ความถ่อมใจแบบลวง False Humility Exposed

                                  

                                               True or False Humility

๐๐๐ อุปนิสัยถ่อมใจแบบหลอกๆ (False Humility)๐๐๐

“ความถ่อมใจคือ ความคิด ความเชื่อ การปฏิบัติที่แสดงออกว่า “ผู้อื่น เป็น หรือมีดีกว่าตัวเขาเอง แม้ว่าคนอื่นจะใหม่กว่า หนุ่มกว่า หรือเรียนมาน้อยกว่า มีประสบการณ์น้อยกว่า หรือมีฐานะที่ต่ำกว่า”

อุปนิสัย หรือจริยธรรมที่สำคัญในการเข้าสู่การปกครองของพระเจ้าอีกประการหนึ่ง คือ ความถ่อมใจ แต่จะมีใครบ้างที่จะทราบว่าคนที่เราคบหาสมาคม หรือมีความสัมพันธ์ด้วยนั้นเขาเป็นผู้มีความถ่อมใจจริงๆ หรือถ่อมใจแบบปลอมปนๆ ไปด้วยความเย่อหยิ่ง และสวมหน้ากากไว้ข้างนอกอีกชั้นหนึ่ง ข้อสังเกตเหล่านี้อาจจะชี้ชัดได้ว่า ใคร คือคนนั้นที่ถ่อมใจแบบหลอกๆ ไม่แน่นะใครคนนั้นอาจเป็นคนใกล้ชิด หรือที่แย่กว่าคือ ตัวอาตมาเองคือคนนั้น พฤติกรรมที่สังเกตได้บางประการ คือ



๐ เขาจะเก็บซ่อนธรรมชาติบาปที่มีฐานที่มั่นในความลึกลับของจิตใจไว้ข้างใน ถ้าหากมีใครจับได้ไล่ทัน เขาจะไม่ยอมรับความผิดพลาดแม้จะถูกจับได้คาหนังคาเขา หากเขากลัวว่าจะถูกเปิดโปง เขาจะมุ่งทำลายคนที่คิดจะเปิดโปงเขาเสียก่อน ถ้าทำไม่ได้เขาจะหนีไปก่อนที่ความลับจะถูกเปิดเผย

๐“ฉันจะฟังคุณสอนถ้าคุณพูดในสิ่งที่ฉันชอบฟัง  แต่อย่าบอกว่าฉันผิดพลาด ผิดบาป และเย่อหยิ่ง” ฉันจะเชื่อฟังคุณตราบเท่าที่คุณไม่ตำหนิความอ่อนแอของฉัน มีใครบ้างที่ไม่ผิดพลาด”

“ฉันจะยอมติดตามคริสตจักรตราบเท่าที่ ที่นี้ยังให้ประโยชน์ต่อฉัน ยกย่องฉัน ให้เกียรติฉัน ไม่รุกล้ำเขตประตูลับ(Hidden doors), จุดบอด (blind spots), และ จุดอ่อน (Weakness), จุดมืดมน (Unknown Area)  ในใจของฉัน ” (ดูเพิ่มเติมจาก หน้าต่าง โจฮารี่ Johari Windows)

๐“ฉันจะพูดดี พูดสุภาพ อ่อนโยน น่ารัก ต่อหน้าคริสเตียนในวันอาทิตย์ โดยเฉพาะต่อหน้าอาจารย์ และเพื่อนสมาชิกของฉันเป็นพิเศษ แต่หลังจากนั้น หากใครมาแหย่ มาสบประมาทฉัน หรือพลั้งปากรุกล้ำอธิปไตยของฉัน  เขาจะได้รับตอบโต้ ตอบแทนอย่างสาสม เพราะคำหยาบ คำด่า คำหมิ่นประมาท ความเกลียดชัง คืออาหาร และอาวุธประจำกายของฉัน”

