ใช่ผู้เทศนาที่หลายคริสตจักรอ้างใช้คำนี้สำหรับนักเทศน์)  ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ  แต่คริสตจักรไทยส่วนใหญ่มีเพียงตำแหน่งศิษยาภิบาลเท่านั้น และตำแหน่งศิษยาภิบาลยังมีฐานะและสิทธิอำนาจต่ำกว่า ผู้ปกครองคริสต์จักรอีกด้วย หลายคริสตจักรยกตำแหน่งสิทธิอำนาจทางวิญญาณให้แก่ประธานคริสตจักรที่คัดเลือกมาจากเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิก - (คริสตจักรหลายแห่งปกครองระบอบประชาธิปไตย)
น่าเสียใจที่คริสตจักรไทยไม่ได้ปกครองตามแบบที่เป็นรูปแบบของพระคัมภีร แต่ปกครองตามแบบต่างๆ ที่เจ้าลัทธิเป็นตัวกำหนด

6. คริสตจักรได้ยกเลิกคำสอนหรือเพิกเฉยต่อคำสอนที่ผู้เชื่อต้องนำเอาผลแรกมาถวายให้กับผู้รับใช้พระเจ้า...

"และผลไม้ดีที่สุดของผลไม้รุ่นแรกทุกชนิดและ ของถวายทุกชนิดจากเครื่องถวายบูชาทั้งสิ้นของ เจ้าจะเป็นของบรรดาปุโรหิตทั้งหลาย   เจ้าจงมอบแป้งหยาบผลแรกของเจ้าให้แก่ปุโรหิต   เพื่อว่าพระพรจะมีอยู่เหนือครัวเรือนของเจ้า" (เอเสเคียล 44.30)

การไม่เอาใจใส่ในเรื่องนี้ เนื่องจากคริสตจักรโปรเตสแตนท์เริ่มแรกนั้นได้แยกตัวออกจากการปกครองตามระบอบของ ศาสนจักรโรมันคาทอลิก  แต่การแยกออกมาแล้วไม่สามารถสลัดเอาคราบเก่าออกหมด ยังมีประเพณีและค่านิยม ธรรมเนียมต่างๆ ติดมาจนไม่สามารถแยกแยะออกว่า อันไหนควรเก็บไว้และประเพณีอันไหนควรตัดทิ้ง  เพราะสิ่งที่กลายเป็นประเพณีมันไม่สามารถจะแก้ไขได้ เพราะมันมีผลกระทบต่อคนส่วนรวม  ใครจะกล้าเอาคอมาขึ้นเคียงล่ะ นักการศาสนาเขาสอนกันมาว่า ต้องเป็นคนอ่อนสุภาพ ถ้าไครไม่อ่อนสุภาพเขาบอกว่า ไม่มีผลของพระวิญญาณ  งงไหมเนี๊ยะ

ขอยกตัวอย่างการประเพณีลอยถาดจุดไฟที่สร้างปัญหาให้กับแม่น้ำลำคลอง  เกิดขยะมหาศาลจากโคมลอย และเสียงประทัด อุบัติภัยและปัญหาต่างๆ การสำส่อนทางเพศในคืนวันลอยกระทง  ปัญหาที่เกิดจากการปฏิบัติตามประเพณีครั้งโบราณมีอยู่อย่างชัดเจน มีการวิจัย และสำรวจสถิติต่างๆ ว่าการเที่ยวงานลอยกระทงมันมีปัญหาเกิดขึ้นกับสังคม  ต่อเด็กและเยาวชน  เพลิงไหม้  การจราจรทางอากาศ มลพิษฯลฯ  แต่ไม่มีใครที่จะกล้าหยุดยั้งหรือยกเลิกได้  ทั้งๆ ที่การปฎิบัติบางอย่างอาจไม่เหมาะสมกับยุคสมัย แต่คนยังต้องทำต่อไป ลองคิดดูซิว่า ถ้าคนทั้งโลกเชื่อถือเรื่องการขออภัยต่อพระแม่คงคา  แม่น้ำทั้งโลกจะเป็นยังไง ถ้าความเชื่อเรื่องการปล่อยโคมไฟให้ลอยไปในท้องฟ้า เป็นการสะเดาะห์เคราะห์  ถ้าคนทำมากๆ เป็นล้านๆ อัน โลกจะเป็นยังไง  แต่ไม่มีใครกล้ายกเลิกหรอก และหากมีใครขืนแตะต้องเรื่องนี้  ก็จะนำภัยมาสู่ตัวคนนั้นด้วย จริงหรือเปล่า

