แท้จริงความเชื่อในพระเยซูเจ้า ไม่ใช่เรื่องคำสอนให้เป็นเพียงคนดีของนักสอนศาสนา ไม่ใช่คำสอนที่บอกว่า มาเป็นคริสเตียนแล้วจะร่ำรวย ไม่มีทุกข์ มีแต่สุขสบาย แน่นอนทีเดียวผู้มาเชื่่อพระเจ้าจะสุขสบายแน่ๆ ถ้าเราได้รอดพ้นจากอำนาจของอำนาจบาป การเสพติด การถูกผูกมัดทางวิญญาณ ความเจ็บป่วย อารมณ์หวาดกลัว อารมณ์โกรธ หงุดหงิด หรืออารมณ์ร้ายๆ ต่างๆ และได้รับชีวิตหลังความตายที่ดี แต่มีใครเคยได้ยินคำสอนนี่บ้าง
“เหตุดังนั้นทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ด้วย
“อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพมาสู่โลก เรามิได้นำสันติภาพมาให้ แต่เรานำดาบมา
เรามาเพื่อจะให้ ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดา และลูกสะใภ้หมางใจกับแม่ผัว และผู้ที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกันก็จะเป็นศัตรูต่อกัน"
"ผู้ใดที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเรา(พระเยซู) ก็ไม่มีค่าควรกับเรา และผู้ใดรักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา ผู้นั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา และผู้ใด ที่ไม่รับเอากางเขนของตนตามเราไป ผู้นั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา ผู้ที่จะเอาชีวิตของตนรอด จะกลับเสียชีวิต แต่ผู้ที่สู้เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราก็จะได้ชีวิตรอด
“ผู้ที่รับท่านทั้งหลาย(สาวกที่แท้จริงของพระเยซูเจ้า) ก็รับเรา (พระเยซู) และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ที่ทรงใช้เรามา(พระบิดา-พระเจ้าสูงสุด)"
[พระธรรมมัทธิว บทที่ ๑๐]
อย่าหลงเชื่อคำสอนของนักการศาสนาตาเหล่ทางจิตวิญญาณที่สอนว่า การอัศจรรย์ไม่มีแล้ว การวางมือรักษาโรคไม่มี การขับผีออกจากคนไม่ได้เพราะเราไม่มีของประทาน บ้างสอนว่า ของประทานของพระวิญญาณหมดไปแล้ว เพราะว่า สิ่งนี้พระเจ้าใช้สำหรับการก่อตั้งคริสตจักรเริ่มแรกเมื่อสองพันปีก่อนเท่านั้น
นี่คือคำสอนที่ทำให้คริสเตียนที่เป็นเหมือนงูจงอางที่มีพิษร้ายแรง กลายเป็นเพียงงูไซ หรืองูน้ำที่ไร้พิษสง
พระคัมภีร์ตอนหนึ่งได้กล่าวว่า
"คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่คำที่เกลี้ยกล่อมด้วยสติปัญญา แต่เป็นคำซึ่งได้แสดงพระวิญญาณและพระเดชานุภาพ เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้อาศัยสติปัญญาของมนุษย์ แต่อาศัยฤทธิ์เดชของพระเจ้า"
[๑ โครินธ์ ๒: ๔-๕ ]
คำสอนของคริสเตียนคือ การสำแดงพระเดชานุภาพของพระเจ้าในพระนามพระเยซูเจ้า ผู้เชื่อพระเจ้าต้องแสวงหาอาจารย์ที่สามารถสอนให้เรากลายเป็นคนที่กลายเป็นผู้เชื่อที่สามารถอธิษฐานวางมือคนป่วยให้หาย และขับผีออกจากคนได้ วางมือแล้วคนพูดภาษาแปลกๆ โดยไม่ต้องไปหัดพูดเอง แต่พูดได้ด้วยเดชของพระวิญญาณของพระเจ้า