ลองพิจารณาดูคนที่ญาติ และตัวเขาถูกทำร้าย ด้วยความไม่ตั้งใจที่ออกข่าวครึกโครมทางสื่อมวลชนเมื่อไม่นานมานี้สิ ด้วยเหตุการณ์ร้ายนี้เอง ทำให้เขาสำแดงความถ่อมใจเทียมเท็จในจิตใจของเขาออกมา เขาทำการด้วยอำนาจ  ด้วยเส้นสาย  ด้วยความคิดเคียดแค้นส่วนตัว เพื่อหวังผลบางอย่าง แม้แต่อาจารย์ใหญ่ของคริสเตียน ที่ใครๆ ก็นับถือ   เขายังบังอาจประณาม กล่าวโทษ ด่าว่า กล่าวหยาบหยาม ดูหมิ่น ทำการแก้แค้นด้วยตนเอง แม้จะมีใครเตือนเขาก็ไม่ฟัง

แต่ท่านอาจารย์เหล่านั้นไม่มีใครออกมาตอบโต้เขา  ท่านปล่อยให้การแก้แค้นอยู่ในมือของพระเจ้า

๐เขาจะตอบโต้อย่างเผ็ดร้อน ถ้าใครบังอาจมากล่าวหา หรือพูดขัดใจ พูดต่อต้านสิ่งที่เขารัก สิ่งที่เขาเชื่อถือศรัทธา สิ่งที่เขาเทิดทูน คำพูดเด็ดที่ติดปากคือ “อย่ามายุ่งกับฉานนน ” "ชีวิตของฉัน (It is my life, or it is my way)"

๐ต่อหน้าคนอื่นเขาจะทำตัวดี Nice (ดูดี), Gentle (อ่อนโยน), Polite(สุภาพ), Caring(เอาใจใส่คนอื่น) and Generous(เอื้อเฟื้อ). แต่ลับหลังเขาจะเป็นคน ขี้อิจฉา, เอาเปรียบ, แสดงอาการหรือพูดหยาบคาย, ฉันต้องได้ก่อน, เขาไม่คิดจะช่วยเหลือใครหากไม่มีใครอ้อนวอน หรือถ้าเขาไม่ได้หน้าเขาก็ไม่ทำ เพราะกลัวจะเสียทรัพย์ กลัวขาดทุน, เขาจะทะเลาะกับคนใกล้ชิดบ่อยจนเบื่อ เข้ากับใครไม่ค่อยได้นาน ช่วงฮันนีมูนสำหรับความสัมพันธ์ของเขากับคนอื่นๆ ช่างมีเวลาแค่สั้นๆ เสียจริง ๐

๐ เมื่อเขาต้องการการยอมรับ ต้องการผลประโยชน์จากการเข้าร่วมกลุ่ม ต้องการอาศัยอิงกระแส เขาจะพูดว่า “เรามาเป็นทีมงานรับใช้พระเจ้าร่วมกันนะ (แต่ถ้าวันไหนหากมีเรื่องขัดใจกัน ผลประโยชน์ขัดกัน ถูกปัญหาและ มีวิกฤต  ต้องรับการทดสอบความสัมพันธ์ เขาจะเปลี่ยนไปง่ายๆ เขาจะพูดว่า "ฉันขอไปอยู่ที่อื่นดีกว่า")


- มีคนหนึ่งเคยพูดว่า "อาจารย์ค่ะ ดิฉันอยากรับใช้พระเจ้า เรามารับใช้ร่วมกันนะคะ" แต่ถ้าวันไหนเขาถูกกล่าวหา เกิดอาการขัดแย้งในการทำงานร่วมกันเพียงเล็กน้อย (ซึ่งเป็นธรรมดาของการทำงานกลุ่มร่วมกัน) หากเขาได้รับการตักเตือนแม้ด้วยความรัก เขาถูกคนเข้าใจผิด เมื่อเขาคิดว่าตัวเองไม่ได้รับการยอมรับ เมื่อใดที่มีความขัดแย้ง เมื่อเขาคิดว่าตัวเองไม่ได้ความเป็นธรรม เขาก็พร้อมจะจากไปจากการสมาคม/กลุ่มได้ทันที โดยไม่ชี้แจงเหตุผลใดๆ"

๐ เขามักจะเปลี่ยนซิมเบอร์มือถือบ่อยๆ เพราะเหตุรำคาญคนบางคน โดยยอมทิ้งเบอร์ของใครๆ คนอื่นๆ ที่รักและห่วงใยเขาที่อยู่ในซิมทั้งหมด แม้ใครจะติดต่อเขาไม่ได้ เขาไม่สนหรอก เขาคิดเพียงแค่ว่าให้เขาได้ สลัดและหนีไปจากคนที่ไม่ลงรอยกับเขาก็พอ”