พูดถึงการถวายผลแรกต่อดีกว่า

พระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 18.24 ได้กล่าวว่า

"ผลรุ่นแรกของท่านคือ ผลข้าว ผลเหล้าองุ่น ผลน้ำมัน และขนแกะรุ่นแรกที่ได้จากแกะของท่าน  จงมอบให้แก่ปุโรหิต"

พระธรรมเนหะมีย์ 10.35

"เราผูกมัดตัวเราไว้ที่จะนำผลแรกแห่งที่ดินของเรา   และผลแรกของผลต้นไม้ทั้งสิ้นทุกปี   มายังพระนิเวศของพระเจ้า"

คริสตจักรของศาสนาพระคริสต์หลายแห่งอ้างว่า

คำสอนเรื่องเหล่านี้ล้าสมัยแล้วไม่เหมาะสมกับยุคพระคุณ หรือยุคปัจจุบัน เพราะว่าไม่มีตำแหน่งปุโรหิตในคริสต์จักรอีกต่อไปแล้ว แต่สาวกของพระเยซูได้สอนไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ว่า
พวกผู้เชื่อทุกคนเป็นปุโรหิต

"แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์   ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์" (1 เปโตร 2. 9)


7. สิ่งที่คริสตจักรบางแห่งสอนกันมาก ทั้งๆ ที่เป็นยุคพันธสัญญาเก่า คือเรื่องการถวาย
 10 เปอร์เซนต์ของรายได้  มีข้อพระธรรมที่มักจะถูกยกมาอ้างคือ ข้อนี้

"พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า  จงนำทศางค์ เต็มขนาดมาไว้ในคลัง   เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา   จงลองดูเราในเรื่องนี้ดูทีหรือว่า   เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า   และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่"  (พระธรรมมาลาคี บทที่ 3 ข้อที่ 10) 

ทำไมคริสตจักรต้องเอาเรื่องการถวายเงินสิบเปอร์เซนต์เอามาเป็นตัวชูโรงในการรับปฎิบัติล่ะ ก็มันเป็นผลประโยชน์เห็นๆ ไม่ใช่หรือ หลายครั้งคนสอนมักจะอ้างว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นยุคโบราณ เป็นยุคพระบัญญัติเราไม่ควรเอามาปฏิบัติ แต่พอเรื่องนี้นะ อีม...ไม่เอาไม่ได้เพราะมันมีประโยชน์มากหลายนักแล

ผมได้รับคำบ่นจากลูกศิษย์ของผม  หลังจากที่เราได้พูดคุยรู้จักกันมาระยะหนึ่ง เราก็คุยกันเรื่องการใช้จ่ายเรื่องเงินของคริสตจักร  พี่น้องคงทราบดี  ใครอยู่วงการนี้  การถวายเงินเข้าไปกองกลาง  มันเข้าไปง่ายมาก  และถ้าคุณถวายหรือบริจาคเข้าไปมากเท่าใด  คุณก็จะได้รับการยกย่องเชิดชูดีอยู่หรอก  แต่ถ้าคุณคิดจะขอเอาเงินส่วนนั้นที่คุณได้บริจาคใส่ถุงไปแล้ว ไม่ว่าคุณจะให้ไปมากเท่าใดก็ตาม ให้ไปเป็นเวลากี่ปีๆ  กีล้านบาทก็ตาม  คุณก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลืออะไรเลย  วันหนึ่งหากคุณตกงาน  ไร้ที่พึงพิงคุณลองไปขอยืมเงินดูซิ คุณจะได้ไหม  ไม่มีทาง มันไม่มีระบบดูแลช่วยเหลืออะไรเลย  ไม่รู้นะบางแห่งอาจจะมีก็ได้แต่ผมยังไม่เคยเจอ   เอางี้ การยืมเงินเป็นสิ่งที่ไม่ดี  แต่ถ้าจะขอเงินไปทำการประกาศข่าวประเสริฐล่ะ คุณทำได้ไหม  โอ้คุณอาจจะได้อยู่บ้าง  แต่มันยากเหมือนภาษาเหนือเขาบอกว่า เหมือนเอาแมวออกจากเสื่อ คือมันยากมาก