ผมใคร่วิงวอนพี่น้องคริสเตียนไม่ว่าอยู่คณะ หรือกลุ่มใด อย่าหลงเชื่อคำสอนที่บอกว่า ใครก็ตามที่มานั่งในโบสถ์แล้วจะได้กลายเป็นลูกพระเจ้าทุกคน และไม่มีผีในโบสถ์ เพราะว่าชาวคริสต์เป็นผู้ที่พระเจ้าคุ้มครอง ผีไม่สามารถมาทำอันตรายใครๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนได้ คำสอนนี่ถูกต้องไม่ผิดแน่นอน แต่มีใครบ้างที่ไม่เคยทำบาป มีใครบ้างที่เกิดใหม่แล้วจริงๆ มีกี่คน ในความเป็นจริงผีครอบครองอยุ่ทุกหนทุกแห่ง
ในสมัยที่พระเยซูมาทำงานปลดปล่อยของพระองค์เมื่อสองพันปีก่อน พระเยซูยังไปทำการรักษาคนป่วยใน ธรรมศาลา และพระองค์ยังขับผีในคนที่ธรรมศาลาด้วย
ธรรมศาลาคืออะไรหรือ ธรรมศาลาก็เปรียบเป็นโบสถ์ในปัจจุบันนี่แหละ และในสมัยก่อน พวกยิวก็นับถือพระเจ้าองค์เดียวกับที่พวกคริสเตียนนับถืออยู่ทุกวันนี่แหละ เป็นองค์เดียวกัน พระคัมภีร์ก็เล่มเดียวกัน ในสมัยคริสตจักรเริ่มแรก อาจารย์เปาโลสอนว่า พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระะเจ้า พระคัมภีร์ที่อาจารย์เปาโลอ้างถึงนั้น ไม่ใช่พระคัมภีร์เล่ม พันธสัญญาใหม่ เพราะว่า ตอนนี้พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ยังไม่ได้รวบรวมเป็นเล่ม ยังไม่ได้เขียนก็ว่าได้ แล้วมันเป็นเล่มไหนล่ะ
บางครั้งคนเรานี่ก็นึกไม่ถึง ไอ้แค่เรื่องง่ายๆ เราก็นึกไม่ถึง บางทีทำให้บางคนที่ดูเป็นคนฉลาด การศึกษาก็สูง ความรู้ก็ดี ตำแหน่งทางศาสนาก็สูง เป็นมานาน แต่กลายเป็นว่า มืดไปหมด เพราะไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพราะอาจารย์ปู่สอนมาอย่างไร ก็ว่าไปอย่างนั้น ไม่ยอมรับการเปิดเผยใหม่ ๆ เหมือนพวกฟาริสีที่ไม่ยอมรับพระเยซูเจ้าในสมัยโบราณนั่นเอง
ผมได้ยินนักการศาสนาท่านหนึ่งที่เก่งมากๆ มีคนนับถือทั่วไทย หรือไปไกลถึงต่างประเทศก็ว่าได้ วันหนึ่งผมอ่านในโพสของท่านบนเฟซบุ๊ค เมื่อมีคนถามท่านเรื่องของประทาน ท่านดันไปตอบว่า ของประทานบางอย่างหมดไปแล้ว ไม่มีแล้ว เช่นของประทานการเป็นอัครทูต ของประทานการเผยพระวจนะ เพราะว่าในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว คริสตจักรได้เกิดขึ้นแล้วจึงไม่จำเป็นต้องใช้... อ้าว
ผมอ่านแล้ว ทำให้ผมผิดหวังกับท่านอาจารย์ท่านนี้มาก การที่ท่านไม่มีของประทานนั้น อาจเป็นเพราะท่านไม่เคยสัมผัส เนื่องจากท่านเป็นอาจารย์ใหญ่มานาน แต่ท่านไม่มีของประทานแบบนี้ ท่านจึงคิดไปว่า มันไม่มีแล้ว ท่านนึกไม่ถึงว่า สิ่งที่ท่านฟันธงไปนั้นน่าผิดหวังมาก น่าตกใจมากๆ ทั้งๆ ที่ศึกษามานานแต่ยังเข้าไม่ถึงความจริงของพระกิตติคุณของพระคริสต์
ตั้งแต่ผมได้รับทราบความเชื่อของท่านแล้ว ผมจึงเอาใบปลิวของท่านที่ซื้อมาหลายร้อยแผ่น เก็บไว้ในตู้ ไม่กล้าเอาไปแจกใครอีก เพราะว่า หมดศัทธาในคำสอนของท่านแล้ว เพราะท่านไม่เชื่อเรื่องฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ไม่เชื่อเรื่องการเปิดเผยสำแดงในยุคปัจจุบัน