๐ เมื่อเขายังออน่ประสบการณ์และต้องการก้าวหน้าในคำสอน ในองค์ความรู้บางอย่างที่เขาเข้าไม่ถึงมาก่อน  เขามักพูดว่ากับคนที่ดูเหมือนมีอาวุโสทางวิญญาณมากกว่าเขาว่า “อาจารย์ค่ะ/ครับมีอะไรแนะนำได้นะคะ/ครับ”ผม/หนูยังต้องเรียนรู้อีกมาก หนูต้องการใครสักคนที่จะช่วยเป็นจรวดขับดันหนูให้ไปข้างหน้า  ผม/หนูอยากเกิดผลมากๆ

แต่ถ้าวันไหนเขาเริ่มเรียนรู้ได้บ้างแล้ว  กำลังคิดว่าตัวเองรู้มาก  แต่ถูกเตือนตรงๆ ถึงความผิดพลาดในการพูด ในการแสดงออก หรือเพราะการติดตามคำสอนที่นอกลู่นอกทาง เขาก็จะปฏิเสธคำเตือน  เขาจะขอถอนตัวจากการเป็นทีมงาน จากผู้ร่วมอุดมการณ์  ขอบอกลาง่ายๆ  ด้วยการพูดว่า

“หนู/ผมขอบาย   ผม/หนูขอคิดดูก่อนว่าจะอยู่ภายใต้การดูแลของท่านหรือไม่ เพราะเราเชื่อไม่เหมือนกัน  ทำงานต่างกัน  หลักข้อเชื่อไปกันไม่ได้  และสุดท้าย เขามักจะบอกว่า ผม/หนูขอเลือกทางของผม/หนูเองค่ะ”

๐ เขาเป็นคนที่สามารถตีสองหน้าได้อย่างแนบเนียน เขาสามารถแสดงบทบาทและพูดในสิ่งตรงข้ามกับธรรมชาติแห่งตัวตนของเขา เขาสามารถทำสีหน้าสวนทางกับอารมณ์ของเขาได้ดีมากๆ  ระดับที่ว่าดารานางร้ายที่แสดงละครน้ำเน่า  ที่เสแสร้งเก่งต่อหน้าพระเอกต้องเรียกพี่

หากเขาต้องการจะเป็นที่ยอมรับ เพื่อภาพลักษณ์ภายนอกที่ดี เพื่อการบรรลุเป้าหมายบางอย่างของเขา บางครั้งจะพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับ ความเชื่อ ความคิดของเขาได้ เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง  เพื่อจะได้เป็นส่วนหนึ่ง ได้อยู่ในกลุ่มชนที่มีผลประโยชน์ต่อเขาต่อไป เมื่อเขาคำนวณดูแล้วมันคุ้ม เขาจะอยู่ต่อ

๐ สิ่งที่เขาพูด แสดงออกในการสนทนาคือ ความสำเร็จของฉัน ของคนในครอบครัว กลุ่มของฉัน โบสถ์ของฉัน เขาจะยกเรื่องราวขึ้นต่างๆ นานามาอวด มาอ้าง วางท่า วางฟอร์มว่า ของเขาดีกว่าคนอื่น “ฉันมีพรมากกว่า รู้มากกว่า ประสบการณ์มากกว่า ที่นี้เราเป็นแบบนี้ค่ะ เพราะเราทำทุกอย่างเพื่อพระเจ้า (แต่ของเราจะดีกว่าใครๆ)”

๐ เมื่อเขาเติบโตมากขึ้น จนกลายเป็นผู้สอน  เขามักจะสอนแบบชอบใช้คำสั่งห้ามไม่ให้ผู้ติดตามของเขาไปฟังคำสอนหรือติดตามคนของพระเจ้าจากกลุ่มอื่นไม่ว่าใครๆ  ไม่ว่าจะเป็นที่่ยอมรับหรือไม่ที่เขาไม่อนุญาต เขามักจะใช้คำพูดว่า  "อย่า อย่า อย่า... ต้อง ต้อง ต้อง 