มีคนหนึ่งเขาถวายเงินเข้าไปในคริสตจักรแห่งหนึ่งเป็นระยะเวลาพอประมาณ ก็อาจจะไม่มากเท่าใด แต่ก็เป็นหลักหมื่น   แต่วันหนึ่งคนที่ได้ถวายเงินไป เขาอยากจะขอให้คริสตจักรช่วยเหลือเขาในด้านการประกาศข่าวประเสริฐ  ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวนะ เชื่อไหม  คนถือเงินเขาจะไม่มีทางเอาเงินออกมาให้คุณอย่างแน่นอน  เพราะเขาจะบอกว่า "เราไม่มีแนวปฏิบัติในเรื่องนี้"  คุณจงอธิษฐานขอพระเจ้าเอาเอง

ผมเองเคยอยู่กับคริสตจักรสายฤทธิ์เดชมาไม่นานเท่าไหร่ แค่ 18 ปี  ผมไม่ได้ถวายสิบลดตั้งแต่แรกเริ่มนะ  แต่ทำมาคิดว่าประมาณแค่ 5 ปี ปีหนึ่งก็ให้ไปหลายหมื่นบาทนะ  และภรรยาผมนี่ เขาสัตย์ซื่อนะ  เขาถวายตั้งแต่แรกเริ่มเลย  เป็นเวลากว่า 20 ปี  คิดว่าเป็นเงินหลักล้าน  แต่เชื่อไหม วันที่เราออกจากคริสตจักรมาเพื่อจัดตั้งกองประกาศเผยแพร่นะ  เงิน 100 บาทคริสตจักรยังไม่คิดจะมอบเป็นขวัญถุงให้เราเลย  เพราะอะไรหรือ  คริสตจักรไม่ได้โกรธหรือไม่ชอบหน้าพวกเรานะ  เขาเห็นด้วยที่เราจะออกมาทำพันธกิจการปลดปล่อยการประกาศแบบที่เราทำอยู่นี่  แต่มันไม่เคยมีระบบที่จะช่วยเหลืออะไรกันเลย  ในใจของผู้บริหารก็คงนึกเสียดายอยู่ว่า ต้นตำลึงทองได้ถูกย้ายไปปลูกที่อื่น

คริสตจักรอาจรับเอาเงินอย่างเดียว และเลี้ยงผู้รับใช้เพียงคนเดียวคือ ศิษยาภิบาล  ตำแหน่งอื่นมันไม่มีสาระบบที่จะให้ค่าตอบแทนอะไร  หัวหน้าทีมนมัสการไม่มีค่าตอบแทน นักดนตรีไม่มีค่าตอบแทน  คนสอนเด็กไม่มีค่าตอบแทน  ตำแหน่งใดๆ ก็ไม่มีค่าตอบแทน  แม้ว่าคนเหล่านั้นจะเข้ามาเป็นสมาชิกพร้อมกับเงินถวายก้อนโตต่อเดือน และทำงานรับใช้ด้วยคริสตจักรจะรับเอาอย่างเดียว แต่ไม่จ่ายออก

