ไปทางไหนดี ทางบาป หรือทางแห่งสันติสุข Which way to go "Fleshly of Peace"



ทราบไหมว่า ใครบางคนมักจะมีเรื่องผิดใจกับใครๆ รอบตัวอยู่เรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็อยากจะดีกับทุกคน อยากจะเป็นที่รักของใครต่อใคร อยากจะอยู่อย่างสันติกับทุกคน แต่ทำไมเป็นไปในทางตรงข้ามไปได้

คนทั่วไปคิดว่าการทะเลาะ หรือการเข้าใจผิดกันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ให้ความสำคัญมากนัก  พอเวลาล่วงเลยไปสักหน่อย ความสัมพันธ์ที่เคยดีๆ กลับเสื่อมลงไปเรื่อยๆ หลายคนต้องช้ำใจ กับความรัก หรือต้องอยู่อย่างโดดเดียว หาคนที่จริงใจด้วยไม่ได้  เพราะพอคบหากับใครก็มักจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง  บางคนแค่พูดผิดหูนิดเดียวก็โกรธ บางครั้งถึงลงไม้ลงมือต่อกัน ด่ากันด้วยถ้อยคำเจ็บๆ บางคนสามารถฆ่ากันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง บางคนโกรธใคร สามารถโกรธได้นานเป็นเดือน เป็นปี หรือบางคนแย่กว่านี้ สามารถโกรธได้ตลอดไป  บางคนพูดว่า ถึงแม้มันตายก็จะไม่ไปเผาผีมัน





ลองไปถามคู่สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันนานๆ เขาจะรู้ว่า เรื่องที่เขามักจะทะเลาะ หรือขัดใจกันนั้นหลายๆ ครั้งม้ันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย  บางครั้งแค่เป็นแค่เรื่อง เอาของวางไม่เป็นที่  ลืมปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า ลืมซื้อขนมให้  หรือบางครั้ง เวลานอน ลืมหอมแก้ม ก็สามารถจะกลายเป็นเรื่อง เป็นประเด็นให้ทะเลาะกันได้ง่ายๆ

พี่น้องอาจไม่คาดคิดว่า ในร่างกายของมนุษย์นี้ วิญญาณอยู่หลายชนิดที่สามารถสร้างอิทธิพล ต่อความคิด อารมณ์ของคนได้  บางครั้งบางคนแม้ไม่ได้ทะเลาะกับใคร ก็มักจะทะเลาะกับความคิดของตนเอง

บางครั้งมีเสียงหรือความคิดแปลกๆ บอกให้ไปทำโน้นทำนี่ หรือบอกให้ไปด่าใครบางคน  บางคนมีอารมณ์รุนแรงในเรื่อง ความโกรธ ความรัก ความใคร่  หดหู่ หรือ น้อยใจ มีอารมณ์อะไรที่เขาเรียกว่า Extreme หรือ มีการระเบิดของอารมณ์  ขวางปาสิ่งของ  เตะ ต่อยฝาบ้าน หรือทุบทำลายสิ่งของ มีเสียงกระซิบให้ทำอะไรบ้างอย่างที่ไม่อยากทำ  บางครั้งชอบทำสิ่งที่ไม่อยากทำ เพราะรู้ว่าทำแล้วไม่ดี  เมื่อทำแล้วก็มารู้สึกตัวว่า น่าเสียใจ ไม่น่าทำเลย ทำไมเราจึงทำผิดซ้ำๆ  บางครั้งเหมือนเป็นทาสอารมณ์ของตนเอง

ในคำสอนของชาวคริสต์ พระคัมภีร์ก็ได้กล่าวไว้หลายตอน ที่บอกว่า "ซาตานได้เข้ามาดลใจ"  พระคัมภีร์ตอนหนึ่งได้บอกตรงๆ ว่า ร่างกายของมนุษย์ เป็นเหมือนที่สถิตของพระวิญญาณพระเจ้า  ดังนั้นเราจึงสามารถจะอนุมานได้ ว่า อย่างน้อยในร่างกายของมนุษย์นี้ มีวิญญาณบางอย่าง  ที่สามารถมาสร้างอิทธิพลต่อความคิด พฤติกรรม และอารมณ์ของเราได้ หลายประเภทอย่างแน่นอน

มีคนเคยสอนว่า ถ้าหากใครเชื่อพระคริสต์แล้ว ซาตานไม่สามารถดลใจเราได้  หรือเข้ามาสร้างอิทธิพลในความคิด ในอารมณ์ของเราได้  คำสอนนี้ฟังดูแล้วเป็นคำสอนที่ดูเหมือนเลิศ และให้เกียรติพระเจ้า แต่คำสอนนี้ไม่ได้เป็นสูตรที่ตายตัว หรือเป็นกฎที่แน่นอน  เพราะมันขัดแย้งกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิ้ล แม้แต่กษัตริย์ดาวิด ซึ่งเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างมาก ท่านเขียนสดุดีเทอดพระเกียรติพระเจ้าเป็นร้อยบท แต่ดาวิดก็เคยถูกซาตานวิญญาณชั่วดลใจมาแล้ว