เขามักจะพูดลบหลู่คำสอน หรือการสัมมนาขององค์กรใดๆ ที่เปิดให้คริสเตียนเสรีผู้มุ่งแสวงหาของประทานไปฟังคำสอนว่า

"อย่าไปเลย เสียเวลา ของเรามีครบบริบูรณ์ พร้อมทุกอย่างแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะไปสัมมนา ไปรับคำสอนที่ไหนอีกแล้ว คำสอน หลักการของเราดีที่สุด ถูกต้องที่สุด" ที่หนักกว่านี้ เขาจะพูดกับผู้เชื่อที่เขาคิดว่าเป็นสมบัติส่วนตัวของเขาว่า "ไปทำไม ใครอนุญาตให้ไป"

๐ เขามักจะใช้การสนทนาเพื่อเล่าเรื่องประสบการณ์จากมุมมอง จากโลกทัศน์อันคับแคบ โลกใบเก่าๆ ของเขา แทนที่จะเปิดหู เปิดใจยอมฟังความคิดใหม่ ไอเดียใหม่ๆ จากคู่สนทนา แต่ถ้าหากวันไหนที่เขาไม่มีโอกาสพูด เขาจะใช้โอกาสนั้นฟังเพื่อจับผิด และมุ่งแสวงหาข้อด้อยของคนพูด หรือคู่สนทนา แล้วเก็บเอาไปนินทา

๐ เขามักจะปกป้องพฤติกรรม และจิตใจส่วนลึกอัน “หลอกลวง” “แหลกเหลว” และ”เหลวไหล” ของเขาเมื่อเขาค้นพบความผิดของตนเอง จากกระจกใสที่ส่องให้เห็นจากพระวจนะ หรือจากมิตรแท้ หรือคนของพระเจ้าที่เป็นห่วงเขา แต่เพราะการหลงเชื่อคำลวงของเจ้านายตัวเก่าของเขา เขาพูดว่า

“ไม่เป็นไรหรอก ใครๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหน ไม่เคยทำผิดพลาด ไม่เคยบาปหรอก เธออยู่ในพระคุณแล้ว ไม่เป็นไรน่า ไม่เป็นไรจริงๆ แสร้งทำตัวดีๆ เข้าไว้ แล้วจะดีเอง”

๐ เขาดูเบาสำหรับความทะนงตน ความเย่อหยิ่งที่อยู่ในตัวเขาว่ามีแค่นิดเดียว เขาไม่คิดว่าการปล่อยให้ความเย่อหยิ่งเข้ามาตัวเดียว จะทำอะไรเขาได้ เขาหารู้ไม่ว่าจิตแห่งความเย่อหยิ่ง มีทีมงานที่ทำงานร่วมกันหลายตน คือ ความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การโลภ ความอธรรม การล่อลวงเขา ราคะตัณหา อิจฉาตาร้อน การใส่ร้าย ความบัดซบ.(มาระโก 7)

จิตต่างๆ ที่เป็นพันธมิตรของความยะโส ทะยอยแอบเข้ามาอยู่กับเขา ที่ละน้อยๆ ที่ละตัวสองตัว จนภายหลังเขาเริ่มตระหนักถึงอาการของจิตที่ควบคุมไม่ค่อยได้เสียแล้ว เขาเริ่มทำบาปไม่ใช่แค่อยากสนุก แต่มันเป็นเหมือนการถูกบังคับ  ไม่ทำไม่ได้  จิตใจสูญเสียการควบคุม  มีเสียงในใจ

และเขาก็เริ่มมีอาการป่วย เจ็บบ่อยๆ ถี่ขึ้น เป็นโรคประจำตัวที่รักษายาก   เกิดอาการผิดปกติ  ความอ่อนแอของร่างกายเริ่มมีมากขึ้นๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ   ภายหลังเขาจะเริ่มสงสัยว่า ทำไมพระเจ้าจึงทำให้เขาป่วย ทำไมเขาจึงโดดเดี่ยว ทำไมเขาจึงเป็นแบบนี้  บ่อยครั้งเขาหลอกตัวเองว่า  นี่คือธรรมชาติของสังขาร  แต่มันไม่ใช่ มันเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณรบกวนที่มากับความบาปนั่นเอง