ผมได้รับทราบมาว่า มีอาจารย์นักการศาสนาที่เป็นหัวหน้ามักจะ  สั่งให้สมาชิกทุกคนที่เป็นทีมนำ  เมื่อเข้ามาบริหารงานในคริสตจักรอยู่เนืองๆ ว่า "ทีมนำต้องทำเป็นตัวอย่าง" คือต้องถวายเงินสิบเปอร์เซนต์ ให้กับคริสตจักรอย่างสม่ำเสมอ  คำพูดแบบนี้มันก็มีเหตุผลที่ดีอยู่บ้าง คือต้องทำเป็นตัวอย่าง  ยังดีที่ผู้นำยางคนยังเคยทำเป็นตัวอย่าง  แต่หลายๆ ครั้งตามความจริง  เราพบกว่า  โบสถ์ต้องการเก็บเกี่ยวในสิ่งตรงข้ามกับหลักคำสอนของพระเยซู  ที่บอกว่า หว่านสิ่งใดจะได้สิ่งนั้น  คือคริสตจักรไม่ได้ลงทุนอะไรเลยกับผู้นำ  ไม่มีการสอนไม่มีอะไร แบ่งงานแล้วใครอยากทำอะไรก็ทำไปตามจิตสำนึก แล้วแต่จะดีหรือไม่ดี  ไม่มีการตรวจสอบกำกับ ติดตาม หรือประเมินผลอะไรสักอย่างเลย  บางแห่งยังกลัวการประเมินด้วยซ้ำ  เพราะมันเจ็บปวดมากหากมีใครสักคนมาบอกว่า งานที่ทำอยู่มันไม่เป็นระบบ ไม่เวิร์ค


สำหรับผม แนวคิดในการบริหารงานแบบที่ผมว่ามานี้  มันน่าจะล้าสมัยแล้ว ไม่เหมาะสมกับสภาพภาระงานของคริสตจักรในปัจจุบันเท่าใดนัก   เพราะการจ่ายค่าตอบให้คนเป็นหัวหน้าเพียงคนเดียว แต่คนอื่นให้กินต้มยำใส่ลมบ้าหมูหรือ ทำงานเหมือนกันทำไมจ่ายให้คนเดียว  นักดนตรีต้องฝึกซ้อม อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ชั่วโมง  ตอนนมัสการต้องเล่นอีก ประมาณ 30 นาที  เวลามาซ้อมไม่มีอาหาร ไม่มีขนมรับรองเลยหรือ   ไม่มีตำบักหุงสักจานเลยหรือ   แต่พอเป็นเรื่องการเทศนา  คนเทศนาไม่ว่าจะเป็นใครไปเทศน์ ถ้าเป็นคนนอก โบสถ์จะใส่ซองให้แล้วแต่ว่าเป็นนักเทศน์ระดับไหน  ถ้าดีหน่อยก็ 1000 บาท ถ้าเป็นพวกโนเนมแบบผมก็ 200-500 บาท  เทศนา 30-60 นาที  ส่วนใหญ่ไม่เกิน 30 นาทีในโบสถ์ประเภทโบราณนิยม 

โบสถ์คริสต์ต้องปรับปรุงเรื่องสวัสดิการและการให้ขวัญกำลังใจแก่ผู้ร่วมทำพันธกิจอย่างมีน้ำใจต่อกัน ไม่ใช่แบบกินรวบ  หรือเพื่อผลประโยชน์ของกองกลางอย่างเดียว  มันต้องคิดถึงใจเขาใจเราด้วย