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ สาวกของพระเยซูคนสำคัญ มีสิบสองคน ทุกคนกินกับพระเยซู นอนใกล้ๆ พระเยซู พระเยซูให้การอบรมสั่งสอนด้วยพระองค์เอง เป็นเวลาถึงสามปี  แต่มีคนหนึ่งที่ซาตาน วิญญาณชั่วยังสามารถทำการเข้าดลใจ ยูดาสให้ทรยศต่อพระเยซได้ 

บางคนสอนว่า หากใครมีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ด้วย เขาจะได้รับการควบคุมจากพระเจ้า ผมขอแย้งว่า การสอนแบบนี้ฟังดูเข้าที แต่ไม่ใช่ทั้งหมด พระเจ้าต้องการให้เราทำดี  อยู่ในความดี อยู่การปกครองของพระองค์   ถึงแม้พระเจ้าจะรักมนุษย์มากแค่ไหน พระเจ้าก็จะไม่บังคับมนุษย์ให้รัก หรือเชื่อพระองค์  พระเจ้าจะไม่ใช่วิธีการบังคับ  หรือดลใจ ในการควบคุมเราให้อยู่ในความดี อยู่ในสัจจะ หรืออยู่ภายใต้การบังคับของพระองค์ตลอดเวลา  เพราะการทำอย่างนี้ ไม่ใช่วิธีการของพระเจ้า  พระเจ้าให้โอกาสเลือกเสมอ

ตั้งแต่สมัยอาดัม มนุษย์คนแรกมาแล้ว  ในสมัยนั้น อาดัมมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าดีมาก แต่เมื่อเขามีเอวา เขาก็ถูกล่อลวงไม่ให้เชื่อฟังพระเจ้าได้ จนเพลอตัวทำบาป และนำคำแช่งสาป มาสู่แผ่นดิน และลูกหลานของมนุษย์มาจนบัดนี้  

แม้ว่าการไถ่บาปของพระเยซูจะสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ตามความเชื่อของชาวคริสต์ที่มีสืบต่อกันมาหลายพันปี  แต่ผลแห่งการไถ่ของพระเยซู ไม่ได้ทำให้มนุษย์ทุกคนได้รับการปลดปล่อยให้หลุดพ้นจากคำแช่งสาป ทุกคน  และแผ่นดินก็ไม่ได้กลับไปสู่สภาพก่อนที่พระเจ้าจะสาปมนุษย์  พระเจ้าจึงให้ผู้เชื่อพระยซูต้องออกไปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องความรอดบาปด้วยความเชื่อในการตายไถ่บาปของมนุษย์  ความรอดที่พระเยซูไถ่บาปที่ไม้กางเขนนั้นมีฤทธิ์อำนาจสามารถปลดปล่อยคนจากความบาปได้ทั้งโลก ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต

 แต่ว่า ความรอดนี้จะไม่เป็นของทุกคนทั้งโลก โดยอัตโนมัติ  แต่จะเป็นของคนเหล่านั้นที่ยอมรับเอาพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น  คนที่รับเอาพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ยังไม่เพียงพอ เขาจะต้องสำนึก กลับใจจากความบาปก่อน และตั้งสัจจะปฎิญาณ อธิษฐานสำแดงตนที่จะเข้ารับการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เขาจึงจะสามารถรอดพ้นจากอำนาจของบาป และคำแช่งสาปจากบทบัญญัติ และศีลธรรมทางศาสนาได้

ดังนั้น ผู้เชื่อพระเจ้าทุกคน จึงต้องพึ่งระมัดระวังในการดำเนินชีวิตว่า เราจะดำเนินตามคำสอนของพระเยซูเจ้า หรือดำเนินชีวิตตามความคิดเห็นของเรา หรือรับเสียงที่เกิดจากจิตใจของเราเอง  เสียงบางอย่างมาจากพระเจ้า  บางเสียง มาจากมารซาตาน หรือจิตที่หลอกลวง บางเสียงเป็นเสียงแห่งเนื้อหนังของเราเอง

ผมจึงขอหนุนใจพี่น้องว่า ถ้าเรารู้ว่าเราอยู่พระเจ้า ก็ให้เราดำเนินชีวิตตามสิ่งที่พระเยซูเจ้าสั่งสอนไว้ หรือดำเนินชีวิตตามกฎแห่งพระวิญญาณเถิด

"... แล้วการงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัดคือ

"การเล่นชู้ การล่วงประเวณี การโสโครก การลามก การนับถือรูปเคารพ การนับถือพ่อมดหมอผี การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การอิจฉาริษยากัน การโกรธกัน การทุ่มเถียงกัน การใฝ่สูง การแตกก๊กกัน  การอิจฉากัน การฆาตกรรม การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆในทำนองนี้อีก"


ผลของพระวิญญาณนั้นคือ

ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความเชื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีพระราชบัญญัติห้ามไว้เลย
 [กาลาเทีย บทที่ ๕ ข้อ ๑๙-๒๓]

ผมใคร่ขอหนุนใจพี่น้องทุกท่าน  ลองทบทวน  สำรวจดูการดำเนินชีวิตของเราแต่ละวัน และระมัดระวังทีเลือกว่า ในเหตุการณ์ใดๆ หรือสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม ท่านจะยอมให้ใจของท่าน วาจาของท่าน ความคิดของท่าน ดำเนินชีวิตตาม "พระวิญญาณ" หรือตาม "การงานของเนื้อหนัง"

ขอพระเจ้าอวยพระพร

Rice Mu. January 25, 2012

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)