เหล่านี้คือตัวชี้วัด ข้อสังเกตบางประการที่สำคัญสำหรับคำว่า การถ่อมใจแบบลวง

"จงให้คนอื่นสรรเสริญเจ้าและไม่ใช่ปากของเจ้าเอง
ให้คนต่างถิ่นสรรเสริญไม่ใช่ริมฝีปากของเจ้าเอง"
(สุภาษิต 27)

"บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยนผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก "
(มัทธิว 5:4)

ในความเป็นประชากรของพระเจ้า  ผู้เชื่อพระคริสต์จะได้รับการบำบัด  เยียวยา  ชำระ  ปลดปล่อย  อุปนิสัยต่างๆ ที่ไม่ดีจะได้การขัดเกลา ชำระ เขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลง แน่ทีเดียวการเปลี่ยนอุปนิสัยไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครๆ จะสามารถทำได้ ในระยะเวลาสั้นๆ แค่สองสามเดือน แต่อาจต้องใช้เวลาปรับพฤติกรรม  และปรับมโนทัศน์เป็นปีๆ เลยทีเดียว

แต่ถ้าผู้เชื่อ ยอมกลับใจใหม่ และเรียนรู้ ยอมให้พระวจนะของพระเจ้าขัดเกลา ยอมเชื่อฟังคำสอนของผู้อาวุโสทางวิญญาณ  ฟังพระวจนะแล้วนำเอาไปถือปฏิบัติ  เขาจะกลายเป็นคนใหม่จริงๆ ไม่ใช่แค่การนับถือศาสนา การไปปฏิบัติศาสนกิจเป็นประจำ  แต่จะก้าวไปไกลถึงระดับสาวก ผู้เชื่อที่มีสิทธิอำนาจ

ลองสำรวจดูนะครับว่า ความถ่อมใจลวงๆ นี้ มันมีอยู่ในเนื้อหนังใดบ้าง ถ้ามีแล้ว ไม่อยากให้มันเติบโตมากไปกว่านี้  ก็ควรรีบกำจัดซะ ก่อนที่มันจะพาเจ้าของมันติดแหง๊กอยู่ตรงนั้น เหมือนต้นไม้ผลที่ถูกปลูกในกระถางน้อยๆ ไม่สามารถเกิดผล แม้จะได้ปุ๋ยได้น้ำ ได้รับการดูแลอย่างดี แต่เพราะมีรากเน่าข้างใน ถูกจำกัดด้วยขอบเขตที่อยู่แคบๆ  ถูกกาฝากยึดเกาะ  ศัตรูพืชมาสร้างรัง ต้นไม้แห่งชีวิตมันจึงไม่สามารถเกิดผลที่ดีได้   ในที่สุดมันทำให้กลายเป็นต้นไม้ไร้ค่า และจะถูกตัดฟันไป ส่งเข้าเตาเผา

ขอพระเจ้าอวยพรให้จำเริญในความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก เพื่อนำแผ่นดินของพระเจ้าเข้าไปอยู่ในใจของผองชนคนไทย ให้มากที่สุดในช่วงชีวิตของเรา

@rice mu


Home

@rice mu, Original message

ห้ามคัดลอกตัดต่อเพื่อทำการใดๆ ที่เป็นการผลประโยชน์ทางการค้า หรือเพื่อการศึกษา  การทำรายงานในสถาบันคริสตศาสนาที่ไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เขียน     สำหรับผู้ต้องการนำไปศึกษาส่วนตัวสามารถทำการคัดลอกได้โดยไม่ต้องขออนุญาต


อ่านเพิ่มเติม เรื่อง หน้าต่าง โจฮารี่

Johari Window

OR

*รูปแบบของการรู้จักตัวเอง

หน้าต่าง 4 บาน ของโจฮารี่ (Johari’s Window)
1.ส่วนที่เปิดเผย (Open Self) ตัวเองรู้และคนอื่นรู้ : ส่วนที่เรารู้และเรากล้าที่จะบอกกับคนอื่น และคนอื่นก็รู้ว่าเรามีพฤติกรรมแบบใด
เช่น เรารู้ว่ามีกลิ่นตัวแรง เราบอกกับเพื่อนให้รับทราบ เมื่อเพื่อนทราบแล้วเพื่อนจะให้คำแนะนำในการรักษาไม่ให้มีกลิ่นตัวแรง พฤติกรรมเช่นนี้เป็นการเปิดเผยตนเองให้คนอื่นทราบ จะทำให้เกิดมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