การมาเชื่อพระเจ้าท่านจะต้องได้รับสิ่งหนึ่งที่พระเยซูได้สอนไว้แล้ว คือ การถูกปฏิเสธจากคนที่ท่านรัก คนที่มีพระคุณต่อท่านอย่างแน่นอน ถ้าท่านมาเชื่อพระเจ้าและได้รับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยใหม่ แต่ถ้าท่านมาเชื่อพระเจ้าแต่ยังทำบาป เป็นทาสบาป ไม่ยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงจิตใจ และความคิดของเขา ท่านก็จะไม่ได้เกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ แม้ท่านจะอยู่ในศาสนาคริสต์ไปนานเท่าใด ท่านก็ยังเป็นแค่คนอยู่ในศาสนาเท่านั้น เขาจะไม่สามารถเข้าไปถึง ฤทธิ์อำนาจในการเปลี่ยนแปลงชีวิต เพื่อจะมีชีวิตที่เหนือธรรมชาติ มีชีวิตที่เกิดผลนำคนอื่นๆ มารอดพ้นบาปด้วยการเป็นพยานของเขาได้
การมาเชื่อพระเจ้าคือการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าหรือไม่ ท่านเท่านั้นจะสามารถเลือกเอาเองได้
ผมมีลูกศิษย์ที่เป็นผู้เชื่อใหม่ๆ ก่อนที่เขาจะมาเชื่อพระเยซู พวกเขากินเหล้า เมายา เล่นเกมจนสว่าง ติดภาพลามก มี นิสัยไม่ดีหลายอย่าง พวกเขาไม่เห็นมีปัญหาอะไรกับครอบครัวมากนัก จะโดนด่าบ้างก็นิดๆ หน่อยๆ แต่เมื่อเขากลับใจมาเชื่อพระเยซู พวกเขาหายจากโรคบางอย่าง เช่น ปวดหัว ไมเกรน อาการภูมิแพ้ โรคหวัดเรื้อรัง ลมชัก ปวดท้อง และสารพัดโรค
แต่ที่ดีกว่านี้ คือ พวกเขาเลิกกินเหล้า เลิกเที่ยว เลิกสิ่งไม่ดีหลายอย่าง แทนที่พ่อแม่พี่น้องและญาติๆ จะดีใจ แต่ปรากฏว่า พวกเขากลับถูกต่อต้านจากคนในครอบครัว ถูกกล่าวหาว่า งมงาย และโง่ ที่ไปเชื่อพระเจ้า นี่ไง ที่พระเยซูบอกว่า ท่านทั้งหลายจะได้แยกกับครอบครัว จะทะเลาะกัน เพราะเหตุนี่เอง
ผมได้พูดคุยกับเด็กหลายคน ที่เปิดใจรับฟังเรื่องพระเจ้า แต่ก่อนที่เขาจะเปิดใจเชื่อพระเยซู พวกเขาเคยกราบไหว้พระเจ้าที่ทำด้วยมือมนุษย์ ต้นไม้ใหญ่ ศาลเจ้าต่างๆ เข้ารับธรรม รับองค์ เข้าทรง ถือผี พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่พวกเขากราบไหว้น้้นคือพระเจ้าที่แท้จริงหรือเปล่า พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาจึงไม่ฉุกคิดว่า ทำไมรูปปั้นต่างๆ ต้องกินน้ำแดง ต้องกินส้ม ต้องกินข้าว นี่หรือคือสิ่งที่พวกเขาเข้าใจว่าเป็นพระเจ้า พระเจ้าต้องเลี้ยงดูเราซิ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าเรา ทำไมเราต้องเลี้ยงดูพระเจ้า และรูปเคารพทำไมกินอาหารได้ ถ้าไม่ทำให้ตามวะระและฤดูกาล ก็ถูกรบกวน ถูกเข้าสิง เจ็บป่วย รักษาไม่หาย
เมื่อพวกเขาเปิดใจยอมรับพระเยซู พวกเขาจึงรู้ว่า ความจริงคืออะไร พระเจ้าที่แท้จริงต้องไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น พระเจ้าต้องเป็นผู้ดูแลเรา ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องเฝ้าดูแล และซื้อหามาด้วยเงินทอง และต้องเก็บรักษาไว้ ไม่งั้นพระเจ้าก็จะไม่ดูแลเรา ใช่หรือนี่ พระเจ้าทำไมเป็นแบบนี้ นี่คือคำถามคาใจ
ใครที่เคยอยู่ในศาสนาคริสต์ อาจารย์บางคนเคยสอนว่า การอัศจรรย์หมดไปแล้วการรักษาโรค เป็นเรื่องของคนเกาหลี คนฝรั่ง คนไทยไม่มีของประทาน เป็นเรื่องคำสอนที่ต้องปรับปรุงใหม่ เพราะพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่า ผู้เชื่อเกาหลีอยู่ที่ไหนการอัศจรรย์จะเกิดขึ้นที่นั่น แต่พระคัมภีร์สอนว่า "มีผู้เชื่อที่ไหน จะเกิดหมายสำคัญขึ้น เขาจะขับผี เขาจะวางมือบนคนป่วยแล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค"...