ยกตัวอย่างชายคนหนึ่งและครอบครัวรับใช้งานโบสถ์แห่งหนึ่ง ภรรยาของเขาทำหน้าที่ทีมนมัสการและ สอนบทเรียนชั้นผู้ใหญ่ 1 ชั้น สามีอีกหนึ่งชั้นเรียน  ลูกสาวสอนชั้นเด็กอนุบาล  ตอนนมัสการเขาทำหน้าทีเทศนาเดือนละ 1-2 ครั้ง  และก่อนเทศนาครอบครัวของเขาทำหน้าที่ทีมนมัสการด้วย   เขาถวายทรัพย์จากรายได้เงินเดือนของครอบครัวโดยรวมที่มีรายได้เกือบแสนต่อเดือน  แล้วสิบลดมันเท่าไหร่ล่ะ  แต่พอครอบครัวนี้จะไปทำพันธกิจอะไร โบสถ์ไม่เคยคิดจะช่วยเขาเลย   เขาต้องชักออกจากกระเป๋าตนเองอีก  ถ้ามีงานพิเศษของโบสถ์ก็เรี่ยไรอีก ไม่เอาเงินกองกลางมาใช้จ่าย  แต่โบสถ์จ่ายเงินเดือนให้ศิษยาภิบาลเพียงคนเดียวเท่านั้น  ทั้งๆ ที่การทำงานในหน้าที่ก็มีหลายอย่างทำไมเป็นอย่างนี้ ใครตอบได้บ้าง  แล้วถ้ามีใครกล้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมา  สำหรับโบสถ์ที่ยากจนคงไม่มีใครว่า เพราะมันไม่มีแล้วจะให้ได้อย่างไร  แต่สำหรับโบสถ์ที่มีเหลือเฟือล่ะ  ทำไมไม่คิดเรื่องนี้บ้าง   อาจมีคนคิดว่าเราสอนผิด  อันนี้เราไม่ได้สอนใครนะ เราบ่นให้ฟัง ว่าสภาพที่เห็น  มันเป็นแบบนี้  มันแฟร์หรือเปล่าล่ะ  สิ้นปีไม่เคยมีของขวัญปลอมใจแก่คนทำงานอะไรเลยนะ ไม่ใช่แค่ปีเดียว เป็นเวลานานหลายปี  เป็นแบบนี้มาตลอด  ผมไม่ทราบว่า โบสถ์ที่ไหนเขาทำกันอย่างไรนะ แต่ที่ผมเคยพบมันเป็นแบบนี้  แล้วเราจะว่าอย่างไรล่ะ

ผมจึงมีความคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้มันคงไม่เจริญแน่ๆ  เราต้องมาสร้างคริสตจักรแบบใหม่ ที่ทุกคนช่วยกันลงขัน แล้วหากมีรายการจ่าย เราจะมีการจ่ายที่เป็นธรรม  กระจายทั่วถ้วน  เพื่อให้เกิดประสิทธิผลต่องานที่ทุกฝ่ายทำ  เราจะต้องเน้นพันธกิจการประกาศข่าวประเสริฐเป็นอันดับต้นๆ เลย

นอกจากนี้ยังมีระบบอีกอย่างหนึ่งที่เขาเรียกว่า เงินสิบเปอร์เซนต์สำหรับส่วนกลาง  คริสตจักรที่ผมเคยอยู่ส่งเงินเข้าไปส่วนกลาง คือกองบริหารส่วนกลางของกลุ่มหรือคณะ  ทั้งๆ ที่คริสตจักรแห่งนี้ไม่ได้รับเงินช่วยเหลืออะไรเลย เป็นค่าตอบแทนแก่ผู้รับใช้นะ  และกองกลางก็ไม่เคยคิดจะจ่ายผลตอบแทนอะไรมาให้ หรือช่วยเหลืออะไรเลยอย่างเป็นรูปธรรม

คริสตจักรไหนดื้อไม่ส่ง  หรือส่งแค่เดือนละ 200 -300 บาทก็ไม่เป็นไร  คริสตจักรไหน หัวอ่อนหน่อยก็จ่ายสิบเปอร์เซนต์มา เดือนละ 1000-2000 หรือ หลายพัน เขาก็ไม่เคยคิดจะนำเงินมาช่วยเหลืออะไรหรือตอบแทนคุณความดีอะไรเลยแก่คริสตจักรที่ถวายเข้าไปมาก   สิ้นปีเขาก็ไม่คิดจะส่งเงินปันผลเฉลี่ยคืนอะไร  แก่นักการศาสนาที่ทำงานอยู่ประจำ หรือโบสถ์ที่ส่งไปมากแต่อย่างใด  และนี้คือสิ่งที่เราประสบ  ไม่รู้นะ  ตรงนี้มันเป็นความจริงทีเราประสบมา  แล้วจะว่าอย่างไรล่ะ 

โอโห ปัญหาเยอะแยะไปหมดเลย แล้วจะปฎิรูปกันอย่างไรต่อนี้เนี๊ยะ

โปรดติดตามตอนต่อไป

กลับไปหน้าแรก

1 ความคิดเห็น:

  1. เราต้องเชื่อว่า เราเป็นคนชอบธรรมแล้ว แล้วเวลาเราทำบาป เราเป็นคนชอบธรรม หรือ คนบาปครับ

    ตอบลบ

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)