2.ส่วนที่มองไม่เห็น (Blind Self) ตัวเองไม่รู้แต่คนอื่นรู้ : ส่วนต่างๆที่เราไม่รู้ตัวว่าเรามีข้อบกพร่องด้านใด
เช่น ไม่รู้ตัวว่ามีกลิ่นตัวแรง เมื่อเราเดินไปพบปะสนทนา หรือขอความช่วยเหลือจากใคร จะทำให้คนอื่นรู้สึกรังเกียจเรา เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะมีบุคลิกภาพที่ด้อยค่าลง ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย
ต้องเปิดเผยตัวเอง ยอมรับความจริง และพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไข

3.ส่วนที่ซ่อนเร้น (Hidden Self) ตนเองรู้ แต่คนอื่นไม่รู้ : ส่วนที่เรารู้ตัวตลอดเวลาว่าเรามีข้อบกพร่องด้านใดเก็บไว้เป็นความลับเฉพาะตัวคนเดียว ไม่ยอมเปิดเผย
เช่น เรารู้ว่ามีกลิ่นตัวแรง แต่คนอื่นไม่รู้ เราจึงพยายามซ่อนเร้นพฤติกรรมของเราโดยการเก็บตัว หรือเฝ้าระมัดระวัง หวาดระแวง กลัวว่าคนอื่นจะรู้ จึงทำให้เราต้องลำบากใจในการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
ต้องยอมรับความจริง และพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไข

4.ส่วนที่ไม่รู้ (Unknown Self) ตัวเองไม่รู้ และคนอื่นก็ไม่รู้ : พฤติกรรมที่ทั้งตัวเรา และบุคคลอื่นก็ไม่รู้
เช่น เราไม่รู้ตัวเรามีกลิ่นตัวแรง และคนอื่นก็ไม่รู้เช่นกัน ลักษณะนี้ย่อมไม่เป็นที่ลำบากใจแก่ใคร แต่มีข้อเสียคือขาดการปรับปรุงบุคลิกภาพ หรือมีบุคลิกภาพไม่ดี โดยเจ้าตัวไม่รู้ตัว และอาจเกิดผลเสียต่อสุขภาพร่างกายในด้านการติดเชื้อโรคในจุดที่ทำให้เกิด กลิ่นตัวได้


4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ7/11/2556

    ดีมากๆคับบทความนี้ อธิบาย ความหมายให้เข้าใจชัดเจน

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ7/11/2556

    อาเมน ชัดเจน ครับ

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณที่น้องที่เข้ามาอ่านแล้วกรุณาให้ข้อคิดเห็นและให้กำลังใจผู้เขียน มีน้อยครับ คริสเตียนไทยยังมีนักบริโภคนิยม ซุ่มเงียบแอบเรียน แอบก๊อปโดยไม่แจ้งเจ้าของความคิด ลิทธสิทธิไม่สน

    ที่ผ่านมา ยังไม่ค่อยเห็นมีใครที่จะเขียนอีเมล์มาให้กำลังใจ หรือ บริจาคอะไรเลยครับ แม้แต่แค่จะเขียนแสดงความคิดเห็นก็ยังไม่ทำ เหนื่อยครับพี่น้อง แต่ก็จะสู้ต่อไปครับ

    ประเทศไทยต้องมี คริสเตียนยุคใหม่ที่กล้าคิด กล้าทำเพื่อพระเจ้าครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ระบุชื่อ7/29/2556

      สู้ต่อไปครับ พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อครับ พระองค์สัญญาว่ายิ่งหว่านมากยิ่งเก็บเกี่ยวมากครับ ผมขอนับถือว่าอจ.เป็นผู้ที่หว่านเมล็ดพันธ์แห่งแผ่นดินของพระเจ้ามากและไม่เคยยอมแพ้ เป็นกำลังใจและจะอธิษฐานเผื่อเสมอครับ M

      ลบ

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)