การมาเชื่อพระเจ้าคือการลงทุน อันคุ้มค่า แลกด้วยชีวิตก็ได้ชีวิต แลกมาก ลงทุนมากก็ได้มาก ใครใจเสาะหนีพระเจ้า ก็เชิญตามสบาย ตัวใครตัวมัน เพราะการเชื่อพระเจ้าคือการฉลาดเลือก และเป็นความสมัครใจ
ท่านจะได้รับทุกสิ่งตามพระส้ญญาของพระเยซูเจ้า พระคัมภีร์สอนว่า คนทั่วไปดำเนินชีวิตด้วยเห็นแก่สิ่งของที่มองเห็น ต่อคนที่เชื่อพระเยซู ดำเนินชีวิตด้วยความหวังในสิ่งที่มองไม่เห็น การเชื่อพระเจ้าคือการปรับเปลี่ยนความคิด และความเชื่อ ผู้เชื่อจะต้องปฏิเสธความต้องการด้านใฝ่ต่ำที่ติดมาตั้งแต่ก่อนเชื่อพระเจ้า และเขาจะต้องถูกปฏิเสธ ถูกใส่ร้าย ถูกด่า ถูกตำหนิว่าไม่เข้าพวก ไม่สามารถทำตามประเพณีบางอย่างที่เกี่ยวกับการกราบไหว้ผี และวิญญาณ
ผู้เชื่อพระเจ้าทุกคนจะต้องเข้าสู่การทดสอบความเชื่อ ถ้าท่านไม่ผ่าน ท่านก็ไม่สามารถก้าวไปสู่ความเชื่อระดับที่สูงกว่าปัจจุบันได้ ท่านก็จะขาดพระพรอีกหลายอย่าง รางวัลอีกหลายอย่างที่พระคริสต์ได้จัดเตรียมไว้สำหรับท่าน ทั้งในปัจจุบ้ันและในอนาคต
...ความเชื่อในพระเยซูเจ้า ไม่ใช่เรื่องคำสอนให้เป็นคนดีของนักสอนศาสนา อย่าหลงเชื่อคำสอนของนักการศาสนาที่สอนว่า การอัศจรรย์ไม่มีแล้ว การวางมือรักษาโรคไม่มี การขับผีออกจากคนไม่ได้เพราะเราไม่มีของประทาน ผมอยากหนุนใจให้ผู้เชื่อพระเจ้าทุกคนแสวงหาของประทานแห่งฤทธิอำนาจเหนือธรรมชาติในพระนามพระเยซูคริสต์ เราทุกคนทำได้ และการขับผีไม่ใช่ของประทานแต่เป็นสิทธิอำนาจของผู้เชื่อ
ขอพระเจ้าอวยพระพร
นี่คือหมายสำคัญของผู้เชื่อพระเยซูเจ้าทุกยุคทุกสมัย ไม่มีวันหมดสิ้น
เห็นด้วยอย่างยิ่ง การอัศจรรย์ของพระเจ้ายังมีอยู่ตลอด
ตอบลบแต่น่าสงสารคริสเตียนมากมายที่ไม่ได้รับการสำแดงจากพระเจ้าเลย เพราะใจเขาปิดไม่รับ ไม่เชื่อ
ข้าพเจ้าแปลกใจมาก ที่แม้แต่ผู้นำบางคริสตจักรไม่เชื่อ แล้วเขาก็สอนให้สมาชิกไม่เชื่อไปด้วย น่าอนาถใจนัก
ตอบลบ